Tuesday, 17 June 2025
WORLD

‘ออสเตรเลีย’ ประสบปัญหา ‘เนื้อแกะล้นตลาด’ กว่า 78 ล้านตัว เกษตรกรระทม!! ราคาตก จนต้อง ‘แจกฟรี’ เพื่อลดต้นทุน

(23 พ.ย. 66) สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า ออสเตรเลียกำลังเผชิญปัญหาปริมาณเนื้อแกะล้นตลาดและส่งผลให้ราคาทรุดตัวลงอย่างรุนแรง จนทำให้เกษตรกรบางรายต้องหาทางออกด้วยการกำจัดแกะในฟาร์มหรือแจกจ่าย เพื่อเป็นการลดต้นทุนแทนที่จะเลี้ยงฝูงแกะไว้ในฟาร์มต่อไป

ข้อมูลจากสมาคมเนื้อสัตว์และปศุสัตว์แห่งออสเตรเลีย (MLA) ระบุว่า ราคาเนื้อแกะร่วงลงรุนแรงถึง 70% ในปีที่แล้ว สู่ระดับกิโลกรัมละ 1.23 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 43.37 บาท)

นายทิม แจ็กสัน นักวิเคราะห์ฝ่ายอุปทานตลาดโลกของ MLA กล่าวว่า ออสเตรเลียมีฤดูกาลที่ดีมากหลายฤดูในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ฝูงแกะมีจำนวนมากถึง 78.75 ล้านตัว ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552

ปัจจัยที่ทำให้ฝูงแกะในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นจำนวนมากนั้น มาจากการที่หลายภูมิภาคที่เลี้ยงแกะมีฝนตกลงมากกว่าค่าเฉลี่ยเป็นเวลานานถึง 3 ปี ซึ่งรวมถึงรัฐนิวเซาท์เวลส์และวิกตอเรีย โดยฝนที่ตกลงมาจะทำให้ต้นหญ้าเติบโต ซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการเลี้ยงสัตว์ และทำให้สัตว์ขยายพันธ์ุอย่างรวดเร็ว

“ยิ่งฝนตกลงมามากเท่าไร ปริมาณเนื้อแกะในตลาดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น และเมื่อแกะมีจำนวนมากจนไม่สามารถนำเข้าสู่ตลาดได้อีก ทำให้เกษตรกรต้องตัดสินใจกำจัดแกะเหล่านี้ หรือไม่ก็แจกจ่ายให้ประชาชนฟรี ๆ” นายสตีฟ แมคไกวร์ รองประธาน WAFarmers ซึ่งเป็นกลุ่มส่งเสริมด้านการเกษตรของออสเตรเลีย กล่าว

ทั้งนี้ ออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตและส่งออกเนื้อแกะรายใหญ่ที่สุดในโลก และภาวะเนื้อแกะล้นตลาดนี้ได้สร้างแรงกดดันขาลงต่อราคาขายส่งทั่วโลก

ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดโดยสหพันธ์เกษตรกรแห่งชาติออสเตรเลียพบว่า กว่า 60% ของเกษตรกรออสเตรเลียที่ตอบแบบสำรวจ ไม่ได้รู้สึกเชิงบวกมากกว่าในปีที่แล้ว ต่ออนาคตของการทำเกษตรในประเทศ

‘เกาหลีเหนือ’ กร้าว!! พร้อมเปิดศึก หลังส่งดาวเทียมสอดแนมสำเร็จ ด้าน ‘โสมขาว’ โต้กลับ ฉีกข้อตกลง-ยกระดับกองกำลังตามชายแดน

(23 พ.ย. 66) ‘เกาหลีเหนือ’ เปิดเผยว่า จะคืนชีพทุกมาตรการทางทหารที่เคยระงับไปภายใต้ข้อตกลงปี 2018 กับ ‘เกาหลีใต้’ ที่ออกแบบมาเพื่อลดสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนร่วมระหว่าง 2 ชาติ พร้อมประกาศเดินหน้าประจำการกองกำลังที่เข้มแข็งกว่าเดิม และอาวุธใหม่ๆ ไปยังแนวชายแดนติดกับเกาหลีใต้

