Friday, 13 June 2025
WORLD

‘นักเขียน-นักแสดง’ นับแสนประท้วงหยุดงาน เรียกร้องขึ้นค่าตอบแทน เดือดขึ้นอีก!! หลัง CEO ‘Disney’ จุดประเด็นต่อต้านการประท้วงครั้งนี้

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) กลายเป็นการประท้วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวฮอลลีวู้ดในรอบหลายทศวรรษ หลังจากสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ SAG-AFTRA ทำการสไตรค์หยุดงาน ซึ่งกลายเป็นการผนึกกำลังกับสมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา Writers Guild of America ที่ประท้วงหยุดงานยืดเยื้อมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว เพื่อเรียกร้องรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรม รวมถึงเรื่องข้อกำหนดในการใช้ AI ในการสร้างสรรค์ผลงาน แต่การเจรจาหาข้อตกลงกับทางสตูดิโอและผู้ให้บริการระบบสตรีมมิ่งเซอร์วิสไม่เป็นผล จนทำให้เกิดการหยุดงานของทั้ง WGA ที่มีสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกกว่า 11,000 คน และนักแสดงสมาชิกของ SAG-AFTRA จำนวนกว่า 160,000 คน หยุดงานจนการถ่ายทำรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ต่าง ๆ ในตอนนี้ต้องหยุดชะงัก

Fran Drescher ประธานของ SAG-AFTRA ได้นำทีมนักแสดงเดินประท้วงหน้าสตูดิโอ Paramount Pictures ใน Los Angeles และยังมีสมาชิกอีกหลายกลุ่มที่กระจายตัวไปประท้วงตามสตูดิโอต่าง ๆ โดยชูป้ายข้อความประท้วงมากมาย เช่น “บีบแตรถ้าคิดว่าเจ้านายของคุณได้เงินเยอะเกินเหตุ”, “ AI ไม่ใช่ศิลปะ” และ “รวมพลังสไตรค์ครั้งใหญ่” 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ประท้วงออกอาการเดือดก็คือ การให้สัมภาษณ์ของ ‘Bob Iger’ CEO ของ Disney ที่วิจารณ์การประท้วงหยุดงานว่าเป็นการเรียกร้องในสิ่งที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เพราะวงการยังอยู่ในช่วงที่บอบช้ำหนักจาก COVID และอยู่ในช่วงที่ต้องการการฟื้นฟู การประท้วงหยุดงานในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ทำให้ป้ายประท้วงบางส่วนได้เขียนข้อความโจมตี ‘Bob Iger’ ด้วย

โดย Fran Drescher ได้ประณาม ‘Bob Iger’ ว่าไม่ควรออกมาพูดอะไรแบบนี้ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารที่มีรายได้มหาศาล แต่เขากลับมองไม่เห็นปัญหาของกลุ่มคนที่ทำงานหนักแต่กลับได้รายได้ที่ไม่มีวันที่จะเทียบเท่าเขาได้เลย

การประท้วงหยุดงานทำให้นักแสดงส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าร่วมการถ่ายทำรวมถึงการร่วมงานอีเวนต์ต่าง ๆ จนกว่าจะมีการเจรจาเสร็จสิ้น ซึ่งทำให้กองถ่ายภาพยนตร์และซีรีส์ทั้งหลายหยุดชะงักรวมถึงการโปรโมทภาพยนตร์ต่าง ๆ ในช่วงนี้ด้วย เช่น Mission : Impossible :
Dead Reckoning PART ONE ซึ่ง Tom Cruise มีกำหนดเดินทางไปโปรโมทที่ประเทศญี่ปุ่นวันที่ 17-18 กรกฎาคม นี้ก็ต้องประกาศยกเลิก

แต่มีกองถ่ายหนึ่งที่ยังคงถ่ายทำได้อยู่ก็คือ ‘House of the Dragon’ ซีรีส์ฮิตที่นักแสดงส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ และได้รับการคุ้มครองโดย Equity องค์กรนักแสดงของ สหราชอาณาจักร เนื่องจากสมาชิกนักแสดงที่มีจำนวนกว่า 47,000 คนนั้นไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้เข้าร่วมการประท้วง ที่จัดขึ้นโดยองค์กรของสหรัฐอเมริกา โดยทาง Equity ได้ประกาศสนับสนุน SAG-AFTRA ในกิจกรรมที่ถูกกฎหมาย เพียงแต่ว่าหากนักแสดงที่สมาชิกของ Equity เข้าร่วมการหยุดงานประท้วงจะไม่ได้รับการคุ้มครองในกรณีถูกเลิกจ้างหรือถูกฟ้องร้องเนื่องจากละเมิดสัญญา โดยสรุปคือองค์กร Equity ไม่สามารถเข้าร่วมการประท้วงร่วมกับ SAG-AFTRA ได้ เพราะจะเป็นการผิดกฎหมายของประเทศอังกฤษ ซึ่งทางองค์กรได้ย้ำกฎการทำงานให้นักแสดง เข้าใจตรงกันว่า สมาชิกของ Equity ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ SAG-AFTRA สามารถทำงานต่อไปได้ เพราะไม่ได้รับการคุ้มครองใด ๆ จาก SAG-AFTRA อยู่แล้ว ส่วนนักแสดงที่เป็นสมาชิก SAG-AFTRA ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ Equity ก็ต้องดำเนินการตามกฎของ SAG-AFTRA ที่ต้องหยุดงานไม่สามารถปฏิบัติงานใด ๆ บนโลกนี้ในขณะที่เกิดการสไตรค์ได้ 

‘บลิงเคน’ ชี้!! เกาหลีเหนือภัยคุกคามร่วมที่ใหญ่ที่สุด สะเทือนความมั่นคง ‘อินโดแปซิฟิก-สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้’

(15 ก.ค. 66) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ที่การประชุมอาเซียน เกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามร่วมใหญ่สุดต่อความมั่นคงทั้งในระดับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และต่อสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ 

‘แอนโทนี บลิงเคน’ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ (14 ก.ค. 66) ว่า ไม่มีปัญหาท้าทายใดอีกแล้ว ที่เป็นภัยด้านความมั่นคงร่วมกันทั้งในระดับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และต่อสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่จะใหญ่ไปกว่าภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเกาหลีเหนือ และเกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป ICBM ครั้งล่าสุดในสัปดาห์นี้ เป็นการละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บลิงเคนกล่าวหลังเข้าร่วมประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมือง และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ‘ARF’ และหลังจากการประชุม 3 ประเทศ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย 

ด้าน ฮายาชิ โยชิมาสะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น กล่าวในการแถลงข่าวเดียวกันร่วมกับบลิงเคนว่า ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก กำลังตกอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่รุนแรงและซับซ้อนที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา จากการที่เกาหลีเหนือเพิ่มความเข้มข้นในกิจกรรมด้านนิวเคลียร์และขีปนาวุธ รวมถึงการยิง ICBM ล่าสุดในสัปดาห์นี้ด้วย

ด้าน ปาร์ค จิน รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ กล่าวในการแถลงข่าวเดียวกันว่า เกาหลีเหนือยิง ICBM ทั้ง ๆ ที่อาเซียนกำลังประชุมกันอยู่ว่าด้วยสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคนี้ พฤติกรรมของเกาหลีเหนือจึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความคาดหวังของประชาคมโลก เขาหวังว่า การประชุม 3 ฝ่ายระหว่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในครั้งนี้ จะเพิ่มความแน่วแน่ของเรา ในการตอบโต้การกระทำยั่วยุอย่างต่อเนื่องของเกาหลีเหนืออย่างหนักแน่นและเด็ดขาด  และส่งสารถึงเกาหลีเหนือให้ตระหนักว่า การยั่วยุนั้นจะต้องไม่ผ่านไปเฉย ๆ โดยไม่ถูกลงโทษ

บลิงเคนกล่าวถึงรัสเซียด้วยว่า “ไม่มีสัญญาณว่า รัสเซียจะเปลี่ยนแปลงทิศทางในปฏิบัติการในยูเครน หรือจะเข้าร่วมทางการทูตเกี่ยวกับยูเครน”

ทั้งนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมในการประชุม ARF ด้วย

‘เบอร์เกอร์ชีส 20 ชั้น’ เมนูใหม่ล่าสุดจาก ‘Burger King’ ในไทย กลายเป็นไวรัลดังไปทั่วโลก จนสื่อต่างประเทศถึงกับโชว์กินออกทีวี!!

“ไม่ขายขำ นี่ขายจริง!!”

