Monday, 16 June 2025
WORLD

‘X’ สั่งลบบัญชี ‘เครือข่ายฮามาส’ นับร้อย หลังก่อเหตุโจมตีอิสราเอล ตอบรับข้อเรียกร้อง EU ขอให้จัดการเนื้อหาเท็จออกจากแพลตฟอร์ม

(12 ต.ค.66) นางลินดา ยัคคารีโน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเอ็กซ์ (X) หรือทวิตเตอร์ ระบุในวันนี้ว่า เอ็กซ์ได้ทำการลบบัญชีเครือข่ายกลุ่มฮามาสชาวปาเลสไตน์หลายร้อยบัญชี และได้ดำเนินการเพื่อลบหรือติดตราคอนเทนต์หลายหมื่นชิ้นนับตั้งแต่เกิดเหตุโจมตีอิสราเอลเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ซึ่งก่อนหน้านี้ นายเธียร์รี เบรตง คณะกรรมาธิการยุโรปด้านตลาดภายในภูมิภาค ได้ส่งจดหมายถึงนายอีลอน มัสก์ ประธานบริษัทเอ็กซ์เพื่อเรียกร้องให้ลบข้อมูลที่บิดเบือนต่าง ๆ ออกจากแพลตฟอร์มในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส 

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ วิเคราะห์!! ‘อิสราเอล-ฮามาส’ เนื้อเรื่องต่อจากนี้เข้มข้น ต่างฝ่ายต่างมีแรงหนุน

(12 ต.ค.66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Nantiwat Samart’ ระบุว่า... 

จบยังไง 

การโจมตีอิสราเอลของฮามาสจบ ?
ฮามาสหมดของเล่นแล้วหรือยัง
จรวดยังมีเหลืออีกหรือไม่
จะมีประเทศใดร่วมมือกับฮามาสไหม
มีแต่คำถาม มีแต่ความสงสัย

ความเคลื่อนไหวสำคัญของอิสราเอล
คือ การจัดตั้งรัฐบาลในภาวะฉุกเฉิน

ร่วมกับฝ่ายค้านตั้งคณะรัฐมนตรีสงคราม
ไม่มีฝ่ายค้าน ร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว
ใช้มติ ครม.ในการทำงาน เพื่อความฉับไว
รับมือกับสงครามการก่อการร้าย
ไม่ต้องออกกฎหมาย
อิสราเอลเรียกระดมพลทหารกองหนุน
เพิ่มเป็นสามแสนคนจากเดิมเพียงหนึ่งแสน
เตรียมรับมือกับสงครามใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้น
สั่งขายเงินตราต่างประเทศสามหมื่นล้านเหรียญ
และสำรองไว้อีกหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
เพื่อเตรียมความพร้อมทำสงคราม

อเมริกาและตะวันตกประกาศเข้าข้างอิสราเอล
ส่วนประเทศอิสลามประกาศสนับสนุนฮามาส

จะมีใครช่วยรบตีขนาบอิสราเอลหรือไม่
มีการยิงปืนใหญ่ออกมาจากซีเรีย เลบานอน
นี่คือการสะกิดสะเกา ไม่ได้สร้างความบอบช้ำ
อิสราเอลตีโต้กลับรุนแรงมากกว่าหลายเท่า

การชุมนุมของมุสลิมทั่วโลกออกมาสนับสนุนฮามาส
สร้างแรงกดดันให้รัฐบาลเข้าร่วมกับฮามาสหรือไม่
หรือเพียงสะท้อนความไม่พอใจ

ที่น่าสนใจคือการพบกันของปูตินกับสีจื้นผิง
และผู้นำอาหรับกับปูติน
จะมีอะไรมากกว่าคุยประเมินสถานการณ์เฉยๆ
หรือจะมีอะไรมากกว่านั้น ?

ตอนนี้ก็มีแต่ข่าวลือ
กลุ่มฮิสบอเราะห์และกองกำลังวากเนอร์
เตรียมเข้าร่วมรบกับฮามาส

ที่สำคัญคือชีวิตของตัวประกันที่ถูกจับไป มีคนไทยรวมอยู่ด้วยสิบกว่าคน
ต้องปลอดภัยและได้รับการปล่อยตัว
ฮามาสขู่ว่า หากอิสราเอลโจมตีทางอากาศ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
ทุกการโจมตีจะสังหารตัวประกันหนึ่งคน

อิสราเอลขอให้อียิปต์เป็นตัวกลาง
ในการเจรจาให้ปล่อยตัวประกัน
ในอดีตชีวิตตัวประกันชาวยิวหนึ่งคน
ต้องแลกด้วยนักโทษฮามาสถึงพันคน
ครั้งนี้ การปล่อยตัวต้องแลกด้วยอะไร
ยังไม่มีคำตอบ

จบเถอะ อย่าให้ยืดเยื้อ
เซเลนสกีเรียกร้อง อย่าลืมยูเครน 

‘จีน’ เผย ‘การค้าส่านซี-กลุ่มประเทศ BRI’ ดีด!! โต 4 เท่าใน 10 ปี มีมูลค่ากว่า 5.6 แสนล้านบาท

(12 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสำนักงานสารสนเทศประจำรัฐบาลมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ที่ระบุว่า การค้าระหว่างส่านซีกับกลุ่มหุ้นส่วนตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) เพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ปริมาณการค้าระหว่างส่านซีและกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 18.4 ต่อปี โดยการนำเข้าและส่งออกของส่านซีกับกลุ่มประเทศดังกล่าวพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ราว 1.13 แสนล้านหยวน (ราว 5.64 แสนล้านบาท) ในปี 2022 เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 เมื่อเทียบปีต่อปี

ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของส่านซีในกลุ่มหุ้นส่วนตามแผนริเริ่มฯ ระหว่างปี 2013-2022 มีตัวเลขรวมอยู่ที่ 1.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.53 หมื่นล้านบาท) และมูลค่าการซื้อขายทางธุรกิจของโครงการตามสัญญาที่เสร็จสมบูรณ์ในกลุ่มประเทศดังกล่าวอยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.95 แสนล้านบาท)

อนึ่ง ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี การเปิดบริการรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป (ซีอัน) ซึ่งปัจจุบันมีการเดินรถมากกว่า 20,000 เที่ยวแล้ว ครอบคลุม 45 ประเทศและภูมิภาคในยูเรเซีย และให้บริการแก่ผู้ประกอบการมากกว่า 16,500 ราย

สำนักงานฯ ระบุว่ามีการเดินรถไฟสินค้าข้างต้นเพื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนในปี 2022 จำนวน 198 เที่ยว ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.9 เมื่อเทียบปีต่อปี

‘นาซา’ พบ 'คาร์บอน-น้ำ' จากตัวอย่างดาวเบนนู ข้อบ่งชี้ ‘ต้นกำเนิด-รากฐาน’ สิ่งมีชีวิตบนโลก 

(12 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า เมื่อวันพุธที่ 11 ต.ค.66 องค์การนาซาได้แสดงผลการศึกษาเบื้องต้นของตัวอย่างดาวเคราะห์น้อยเบนนู (Bennu) อายุ 4.5 พันล้านปี ซึ่งนาซาเก็บรวบรวมมาจากอวกาศและนำกลับสู่โลก ได้เปิดเผยปริมาณคาร์บอนสูง และน้ำที่อยู่ในตัวอย่างดังกล่าว ซึ่งองค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้อาจบ่งชี้ว่ารากฐานของสิ่งมีชีวิตบนโลก มาจากตัวอย่างเหล่านี้

ดังนั้น จึงถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากมีทฤษฎีว่า ดาวเคราะห์น้อยที่อุดมไปด้วยคาร์บอนกับน้ำลักษณะเดียวกับ เบนนู อาจเป็นสิ่งที่นำองค์ประกอบสำคัญมายังโลกวัยเยาว์เมื่อ 4.5 พันล้านปีก่อน โดยมันอาจเป็นสาเหตุที่โลกได้รับน้ำในมหาสมุทร รวมถึงองค์ประกอบบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการกระตุ้นกระบวนการสร้างชีวิต

อนึ่ง ยานอวกาศโอไซริส-เร็กซ์ (OSIRIS-Rex) ของนาซา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจเก็บตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อยครั้งแรกของสหรัฐฯ กลับถึงโลกพร้อมตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู (Bennu) เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา

โดยบิล เนลสัน ผู้บริหารของนาซา กล่าวว่าตัวอย่างจากภารกิจโอไซริส-เร็กซ์ เป็นตัวอย่างดาวเคราะห์น้อยซึ่งอุดมด้วยคาร์บอนขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยถูกส่งกลับมายังโลก ซึ่งจะช่วยให้คณะนักวิทยาศาสตร์สืบค้นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกเพื่อคนรุ่นต่อไป

“เกือบทุกสิ่งอย่างที่พวกเขาทำที่นาซาเป็นการหาคำตอบของคำถามที่ว่าพวกเราเป็นใครและพวกเรามาจากไหน ซึ่งภารกิจของนาซาอย่างภารกิจโอไซริส-เร็กซ์ จะช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยที่อาจเป็นภัยคุกคามโลก ทั้งยังช่วยเปิดเปลือยถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยตัวอย่างนี้ได้ถูกส่งกลับมายังโลกแล้ว ทว่ายังมีวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่รอคอยการค้นพบ วิทยาศาสตร์ที่พวกเราไม่เคยพบเห็นมาก่อน” เนลสัน ทิ้งท้าย

'ฮามาส' บุก 'อิสราเอล' ยุทธการของ 'เบี้ยสละทิ้ง' แบบหน่วยกล้าตาย  ภายใต้ 'สงครามใหญ่' ระหว่างค่ายตะวันตกกับค่ายตะวันออก

(12 ต.ค. 66) นายวรพจน์ ตั้งพันธุ์เพียร ได้เผยแพร่บทความในหัวข้อ 'เมื่อฮามาสบุกอิสราเอล แบบ Suicide mission' (ภารกิจฆ่าตัวตาย) ระบุว่า...

เกือบทศวรรษที่ไม่มีข่าวกองกำลังฮามาสสู้รบกับอิสราเอลเต็มรูปแบบ จนโลกทั้งโลกแทบจะลืมปัญหา ปาเลสไตน์-อิสราเอล กันไปแล้ว แม้แต่โลกอิสลามเอง ก็ยังมีบางส่วนหันไปญาติดี เริ่มเปิดความสัมพันธ์กับอิสราเอล อย่างบาร์เรน สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ซาอุฯ

นั่นจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ฮามาส ในฐานะตัวแทนของปาเลสไตน์ จะรู้สึกว่าถูกโลกอิสลามทอดทิ้งให้ไร้อนาคต โดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ 5 ล้านคนต้องอยู่กับการปิดล้อมในพื้นที่เล็กๆ อย่าง กาซา และเวสต์แบงค์ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นผู้อยู่อาศัยมาก่อนที่อิสราเอลจะเข้ามาแทนที่ และทำการขับไล่ รวมทั้งตีกรอบ จนพวกเขาไม่มีความหวังที่จะได้ตั้งประเทศปาเลสไตน์อย่างที่เคยมีข้อตกลงกันไว้ที่ แคมป์เดวิด สหรัฐฯ (ในขณะที่ชาวอิสราเอลมีจำนวน 7 ล้านคน คุมพื้นที่กว่า 80% และยังมีท่าทีจะรุกคืบเพิ่มเรื่อยๆ)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮามาสก็ย่อมรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป และได้ดำเนินการบุกอิสราเอล ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ Al-Aqsa Flood โดยเลือกเอาวันสำคัญทางศาสนายิว ซิมหัต โทราห์ (Simchat Torah) ในการยิงขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกจากกาซาไปยังอิสราเอล ในวันเดียว และส่งนักรบข้ามแดนไปด้วยการขุดดิน บินข้ามกำแพง รวมทั้งทางน้ำ เพื่อทำการยิงสังหารแบบไม่เลือกเป้าหมาย และจับตัวประกันกลับเข้าไปในกาซา (ล่าสุดอิสราเอลตายเกือบพันคน และส่งเครื่องบินเข้ายิงถล่มกาซา จนประเมินว่ามีปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 500 คน)

ปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้โลกตะลึง และทำให้อิสราเอลเสียศูนย์ เพราะหน่วยสืบราชการลับมอสสาด ที่ว่าข่าวกรองดีที่สุดในโลกไม่ได้ระแคะระคายมาก่อนเลย - อียิปต์ได้เตือนอิสราเอลแล้วว่าอาจมีเหตุรุนแรง แต่อิสราเอลไม่คิดว่าจะเกิดในช่วงวันสำคัญทางศาสนา เพราะฮามาสไม่เคยบุกในวันสำคัญเลย รวมทั้งที่ผ่านก็เชื่อมั่นว่า นโยบายให้ชาวปาเลสไตน์เข้ามาทำงานและได้รับค่าจ้างสูงกว่าในกาซาสิบเท่า น่าจะช่วยให้ชาวปาเลสไตน์เลิกคิดเรื่องการทำสงคราม

ประเด็นก็คือ นายกฯ เนทันยาฮู ของอิสราเอลที่เป็นสายเหยี่ยวตกขอบ ได้ประกาศระดมกำลัง 3 แสนนายเพื่อจะเดินเท้าบุกเข้าเคลียร์กองกำลังฮามาสในกาซา โดยไม่เกรงใจบรรดาประเทศมุสลิมอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อโลกตะวันตกแถลงว่า อิสราเอลมีสิทธิ์ป้องกันตนเอง และพร้อมสนับสนุนอาวุธ ในขณะที่ประเทศอิสลามสายกลาง พยายามขอให้มีการหยุดยิง และเจรจา โดยเริ่มที่การแลกตัวประกันชาวอิสราเอลกับ นักโทษปาเลสไตน์ที่ถูกควบคุมตัวไว้นานแล้ว

ฮามาสเลือกที่จะบุกทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะโดนสวนกลับอย่างรุนแรง จนถึงขั้นล่มสลาย นั่นก็เพื่อส่งสัญญานไปยังโลกมุสลิมว่า การที่ UAE และซาอุในฐานะพี่ใหญ่โลกอิสลามไปจับมือกับอิสราเอล ถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ดังนั้น การบุกอิสราเอลเต็มรูปแบบ จะเป็นการวัดใจว่า ถ้ากาซาถูกอิสราเอลบุกกลับมาถล่มยับ บรรดาประเทศมุสลิมตะวันออกกลางจะยืนนิ่งเฉย ปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฐานะพี่น้องมุสลิมถูกกวาดล้างโดยอิสราเอลหรือไม่? หรือจะเข้ามาปกป้อง และกดดันอิสราเอล ให้มีการตั้งประเทศปาเลสไตน์อย่างจริงจังเสียที?

ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า ภารกิจฮามาสครั้งนี้ คือภารกิจฆ่าตัวตายโดยแท้

แม้การวัดใจโลกมุสลิมครั้งนี้ ถือเป็นการทุ่มสุดตัวของฮามาส แต่ก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า มุสลิมสายกลางจะตัดสินใจอย่างไร? เนื่องจาก ฮามาสถูกระบุว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่รัฐประเทศ รวมทั้งครั้งนี้มีพฤติกรรมบุกก่อน และสังหารแบบไม่เลือกเป้าหมาย แม้แต่อิหร่านที่เป็นแบ็คอัพใหญ่ให้ฮามาส ก็ยังอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่ออกมาประกาศชัดเจน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าก็ส่งเสบียงให้กับฮามาสมาโดยตลอด

ในกรณี โลกอิสลามสายกลางตัดสินใจนิ่งเฉย ปล่อยให้อิสราเอลถล่มกาซาตามอำเภอใจ ฮามาสก็จะถูกกวาดล้างอย่างหนักจนอาจไม่มีความสามารถในการตอบโต้ไปอีกนาน และอิสราเอลคงบุกเข้าเวสแบงค์ด้วยอีกที่ ในการนี้จะส่งผลให้มีการสอดส่องครับคุมดูแลชาวปาเลสไตน์ที่เข้มงวดมากกว่าเดิม และสงครามจะไม่น่ายืดเยื้อนาน แม้จะมีประเทศอิสลามสายแข็งให้การสนับสนุนฮามาสก็ตาม

แต่หากโลกอิสลามสายกลางตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอล และส่งความช่วยเหลือให้ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งก็มีท่าทีว่าจะขยายวงขึ้นทันที ขึ้นกับว่าจะมีประเทศมุสลิมใดช่วยเหลือปาเลสไตน์บ้าง หากหันมาช่วยกันหมดเหมือนสมัยสันนิบาตอาหรับ กับสงคราม 6 วัน อิสราเอลจะกลายเป็นแนวรบตะวันออกกลาง ลักษณะสงครามตัวแทน (Proxy War) ระหว่าง ตะวันตกที่ถือหางอิสราเอล กับ ตะวันออก (มุสลิม + จีน + รัสเซีย) ทันที

ซึ่งน่าจะยืดเยื้อไม่แพ้ สงครามยูเครน-รัสเซีย ที่เป็นสมรภูมิแนวรบในยุโรป ซึ่งจะยิ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกเข้าไปอีกขั้น เพราะรู้ๆ กันว่า ตะวันออกกลางคือแหล่งน้ำมันโลก ในขณะที่ยูเครนและรัสเซียเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ และปุ๋ยโลก

หากเกิดแบบกรณีหลัง คงได้เดือดร้อนทั้งโลกแน่นอน และถ้าเหตุการณ์บานปลาย ก็มีโอกาสที่จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไม่ยาก

ทั้งหมดนี้ มีเพียงสิ่งเดียวจะช่วยให้อุณหภูมิการเมืองโลกไม่เดือด นั่นคือการเปลี่ยนใจนายกฯ เนทันยาฮู ให้เลิกล้มแผนบุกกาซา และหันมาปัดฝุ่นข้อตกลงแคมป์เดวิด ที่จะตั้งประเทศปาเลสไตน์ และกำหนดเขตแดนระหว่างกันอย่างชัดเจน รวมทั้งยอมให้กองกำลัง UN เข้าไปควบคุมสันติภาพในกาซา และเวสแบงค์ ซึ่งดูแล้วคงเป็นเรื่องระดับปาฏิหารย์หากจะเกิดขึ้นได้

ในฐานะชาวโลก ก็คงต้องพยายามทำใจ และอยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองโลกให้ได้ และคงต้องนั่งลุ้นกันต่อไปว่า ฝ่ายตะวันตกจะเปิดแนวรบทะเลจีนใต้ ที่มีไต้หวันเป็นชนวน อีกแนวรบหรือไม่?

อาจจะเพราะหลังการล่มสลายของโซเวียต โลกเราสงบสุขมานานเกินไป จนทำให้ชาวโลกลืมไปว่าก่อนหน้านั้น เราก็มีความขัดแย้งระหว่างประเทศอยู่บ่อยๆ มีสงครามกันเนืองๆ ในภูมิภาคต่างๆ ไม่หยุดหย่อน

เพียงแต่ยุคนั้น แต่ละฝ่าย ยังไม่มีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ในมือกันมากมายขนาดทุกวันนี้เท่านั้นเอง

โลกนี้แม้จะใหญ่พอที่จะแบ่งปันให้มนุษยชาติทุกคน

แต่กลับใหญ่ไม่พอให้กับมนุษย์ที่โลภและบ้าอำนาจเพียงคนเดียว

ขณะที่ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เสริมมุมมองบทความดังกล่าวด้วย ว่า...

แนวโน้มคงเกิดเป็นกรณีหลัง และจะบานปลายเป็นสงครามใหญ่ค่อนข้างแน่ ... เพราะมันเป็นบทที่เขียนไว้แล้ว

ถ้าเราอ่านสถานการณ์สงครามฮามาส-อิสราเอลครั้งนี้ จากมุมมองของนักยุทธศาสตร์ เราจะรู้ทันทีว่าฝ่ายฮามาสจะต้องมี 'หมากตามหลัง' มาแน่นอน 

เพราะฮามาสเป็นแค่ 'เบี้ยสละทิ้ง' แบบหน่วยกล้าตาย ใน 'สงครามใหญ่' ระหว่างค่ายตะวันตก กับค่ายตะวันออกเท่านั้น

สายการบิน ‘MyAirline’ ประกาศหยุดบินกะทันหัน มีผลตั้งแต่วันนี้ หลังประสบปัญหาด้านการเงินอ่วม

(12 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสายการบินมายแอร์ไลน์ (MyAirline : Z9) ประกาศหยุดให้บริการทำการบินทุกเส้นทาง อ้างเหตุผลประสบปัญหาด้านการเงิน สายการบินได้เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘MyAirline’ โดยระบุว่า มายแอร์ไลน์ประกาศระงับการปฏิบัติการ

มายแอร์ไลน์รู้สึกเสียใจที่จะแจ้งให้ทราบถึงการระงับการปฏิบัติการบินชั่วคราว (Suspension) ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการประกาศอีกครั้ง การตัดสินใจที่ยากลำบากนี้ เกิดจากแรงกดดันด้านการเงินอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้ต้องยกเลิกการให้บริการระหว่างการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นและการเพิ่มทุนของสายการบิน

แถลงการณ์จากคณะกรรมการบริหารสายการบิน ระบุว่า สายการบินเสียใจอย่างที่สุด และขออภัยต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ เราเข้าใจถึงผลกระทบต่อผู้โดยสารผู้ภักดี พนักงานที่ทุ่มเทและพันธมิตรของสายการบิน เราได้ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อเสาะหาความร่วมมือต่าง ๆ และแนวทางการระดมทุนเพื่อเลี่ยงการหยุดทำการบินนี้ เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ข้อจำกัดด้านเวลาบีบบังคับให้เราต้องเลือกหยุดปฏิบัติการบิน

ทั้งนี้ เราเข้าใจถึงความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น และเรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนคุณผ่านสถานการณ์นี้ โปรดติดต่อเราที่ [email protected] และทีมสนับสนุนของเราจะพร้อมให้ความช่วยเหลือ

ในระหว่างนี้ เราขอแนะนำให้ผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ อย่ามุ่งหน้าไปสนามบิน และหาทางเลือกอื่นในการเดินทางไปยังจุดหมายของตน

คณะกรรมการ ผู้ถือหุ้น และพนักงาน MyAirline จะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อกลับมาดำเนินการโดยเร็วที่สุด แต่ในตอนนี้เรายังไม่สามารถกำหนดเวลาใด ๆ ได้

เราขออภัยอย่างจริงใจอีกครั้งสำหรับความไม่สะดวกและปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการหยุดปฏิบัติการบินนี้และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออัพเดตข้อมูลเมื่อมีความพร้อม”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2566 ประชาชาติธุรกิจเคยได้สัมภาษณ์นายเรเนอร์ เทียว เคง ฮอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของสายการบิน MyAirline (มายแอร์ไลน์) โดยครั้งนั้น ผู้บริหารรายนี้ให้ข้อมูลว่า สายการบินเกิดขึ้นในยุคโควิด-19 โดยสายการบินใช้โอกาสช่วงโควิด ‘ล็อกต้นทุน’ ในระยะยาว ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งรายอื่น

โดยสายการบินได้เริ่มทำการบินแรกเมื่อ 1 ธันวาคม 2565 และเริ่มทำการบินเส้นทางสู่ประเทศไทยเที่ยวบินแรกในวันที่ 28 มิถุนายน 2566 จากนั้นสายการบินได้ให้บริการเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองสู่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ในครั้งนั้นผู้บริหารมายแอร์ไลน์เคยให้สัมภาษณ์ว่า ตนมีแผนขยายเส้นทางบินสู่จุดบินอื่น ๆ ในไทย เช่น ภูเก็ต กระบี่ และเชียงใหม่ ภายในสิ้นปี 2566 นี้ จากนั้นเตรียมพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินสู่อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน และอินเดีย ส่วนในอนาคต 3-5 ปี อาจพิจารณาเปิดทำการบินเส้นทางอินเดียเพิ่มเตม เกาหลีใต้และออสเตรเลีย และที่สำคัญคือ เตรียมขยายฝูงบินเป็น 80 ลำ ในปี 2570 (ค.ศ. 2027)