ถ้อยแถลงของกระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือ มีขึ้น 1 วัน หลังจากเกาหลีใต้ระงับบางส่วนในข้อตกลงทางทหารระหว่าง 2 ชาติเกาหลี เมื่อปี 2018 เพื่อเป็นการประท้วงกรณีที่เปียงยางปล่อยดาวเทียมสอดแนมขึ้นสู่วงโคจร และบอกว่าจะยกระดับสอดแนมทางทหารตามแนวชายแดนที่ติดกับเกาหลีเหนือ ให้มีการป้องกันอย่างหนาแน่นมากยิ่งขึ้น

“นับตั้งแต่บัดนี้ กองทัพของเขาจะไม่อยู่ภายใต้พันธสัญญาของข้อตกลงทางทหารเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 19 กันยายน อีกต่อไปแล้ว” ถ้อยแถลงระบุ “เราจะถอนมาตรการต่างๆ ทางทหาร ที่ใช้ป้องกันความตึงเครียดทางทหารและความขัดแย้งในทุกขอบเขต ทั้งทางภาคพื้น ทะเลและอากาศ และประจำการกองกำลังที่ทรงอานุภาพกว่าเดิม รวมถึงยุทโธปกรณ์ทางทหารชนิดใหม่ๆ ในภูมิภาคตามแนวเส้นแบ่งเขตทางทหาร”

เกาหลีเหนือกล่าวหาเกาหลีใต้ ว่า ‘ฉีกข้อตกลง’ ที่เรียกว่า ‘ความตกลงทางทหารแบบครอบคลุม’ (Comprehensive Military Agreement) และบอกว่าโซลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดทั้งมวล หากเกิดการปะทะที่ไม่อาจย้อนกลับได้ ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้"

ถ้อยแถลงของเกาหลีเหนือ มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังจากพวกเขายิงขีปนาวุธลูกหนึ่งใส่ทะเลทางตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี เมื่อช่วงค่ำของวันพุธที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ในขณะที่กองทัพเกาหลีใต้ บอกว่าดูเหมือนการยิงดังกล่าวจะประสบความล้มเหลว

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกว่า การตัดสินใจของเกาหลีใต้ ในการระงับข้อตกลงบางส่วน เป็นการตอบโต้ที่รอบคอบและอดทนอดกลั้นแล้ว อ้างถึงกรณีที่เกาหลีเหนือไม่ยึดถือข้อตกลงดังกล่าว

“การระงับข้อตกลงบางส่วนของเกาหลีใต้ จะเป็นการคืนชีพความเคลื่อนไหวในการสอดแนม และลาดตระเวนตามแนวเส้นแบ่งเขตทางทหารในฝั่งของเกาหลีใต้” เจ้าหน้าที่รายหนึ่งกล่าว

‘ความตกลงทางทหารแบบครอบคลุม’ (Comprehensive Military Agreement) เป็นข้อตกลงที่จัดทำขึ้นในยุคของอดีตประธานาธิบดี ‘มุน แจอิน’ แห่งเกาหลีใต้ ซึ่งได้เดินทางไปประชุมซัมมิตทวิภาคีกับผู้นำ ‘คิม จองอึน’ ที่กรุงเปียงยาง เมื่อปี 2018 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติ

แต่มีนักวิจารณ์จำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าข้อตกลงฉบับนี้ควรถูกยกเลิก เพราะเป็นการลดทอนศักยภาพของโซล ในการติดตามความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือตามแนวชายแดน อีกทั้งโสมแดงเองมีการละเมิดเงื่อนไขข้อตกลงด้วย

เกาหลีเหนือ ระบุเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา ถึงการประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมสอดแนมดวงแรกของประเทศขึ้นสู่วงโคจร ความเคลื่อนไหวที่เรียกเสียงประณามจากนานาชาติ โทษฐานที่ละเมิดมติของสหประชาชาติ ที่ห้ามเปียงยางจากการใช้เทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้เพื่อรับโครงการขีปนาวุธ

เกาหลีใต้ เชื่อว่า ดาวเทียมเกาหลีเหนือเข้าสู่วงโคจร แต่ต้องใช้เวลาสักพักสำหรับการประเมินว่า ดาวเทียมดวงนี้ สามารถปฏิบัติการได้ตามปกติหรือไม่