นี่คือคำโปรยบน Facebook อย่างเป็นทางการของ ‘Burger King Thailand’ ยักษ์ใหญ่อาหารจานด่วน เรียกเสียงฮือฮาบนโลกอินเทอร์เน็ตครั้งใหญ่ ด้วยการปล่อยภาพเมนูเบอร์เกอร์ใหม่ “โคตรชีสเบอร์เกอร์” ที่ไม่มีเนื้อสัตว์เเม้เเต่ชิ้นเดียว เรียงชั้นด้วยชีสล้วนๆ 20 ชั้น

ความแปลกประหลาดนี้ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ให้หันสปอตไลท์มายังเบอร์เกอร์คิงประเทศไทยอย่างพร้อมเพรียง

โดย Burger King Thailand ประกาศบน Facebook ทางการของเเบรนด์ว่า…

“ทันทีที่เมนูเปิดจำหน่ายก็เกิดกระแสไวรัลบน TikTok อย่างรวดเร็ว เนื่องจากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างแห่กันไปลิ้มลอง เเละเผยเเพร่คลิปรีวิวเบอร์เกอร์ตัวนี้ลงบนโซเชียล ทำให้เกิดกระเเสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งฝั่งที่เห็นด้วยเเละไม่เห็นด้วย เกิดการเเชร์ต่อเป็นจำนวนมาก

เบื้องหลังการนำเสนอเมนูนี้ของเเบรนด์ นอกจากต้องการเอาใจคนรักชีส ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ลูกค้าวัยรุ่นเเล้ว สำคัญกว่านั้นคือเป็นอุบายทางการตลาด เพื่อสร้างความฮือฮาบนโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ เเละผลที่ได้ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อย”

‘The Real Cheeseburger’ เปิดขายในไทย เเต่กำลังดังไกลไปทั่วโลก สำนักข่าวดังของโลก อย่าง CNN ได้หยิบยกเรื่องนี้รายงานสดออกโทรทัศน์ New York Post เองก็กล่าวถึงประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน

เมนูนี้ขายเเค่ในประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีแผนจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่น

‘Burger King Thailand’ อยู่ภายใต้การดูเเลของ ‘เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป’ กลุ่มธุรกิจบริการเเละร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย นอกจากเบอร์เกอร์คิง ยังมีเเบรนด์ดังในเครืออื่นๆ เช่น  Dairy Queen, Sizzler, swensen’s, The Pizza Company, Bonchon เป็นต้น

ในเว็บไซต์ Burger King ระบุว่า เมนู ‘โคตรชีสเบอร์เกอร์’ เติมรสชีสด้วยอเมริกันชีสถึง 20 แผ่น เพื่อคนรักชีส ราคาเพียง 109 บาท จากปกติ 380 บาท ระยะเวลาจำหน่าย 11 ก.ค. 66 – 13 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา ด้วยกระเเสที่ร้อนเเรง คงต้องรอดูกันว่าเมนูจกลับมาให้บริการใหม่อีกครั้งหรือไม่

เเม้เป็นกระเเสโด่งดังจริง แต่เสียงตอบรับไม่ได้เป็นไปในทิศทางบวกทั้งหมด ค่อนไปในทางลบเสียมากกว่า มีน้อยคนที่จะสามารถรับประทานเมนูนี้ได้หมด ด้วยความเลี่ยนของชีสล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์หรือผักตัดรสชาติ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทานได้หนึ่งคำต้องวางลงทันที”

คำวิจารณ์มีทั้ง

“ทานได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
“ปริมาณชีสจำนวนมากเกินสำหรับเบอร์เกอร์หนึ่งชิ้น อาหารจะดีก็ต่อเมื่อมีส่วนผสมที่ลงตัว”
“ไม่ดีเท่าดับเบิ้ลชีสแองกัส”
“อาจจะไม่ลองอีก ชีสเพียงเเค่สองสามชิ้นดูจะพอดีกว่า”

อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นชีสเลิฟเวอร์ ลงความเห็นว่า เบอร์เกอร์ชีสแบบเต็มคำนี้ อร่อย และถึงรสถึงชาติ คนรักชีสต้องห้ามพลาด

ในทางกลับกัน ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะรับประทานชีสปริมาณ 20 แผ่น ในมื้อเดียว ชีสเป็นแหล่งไขมันอิ่มตัว ย่อยยาก และมีโซเดียมสูง จึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ หากมากเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของไตอย่างเเน่นอน ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 แผ่น หรือ 100 กรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งเเรกของเบอร์เกอร์คิง ในการสร้างความตื่นเต้นเเก่ตลาดอาหารจานด่วน

ที่ผ่านมาเเบรนด์สร้างสรรค์เมนูเเปลกใหม่ออกมาอยู่ตลอด เเละทุกเมนูสร้างความฮือฮาให้ผู้บริโภคได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น

‘Kuro Pearl’ และ ‘Kuro Diamond Burger’
เบอร์เกอร์สีดำ จากเบอร์เกอร์คิงประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวในปี 2012 เพื่อฉลองให้ตรงกับวันครบรอบปีที่ 5 ของ Burger King ในญี่ปุ่น ขนมปังถูกทำให้เป็นสีดำด้วยถ่านไม้ไผ่ ราดหน้าด้วยผักกาดหอม มะเขือเทศ และหัวหอม

‘โดนัทเบอร์เกอร์’
จากเบอร์เกอร์คิงอิสราเอล ได้รับเสียงตอบรับดีมากจากผู้บริโภค มี Whopper ประกบระหว่างโดนัททอด 2 ชิ้น มีจำหน่ายในประเทศอิสราเอลเท่านี้

‘Bacon Lover’
จากเบอร์เกอร์คิงฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ เอาใจ Bacon Lover โดยเฉพาะ มีจำหน่ายในเบอร์เกอร์คิงฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ โดดเด่นด้วยไส้เนื้อย่างไฟ 2 ชิ้น มะเขือเทศ หัวหอม ชีส เบคอน และซอสรมควัน ประกบระหว่างขนมปังไส้เบคอน 2 ชิ้น

Pregnancy Whopper’
เบอร์เกอร์คิง จากเยอรมนี เป็นเมนูจริงที่จำหน่ายเพียงหนึ่งวัน เฉพาะที่กรุงเบอร์ลิน เมนูแปลกประหลาดนี้ คือหนึ่งในแคมเปญ ‘Pregnancy Whopper’ เพราะขณะตั้งครรภ์คนเป็นเเม่มักอยากรับประทานเมนูที่ไม่ปกติ เมนูในเเคมเปญนี้ประกอบด้วยหลากหลายทอปปิ้ง ที่มีทั้งผักดองกับวิปครีมด้านบน ไอศกรีมกับมะกอกเขียว แตงกวากับแยม ฟิชสติ๊กกับซอสแอปเปิ้ล ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่กับมันฝรั่งทอด เเละเเปลกสุดๆ กับเมนูปลาเฮอริ่งทอด

‘เบอร์เกอร์สีชมพูดำ’
จากเบอร์เกอร์คิงประเทศจีน คอลแลบส์กับ KFC มีผลิตจำนวนจำกัด เมนูมีชื่อว่า ‘เบอร์เกอร์ขาไก่เผ็ดเบคอนแบกไดมอนด์’ และ ‘เบอร์เกอร์ขาไก่ย่างโรยชีส’

‘เบอร์เกอร์สีแดง’
จากเบอร์เกอร์คิงญี่ปุ่น ปล่อยเบอร์เกอร์สีดำไม่พอ ญี่ปุ่นยังทำชีสเบอร์เกอร์สีแดงต่อ ‘Aka Burger’ นี้ มีเนื้อให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ เนื้อซามูไร และไก่ซามูไร ประกบด้วยชีส และ Whopper สีแดง พร้อมซอสมิโซะสีเเดง และพริกขี้หนู

‘Windows 7 Whopper’
จากเบอร์เกอร์คิงญี่ปุ่น เบอร์เกอร์กับเนื้อเจ็ดชิ้น สอดเเทรกหัวหอม มะเขือเทศ ผักกาดหอม และผักดอง สนนราคาอยู่ที่ 777 เยน เพื่อเฉลิมฉลองเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 7 ของ ‘Microsoft’

‘เบอร์เกอร์ราดบลูเบอร์รี่’
จากเบอร์เกอร์คิงญี่ปุ่น ซึ่งเบอร์เกอร์ราดซอสเบอร์รี่รวมและบลูเบอร์รี่นี้ เป็นเมนูสำหรับฉลองวันหยุดในญี่ปุ่น สนนราคา 5 ดอลลาร์

‘The French Fry Burger’
จากเบอร์เกอร์คิงนิวซีเเลนด์ สร้างประสบการณ์ รับประทานแฮมเบอร์เกอร์กับมันฝรั่งทอด ได้พร้อมกันในครั้งเดียว มันฝรั่งราดด้วยซอสมะเขือเทศและมายองเนส ประกบ Whopper 2 แผ่น

การกระโดดเข้าสู่กระแสของอาหารฟิวชัน ที่แปลกประหลาด ส่วนเนื่องมาจากยอดขายของฟาสต์ฟู้ดลดลง เชนรายใหญ่จึงหันมาใช้กลยุทธ์สินค้าลิมิเต็ด เพิ่มความพิเศษ กระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความอยากลอง อีกทั้งยังได้โปรโมตกระเเสเบอร์เกอร์ให้บูมในอินเทอร์เน็ตอีกทาง