เมื่อสอบถามว่า สายการบินในเอเชียต่างสั่งซื้อเครื่องบินจำนวนมหาศาล ไม่คิดว่าแนวทางดังกล่าวจะนำไปสู่ปัญหาอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ในภาคการบินหรือไม่ ผู้บริหารรายนี้ตอบว่า ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าซัพพลายเครื่องบินยังไม่มากจนเกินไป ภูมิภาคอาเซียนมีประชากรกว่า 600 ล้านคน หากรวมประเทศรอบ ๆ อาเซียน ประชากรย่อมมีมากกว่านั้น ภูมิภาคอาเซียนจึงยังมีโอกาสและมีศักยภาพในการขยายตัว

“เราไม่ได้มองแค่ตลาด 2-3 ประเทศ แต่เรามองไกลมากกว่านั้น ดังนั้น แผนการสั่งซื้อเครื่องบินดังกล่าว จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

สำหรับเรเนอร์ เทียว ‘เรเนอร์ เทียว’ เริ่มต้นจากการทำงานกับสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส (Malaysia Airlines) ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแผนกสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสาร จากนั้นได้ร่วมงานกับบริษัท Abacus Distribution Systems (Malaysia) Sdn Bhd ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแผนกการรับรองเอเย่นต์ที่สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ในระหว่างปี 2536-2547

ต่อมาในระหว่างปี 2547-2562 ‘เรเนอร์’ ได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกฝ่ายขายและการจัดจำหน่ายที่บริษัท AirAsia Group Berhad ก่อนที่จะร่วมงานกับสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ ในตำแหน่งที่ปรึกษาเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2562

'สส.หญิงอิสราเอล' เรียกร้องให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ถล่มฉนวน Gaza หวังให้กลายเป็น 'วันโลกาวินาศ' (Doomsday) ของชาวปาเลสไตน์

เฮลิคอปเตอร์ AH-64 Apache ของอิสราเอลโจมตีกลุ่ม Hamas ด้วยปืนใหญ่อัตโนมัติ และ ขีปนาวุธ Hellfire

Revital 'Tally' Gotliv ทนายความชาวอิสราเอลและสมาชิกสภา Knesset สังกัดพรรค Likud ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้เรียกร้องให้กองทัพอิสราเอลใช้อาวุธนิวเคลียร์ เพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่ม Hamas โดยได้ตีพิมพ์โพสต์หลายโพสต์ที่สนับสนุนการตอบโต้อย่างแข็งขันภายหลังเหตุโจมตีฉนวน Gaza อย่างไม่คาดคิดเมื่อวันเสาร์ด้วยน้ำมือของกลุ่ม Hamas ซึ่งเป็นองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวปาเลสไตน์ที่สหรัฐอเมริการะบุว่า 'เป็นองค์กรก่อการร้าย'

มีรายงานว่าชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1,600 คนถูกสังหารนับตั้งแต่กลุ่ม Hamas เปิดการโจมตี ตามรายงานของ Associated Press และอีกหลายพันคนได้รับบาดเจ็บ มีรายงานว่ากลุ่ม Hamas ได้จับตัวประกันไปจำนวนหนึ่งแล้วในขณะที่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

จรวด Jericho 3 (YA-4) ICBM ติดอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล

"จรวด Jericho! จรวด Jericho! การแจ้งเตือนเชิงยุทธศาสตร์ ก่อนที่จะพิจารณาการนำกองกำลังเข้าไป ใช้อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ! นี่คือความคิดเห็นของฉัน ขอให้พระเจ้ารักษาความแข็งแกร่งทั้งหมดของเราไว้" Gotliv เขียนบน X ซึ่งเดิมคือ Twitter เมื่อวันจันทร์ (เชื่อกันว่า จรวด Jericho 3 (YA-4) เป็น ICBM ติดอาวุธนิวเคลียร์ที่เข้าประจำการในกองทัพอิสราเอลในปี 2011)

ภายหลังชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวน Gaza พากันอพยพออกจากบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2023 นั้นทาง Revital 'Tally' Gotliv สมาชิกสภานิติบัญญัติหญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่งกลับเรียกร้องและสนับสนุนให้รัฐบาลของเธอใช้ 'อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ' เพื่อระเบิดทำลายล้างกลุ่ม Hamas โดยปราศจากความเมตตา ซึ่งมีอีกโพสต์หนึ่งของเธอกล่าวไว้ด้วยว่า....

"ฉันขอให้คุณทำทุกอย่างและใช้อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ (Doomsday) กับศัตรูของเราอย่างไม่กริ่งเกรงใดๆ" และเสริมว่ากองทัพอิสราเอล "ต้องใช้อาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ในคลังแสง" และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เธอยังคงกล่าวคำเรียกร้องต่อไปให้กองทัพอิสราเอลเร่งใช้อาวุธทำลายล้างสูงอีกด้วย

"มีเพียงการระเบิดที่เขย่าตะวันออกกลางเท่านั้นที่จะฟื้นฟูศักดิ์ศรี ความแข็งแกร่ง และความมั่นคงของประเทศนี้!" สส. Gotliv โพสต์และเผยต่ออีกว่า "ถึงเวลาจุมพิตวันโลกาวินาศแล้ว ใช้ขีปนาวุธอันทรงพลังที่ไร้ขีดจำกัดไปทำให้ย่านนั้นราบเรียบ บดขยี้ฉนวน Gaza...อย่างไร้ความเมตตา! ไร้ความปราณี"

ทั้งนี้ในโพสต์ต่อเนื่องของเธอ ยังเน้นย้ำให้รัฐบาลอิสราเอลในการตอบโต้กลุ่ม Hamas อย่างรวดเร็วที่ปฏิบัติการ "เยาะเย้ยและหยามเหยียด" ประเทศนี้

ดร. Nikolai Sokov

ด้าน ดร. Nikolai Sokov นักวิเคราะห์อาวุโสของศูนย์การลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธแห่งกรุงเวียนนา บอกกับ Newsweek ทางอีเมลว่า "การพูดโดยไม่คิด" เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์กลายเป็นเรื่องที่แพร่หลายและเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากสงครามในยูเครน และตอนนี้จากความรุนแรงในฉนวน Gaza

เขากล่าวว่ามีส่วนหนึ่งที่เข้าใจได้ เนื่องจากวิกฤตการณ์ด้านความมั่นคงที่ร้ายแรง การขาดความรู้เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ตำแหน่งทางการเมืองที่มองเห็นได้ และโดยทั่วไปผู้คนจำนวนมากขึ้นไตร่ตรองการใช้อาวุธดังกล่าวและผลกระทบในระดับโลก

"สำหรับอิสราเอล การพูดโดยไม่คิดเช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่า เนื่องจากอิสราเอลไม่ยอมรับว่า ตนเองมีอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นการพูดโดยไม่คิดเช่นนี้จึงเป็นการยืนยันทางอ้อมและไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของอิสราเอลเอง" ดร. Sokov กล่าว

บางส่วนของความเสียหายในฉนวน Gaza

ดร. Sokov กล่าวเสริมว่า การเรียกร้องของ สส. Gotliv สำหรับมาตรการยกระดับนั้น เป็นเรื่องที่ไร้วิสัยทัศน์ ด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก เป้าหมายที่เป็นไปได้ใดๆ อยู่ในบริเวณใกล้เคียงย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นความเสียหายต่ออิสราเอลจึงมีความสำคัญมาก และประการที่สอง ประโยชน์ใช้สอยทางการทหารของอาวุธนิวเคลียร์มักถูกประเมินสูงเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์อย่างจำกัดหรือไม่มีเลย

"จริงๆ แล้ว ในสงครามหรือความขัดแย้งครั้งนี้ไม่มีเป้าหมายสำหรับอาวุธนิวเคลียร์เลย" เขากล่าว

สส. Gotliv เป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีเบนจามิน Netanyahu ของอิสราเอล ซึ่งร่วมกับ Yoav Gallant ลันต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ออกแถลงการณ์ในการป้องกันเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) และหน่วยงานด้านความมั่นคง ในเดือนกันยายน เธอกล่าวหา IDF และ Shin Bet (หน่วยงานความมั่นคงของอิสราเอล) ว่าทำงานให้กับ 'ผู้ก่อการร้ายและนักโทษด้านความมั่นคง' ชาวปาเลสไตน์ ตามรายงานของ The Jerusalem Post หลังจากที่รัฐบาลอิสราเอลประณามคำกล่าวหาที่ 'สร้างความโมโห' เธอก็ลดความรุนแรงลงสองเท่าและให้ความชอบธรรมในการโจมตีฉนวน Gaza โดยกองทัพอิสราเอลในฐานะสมาชิกสภา Knesset