การปล่อยดาวเทียม เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจาก 2 หนแรกประสบความล้มเหลว และมีขึ้นตามหลังจากที่ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เยือนดินแดนรัสเซีย โดยระหว่างนั้น ประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ รับปากว่าจะช่วยเกาหลีเหนือในการสร้างดาวเทียม

พวกเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ บอกว่า การปล่อยดาวเทียมของเกาหลีเหนือนั้น มีความเป็นไปได้อย่างที่สุด ว่าจะเกี่ยวข้องกับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากรัสเซีย ภายใต้ความเป็นพันธมิตรที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ระหว่าง 2 ชาติ ที่ได้เห็นเปียงยางจัดหากระสุนปืนใหญ่หลายล้านลูกให้แก่รัสเซีย

ในขณะที่ รัสเซียและเกาหลีเหนือ ปฏิเสธว่าไม่มีข้อตกลงด้านอาวุธใดๆ แต่บอกว่าความร่วมมือระหว่าง 2 ชาติ กำลังแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ

‘จงจื่อ’ ธนาคารเงาเบอร์ต้นของจีน ส่อล้มละลาย หลังเผชิญปัญหาหนี้สินสูงกว่าสินทรัพย์ 2 เท่า

(23 พ.ย.66) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานโดยอ้างอิงเอกสารลับของทางการวันนี้ว่า ธนาคารเงาขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของจีนมีโอกาสล้มละลายอย่างสูงเนื่องจากมีปริมาณหนี้สินสูงกว่าสินทรัพย์มากกว่าสองเท่า

ท่ามกลางสัญญาณความปั่นป่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ล่าสุด จงจื่อ เอนเตอร์ไพรส์ (Zhongzhi Enterprise Group Co.) ยักษ์ใหญ่อันดับต้นของจีนเปิดเผยกับนักลงทุนว่า บริษัทฯ มีหนี้สินประมาณ 4.2 แสนล้านหยวน หรือ ประมาณ 5.87 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท) ถึง 4.6 แสนล้านหยวนเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ 2 แสนล้านหยวน

"การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่ากลุ่มบริษัทมีความเสี่ยงอย่างมากต่อการดําเนินธุรกิจให้ยั่งยืนต่อไปได้และบริษัทไม่มีสินทรัพย์เพียงพอที่จะชําระหนี้ในระยะสั้น โดยความพยายามก่อนหน้านี้ใน ‘การช่วยเหลือตนเอง’ ก็ล้มเหลวโดยไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์”

ทั้งนี้ จงจื่อคือหนึ่งในผู้จัดการความมั่งคั่งส่วนบุคคล (Private Wealth Managers) ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและยังเป็นยักษ์ใหญ่ทางการเงินรายล่าสุดที่ประสบปัญหาท่ามกลางวิกฤตที่อยู่อาศัยและการเติบโตที่ซบเซาในเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

โดยจงจือซึ่งจัดการสินทรัพย์มากกว่า 1 ล้านล้านหยวนได้รับความสนใจจากนักลงทุนและสื่อจำนวนมากในเดือนส.ค. หลังจากหนึ่งในบริษัทในเครือของบริษัททรัสต์ผิดนัดชําระดอกเบี้ยให้กับลูกค้าในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ไม่ตอบสนองการขอสัมภาษณ์ของบลูมเบิร์ก

ท้ายที่สุดเพื่อบรรเทาความปั่นป่วนของเศรษฐกิจ จีนอยู่ในช่วงออกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยหน่วยงานกํากับดูแลอยู่ในช่วงร่างรายชื่อนักพัฒนา 50 รายที่มีสิทธิ์ได้รับเงินทุนในการฟื้นฟูกิจการ 

ขณะที่นโยบายก่อนหน้านี้รวมถึงการผ่อนปรนการจํานองสําหรับผู้ซื้อบ้าน การลดเงินดาวน์ เงินคืนภาษีเงินได้และที่ปรับราคาบ้านให้เข้าถึงง่ายมากขึ้น ทว่ามาตรการดังกล่าวก็ยังไม่สามารถยับยั้งปัญหาในประเทศได้

‘อิหร่าน’ กร้าว!! พร้อมหนุนทุกการตัดสินใจของ ‘กลุ่มฮามาส’ ชี้!! ถ้า ‘อิสราเอล’ ผิดข้อตกลงหยุดยิง สงครามลุกลามแน่นอน