ความจริงใจ สำคัญ!! ‘หวังอี้’ กระตุ้นสหรัฐฯ ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม  พาสัมพันธ์ ‘จีน-สหรัฐฯ’ กลับเส้นทางที่ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 ‘หวังอี้’ นักการทูตอาวุโสของจีน กล่าวว่าสหรัฐฯ ควรดำเนินการอันเป็นรูปธรรม เพื่อนำพาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง

‘หวัง’ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศส่วนกลางของจีน ซึ่งพบปะกับแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ณ การประชุมนอกรอบของการประชุมคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายได้บรรลุฉันทมติผ่านการสื่อสารเชิงลึกและตรงไปตรงมาระหว่างการเยือนจีนของบลิงเคนเมื่อเดือนก่อน

หวังกล่าวว่า ฉันทมติสำคัญที่สุดคือ การกลับสู่วาระที่ผู้นำรัฐทั้งสองกำหนดไว้ในบาหลีของอินโดนีเซีย และการก้าวเดินหน้าสู่การกำหนดทิศทางที่ถูกต้องของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ

ฝ่ายสหรัฐฯ ควรพิจารณาปมปัญหาที่นำสู่ความยุ่งยากของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ทำให้ฉันทมติที่บรรลุโดยประธานาธิบดีจีนและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณ การประชุมในบาหลีสู่การดำเนินการอันเป็นรูปธรรม และทำตามคำมั่นสัญญาต่างๆ ที่ ‘โจ ไบเดน’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยให้ไว้

การดำเนินการอันเป็นรูปธรรมจำเป็นต่อการขจัดอุปสรรค ทั้งที่คาดถึงและคาดไม่ถึง เพื่อสั่งสมแรงขับเคลื่อนความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่มีเสถียรภาพ

หวังเรียกร้องให้สหรัฐฯ ปรับใช้ทัศนคติอันสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับความเป็นจริง ตลอดจนทำงานร่วมกับจีนในทิศทางเดียวกัน เพื่อเดินหน้าการปรึกษาหารือหลักการชี้นำความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ขยับขยายช่องทางการสื่อสารทางการทูตและความมั่นคง ยกระดับประสิทธิภาพของการสื่อสาร และเกื้อหนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน

‘อีลอน มัสก์’ เปิดตัว ‘เอ็กซ์เอไอ’ บริษัทสตาร์ตอัป AI เดินหน้าพัฒนาแชตบอท หวังท้าชนคู่แข่งทุกแพลตฟอร์ม

(13 ก.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพุธ 12 ก.ค. ที่ผ่านมา ‘อีลอน มัสก์’ ซีอีโอของเทสลา (Tesla) และเจ้าของทวิตเตอร์ (Twitter) ประกาศเปิดตัว ‘เอ็กซ์เอไอ’ (xAI) บริษัทสตาร์ตอัปด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อ ‘ทำความเข้าใจความเป็นจริง’

เว็บไซต์ของเอ็กซ์เอไอ ระบุว่า บริษัทฯ แยกจากเอ็กซ์ คอร์ป (X Corp) ที่มัสก์เป็นเจ้าของ แต่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) เทสลา และบริษัทอื่น ๆ เพื่อสร้างความก้าวหน้าแก่ภารกิจของบริษัทฯ

ทีมงานบางส่วนซึ่งนำโดยมัสก์เคยทำงานกับแชทบอท จีพีที-3.5 (GPT-3.5) และ จีพีที-4 (GPT-4) ของโอเพนเอไอ (OpenAI) โดยมัสก์เคยเป็นนักลงทุนระยะเริ่มต้นและส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหารในโอเพนเอไอ ก่อนออกจากตำแหน่งดังกล่าวในปี 2018

รายงานระบุว่า ‘เอ็กซ์เอไอ’ ยังมีทีมวิศวกรจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ อาทิ กูเกิล รีเสิร์ช (Google Research) และไมโครซอฟต์ รีเสิร์ช (Microsoft Research)

‘ยูเครน’ ผิดหวังอีกครั้ง หลัง ‘นาโต’ ไม่รับเข้าเป็นสมาชิก หรือเส้นทางการเข้าร่วมเป็นพันธมิตร 15 ปีจะสูญเปล่า?

(13 ก.ค. 66) ‘โวโลดิมีร์ เซเลนสกี’ ประธานาธิบดียูเครน ต้องเผชิญกับความผิดหวังอีกครั้ง เมื่อองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ ‘นาโต’ ออกแถลงการณ์ร่วมประเทศสมาชิกนาโต ปฏิเสธกำหนดกรอบเวลาชัดเจนรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต ที่กรุงวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย ซึ่งผู้นำยูเครนหมายมั่นว่า เขาจะได้รับคำตอบที่ชัดเจน เกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโต เพื่อได้รับประกันด้านความปลอดภัยของชาติ จากการรุกรานของรัสเซีย

เพราะเหตุใดกลุ่มประเทศที่ให้การสนับสนุนกับยูเครนมากที่สุด เพื่อรับมือกับกองทัพรัสเซีย จึงไม่สามารถรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกได้ แม้ว่ายูเครนจะดำเนินการยื่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกแบบเร่งด่วน และก่อนหน้านี้ ฟินแลนด์ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกชาติที่ 31 ของกลุ่ม ส่วนสวีเดนก็จะได้เข้าเป็นสมาชิกเร็ว ๆ นี้ หลังได้รับการยอมรับจากตุรกีแล้ว

หนทางการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน ดูเหมือนจะหยุดชะงักเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต ณ บูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย เมื่อปี 2008 ที่การหามติเอกฉันท์ในการรับจอร์เจีย และยูเครน อดีตประเทศสหภาพโซเวียด เข้าเป็นสมาชิกนาโตนั้นล้มเหลว แต่ทั้ง 2 ประเทศได้รับข้อเสนอที่คลุมเครือในการสามารถเข้าเป็นพันธมิตรกลุ่มได้ในอนาคต โดยไม่กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนว่า พวกเขาจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่ใหญ่สุดของโลกเมื่อไหร่

“ประตูยังเปิดอยู่ พวกเขาบอกกับเรา แต่พวกเขาไม่ได้บอกเรา ถึงหนทางในการหาประตูเหล่านี้ และวิธีการเข้าไปข้างใน” โอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครน กล่าว

ด้านยูเครน และจอร์เจียต่างพบว่า ในช่วงเวลานั้น ตัวเองกำลังตกอยู่ในสองสถานะ นั่นคือ สมาชิกนาโตในอนาคต ขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ จากชาติพันธมิตร โดยเฉพาะในมาตรา 5 ของนาโต ที่ระบุว่า “การโจมตีสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งของพันธมิตรนาโต จะเท่ากับการโจมตีสมาชิกทุกประเทศ”

นอกจากนี้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียได้รับเชิญในฐานะแขกของนาโตเข้าร่วมประชุมครั้งดังกล่าว โดยเขาได้ส่งข้อความถึงนาโตอย่างชัดแจ้งว่า การเข้าเป็นสมาชิกนาโตของจอร์เจียและยูเครน ถือเป็น “ภัยคุกคามโดยตรงของรัสเซีย” หลังก่อนหน้านี้ อดีตผู้นำสหรัฐฯ อย่าง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และบิล คลินตัน เคยให้สัญญากับรัสเซียว่า นาโตจะไม่ขยายอิทธิพลเข้าไปในกลุ่มประเทศที่เคยเป็นอดีตสหภาพโซเวียต

“สถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซีย คือการนั่งอยู่ในห้องรอคอยของนาโต และพวกเราก็ทำแบบนั้นกับจอร์เจีย และยูเครน เมื่อ 15 ปีที่แล้ว” มาร์กุส ซาห์คน่า รัฐมนตรีต่างประเทศเอสโตเนีย กล่าว

ทั้งนี้ การไม่ลงรอยกันของข้อตกลงในครั้งนั้น ทำให้จอร์เจีย และยูเครนตกเป็นเป้าของการรุกรานจากรัสเซีย เนื่องจากเป็นการยั่วยุปูตินให้ดำเนินการต่อต้านการขยายตัวของนาโตบนชายแดนของเขา และอาจเป็นเพราะความล้มเหลวอย่างชัดเจนของนาโตในการคุ้มครองความปลอดภัยที่จะสามารถครอบคลุมไปยังรัฐเหล่านี้ ส่งผลให้อีกไม่กี่เดือนต่อมา กองทัพรัสเซียได้ยึดออสเซเทียใต้และอับคาเซียของจอร์เจีย นอกจากนี้ ในปี 2014 รัสเซียก็ได้ผนวกดินแดนไครเมีย เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียด้วย

การตัดสินใจว่ายูเครนจะเข้าร่วมนาโตหรือไม่ เป็นหนึ่งในคำถามด้านความมั่นคงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากที่สุดของยุโรป เพราะการตัดสินใจยอมรับยูเครนจะเป็นการขยายคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ในมาตรา 5 ของนาโต แม้ว่าการอ้างสิทธิ์ดังกล่าว จะไม่มีผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ก็อาจจะทำให้บรรดาผู้นำชาติตะวันตกต้องเข้าสู่สงครามกับรัสเซีย ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มากสุดของโลกในอนาคต และยังเสี่ยงทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ถ้ารัสเซียโจมตีประเทศเพื่อนบ้านอีกครั้ง