สำหรับ Netanyahu ได้ประกาศสงครามกับกลุ่ม Hamas และสัญญาว่าจะลดจำนวนผู้ก่อการร้ายให้กลายเป็นซากปรักหักพังที่พวกเขาจะจดจำ 'ไปอีกนานหลายทศวรรษ' อย่างไรก็ตาม เขาเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ครั้งใหม่เกี่ยวกับความล้มเหลวด้านความมั่นคงและข่าวกรองที่ถูกกล่าวหาซึ่งเกิดขึ้นก่อนการโจมตีดินแดนอิสราเอลที่อันตรายที่สุดในรอบกว่าห้าทศวรรษ หนึ่งวันหลังจากวิพากษ์วิจารณ์ Netanyahu ในวันอังคาร Haaretz หนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายของอิสราเอลได้พาดหัวข่าวว่า 'Netanyahu : ลาออกเดี๋ยวนี้!' โดยกล่าวว่า เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อ "ความล้มเหลวที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้"

บทความนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า อิสราเอลกับปาเลสไตน์มีความโกรธเกลียดกันอย่างมากมหาศาล ชนิดที่สามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อีกฝ่ายหนึ่งได้โดยไม่มีความลังเลใจอะไรเลย แม้กระทั่งสส. ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องมีวุฒิภาวะ (Maturity) เป็นอย่างมาก ต้องมีทั้งสติและความยับยั้งชั่งใจ ยังแสดงออกถึงความกระหายเลือดมากมายถึงเพียงนี้ แล้วประชาชนคนธรรมดาทั่วไปจะมีความโกรธเกลียดและอาฆาตแค้นชิงชังกันมากเพียงใด?

แต่ที่น่าสงสัยก็คือ อิสราเอลที่บอกกับคนทั้งโลกว่า ตน (ชาวยิว) ตกเป็นเหยื่อ ถูกกระทำ ถูกสังหารหมู่ด้วยการรมแก๊ส โดยนาซีเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พฤติการณ์และพฤติกรรมที่กองทัพอิสราเอลกระทำย่ำยีต่อชาวปาเลสไตน์อย่างไม่ลังเลใจ ไม่รู้สึกเขินอายที่จะทำกับผู้อื่นอย่างที่พวกตนเคยถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย กองทัพอิสราเอลก็จึงไม่ต่างจากกองกำลัง SS และรัฐบาลอิสราเอลก็ไม่ต่างไปจากรัฐบาลนาซีเยอรมันแต่อย่างใดเลย

'ตำรวจรัฐพิหาร' โยนศพผู้ตายจากอุบัติเหตุบนถนนลงสู่คลอง ตอกย้ำรัฐไร้ขื่อแปมากที่สุดของอินเดีย ฟากโซเชียลแคปทัน

(12 ต.ค. 66) ในวิดีโอที่กลายเป็นที่พูดถึงกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ พบเห็นตำรวจรัฐพิหาร 3 นาย กำลังช่วยกันแบกศพผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เต็มไปด้วยเลือด ข้ามแนวกั้นสะพาน จากนั้นก็หย่อนร่างไร้วิญญาณลงไปในคลองที่อยู่เบื้องล่าง ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา

วิดีโอดังกล่าว เรียกผู้ชมได้มากกว่า 800,000 วิว นับตั้งแต่มันถูกโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันอาทิตย์ (8 ต.ค.)

ตำรวจในอินเดีย ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเต็มไปด้วยการคอร์รัปชันและไร้ประสิทธิภาพ ขณะที่รัฐพิหาร ซึ่งมีประชากรมากกว่า 100 ล้านคน ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของประเทศ และเป็นรัฐที่มีการพัฒนาน้อยที่สุด

เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสในเขตมูซาฟฟาร์ปุระ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า พวกเจ้าหน้าที่แค่โยนท่อนล่างของศพผู้ชายลงไปในน้ำ เนื่องจากมันถูกรถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วบดขยี้จนแหลกและไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้

"ศพเป็นของชายชรารายหนึ่งซึ่งยังระบุตัวตนไม่ได้ ท่อนบนของเขาถูกส่งไปชันสูตรพลิกศพแล้ว แต่ท่อนล่างนั้นแหลกเหลว ดังนั้นพวกเขาจึงโยนมันลงไปในคลอง" เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสกล่าว "มันคือความผิดพลาดใหญ่หลวง เราสั่งพักราชการตำรวจทั้ง 3 นาย ที่ปรากฏในวิดีโอแล้ว"

สื่อมวลชนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง รายงานว่าหลังจากวิดีโอเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ ทางตำรวจได้เร่งรีบเก็บกู้ชิ้นส่วนศพบางส่วนขึ้นมาจากคลอง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่พ้นที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด

"พวกเขาเป็นตำรวจหรือปีศาจที่โหดร้ายป่าเถื่อนกันแน่?" ผู้ใช้รายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X หรือเดิมคือ ทวิตเตอร์ กล่าว ส่วนอีกรายเสริมว่า "มันดูเหมือนว่าทุกวันนี้ ความเป็นมนุษย์และศีลธรรม ได้ตายไปจากผู้คนไปแล้ว"

‘จีน’ มุ่งสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดีใน ‘กลุ่มเด็ก-วัยรุ่น’ ปกป้องเด็กจากภาวะวิตกกังวล - โรคซึมเศร้า

(12 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน เปิดเผยว่าหน่วยงานภาครัฐและภาคสังคมของจีนดำเนินความพยายามร่วมกันเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตในหมู่เด็กและวัยรุ่นตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อนึ่ง จีนเฉลิมฉลองวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) ครั้งที่ 32 ซึ่งตรงกับเมื่อวันอังคาร (10 ต.ค.) ภายใต้หัวข้อ ‘การส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่น’

หลี่ต้าชวน เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการฯ กล่าวระหว่างงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ (9 ต.ค.) ระบุว่ากุญแจสำคัญในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของวัยรุ่น คือการให้ความสำคัญกับการป้องกันเป็นอันดับแรก และดำเนินการป้องกันและควบคุมในสังคมวงกว้าง อีกทั้งเน้นย้ำความสำคัญในการจัดให้งานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในบริการสังคม บริการสาธารณสุข และระบบประกันสังคม

ข้อมูลการสำรวจสุขภาพจิตที่ครอบคลุมวัยรุ่นมากกว่า 30,000 คน ซึ่งจัดทำโดยสถาบันจิตวิทยา สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ของจีน ในปี 2022 พบว่าร้อยละ 14.8 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าในระดับต่าง ๆ โดยจำเป็นต้องมีการเข้าช่วยเหลือและการปรับเปลี่ยนที่มีประสิทธิภาพและทันเวลา

เจิ้งอี้ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กจากโรงพยาบาลปักกิ่ง อันติ้ง สังกัดมหาวิทยาลัยการแพทย์นครหลวง ระบุว่าเด็กและวัยรุ่นอยู่ในช่วงที่มีการพัฒนาด้านสุขภาพจิตอย่างรวดเร็ว ภาวะทางจิตของพวกเขามีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางชีวภาพ สภาพจิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

เย่ไห่เซิน นักจิตวิทยาคลินิกประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนานทางตอนกลางของจีน ระบุว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มมีอาการทางสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยความผิดปกติทางจิต อาทิ ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า พบได้เด่นชัดในเด็กและวัยรุ่น

คณะกรรมการฯ ดำเนินมาตรการหลายรายการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งรวมถึงการออกแนวปฏิบัติส่งเสริมบริการด้านสุขภาพจิต โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ อีก 16 หน่วยงาน อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ ออกแผนปฏิบัติการระยะเวลา 3 ปี เพื่อปรับปรุงงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของนักเรียน

แผนดังกล่าวกำหนดความรับผิดชอบของรัฐบาลระดับต่างๆ ในการสร้างเสริมสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่น อีกทั้งเน้นย้ำการประสานงานระหว่างหน่วยงานและความพยายามร่วมกันระหว่างสถาบันทางการแพทย์ โรงเรียน และครอบครัว

ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางได้จัดสรรกองทุนพิเศษเพื่อสนับสนุนการป้องกันและการรักษาความผิดปกติทางจิตที่พบบ่อย พร้อมทั้งสนับสนุนโครงการนำร่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต

หลี่กล่าวว่าการทดลองต่าง ๆ ถูกจัดขึ้นทั่วประเทศเพื่อเดินหน้าบริการด้านจิตวิทยาสาธารณะภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการฯ โดยปัจจุบันหมู่บ้านและชุมชนร้อยละ 96 โรงเรียนประถมและมัธยมร้อยละ 95 ตลอดจนวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั้งหมดในพื้นที่นำร่องเหล่านี้ สามารถเข้าถึงบริการด้านจิตวิทยาสาธารณะได้แล้ว

อนึ่ง จีนยังทุ่มเทความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มการจัดสรรทรัพยากร การสนับสนุนทางการเงิน และการพัฒนาบุคลากรทั่วประเทศ เพื่อสร้างหลักประกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสำหรับการส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่น

วิกฤตคนหนุ่มสาวจีน ‘หมดไฟ-ไม่อดทน-ไร้ความพยายามสู้ชีวิต’ อ้าง!! แรงแข่งขันสูงในสังคม ผลักให้กลับมาเกาะพ่อแม่กิน

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกช่องหนึ่ง ชื่อ ‘daodiy’ ออกมาเล่าถึงสถานการณ์ในสังคมยุคปัจจุบัน ที่กำลังเกิดวิกฤตจากการที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ขาดความพยายามในการเอาตัวรอดในสังคม และหันมาพึ่งพาพ่อแม่มากขึ้น โดยเจ้าของช่องได้ระบุว่า…

ในปัจจุบัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ในจีนที่ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่อยู่ หรือที่เรียกกันว่า ‘เกาะพ่อแม่กิน’ มีจํานวนอัตรามากกว่า 270 ล้านคนทั่วประเทศ โดยคนกลุ่มนี้ ในภาษาจีนมีชื่อเรียกว่า ‘เขินเหล่าจู๋’ (啃老族) ซึ่งถ้าแปลเป็นตรงตัวจะหมายถึง ‘กลุ่มคนที่กัดกินผู้สูงอายุ’

กลุ่มคนที่กัดกินผู้สูงอายุเหล่านี้ กำลังมีจํานวนที่เพิ่มมากขึ้นในสังคมจีน และแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต ประเด็นสําคัญที่ทําให้คนกลุ่มนี้ มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คือ

1.) ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่เป็นลูกคนเดียวของที่บ้าน โดยคนกลุ่มนี้จะได้รับการประคบประหงม ถูกดูแลอย่างดีจากคุณพ่อคุณแม่ ตั้งแต่เด็กจนโต โดยเฉพาะคนที่เกิดในช่วงปี 1985 ถึงประมาณ 1990 เป็นต้นไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คนกลุ่มนี้มักจะเติบโตมาในครอบครัวที่มีอันจะกิน จึงทําให้พวกเขานั้นไม่มีความสามารถที่จะต่อสู้กับคนในสังคมได้มากนัก หรือก็คือ ‘ขาดทักษะในการเอาตัวรอด’ นั่นเอง เพราะว่าคนกลุ่มนี้นั้นพึ่งพาครอบครัวของเขามาตลอด

2.) การศึกษา ในระบบการศึกษาของจีนนั้นยังเน้นสอนแบบการ ‘ท่องจํา’ เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เด็กจีนมีทักษะในการเอาตัวรอดในสังคมค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้น นักศึกษาที่เรียนจบไปส่วนใหญ่ มักจะเก่งแค่เรื่องของทฤษฎีและวิชาการ แต่ในด้านการปฏิบัติเมื่อต้องออกไปเจอสังคมภายนอก อาจจะทำให้เอาตัวรอดได้ยาก

3.) เศรษฐกิจของจีน สังคมในที่ทํางานส่วนใหญ่นั้นมักจะมีความกดดัน หรือการแข่งขันกันค่อนข้างสูงและรุนแรง ทําให้คนรุ่นใหม่หลายคนเกิดความเหนื่อยล้า จนยอมแพ้และลาออกจากงาน เพื่อกลับไปบ้านกับพ่อแม่ จนในที่สุดก็กลายเป็นกลุ่มคนที่เกาะพ่อแม่กินนั่นเอง

4.) ระบบในสังคมจีน ซึ่งยังเป็นระบบของที่มีการใช้ ‘ความสัมพันธ์’ (Relationship) หรือที่เรียกกันว่า ‘ระบบเส้นสาย’ ในสังคมค่อนข้างสูง ทำให้คนที่มีเส้นสายสามารถเข้าไปอยู่ในหน่วยงานดีๆ ได้ทํางานที่ดีๆ ส่วนคนที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดีนัก หรือว่าที่บ้านไม่ได้มีเส้นสาย ก็ต้องไปต่อสู้ แก่นแย้งกับคนที่มีเส้นสาย ทําให้คนกลุ่มนี้ ขาดกำลังใจ เกิดความหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต และสุดท้ายก็กลับไปอยู่บ้าน ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมจีน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงยิ่งขึ้นในอนาคต

แล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ล่ะ… เป็นอย่างไรบ้าง?

‘หนุ่มมะกัน’ ซ่า!! ขับรถพุ่งชนสถานกงสุลจีน ในซานฟรานซิสโก พร้อมขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่จีน สุดท้ายถูกตำรวจยิงสกัดเหตุจนดับสลด

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 66 เกิดเหตุที่เกือบจะเป็นการก่อการร้ายอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้มีชายชาวอเมริกันคนหนึ่ง ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีดาน สีน้ำเงิน พุ่งเข้าไปในสำนักงานสถานกงสุลจีน ในนครซานฟรานซิสโก ของสหรัฐอเมริกา พร้อมตะโกนขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จนโกลาหลในทั้งสถานกงสุล แต่สุดท้ายไม่รอด คนร้ายถูกตำรวจสหรัฐฯ ยิงสกัด และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา

โดยยังไม่มีการเปิดเผยชื่อของคนร้ายรายนี้ ระบุเพียงว่าเป็นชายคนหนึ่ง ‘แคทริน วินเทอร์ส’ โฆษกสำนักงานตำรวจนครซานฟรานซิสโก ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า คนร้ายมีอาวุธเป็นมีด และธนูหน้าไม้เตรียมไว้ในรถ และได้ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนประตูหน้าของสำนักงานสถานกงสุลจีน จนเข้ามาถึงในโถงล็อบบี้ เมื่อช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ซึ่งในขณะนั้นมีผู้คนมารอคิวยื่นวีซ่าอยู่เป็นจำนวนมาก

หลังจากนั้น คนร้ายลงจากรถพร้อมอาวุธมีด ตะโกนขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่จีน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง จึงตัดสินใจยิงสวน และพาตัวคนร้ายส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตเมื่อเวลา 18.30 น. ในวันเดียวกัน

‘เซอร์กี โมลชานอฟ’ นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นหนึ่งในพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เล่าว่า เขากำลังรอคิวเพื่อยื่นวีซ่าจีน มองเวลาอยู่ที่ 15.05 น. ก็มีรถยนต์คันหนึ่งพุ่งชนเข้ามาห่างจากจุดที่เขายืนรออยู่เพียง 2 เมตร จากนั้นคนร้ายก็ลงมาจากรถ และตะโกนหาเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่เขาไม่เห็นคนร้ายถืออาวุธ แต่เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถือมีดในมือ ตอนนั้นทุกคนกลัวว่าคนร้ายจะมีปืน จึงรีบหลบหนีออกจากสำนักงานกงสุล ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาและมีเสียงปืนดังภายในอาคาร 2 นัด

สื่อท้องถิ่นของซานฟรานซิสโก รายงานว่า มีตำรวจอย่างน้อย 11 นาย เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมหน่วยกู้ระเบิด และสุนัขตำรวจ เพราะเกรงว่าจะมีก่อวินาศกรรมคาร์บอมบ์ในสถานกงสุล แต่ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซานฟรานซิสโก ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลน้อยมาก เพราะเป็นคดีที่มีความซับซ้อน และอ่อนไหวสูง