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 66 ‘ฮอสเซน อามีร์-อับดอลลาเฮียน’ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้ออกมาเตือนในการให้สัมภาษณ์ ขณะเดินทางเยือนกรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน ว่า ขอบเขตสงครามกาซาอาจลุกลามบานปลาย จนกว่าข้อตกลงหยุดยิงระหว่าง ‘อิสราเอล’ และ ‘ฮามาส’ จะมีความยั่งยืน

“ถ้าข้อตกลงหยุดยิงเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ (23 พ.ย. 66) ทว่าหากมันไม่เดินหน้าต่อ เงื่อนไขต่างๆ ในภูมิภาคจะไม่เหมือนกับตอนก่อนหน้ามีข้อตกลงหยุดยิง และขอบเขตของสงครามจะขยายวงกว้างขึ้น” อามีร์-อับดอลลาเฮียน บอกกับสถานีโทรทัศน์อัล-มายาดีน ของเลบานอน อ้างอิงรายงานข่าวจากสำนักข่าวฟาร์สนิวส์ของอิหร่าน

“เราไม่ได้หาทางขยายขอบเขตของสงคราม” เขากล่าว “แต่หากความรุนแรงของสงครามหนักหน่วงขึ้น มีทุกความเป็นไปได้ที่ขอบเขตของสงครามที่จะลุกลามขยายวงกว้าง”

อิสราเอลกับฮามาสตกลงหยุดยิง 4 วันในสงครามกาซา แลกกับการปล่อยตัวประกันอย่างน้อย 50 คน ที่ถูกจับตัวไปในเหตุฮามาสโจมตีนองเลือดเล่นงานอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา

ในทางกลับกัน อิสราเอลจะปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์ 150 คนเป็นการตอบแทน ตลอดจนถึงการอนุญาตให้จัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซา หลังจากที่ทำการทิ้งบอมบ์ถล่มแหลก มีการสู้รบกันอย่างหนักหน่วง และปิดล้อมดินแดนชายฝั่งทะเลแห่งนี้ มานานกว่า 6 สัปดาห์

อามีร์-อับดอลลาเฮียน บอกว่า “อิหร่านมองเห็น 2 ทางเลือก อย่างแรก คือ การหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมที่เเปลี่ยนเป็นการหยุดยิงอย่างถาวร ส่วนแนวทางที่ 2 คือ คุกคามประชาชนปาเลสไตน์ และเมื่อนั้นประชาชนปาเลสไตน์จะตัดสินใจด้วยตนเอง” เขากล่าว พร้อมระบุว่า เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล “คงไม่อาจเติมเต็มความฝันทำลายพวกนักรบฮามาสได้”

“เราจะสนับสนุนทุกการตัดสินใจของฮามาส” เขากล่าว

‘ซูซาน ซาแรนดอน’ นักแสดงดีกรีออสการ์ ถูกฉีกสัญญา เพียงเพราะเธอออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุน ‘ปาเลสไตน์’

‘UTA’ เอเจนซีดาราฮอลลีวูดชื่อดัง ประกาศฉีกสัญญาของ ‘ซูซาน ซาแรนดอน’ ดาราฮอลลีวูดรุ่นใหญ่ชื่อดังมากฝีมือ ดีกรีรางวัลออสการ์เป็นที่เรียบร้อย เพียงเพราะเธอแสดงจุดยืนสนับสนุนกลุ่มปาเลสไตน์ โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์ที่มีการใช้กำลังทหารโจมตีฉนวนกาซา จนตอนนี้มียอดผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์พุ่งขึ้นถึง 13,000 คน

สื่ออเมริกันรายงานว่า ‘ซูซาน ซาแรนดอน’ แสดงจุดยืนเคียงข้างฝ่ายปาเลสไตน์ และ เข้าร่วมเดินขบวนกับกลุ่มผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ในมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อย่างน้อย 2 ครั้ง พร้อมได้กล่าวคำปราศรัยต่อหน้าฝูงชนอีกด้วย ซึ่งในส่วนหนึ่งของคำปราศรัย เธอได้กล่าวว่า…

“ในตอนนี้ มีคนจำนวนมากกลัวที่จะเป็นคนยิว และเริ่มรับรู้ถึงรสชาติของการเป็นชาวมุสลิมในประเทศนี้”