แม้ยูเครนจะได้แรงหนุนจากประเทศสมาชิกบางส่วนในการเข้าร่วมนาโต แต่สมาชิกบางประเทศก็ไม่เห็นด้วยที่จะรับยูเครนเข้ามา โดยเฉพาะโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว CNN เมื่อวันอาทิตย์ (9 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา ว่า ยูเครนยังไม่พร้อมที่จะเข้าสู่นาโต ยิ่งไปกว่านั้น พันธมิตรนาโตยังไม่พร้อมที่จะให้ยูเครนก้าวสู่ประวัติศาสตร์สำคัญในการเข้าร่วมกลุ่ม เพราะนั่นอาจจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดสงครามโดยตรงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย

“ผมไม่คิดว่า จะมีมติเป็นเอกฉันท์ในนาโตว่า ควรจะนำยูเครนเข้าสู่ครอบครัวนาโตตอนนี้หรือไม่ ในช่วงเวลานี้ ที่อยู่ท่ามกลางสงคราม” ไบเดน กล่าว

ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า ชาติพันธมิตรจำเป็นต้องวางเส้นทางที่มีเหตุผลสำหรับการเป็นสมาชิกของยูเครน ที่ยังขาดข้อกำหนดบางประการในการเข้าร่วมนาโต รวมถึงความเป็นประชาธิปไตยด้วย

ขณะที่ ยูเครนได้เตือนบ่อยครั้งว่า ยูเครนกำลังต่อสู้ในสงครามของยุโรป เพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของรัสเซีย และยูเครนช่วยทำให้ศัตรูตัวฉกาจของนาโตอ่อนแอลง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ยูเครนควรได้รับการรับประกันด้านความมั่นคงจากนาโตด้วย

“มันจะเป็นข้อความที่สำคัญที่จะบอกว่า นาโตไม่กลัวรัสเซีย” เซเลนสกี กล่าวให้สัมภาษณ์กับ ABC News เมื่อวันอาทิตย์ (9 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา

ความเสี่ยงในการปะทะกับรัสเซียในอนาคตมีน้ำหนักอย่างมากในความคิดของนักวิเคราะห์หลายคน เบน ฟรีดแมน ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของ Defense Priorities กล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่ควรรับประกันด้านความมั่นคงให้แก่ยูเครน และไม่ควรทำในตอนนี้ ผ่านกลุ่มนาโต หรือ ช่องทางอื่น ๆ ที่จะรับประกันความมั่นคงทวิภาคีบางประเภท

ฟรีดแมน แย้งด้วยว่า แม้ยูเครนจะยืนหยัดต่อต้านอย่างกล้าหาญ แต่การพิจารณาถึงผลประโยชน์ในวงกว้างของสหรัฐฯ ต้องมาก่อน

“การรับประกันด้านความมั่นคงให้ยูเครนจะเป็นการกัดเซาะความมั่นคงของสหรัฐฯ ด้วยการเพิ่มความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัดในการทำสงครามกับรัสเซีย… นั่นคือความเสี่ยง แน่นอนว่า ทำให้สถานการณ์ด้านนิวเคลียร์เลวร้ายลง และเป็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ ไม่ได้อะไรเลยในแง่ของความมั่นคง

มีการถกเถียงกันทั้งในระยะสั้น และระยะยาวเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน โดยไบเดน เตือนว่า การทำเช่นนั้น ในช่วงภาวะสงครามจะทำให้พันธมิตรนาโต ต้องปกป้องพันธมิตรใหม่ทันที เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า การป้องกันโดยรวมของกลุ่มนั้นมีความหมาย

“ผมหมายความตามที่ผมพูด มันเป็นพันธสัญญาที่เราต้องทำทั้งหมดไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าสงครามยังดำเนินอยู่ หากเป็นเช่นนั้น เราทั้งหมดจะเข้าสู่สงคราม เราจะต้องทำสงครามกับรัสเซีย” ไบเดน กล่าว

ขณะที่ ไมเคิล แมคคอล ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะคุยเรื่องยูเครนเข้าร่วมนาโตในทันที

“ประการแรก ยูเครนต้องชนะฝ่ายรุกราน ประการที่สอง ต้องมีการหยุดยิงและมีการเจรจาหาข้อยุติโดยสันติ เราไม่สามารถรับยูเครนเข้าร่วมนาโตได้ในทันที นั่นจะเป็นการผลักเราเข้าสู่สงครามกับรัสเซีย”

“ดังนั้น ผมคิดว่าบทสนทนาควรจะเกี่ยวกับข้อตกลงด้านความมั่นคงใดที่สามารถใช้กับยูเครนได้ เพื่อเป็นการบ่งชี้ถึงการที่ยูเครนจะเข้าสู่นาโต” เขาพูดพร้อมเสริมว่า “เราต้องระมัดระวังในการทำเช่นนี้” แมคคอล กล่าว

อย่างไรก็ตาม บทความจากสำนักข่าว CNN รายงานว่า การเสนอวันเข้าร่วมหลังสงครามสิ้นสุดให้แก่ยูเครน อาจก่อให้เกิดผลตีกลับได้เช่นกัน เพราะจะทำให้เครมลินมีเหตุผลที่จะไม่มีวันยุติความขัดแย้ง และสิ่งนี้จะทำลายความหวังอันริบหรี่ในการหาข้อยุติทางการเมืองหากกองทัพยูเครนยังไม่สามารถขับกองกำลังรัสเซียออกไปได้ทั้งหมด และเสี่ยงที่จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปูติน โดยจะยิ่งสร้างความชอบธรรมให้กับหนึ่งในเหตุผลของปูตินในการบุกยูเครน ที่เขากล่าวหาว่าชาติตะวันตกเป็นผู้จุดชนวนสงครามโดยใช้ยูเครนเป็นข้ออ้าง เพื่อทำให้อำนาจรัสเซียอ่อนแอ

นับตั้งแต่เกิดสงครามเป็นเวลานานกว่า 17 เดือน ชาติพันธมิตรนาโตได้ให้ความช่วยเหลือทางทหาร และทางด้านการเงินมูลค่ารวมแล้วกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5.5 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือทางทหารไปมากกว่า 35,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท ล่าสุด ยังประกาศให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ด้วยการติดอาวุธให้ยูเครนในการขับไล่รัสเซีย ในการตัดสินใจส่ง ‘ระเบิดพวง’ ซึ่งถูกห้ามใช้ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ตามอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง หรือ ‘Convention on Cluster Munitions : CCM’

ขณะที่ ชาวอเมริกันก็ตั้งคำถามว่า ทำไมในท้ายที่สุด ชาวอเมริกัน 330 ล้านคน จะต้องทำสงครามกับรัสเซีย เพื่อปกป้องยูเครน หากเข้าร่วมกับนาโต โดยหวั่นว่าจะเป็นการพาประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดูเหมือนกำลังกระทำการในสิ่งที่คล้ายกับลักษณะของสงครามตัวแทนในยูเครน

ถึงกระนั้น แม้ไบเดนจะออกมาเปลี่ยนจุดยืนการเร่งเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน แต่เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ จะปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญาหรือไม่ โดยโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบสหรัฐฯ ออกมาเตือนไบเดนว่า ไบเดนกำลังพาสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 กับรัสเซีย พร้อมให้คำมั่นว่า เขาจะยุติสงครามในยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งความเห็นดังกล่าว ค่อนข้างที่จะให้ความเห็นอกเห็นใจต่อเป้าหมายของปูติน ซึ่งทรัมป์มีความสัมพันธ์ที่ดีกว่า

‘วากเนอร์’ ยอมจำนน ส่งมอบอาวุธให้กองทัพรัสเซียแล้ว ด้าน ‘ปูติน’ เสนอเงื่อนไข เพื่อชี้ชะตา ‘ผู้นำเยฟเกนี’

(13 ก.ค. 66) กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่ข้อมูลเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมว่า กลุ่มทหารรับจ้างวากเนอร์ได้ทำการส่งมอบอาวุธให้กับกองทัพรัสเซีย หลังเกิดการก่อกบฏช่วงสั้น ๆ เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ในการให้ข่าวของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ยังได้มีการเผยแพร่ภาพอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่วากเนอร์ส่งมอบให้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนถึงความพยายามในการคลี่คลายภัยคุกคาม และดูเหมือนจะเป็นการประกาศยุติปฎิบัติการของกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้ ในสนามรบภายในดินแดนยูเครน

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า อาวุธที่มีการส่งมอบการมีมากกว่า 2,000 ชิ้น ตั้งแต่รถถัง เครื่องยิงจรวด ปืนใหญ่ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ พร้อมด้วยยุทโธปกรณ์อีกมากกว่า 2,500 ตัน และอาวุธปืนมากกว่า 20,000 กระบอก

แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลรัสเซียออกมายอมรับเมื่อต้นสัปดาห์ว่า นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำกลุ่มวากเนอร์และผู้บัญชาการระดับสูง 34 นายของเขา ได้พบกับ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน เพียง 5 วันหลังจากการก่อกบฏ โดยผู้บัญชาการวากเนอร์ให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อปูติน และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อมาตุภูมิต่อไป

ขณะที่ปูตินกล่าวว่า กองทหารของวากเนอร์ต้องเลือกว่าจะเซ็นสัญญากับกระทรวงกลาโหม ย้ายไปอยู่เบลารุส หรือเกษียณจากการทำงาน

ภาพการส่งมอบอาวุธดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางความให้ชัดเจนเกี่ยวกับชะตากรรมของพริโกซิน และเงื่อนไขข้อตกลงที่มีการนิรโทษกรรมให้กับเขาพร้อมกับทหารรับจ้างในสังกัด

‘จีน’ ยิงจรวดพลังงาน ‘ออกซิเจน-มีเทนเหลว’ ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก

เมื่อวานนี้ (12 ก.ค.66) จีนประสบความสำเร็จในการยิงจรวดขนส่งจูเชว่-2 (Zhuque-2) ขึ้นสู่ห้วงอวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ตอน 09.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง และเสร็จสิ้นภารกิจการบินตามขั้นตอน

จรวดขนส่งจูเชว่-2 ถูกพัฒนาโดยแลนด์สเปซ (LandSpace) บริษัทจรวดอวกาศเอกชนของจีน โดยเป็นจรวดลำแรกของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงออกซิเจน-มีเทนเหลว และเข้าสู่วงโคจรที่กำหนดสำเร็จ

การปล่อยจรวดลำดังกล่าวนับเป็นความก้าวหน้าด้านการประยุกต์ใช้จรวดขับเคลื่อนด้วยของเหลวต้นทุนต่ำรุ่นใหม่สำหรับจรวดขนส่งของจีน และนับเป็นภารกิจการบินครั้งที่ 2 ของจรวดขนส่งจูเชว่-2

‘เกาหลีเหนือ’ โชว์แสนยานุภาพ!! ยิงขีปนาวุธพิสัยไกล ลงทะเลญี่ปุ่น หลังขู่จะยิงเครื่องบินสอดแนมสหรัฐฯ ที่บินรุกล้ำน่านฟ้าประเทศ

(12 ก.ค. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า เกาหลีเหนือได้ทำการยิงขีปนาวุธที่คาดว่าจะเป็นขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ตกลงในทะเลตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ทะเลญี่ปุ่น’ เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 12 กรกฎาคมตามเวลาท้องถิ่น เพียงไม่กี่วันหลังเกาหลีเหนือขู่ว่าจะยิงเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐฯ ที่บินรุกล้ำน่านฟ้าเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา และประณามแผนของสหรัฐฯ ที่จะส่งเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ เยือนท่าเรือของเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ

กองทัพเกาหลีใต้ระบุว่า สามารถตรวจจับการปล่อยขีปนาวุธพิสัยไกลที่ยิงจากกรุงเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือเมื่อเวลาราว 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า “ขีปนาวุธทิ้งตัวถูกยิงในวิถีโค้งและบินเป็นระยะทาง 1,000 กิโลเมตรก่อนที่จะตกลงในทะเลตะวันออก”

สถานีโทรทัศน์ทีวีอาซาฮีของญี่ปุ่น รายงานโดยอ้างอิงเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น ว่า ขีปนาวุธลูกดังกล่าวได้บินเป็นระยะเวลา 74 นาทีที่ระดับความสูง 6,000 กิโลเมตร โดยถือเป็นระยะเวลาการบินที่นานที่สุดของขีปนาวุธเกาหลีเหนือ

คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ระบุอีกว่า การยิงขีปนาวุธดังกล่าวของเกาหลีเหนือเป็นการยั่วยุอย่างร้ายแรงที่ทำลายสันติภาพและความมั่นคงของคาบสมุทรเกาหลีและเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ต่อเกาหลีเหนือ พร้อมกับเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการกระทำในลักษณะดังกล่าว

ด้านนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะของญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ที่ประเทศลิทัวเนีย ได้สั่งให้คณะทำงานของเขารวบรวมข้อมูลและเฝ้าระวังเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตามรายงานของสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น

การปล่อยขีปนาวุธไอซีบีเอ็มในครั้งนี้มีขึ้นหลังโฆษกของกระทรวงกลาโหมของเกาหลีเหนือ ระบุว่า สหรัฐฯ ได้เพิ่มกิจกรรมการจารกรรมเหนือกว่าระดับในช่วงสงคราม โดยอ้างถึงการบินของเครื่องบินสอดแนมสหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา 8 วันติดต่อกันในช่วงเดือนนี้ ขณะที่คิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือเผยว่าเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐฯ ได้บินรุกล้ำน่านฟ้าทางทิศตะวันออกของประเทศ 2 ครั้งในช่วงเช้าวันที่ 10 กรกฎาคม

Bank of America ถูกปรับ 250 ล้านเหรียญ ฐานเปิดบัญชีปลอม-เก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน

Bank of America ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา ถูกสั่งให้คืนเงินลูกค้ากว่า 100 ล้านเหรียญ และค่าปรับอีก 150 ล้านเหรียญ เมื่อตรวจพบว่ามีการเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน จากการหักรางวัลโบนัสบัตรเครดิต และ เปิดบัญชีโดยที่ลูกค้าไม่รู้ หรือไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ เมื่อรวมยอดค่าเสียหายที่ทางธนาคารต้องจ่ายแล้ว นับเป็นค่าปรับที่สูงที่สุดในรอบหลายปีของ Bank of America แต่ที่หนักสุด คือ ภาพลักษณ์อันย่ำแย่ของธนาคารที่พังยับ หลังจากตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี ได้สร้างชื่อเสียงในการเป็นสถาบันการเงินที่โปร่งใส น่าเชื่อถือ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านการเงิน โดยไม่แสวงหากำไรจากค่าธรรมเนียมส่วนเกิน หรือ การใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเงินกับลูกค้า

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงเมื่อวันอังคาร (11 ก.ค.66) ที่ผ่านมาว่า จากการสืบสวนพบการกระทำผิดของ Bank of America ต่อบัญชีลูกค้าหลายแสนราย ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารมาตลอดระยะเวลาหลายปี ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย  

เป็นเหตุให้ทางการสหรัฐสั่งให้ Bank of America ต้องคืนค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บซ้ำซ้อนให้แก่ลูกค้าเป็นเงินกว่า 100 ล้านเหรียญ บวกค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 90 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าปรับอีก 60 ล้านเหรียญให้กับสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราของสหรัฐอเมริกาต่างหากด้วย

ด้าน นายโรหิต โชปรา ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค กล่าวว่า การคิดค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน, การเปิดบัญชีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกค้า และการระงับโบนัสตอบแทน ไม่ทำตามที่เคยแจ้งแก่ลูกค้าโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นสิ่งผิดกฎหมายและบ่อนทำลายความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งทางสำนักงานสามารถสั่งยุติการดำเนินการของธนาคารทั้งระบบได้

โดย Bank of America ใช้ระบบที่เรียกว่า ‘Double-dipping scheme’ หรือ ‘ชาร์จค่าธรรมเนียมเบิ้ล 2 รอบกับลูกค้า’ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่มีการเบิกเงินเกินบัญชี ทางธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 35 เหรียญ และจะเก็บค่าธรรมเนียมนี้ซ้ำอีกครั้ง เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมเดิม

ตัวอย่างที่มักพบการชาร์จค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนบ่อยครั้ง คือ การตัดค่าบริการรายเดือน เช่น ฟิตเนส ที่หลายครั้งเงินลูกค้าในบัญชีเหลือไม่พอตัด ธนาคารจะทำการปฏิเสธการชำระ พร้อมหักค่าธรรมเนียม 35 เหรียญจากลูกค้า แต่เมื่อลูกค้านำเงินมาเติมในบัญชี ก็จะถูกค่าปรับอีก 35 เหรียญเนื่องจากทำธุรกรรมซ้ำ ทำให้ธนาคารมีรายได้จากสิ่งที่ชาวอเมริกันเรียกว่า ‘ค่าธรรมเนียมขยะ’ มากมายมหาศาลในแต่ละปี 

ด้านผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองฯ กล่าวย้ำอีกว่า ระบบ ‘Double-dipping scheme’ ของธนาคารถือเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติด้านการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการโกงลูกค้า ดังนั้นจึงต้องออกมาตรการบางอย่างคว่ำบาตร Bank of America เพื่อให้ธนาคารต้องคืนเงินส่วนนี้ให้แก่ลูกค้าพร้อมค่าปรับ 

นอกจากฐานความผิดในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนแล้ว Bank of America ยังโดนข้อกล่าวหาว่ามีการระงับโบนัส สิทธิพิเศษ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต ที่ไม่เป็นไปตามที่ธนาคารเคยได้แจ้งแก่ลูกค้า ซึ่งโบนัส และ รางวัลพิเศษ เป็นส่วนหนึ่งในการจูงใจให้ลูกค้าสมัครบัตรเครดิตของธนาคารที่พบว่า มีลูกค้าหลายหมื่นรายถูกระงับโบนัสพิเศษหลังจากที่ได้ใช้บัตรเครดิตของธนาคารแล้ว และ ยังพบว่าพนักงานของธนาคารแอบเปิดบัญชี หรือสมัครบัตรเครดิตให้ลูกค้าเพื่อทำยอด โดยไม่ได้แจ้ง หรือได้รับการยินยอมจากลูกค้ามาก่อน ถือเป็นความผิดที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่ธนาคารแอบใช้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าเพื่อหาผลประโยชน์

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Bank of America ถูกลงโทษจากการปฏิบัติงานที่ผิดกฎหมาย เพราะย้อนกลับไปในปี 2014  Bank of America ต้องจ่ายเงินสูงถึง 727 ล้านเหรียญ เป็นค่าปรับให้กับสำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภคมาแล้ว ด้วยข้อหาหลอกลวงลูกค้าประมาณ 1.4 ล้านราย ให้จ่ายค่าธรรมเนียม ที่ทางธนาคารอ้างว่าสำหรับบริการตรวจสอบเครดิตและรายงานเครดิตที่ลูกค้าไม่เคยได้รับมาก่อน

และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ Bank of America ต้องพยายามประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ตนเองใหม่นานนับสิบปี เพื่อให้เป็นธนาคารที่ชาวอเมริกันไว้ใจได้อีกครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับมาทำผิดซ้ำรอยเดิมในหนนี้

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เงินทอง เป็นของสำคัญ ไว้ใจใครไม่ได้ แม้แต่ธนาคาร เราจึงควรหมั่นเช็กบัญชีอยู่เสมอๆ เผื่อว่าจะมีใครแอบมาตัดเงินในบัญชีไปดื้อๆ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์ 

'รัสเซีย' ขู่!! พร้อมใช้อาวุธแบบเดียวกันโต้ตอบ หลังสหรัฐฯ จัดหา 'ระเบิดพวง' ป้อนให้ยูเครน

(12 ก.ค. 66) สหรัฐฯ แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะจัดหากระสุนคลัสเตอร์ให้แก่ยูเครน อาวุธระเบิดที่ปกติแล้วจะปลดปล่อยลูกระเบิดขนาดเล็กจำนวนมากกระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง

คลัสเตอร์บอมบ์ถูกห้ามโดยประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 ชาติทั่วโลก สืบเนื่องจากมันเสี่ยงก่ออันตรายแก่พลเรือน ปกติแล้วมันปลดปล่อยระเบิดขนาดเล็กกว่าที่สามารถเข่นฆ่าชีวิตโดยไม่เลือกหน้าในพื้นที่หนึ่งเป็นบริเวณกว้าง ส่วนกระสุนลูกที่ไม่ระเบิดนั้นก็เสี่ยงก่ออันตรายเป็นเวลานานหลายทศวรรษ หลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง

สื่อมวลชนรัสเซียอ้างคำกล่าวของ ชอยกู ระบุว่ารัสเซียมีกระสุนคลัสเตอร์ในครอบครองเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ยังคงอดทนอดกลั้นจากการใช้มันในปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร

อย่างไรก็ตาม รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า สหรัฐฯ เคยกล่าวหารัสเซียใช้กระสุนคลัสเตอร์ในยูเครน และบอกว่าระเบิดลูกปรายของมอสโกมีอัตราการด้านสูงสุดถึง 40% ส่งผลให้สมรภูมิรบเต็มไปด้วยลูกระเบิดขนาดเล็กที่ไม่ทำงาน ขณะที่วอชิงตัน กล่าวอ้างว่าระเบิดคลัสเตอร์ของพวกเขาที่กำลังส่งมอบแก่ยูเครนนั้น มีอัตราการกระสุนด้านไม่เกิน 2.35%

ชอยกู ระบุในวันอังคาร (11 ก.ค.) ว่า "ในกรณีที่สหรัฐฯ จัดหากระสุนคลัสเตอร์ให้ยูเครน ทางกองกำลังรัสเซียจะถูกบีบให้ใช้อาวุธแบบเดียวกันกับกองกำลังยูเครนเป็นการตอบโต้" เขากล่าว "พวกเขาควรจำไว้ว่า รัสเซียก็มีกระสุนคลัสเตอร์ในประจำการเช่นกัน และในทุก ๆ วาระ พวกมันมีประสิทธิภาพเหนือกว่าของอเมริกาเป็นอย่างมาก"

รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียบอกว่ากองทัพมอสโกกำลังใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องกำลังพลของพวกเขาจากอาวุธดังกล่าว

กลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอตช์ อ้างว่าทั้งมอสโกและเคียฟต่างก็เคยใช้กระสุนคลัสเตอร์ระหว่างความขัดแย้งในยูเครนที่ลากยาวมาเกือบ 17 เดือนแล้ว
.
รัสเซีย ยูเครน และสหรัฐฯ ต่างไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดลูกปราย (Convention on Cluster Munitions) ซึ่งห้ามใช้ จัดเก็บ ผลิตและขนย้ายกระสุนคลัสเตอร์โดยสิ้นเชิง และมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2010

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างว่าจำเป็นต้องอนุมัติคำขอของทางเคียฟ สำหรับกระสุนคลัสเตอร์ หลังจากเริ่มชัดเจนแล้วว่า ยูเครน ซึ่งเวลานี้กำลังปฏิบัติการโจมตีตอบโต้รัสเซีย กำลังขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทั่วไป และกำลังผลิตคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของยูเครน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นแม้ว่าบรรดาพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ อย่างสหราชอาณาจักร แคนาดา และเยอรมนี แสดงจุดยืนคัดค้านการใช้กระสุนคลัสเตอร์

ในด้านสถานการณ์การสู้รบ ชอยกู แสดงความคิดเห็นว่า รัสเซียกำลังลดศักยภาพการโจมตีตอบโต้ของยูเครนลงอย่างมาก และกองกำลังรัสเซียสามารถรุกคืบในภาคสนามระหว่างปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของตนเองเช่นกัน ในทิศทางเมืองลีมัน ในแคว้นโดเนตส์ก ทางภาคตะวันออกของยูเครน

‘BVLGARI’ เกือบโดนแบน หลังเอ่ย ‘ไต้หวัน’ แยกออกมาจากประเทศจีน  ล่าสุดรีบออกมาขอโทษ พร้อมแจงเหตุ ‘พนง.กรอกข้อมูลผิด’

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 66) งานนี้แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับเจ้าดังของโลกอย่าง ‘BVLGARI’ ส่อจุดกระแสโดนแบนจากชาวจีนอีกหนึ่ง ด้วยเหตุที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความอ่อนไหว จีน-ไต้หวัน

วันนี้กลายเป็นกระแสเดือดอย่างหนักในโลกออนไลน์จีน เมื่อมีข่าวนำเสนอว่า ในหน้าร้านค้าออนไลน์ของ ‘BVLGARI’ ได้มีการบอกสาขาของช็อป ‘BVLGARI’ ในประเทศต่างๆ อาทิเช่น ประเทศไทย เวียดนาม ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์

และที่จุดประเด็นความไม่พอใจคือ ทางหน้าเพจร้านค้าออนไลน์ ได้เขียนว่ามีสาขาที่ เขตปกครองพิเศษประเทศจีนมาเก๊า (中国澳门特别行政区) และ เขตปกครองพิเศษประเทศจีนฮ่องกง (中国香港特别行政区)

แต่เมื่อไล่มาถึง ‘ไต้หวัน’ กลับเขียนสั้นๆว่า ‘ไต้หวัน’ (台湾) ไม่มีการใส่คำว่าประเทศจีนไต้หวัน ซึ่งนี่เองทำให้คนจีนจำนวนมากต่างไม่พอใจ เรียกว่าเดือดเลยทีเดียว ที่ทาง ‘BVLGARI’ จงใจจะแยกไต้หวันออกมาเป็นประเทศ ประเทศหนึ่ง

กระแสความไม่พอใจหนักถึงขนาดที่ว่าชาวโซเชียลจีนต่างเรียกร้องให้ทางแบรนด์ออกมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น หากไม่อย่างนั้นพวกตน จะขอแบนออกไปจากประเทศจีน ความคิดเห็นส่วนใหญ่ต่างพูดว่า ไม่อยากทำมาค้าขายที่จีนแล้วใช่ไหม รอดูได้เลย จบไม่สวยแน่ ๆ งานนี้ และมีอีกหลายเสียงออกมาร่วมประกาศจุดยืน ประเทศจีนมีเพียง 1 เดียว และออกมาขับไล่ ‘BVLGARI’ ออกจากประเทศจีน