ด้านกงสุลจีนได้ออกแถลงการณ์ประณามการก่อเหตุโจมตีสถานที่ราชการจีน อีกทั้งยังข่มขู่ หมายเอาชีวิตเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีน บุกรุก และทำลายทรัพย์สินเสียหาย

‘หวัง เหวินปิน’ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ เร่งสอบสวนคดีการโจมตีสถานกงสุลจีนโดยเร็วที่สุด อีกทั้งขอให้เพิ่มมาตรการป้องกัน รักษาความปลอดภัยแก่สถานที่ราชการ และบุคลากรของรัฐบาลจีนในสหรัฐฯ

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้สถานกงสุลจีนในนครซานฟรานซิสโก ต้องปิดให้บริการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งสถานที่ราชการจีนในสหรัฐฯ เริ่มกลายเป็นเป้าหมายในการก่อกวน และโจมตีหลายครั้ง ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ระบาด Covid-19 และการกล่าวโทษของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น ได้สร้างกระแสความเกลียดชังชาวจีนในสังคมคนอเมริกัน ซึ่งสถานกงสุลแห่งนี้ มักมีกลุ่มคนมาเขียนข้อความแสดงความเกลียดชังบนกำแพงอยู่เป็นประจำ และเคยมีกลุ่มผู้ประท้วงกว่า 100 รายมาชุมนุมประท้วงนโยบายปลอด Covid-19 ของรัฐบาลปักกิ่ง

ทั้งนี้ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การโจมตีสถานกงสุลจีนครั้งนี้ อาจเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ที่ผู้นำสหรัฐฯ อย่าง ‘โจ ไบเดน’ จะมาพบกับ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำของจีน แบบตัวต่อตัว ในงานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ‘เอเปก’ ที่จะจัดขึ้นในซานฟรานซิสโก ระหว่างวันที่ 11-17 พฤศจิกาคม ที่จะถึงนี้ แต่ทว่า กำหนดการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของผู้นำจีน ก็ยังคงไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลปักกิ่ง และอาจไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุครั้งนี้แต่อย่างใด

'จีน' ได้รับเลือกเป็นสมาชิก UNHRC สมัยที่ 6 ถือเป็นหนึ่งในรัฐที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกบ่อยที่สุด

(11 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า จีนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC: United Nations Human Rights Council) สมัยที่ 6 ทำให้จีนเป็นหนึ่งในรัฐที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีฯ บ่อยที่สุด โดยก่อนหน้านี้จีนได้เป็นสมาชิกคณะมนตรีฯ ในปี 2006-2012 (ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2009) ปี 2014-2016 ปี 2017-2019 และปี 2021-2023 ส่งผลให้จีนเป็น 1 ใน 15 รัฐที่ได้รับเลือกตั้งผ่านการลงคะแนนเสียงแบบลับโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติให้อยู่ในคณะมนตรีฯ อันมีสมาชิก 47 ราย เป็นระยะเวลา 3 ปี เริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม 2024 (พ.ศ. 2567)

สำหรับ UNHRC มีชื่อเรียกย่อๆ ว่า HRC เป็น กลไกระหว่างรัฐ จัดตั้งขึ้นตามข้อมติ สมัชชาแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2549 โดยมีหน้าที่สำคัญในการสอดส่องดูแลการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อหยุดยั้งการละเมิดสิทธิ มนุษยชน

ระบบสกัดกั้นขีปนาวุธอัจฉริยะ เกราะป้องกันภัยหมื่นล้านของ ‘อิสราเอล’ ตรวจจับอันตรายด้วยเรดาร์ พร้อมหน่วยยิง Tamir คล่องตัว-แม่นยำสูง

‘Iron Dome’ เกราะป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล… ทำงานอย่างไร?

ในท้องฟ้ายามค่ำคืนมองเห็นจรวดที่ยิงจาก Beit Lahiya ทางตอนเหนือของฉนวน Gaza ไปยังอิสราเอล เส้นแสงที่โค้งไปมาคือ ‘ระบบสกัดกั้น’ (Iron Dome)

ความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่ปกครองฉนวน Gaza ทำให้เกิดการเผชิญหน้าอันน่าตื่นตะลึง โดยฮามาสและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่น ๆ ยิงจรวดถล่มใส่อิสราเอลมากกว่า 5,000 ลูก ในช่วงไม่กี่วันผ่านมา แต่จรวดของฮามาสและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่น ๆ ยิงประมาณ 90% ถูกสกัดกั้นโดย ‘ระบบป้องกันขีปนาวุธ’ (Iron Dome) จากแถลงการณ์ของกองทัพอิสราเอล 

‘ระบบป้องกันขีปนาวุธ’ (Iron Dome) ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากจรวดและปืนใหญ่ ในระยะตั้งแต่ 4 กม. ถึง 70 กม. (2.5 ไมล์ ถึง 43 ไมล์) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อขยายระยะไปถึง 250 กม.

ระบบนี้เกิดจากการที่อิสราเอลสู้รบกับ ‘ขบวนการฮิซบอลเลาะห์’ (Hezbollah) กลุ่มติดอาวุธในเลบานอนในปี 2006 มีการยิงจรวดหลายพันลูกเข้าสู่อิสราเอล ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง มีการอพยพผู้คนจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย หลังจากนั้น อิสราเอลจึงเริ่มการพัฒนาเกราะป้องกันจรวดขึ้น

‘Iron Dome’ ซึ่งสร้างขึ้นโดย ‘Rafael Advanced Defense Systems’ บริษัทอิสราเอล ร่วมกับ ‘Israel Aerospace Industries’ โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินและทางเทคนิคจากสหรัฐฯ เริ่มประจำการในปี 2011 Iron Dome ถือเป็นระบบป้องกันจรวดที่ทันสมัยที่สุดในโลก ใช้เรดาร์เพื่อตรวจจับ ประเมิน และสกัดกั้นเป้าหมายระยะสั้นที่หลากหลาย เช่น จรวด ปืนใหญ่ และปืนครก รวมถึงภัยคุกคามที่เข้ามาก่อนที่จะสร้างความเสียหาย เช่น จรวดที่ยิงจากฉนวน Gaza ระบบป้องกันขีปนาวุธ Iron Dome ใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดจนถึงในทุกสภาพอากาศ รวมถึงเมฆต่ำ ฝน พายุฝุ่น และหมอก 

‘Iron Dome’ ใช้งบประมาณในการพัฒนาสูงมาก แต่ผู้ผลิตกล่าวว่ามีความคุ้มค่า เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้มีความสามารถในการแยกความแตกต่างระหว่าง จรวดที่มีแนวโน้มที่จะโจมตีพื้นที่ที่จะสร้างความเสียหาย และไม่สกัดกั้นจรวดที่จะตกในพื้นที่ที่ไม่สร้างความเสียหาย ขีปนาวุธจะถูกยิงเพื่อสกัดกั้นสิ่งใดก็ตามที่ถูกระบุความว่า ‘สร้างความเสียหายจนเป็นอันตราย’ เท่านั้น

Iron Dome มีส่วนประกอบหลัก 3 อย่าง :
1.) เรดาร์ตรวจจับและติดตาม : ระบบเรดาร์สร้างโดย Elta ของอิสราเอล และบริษัทในเครือของ Israel Aerospace Industries และ IDF

2.) การจัดการการรบและการควบคุมอาวุธ (BMC) : ศูนย์ควบคุมถูกสร้างขึ้นสำหรับ Rafael โดย mPrest Systems ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ของอิสราเอล

3. ) หน่วยยิงขีปนาวุธ : หน่วยยิงขีปนาวุธสกัดกั้น Tamir ซึ่งติดตั้งเซ็นเซอร์ไฟฟ้าออปติกและครีบบังคับเลี้ยวหลายอันเพื่อความคล่องตัวสูง ขีปนาวุธนี้สร้างโดย Rafael โดย EL/M-2084 เรดาร์ของระบบจะตรวจจับการปล่อยจรวดและติดตามวิถีของมัน BMC จะคำนวณจุดผลกระทบตามข้อมูลที่รายงาน และใช้ข้อมูลนี้เพื่อพิจารณาว่าเป้าหมายถือเป็นภัยคุกคามต่อพื้นที่ที่กำหนดหรือไม่ เฉพาะเมื่อมีการระบุภัยคุกคามแล้ว ขีปนาวุธสกัดกั้นจะถูกยิงเพื่อทำลายจรวดที่เข้ามาก่อนที่จะถึงพื้นที่ที่คาดการณ์ไว้ว่าจะชน