นอกจากนี้ ซูซาน ซาแรนดอน ยังให้กำลังใจชาวอเมริกันที่ออกมายืนหยัด และต่อสู้เพื่อชาวปาเลสไตน์ว่า ผู้คนเริ่มตั้งคำถาม และหาข้อมูลเกี่ยวกับปาเลสไตน์มากขึ้น และเริ่มรับรู้ถึงการล้างสมองของรัฐบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กแล้ว เธอจึงต้องการสนับสนุนให้ผู้ที่เห็นด้วย ออกมาร่วมชุมนุมอย่างเข้มแข็ง อดทน และกล้าที่จะพูดออกมา พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณชาวยิวในสหรัฐฯ ที่ออกมาช่วยเหลือกิจกรรมเพื่อชาวปาเลสไตน์ในครั้งนี้อีกด้วย

การแสดงออกของ ซูซาน ซาแรนดอน ทำให้เธอถูกโจมตีว่า ‘ฝักใฝ่ลัทธิต่อต้านชาวยิว’ ซึ่งเธอปฏิเสธมาตลอดว่า “ไม่ใช่!!”

แต่จุดยืนของเธอคือ ‘ต่อต้านสงคราม ลัทธิเผด็จการ และการกดขี่’ มาโดยตลอด และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า นอกจากการเป็นนักแสดงคุณภาพ เจ้าของรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ‘Dead Man Walking’ ในปี 1995 และคว้ารางวัลด้านการแสดงอีกนับไม่ถ้วน เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และการต่อต้านสงครามตัวยง นอกจากนี้ เธอยังเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ‘ทูตสันถวไมตรี’ อย่างเป็นทางการขององค์กร ‘UNICEF’ มาแล้ว

แต่เมื่อเธอออกมาประกาศจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์ เพราะไม่ต้องการเห็นการโจมตีพลเรือนในฉนวนกาซา กลับเป็นเหตุให้เธอ ‘ถูกยกเลิกสัญญา’ จากเอเจนซี ที่ดูแลเธอมานานตั้งแต่ปี 2014

และไม่ใช่แค่ ซูซาน ซาแรนดอน เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากการออกมาสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ล่าสุด ‘เมลิสซา บาร์เรลา’ นักแสดงและนักร้องสาวเชื้อสายเม็กซิกัน หนึ่งในนักแสดงนำจาก ‘Scream VI’ ถูก ‘Spyglass’ บริษัทผู้สร้าง ตัดเธอออกจากทีมนักแสดงหนังสยองขวัญภาคต่อ ‘Scream VII’ ด้วยข้อกล่าวหาว่า ‘เธอเป็นพวกฝักใฝ่ลัทธิต่อต้านยิว’ หลังจากที่เธอได้โพสต์ข้อความลงใน Instagram สนับสนุนปาเลสไตน์ และกล่าวหาปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซาว่าเป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

รวมถึง ‘มาฮา ดาห์ฮิล’ หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของ ‘CAA’ บริษัทเอเจนซียักษ์ใหญ่อีกแห่งของฮอลลีวูด ที่ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง เพียงเพราะเธอโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสงครามระหว่าง ‘อิสราเอล-ฮามาส’ ผ่าน Instagram ด้วยข้อความสั้นๆ ว่า “คุณเริ่มรู้แล้วหรือยัง? ว่าใครกันแน่ที่สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” แม้ในเวลาต่อมาเธอจะได้ออกมากล่าวขอโทษ และลบโพสต์ของเธอไปในภายหลังแล้วก็ตาม

จึงทำให้รู้ว่า แม้ในประเทศเสรีอย่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ ก็ใช่ว่าจะมี ‘เสรีภาพในการพูด’ หรือสามารถแสดงความคิดเห็นได้ดั่งใจในทุกเรื่องอย่างที่หลายคนเข้าใจ แม้จะมีเจตนาในการยุติสงคราม และความรุนแรงก็ตาม เพราะทุกที่มีอำนาจทางการเมืองที่เรามองไม่เห็นแอบแฝงอยู่เสมอ

‘กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3’ เปิดพระราชวังบักกิงแฮม-จัดงานเลี้ยง ต้อนรับอาคันตุกะ ‘ปธน.เกาหลีใต้ - 4 สาว BLACKPINK’