ล่าสุด ‘BVLGARI’ ออกมาขอโทษแล้วค่ะ โดยกล่าวว่า ทางแบรนด์ได้ให้ความเคารพต่อหลักอธิปไตยและบูรณภาพของประเทศจีน และต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่งต่อความผิดพลาด ที่ฝ่ายดูแลร้านค้าออนไลน์ลงข้อมูลระบุประเทศผิด และได้รีบดำเนินการติดต่อผู้เกี่ยวข้องให้แก้ไขแล้ว

‘ตุรกี’ ไฟเขียว!! เปิดทางให้ ‘สวีเดน’ ร่วมเป็นสมาชิกใหม่นาโต พร้อมเร่งหารือกรณี ‘ยูเครน’ ขอร่วมพันธมิตรท่ามกลางภาวะสงคราม

(11 ก.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายเรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน ประธานาธิบดีตุรกียินยอมที่จะส่งเรื่องการขอเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ของสวีเดนเข้าสู่รัฐสภาตุรกีให้เร็วที่สุด ถือเป็นการสิ้นสุดประเด็นขัดแย้งที่สร้างความตึงเครียดให้กับนาโตนานหลายเดือน ขณะที่การสู้รบในประเทศยูเครนยังคงดำเนินต่อไป

ทั้งประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ได้ยื่นขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตเมื่อปีที่แล้ว เพื่อตอบสนองต่อการที่รัสเซียนำกำลังทหารเข้ารุกรานยูเครนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว แม้ฟินแลนด์ได้รับการอนุมัติให้เข้าเป็นสมาชิกของนาโตเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ทั้งประเทศตุรกีและฮังการียังคงขัดขวางการขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดน ซึ่งทางสวีเดนเองก็กำลังเดินหน้าเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตในการประชุมผู้นำชาติสมาชิกที่จัดขึ้นที่กรุงวิลนีอุส เมืองหลวงของประเทศลิทัวเนีย ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม

นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตกล่าวในการแถลงข่าวว่า “ผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า ประธานาธิบดีแอร์โดอานได้เห็นพ้องที่จะยื่นพิธีสารการเข้าเป็นสมาชิกของสวีเดนไปยังสมัชชาแห่งชาติให้เร็วที่สุด และทำงานกับสมัชชาแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อรับรองการให้สัตยาบัน”

ประธานาธิบดีแอร์โดอานของตุรกีและนายอุล์ฟ คริสเตอซ็อน นายกรัฐมนตรีสวีเดนมีการหารือกันนานหลายชั่วโมงก่อนหน้าการประชุมผู้นำนาโตเพื่อหวังที่จะฝ่าทางตันในประเด็นดังกล่าวระหว่างทั้งสองชาติ หลังก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีแอร์โดอานของตุรกีกล่าวหาว่าสวีเดนไม่ได้พยายามมากพอที่จะจัดการกับสมาชิกพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (พีเคเค) ที่ตุรกี สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐฯ จัดให้เป็นองค์กรก่อการร้าย

นายกรัฐมนตรีคริสเตอซ็อนของสวีเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “นี่คือวันที่ดีสำหรับสวีเดน” แถลงการณ์ร่วมที่ออกโดยทั้งสวีเดนและตุรกีระบุว่า สวีเดนได้เน้นย้ำว่าจะไม่สนับสนุนกลุ่มชาวเคิร์ดและจะสนับสนุนความพยายามในการเข้าเป็นสมาชิกอียูของตุรกี ขณะที่แอร์โดอานกล่าวว่า “อียูควรที่จะเปิดทางให้กับการขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกอียูของตุรกี ก่อนที่รัฐสภาตุรกีจะอนุมัติการขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดน”

ก่อนหน้านี้ เสนาธิการของนายวิกเตอร์ ออร์บัน นายกรัฐมนตรีฮังการีได้กล่าวเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่าจะไม่ขัดขวางการให้สัตยาบันขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดนอีกต่อไป ทำให้การยินยอมของตุรกีจะเป็นการกำจัดอุปสรรคสุดท้ายในการเข้าร่วมนาโตของสวีเดน

นอกจากประเด็นเรื่องสวีเดนแล้ว บรรดาผู้นำของชาติสมาชิกนาโตเตรียมที่จะมีการหารือกันในการประชุมผู้นำที่กรุงวิลนีอุส เพื่อหวังที่จะก้าวข้ามความแบ่งแยกในเรื่องการที่ประเทศยูเครนขอเข้าเป็นสมาชิกของนาโตเช่นกัน โดยในการประชุมดังกล่าวจะมีการพูดคุยกันถึงผลสะท้อนของการที่รัสเซียส่งกองทัพเข้ารุกรานยูเครน โดยบรรดาผู้นำชาติสมาชิกเตรียมที่จะอนุมัติแผนครอบคลุมที่ระบุว่า ชาติสมาชิกนาโตจะตอบสนองต่อการโจมตีของรัสเซียอย่างไร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นาโตมีการร่างแผนในลักษณะดังกล่าวขึ้นมานับตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามเย็น

ถึงแม้ว่าสมาชิกนาโตหลายคนเห็นพ้องกันว่า ยูเครนจะยังไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของนาโตได้ ขณะที่ยังมีสงครามกับรัสเซีย แต่พวกเขายังคงเสียงแตกว่ายูเครนจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกนาโตได้เร็วที่สุด เมื่อใดหลังสิ้นสุดสงครามและภายใต้เงื่อนไขใด ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย ได้กดดันให้นาโตกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนในแถลงการณ์ของที่ประชุม เพื่อที่ยูเครนจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกนาโตได้หลังสิ้นสุดสงครามกับรัสเซีย

บรรดานักการทูตระบุว่า การยืนยันว่ายูเครนมีตำแหน่งอันชอบธรรมในนาโต และจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกทันทีเมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ เอื้อต่อการเข้าเป็นสมาชิก จะเป็นหนึ่งในข้อความที่จะมีการพูดคุยกันสำหรับแถลงการณ์ของที่ประชุม นอกจากนั้นแล้ว การเจรจาต่าง ๆ จะให้ความสำคัญไปที่เงื่อนไขการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน และจะติดตามขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวอย่างไร

การเผชิญหน้า 'จลาจล-ประท้วง-เสรีภาพ' ของผู้นำหนุ่ม ในยุค 'วิกฤติเศรษฐกิจ-โซเชียลกำหนดวิธีคิด' ให้ผู้คนลุกฮือ

ไม่นานมานี้ YouTube ช่อง 'Kim Property Live' ได้โพสต์คลิป เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ การประท้วง การจลาจล ในประเทศฝรั่งเศส โดยได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ...

วันนี้จะมาชวนคุยเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส การประท้วง การจลาจล การต่อต้านและความไม่สงบ ภายใต้บริบทของประเทศคิดที่มีความหลากหลาย และสร้างสรรค์ รวมทั้งเป็นเจ้าของแบรนด์หรู ต่างๆ มากมาย ซึ่งวันนี้ต้องเผชิญความท้าทายจากอำนาจของประชาชนภายใต้อิทธิพลสื่อที่ผู้นำหนุ่มแห่งฝรั่งเศสกำลังปวดหัว

โดยเราต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับรากเหง้าและวัฒนธรรมการประท้วงของฝรั่งเศสกันก่อน ประเทศของเขามีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปีค.ศ 1789 ซึ่งเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศส และนี่ก็คือเอกลักษณ์ของทางประเทศฝรั่งเศส ที่เกี่ยวกับ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ประเทศฝรั่งเศสมีการนัดกันหยุดงานและประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพลักษณ์ของประชากรในฝรั่งเศสเป็นคนที่ดูเข้มแข็ง และกล้าท้าทายต่ออำนาจ คนในฝรั่งเศสนั้นมีความรู้ มีการศึกษาค่อนข้างดี และก็ยังมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เยอะอีกด้วย อีกทั้งทางด้านสหภาพแรงงานก็เข้มแข็ง ทำให้เกิดการประท้วง ทั้งในฝั่งของคนทำงานและบริษัท จึงทำให้เราเห็นภาพที่วุ่นวาย

อย่างไรก็ตาม ประเทศฝรั่งเศสนั้น ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีสินค้าแบรนด์ดัง แบรนด์หรูที่โด่งดังไปทั่วโลกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หลุยส์วิตตอง Hermes Chanel ยิปแซง Peugeot ยางมิชลิน ห้างคาร์ฟูร์ เครื่องสำอางลอรีอัล Ibis axa แต่ก็แทบจะไร้ค่า เมื่อเทียบกับพลังของผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีคิดแห่งเสรีภาพค้ำชู

กลับมาพูดกัน ในปัจจุบันของฝรั่งเศส มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหตุการณ์มันลุกลามกันมาตั้งแต่ เหตุการณ์เสื้อกั๊กเหลือง ที่คนประท้วงกันในเรื่องของนโยบาย โลกร้อน ขึ้นภาษีน้ำมัน ประชาชนไม่พอใจรัฐบาล ที่นโยบายเอื้อไปทางคนที่ร่ำรวย เพราะว่าประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง มาจากสายของการเงินธุรกิจ 