กว่าหนึ่งทศวรรษนับตั้งแต่ Iron Dome เข้าประจำการ ปัจจุบันอิสราเอลมีชุดยิงของ Iron Dome 10 ชุดที่ประจำการอยู่ทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดยิงของ Iron Dome ประกอบด้วย 20 ท่อยิงขีปนาวุธ ซึ่งสามารถสกัดกั้นจรวดได้ราว 1 ต่อ 5 โดยมีความแม่นยำราว 96.5% ระบบ Iron Dome สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกมากและใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการติดตั้ง และขีปนาวุธสกัดกั้น Tamir มีความคล่องตัวสูง มีความยาว 3 เมตร (เกือบ 10 ฟุต) มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว (15 ซม.) และมีน้ำหนัก 90 กิโลกรัม (198 ปอนด์) แต่ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Iron Dome อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่จรวดของฮามาสแม้ว่าจะดูหยาบและไม่มีระบบนำทาง แต่จำนวนที่แท้จริงและต้นทุนที่ต่ำของจรวดเหล่านี้ก็เป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับ Iron Drome ด้วยจรวดของฮามาสอาจมีราคาเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์ แต่ราคาขีปนาวุธที่ใช้ในระบบ Iron Drome แต่ละลูกมีราคาประมาณ 40,000 เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น การสกัดกั้นจรวดที่เข้ามานับพันลูก อิสราเอลจึงมีค่าใช้จ่ายมหาศาล ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทุ่มเงินกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ให้แก่อิสราเอล เพื่อสนับสนุนโครงการ Iron Dome มาแล้ว

เวอร์ชันกองทัพสหรัฐฯ ในปี 2019 กองทัพสหรัฐฯ ได้ประกาศความตั้งใจที่จะซื้อระบบ Iron Dome 2 ชุดยิง เพื่อเติมเต็มความต้องการความสามารถในการป้องกันจรวด ด้วยความสนใจในความสามารถเฉพาะตัวของ Iron Dome ของสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ‘Raytheon’ จึงได้เปิดตัวระบบ SkyHunter โดยความร่วมมือกับ ‘Rafael’ ด้วยพื้นฐานจาก Iron Dome ทำให้ SkyHunter สามารถผลิตได้ในสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายความพร้อมใช้งานและขีดความสามารถสำหรับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ระบบเหล่านี้ป้องกันระดับพื้นฐาน โดย Raytheon ยังร่วมมือกับ Rafael ในระบบ David's Sling System ซึ่งป้องกันในระดับที่มีความก้าวหน้ากว่า

'ยูเครน' เผยงบประมาณ 'ป้องกันประเทศ' ปี 2024  ตัวเลขสูง 1.71 ล้านล้านบาท หรือ 21.6% ของจีดีพี

(11 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว เผย เมื่อวันที่ 10 ต.ค.66 สื่อท้องถิ่นยูเครน รายงานว่า โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ได้ลงนามกฤษฎีกาว่าด้วยการใช้จ่ายงบประมาณการป้องกันประเทศอย่างน้อยร้อยละ 21.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2024

รายงานระบุว่ากฤษฎีกาของประธานาธิบดีนี้ ซึ่งส่งผลให้มติของสภาความมั่นคงแห่งชาติและการป้องกันประเทศมีผลบังคับใช้ กำหนดว่างบประมาณการป้องกันประเทศของยูเครนในปี 2024 จะไม่น้อยกว่า 1.69 ล้านล้านฮริฟเนีย (ราว 1.71 ล้านล้านบาท)

กฤษฎีกานี้ชี้แนะรัฐบาลจัดลำดับความสำคัญของการจัดหาเงินทุนของภาคการป้องกันประเทศในร่างงบประมาณรัฐ ปี 2024 โดยอ้างอิงสถานการณ์ทางการทหารและการเมืองในปัจจุบัน

อนึ่ง รายละเอียดงบประมาณของยูเครนในปี 2023 ประเมินว่าการใช้จ่ายงบประมาณด้านการป้องกันประเทศจะอยู่ที่ 1.14 ล้านล้านฮริฟเนีย (ราว 1.15 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 18.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ

‘สาว’ แชร์ภาพ ‘ห้องเช่ารูหนู’ เล็กเหมือนโลงศพ ที่สิงคโปร์ แถมค่าเช่ายังมหาโหด 17,000 บาท ลั่น!! จ้างก็ไม่อยู่

เมื่อวานนี้ (10 ต.ค. 66) กระแสไวรัลในโลกออนไลน์ไต้หวันกำลังพูดถึงค่าใช้จ่ายมหาศาลจากการเช่าบ้านกลับได้พื้นที่ขนาดเล็กไม่สมกับราคา โดยชาวเน็ตสาวรายหนึ่งออกมาโพสต์กลุ่มเฟซบุ๊กเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอเกี่ยวกับบ้านเช่า

โดยเธอแชร์รูปภาพห้องเช่าแบ่งย่อยที่ชาวฮ่องกงเห็นในเว็บไซต์เช่าบ้าน ระบุว่า “กว่าจะอยู่ฮ่องกงไม่ง่ายเลย นี่คือห้องเช่าในฮ่องกงแบบห้องน้ำเป็นรวม ความรู้สึกนี้เล็กกว่าโลงศพ ตื่นมาแล้วต้องกังวลว่าจะหัวชนกัน ถ้าตู้นั้นยังไม่ได้ตอกตะปูแน่น ๆ ก็ดูท่าจะสู่ขิตได้นะ แล้วคุณจะซื้อที่นอนมั้ย ห้องเท่านี้ราคาเช่า 8000 ดอลลาร์ไต้หวัน (9,177บาท) เลยทีเดียว”

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นในสิงคโปร์เช่นกัน ชาวเน็ตหญิงคนหนึ่งเปิดเผยในแอปฯ เสี่ยวฮงซูว่า เจ้าของบ้านชาวสิงคโปร์ให้เช่า ‘ห้องเก็บของ’ จริง ๆ ดังที่เห็นในภาพถ่ายเป็นภาพห้องเปิดโล่งไม่มีหน้าต่างออกไปด้านนอกในห้องมีเพียงเตียงเดี่ยวและชั้นเก็บของเล็ก ๆ แถมพื้นที่ยืนยังมีจำกัดมาก และค่าเช่ารายเดือนสูงถึง 650 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 17,552 บาท)

นอกจากนี้ เจ้าของโพสต์ยังเผยว่า “ค่าเช่าแบบนี้ถูกกฎหมายจริง ๆ เหรอ ไม่มีแม้แต่ที่นอนด้วย (เจ้าของบ้าน) คลั่งไคล้เรื่องเงินมาก” เธอยังชี้ให้เห็นว่า จ้างให้อยู่แค่จ่ายค่าเช่า 200 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 5,393 บาท) เธอก็ไม่คิดที่จะอยู่ แถมบอกว่าถ้าอยู่ในห้องแบบนี้ “ร่างกายจะถูกทำลาย”

ทันทีที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ก็เกิดการถกเถียงกันและหลายคนแนะนำว่าควร รายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “17,000 ก็เกินไปครับ ผมเข้าใจว่าบางคนจะเช่าที่แบบนี้เพื่อประหยัดเงินเพราะเจ้าของบ้านผมก็เช่าเหมือนกันแต่เขาเช่าในราคาที่ต่ำมากเพราะเงินเดือนไม่สูง” , “อากาศไม่หมุนเวียน ความชื้นก็หนัก ภูมิคุ้มกันของฉันลดลงหลังจากอาศัยอยู่ที่นั่นได้หนึ่งเดือน” , “แนะนำให้ผู้เขียนรายงานเรื่องนี้อย่างยิ่ง ผิดกฎหมาย” , “เกือบจะเหมือนกับสิ่งที่ฉันเช่า”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top