(22 พ.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ได้ทรงเปิดพระราชวังบักกิงแฮม งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นในห้องบอลรูมของพระราชวังบักกิงแฮม โดยอาคันตุกะเกาหลีใต้ได้รับการต้อนรับจากกษัตริย์ ราชินี เจ้าชาย และเจ้าหญิง นายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัก และคณะรัฐมนตรี ต้อนรับการมาเยือนของ ยุน ซอก ยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ซึ่งอีกหนึ่งอาคันตุกะเพื่อจัดงานเลี้ยงระดับประมุขแห่งรัฐ โดยภายในงานนี้มี 4 สาวสมาชิกวงเคป็อปชื่อดังระดับโลก 'BLACKPINK' 

ขณะทรงให้การต้อนรับประธานาธิบดี ยุน ซอก ยอล ของเกาหลีใต้นั้น กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงชื่นชมวัฒนธรรมสมัยนิยมของเกาหลีใต้ โดยทรงตรัสถึง 'BLACKPINK' และ BTS 

พระราชดำรัสในงานเลี้ยงทรงยกย่องวัฒนธรรมเกาหลีใต้ว่า "มีความสามารถอันน่าทึ่งในการกระตุ้นจินตนาการ" แม้ว่าพระองค์จะทรงยอมรับว่าไม่ค่อยเข้าพระทัยสิ่งที่เรียกว่ากังนัมสไตล์มากเท่าไหร่นัก

กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงตรัสชื่นชม 4 สาว BLACKPINK ว่า "เป็นแรงบันดาลใจสุดพิเศษที่ได้เห็นคนรุ่นใหม่ของเกาหลีโอบรับประเด็นนี้ ข้าพเข้าขอชื่นชม เจนนี่ จีซู ลิซ่า และโรเซ่ ซึ่งรู้จักกันดีในนาม #BLACKPINK สำหรับบทบาทของพวกเธอ ในการส่งสารแห่งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมไปสู่ผู้คนทั่วโลกในฐานะทูต”

‘ลาว’ เร่งศึกษาการสร้าง ‘ฟาร์มกังหันลม-สถานีไฟฟ้าย่อย’ หากแล้วเสร็จ จะกลายเป็นแหล่งพลังงานของอาเซียน

(21 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานีโทรทัศน์แห่งชาติลาวเปิดเผยว่า ลาวเตรียมศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการสร้างฟาร์มกังหันลม และสถานีไฟฟ้าย่อย ขนาด 500 กิโลโวลต์เพื่อจ่ายไฟฟ้า ในแขวงสะหวันนะเขตทางตอนใต้

ข้อตกลงดังกล่าวลงนามเมื่อวันที่ 13 พ.ย. โดยสถาบันดิต อินซีเซียนใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของลาว คำสะหวัด บุนวิไล กรรมการผู้จัดการบริษัท นาเซง-วาโย รีนิวเอเบิล รีซอร์ส เดเวลอปเมนต์ แอนด์ อินเวสเมนต์ และโลแกน น็อกซ์ ตัวแทนของยูพีซี เวียดนาม (สิงคโปร์)

การศึกษานี้จะดำเนินการที่เขตวีละบูลี อาดสะพอน และพินของแขวงสะหวันนะเขต ซึ่งอยู่ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาวไปทางใต้ประมาณ 400 กิโลเมตร โดยเป็นความร่วมมือระหว่างยูพีซี รีนิวเอเบิล เอเนอร์จี (UPC Renewable Energy) และบริษัท นาเซง-วาโย รีนิวเอเบิล รีซอร์ส เดเวลอปเมนต์ แอนด์ อินเวสเมนต์ ของลาว

รายงานระบุว่ามีการวางแผนสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด 500 กิโลโวลต์ เพื่อเอื้อการส่งพลังงานที่ผลิตขึ้นจากพลังงานลมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

ยูพีซี รีนิวเอเบิล เอเนอร์จี คอมปานี คาดว่าจะดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังงานนี้โดยสอดคล้องตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมสูงสุดของลาว ควบคู่กับมาตรฐานการปฏิบัติงานที่กำหนดโดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) โดยต่อยอดจากประสบการณ์ของบริษัทฯ ในด้านการพัฒนาโครงการพลังงานลม และศักยภาพการจัดหาแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