นอกจากนี้ตัวเขาก็ยังมีแนวคิดที่จะเลื่อนการเกษียณออกไปอีก 2 ปี เนื่องด้วยระบบบำนาญของฝรั่งเศส ดูแลประชาชนไม่ไหวแล้วประชาชนเริ่มที่จะแก่มากขึ้น เงินที่เข้ามาก็น้อย ดอกเบี้ยก็ต่ำ พอยืดเวลาเกษียณออกไปก็ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ เกิดการหยุดทำงานการประท้วงไปทั่วฝรั่งเศส (สำหรับคนไทยนั้นอาจจะตกใจแต่สำหรับคนฝรั่งเศสการ Strike หยุดงานการเดินขบวนการประท้วงนั้น เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว)

ทว่า เหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่มความร้อนแรงให้กับประเทศฝรั่งเศส ทั้งในเรื่องของการเมืองและเรื่องของสังคมนั่นก็คือ การที่ตำรวจท่านหนึ่ง ทำการวิสามัญวัยรุ่นอายุ 17 ปี ซึ่งน้องคนนี้ก็ได้มาจากแอฟริกาเหนือ (ก็ต้องบอกว่าในประเทศฝรั่งเศสนั้นมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติที่เยอะ มีผู้ที่อพยพเข้าเมืองมาเยอะ และถ้าดูจากแผนที่แล้วประเทศฝรั่งเศสนั้นจะอยู่ทางตอนบนของประเทศซีเรีย ตะวันออกกลาง) 

ฉะนั้นเมื่อมีผู้อพยพเข้ามากันเยอะ เพื่ออาศัยลี้ภัยสงคราม เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติก็เริ่มมีการก่อตัวให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้อพยพนั้นก็เติบโตขึ้นมากเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้ประชาชนเริ่มไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) พอมีเหตุการณ์การวิสามัญของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา จึงทำให้เกิดความไม่พอใจเกิดขึ้น ทำให้ความรุนแรงปะทุขึ้นมา มีคนยิงพลุใส่ตำรวจ เผารถยนต์ของตำรวจ โดยล่าสุดมีการจับกุมผู้ประท้วงไปแล้ว ประมาณ 1,100 คนจากทั่วประเทศ และปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 40,000 คนได้เข้าควบคุมสถานการณ์ 

แน่นอนว่า การประท้วงในครั้งนี้ ได้ท้าทายอำนาจของประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ซึ่งก็ได้มีการเรียกประชุมฉุกเฉินและมีการขอให้ผู้ปกครองนั้นดูแลบุตรหลานให้ดี ให้อยู่กันแต่ในบ้าน ซึ่งทางฝ่ายค้าน ก็ได้ใส่ประธานาธิบดีมาครงทันทีว่าอ่อนแอ ควบคุมกฎหมายไม่ดีรักษาความสงบเรียบร้อยไว้ไม่ได้

ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็ปวดหัวพอสมควร ปัญหาเก่าก็มีสะสมมาเยอะอยู่แล้ว ทั้งปัญหาเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นไปถึง 6% ตอนนี้ก็ได้ลงมาอยู่ราวๆ 5% แล้ว ส่วนตัวเลข GDP นั้นถึงแม้จะไม่ติดลบแต่ก็ถือว่าแทบจะไม่โตเลย ตัวเลขอยู่ที่ 0.9% เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูง ประชาชนก็ย่อมจะมีความกดดันสูงอยู่แล้วและเมื่อมีเหตุการณ์ปะทุขึ้นมาอีก จุดเดือดนี้ ก็ได้แพร่ขยายออกไปได้ง่าย 

อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของท่านประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็ได้มี Action ต่างๆ เพื่อจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องรายได้ ค่าครองชีพ ได้มีการเชิญชวนนักธุรกิจทั่วโลกให้มาตั้งโรงงานที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะถ้าโรงงานการผลิตอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ก็จะเกิดการจ้างงานทำให้คนฝรั่งเศสนั้นมีงานทำเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งประธานาธิบดีมาครง ก็เคยจีบอีลอนมัสก์ ให้มาสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในประเทศฝรั่งเศส 

ขณะเดียวกัน ก็เคยชวนเจ้าสัวซีพีของไทยไปเปิดโรงงานที่ฝรั่งเศส เพราะนโยบายหลักของประธานาธิบดีมาครงนั้น เน้นไปที่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นนโยบายหลักของประเทศในทวีปยุโรปอยู่แล้วที่จะเน้นในเรื่องนี้ เขาไม่อยากจะซื้อพลังงานจากทางด้านประเทศรัสเซีย แต่การขึ้นภาษีดีเซลนั้นก็ยังติดขัดกับพวกเสื้อกั๊กเหลืองอยู่ คนฝรั่งเศสไม่เอาด้วย เพราะว่ามองว่าเป็นการรังแกคนที่จน คนทางภาคเกษตรกรรมนั้นใช้พลังงานดีเซลที่เยอะ แล้วต่อมาเหตุการณ์จลาจลในประเทศฝรั่งเศสนั้นก็ได้ลุกลามไปยังประเทศเบลเยียม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เกิดการปล้นในเมืองโลซาน โดยยึดประเทศฝรั่งเศสเหมือนโมเดลในการประท้วงการเรียกร้องประชาธิปไตย ประชาชนในหลายประเทศดูฝรั่งเศสเป็นตัวอย่าง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการประท้วงการจลาจลแบบนี้ มันก็ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจที่เปิดอยู่ก็ต้องปิดตัวลงไป จะทำการค้าการขายกันก็ไม่ได้ ทำให้เกิดการสูญเสีย ประมาณ 1 billion Euro หรือว่าประมาณ 1,000 ล้านยูโร ซึ่งก็คล้ายคลึงกับบ้านเราถ้าเกิดการประท้วงปิดห้างกันการค้าการขายระบบเศรษฐกิจของบ้านเราก็เสียหาย นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวเพราะว่าคนไม่กล้ามาท่องเที่ยวกัน ทำให้เกิดการกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของฝรั่งเศสมากขึ้นไปอีก เพราะฝรั่งเศสนั้นก็เป็นประเทศที่เน้นการท่องเที่ยว ของที่เป็นแบรนด์เนมของที่เป็นแฟชันสัญลักษณ์ของความหรูหรา จนรัฐบาลของฝรั่งเศสจะต้องมาการันตีให้ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

ถึงตรงนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ฝรั่งเศส เป็นประเทศที่มีแนวคิดทางด้านการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน มีความเข้มแข็งของประชาชน มีความเข้มแข็งของสหภาพ การมีส่วนร่วมทางการเมืองค่อนข้างสูง แต่อีกด้านหนึ่งก็มักทำให้เกิดการประท้วงการจลาจล ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงหลัง Social Media ก็มีผลอย่างมากต่อการนำมาซึ่งความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อนที่เดินขบวนกันแบบสันติ แต่ปัจจุบันก็ได้ รุนแรง จนเกินต้านจากการปลุกปั่นในออนไลน์

‘ผู้นำกบฏวากเนอร์’ เข้าพบ ‘ประธานาธิบปูติน’ หลังก่อกบฏ พร้อมกล่าวสาบาน จะขอจงรักภักดีต่อรัฐบาลรัสเซีย

(11 ก.ค. 66) นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำผู้นำกลุ่มกบฏวากเนอร์ได้เข้าพบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เพียง 5 วันหลังจากก่อเหตุกบฏที่กินเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง โดยนายพริโกซินได้ประกาศความจงรักภักดีต่อรัฐบาลรัสเซียในขณะเข้าพบปูตินอีกด้วย

นายดิมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวว่า การพบกันของปูตินและพริโกซินเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง และไม่ได้มีเพียงแค่ตัวของนายพริโกซินเท่านั้น แต่ยังมีผู้บัญชาการจากกลุ่มวากเนอร์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของพริโกซินด้วย

เปสคอฟกล่าวว่า ผู้บัญชาการของวากเนอร์ได้พูดถึงมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเน้นย้ำว่าพวกเขาถือเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขัน และเป็นทหารของประมุขแห่งรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยพวกเขาพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อมาตุภูมิต่อไป

ทั้งนี้ การยืนยันว่าปูตินได้พบกับนายพริโกซินซึ่งเป็นผู้นำทัพวากเนอร์ บุกไปยังกรุงมอสโกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีกลาโหมถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา

พริโกซินไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการหารือที่เกิดขึ้น และขณะนี้ชะตากรรมของเขาก็ยังไม่ชัดเจน โดยการประกาศดังกล่าวทำให้เห็นว่า มีการเจรจาเบื้องหลังอยู่มากมายในที่ลับ และพริโกซินยังคงถูกดำเนินคดีในความผิดทางการเงินหรือข้อหาอื่น ๆ ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top