หากโครงการข้างต้นประสบความสำเร็จ แขวงสะหวันนะเขตจะเป็นที่ตั้งของฟาร์มกังหันลมขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง และกลายเป็นแหล่งพลังงานสำหรับภูมิภาคด้วยการใช้งานสถานีไฟฟ้าย่อย 500 กิโลโวลต์และระบบจ่ายไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของอาเซียน

‘จาเวียร์ มิเลย์’ ผู้นำ ‘อาร์เจนตินา’ คนล่าสุด อาสาพาประเทศขึ้นรถไฟเหาะ ชูนโยบายสุดขั้ว!! ทิ้ง ‘เงินเปโซ’ หันมาใช้ ‘เงินดอลลาร์-บิตคอยน์’ แทน

กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก กับผลการเลือกตั้งล่าสุดของอาร์เจนตินา ที่ได้ผู้นำคนใหม่ ‘จาเวียร์ มิเลย์’ นักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมสุดขั้ว ที่ประกาศตัวว่าเป็น ‘เจ้าป่า’ ที่ไม่ได้มาเล่นเพื่อเลี้ยงแกะ แต่มาเพื่อปลุกอาร์เจนตินาให้กลายเป็น ‘สิงห์โต’ ที่ยิ่งใหญ่แห่งอเมริกาใต้อีกครั้ง

จาเวียร์ มิเลย์ ถือเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำอาร์เจนตินา ที่โดดเด่นเป็นที่จับตาอย่างมาก ทั้งสไตล์การพูดจากที่โผงผาง ดุดัน ไม่เกรงใจใคร อีกทั้งบุคลิกหลุดโลก จนทำให้หลายคนตั้งฉายาให้เขาว่าเป็น ‘คนบ้า’ บ้าง ‘มนุษย์วิก’ บ้าง ด้วยทรงผมที่ดูคล้าย ‘วูฟว์เวอรีน’ ตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดัง

แต่เขาปฏิเสธว่าตนไม่ใช่คนบ้า และไม่ใช่ฮีโร่ แต่เป็น ‘มนุษย์เลื่อยไฟฟ้า’ (Chainsaw Man) ที่มาเพื่อผ่าวิกฤติเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาให้สิ้นซาก ที่ติดกับดักภาวะเงินเฟ้อด้วยเลข 3 หลัก (ปัจจุบันอยู่ที่ 143%) และอัตราความยากจนพุ่งขึ้นถึง 40% มาเป็นเวลานาน และได้ใช้เลื่อยไฟฟ้าเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเขาในช่วงหาเสียง

นอกจากบุคลิกจะหลุดโลกแล้ว นโยบายที่นำเสนอก็สุดขั้วตกขอบเช่นกัน โดยตัวเขานิยามตัวเองเป็นนักเศรษฐศาสตร์แนว ‘ทุนนิยมอนาธิปไตย’ ที่สนับสนุนการยกเลิกระบบอำนาจรัฐแบบรวมศูนย์ แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเสรีอย่างเต็มที่ ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นหนทางที่จะปลดล็อกเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาให้เติบโตอย่างเสรีได้

จาเวียร์ มิเลย์ สัญญาว่าจะผ่อนปรนกฎหมายแรงงาน เพื่อให้อิสระแก่แรงงาน และผู้ประกอบการ และตั้งเป้ายุบกระทรวงลงกว่าครึ่ง เพื่อลดบทบาทการควบคุมของรัฐบาลให้น้อยลงให้มากที่สุด ซึ่ง 2 กระทรวงหลักที่คาดว่าจะถูกยุบก็คือ ‘สาธารณสุข’ และ ‘ศึกษาธิการ’ อีกด้วย

อีกทั้งนำเสนอวิธีแก้ไขเงินเฟ้อเรื้อรังของอาร์เจนตินา ด้วยการทิ้ง ‘เงินสกุลเปโซ’ ของชาติ แล้วไปใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แทน และจะถอนตัวจากการเข้าร่วม ‘กลุ่มพันธมิตรเศรษฐกิจใหม่’ (BRICS) ที่มีแกนนำ 5 ชาติได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ อีกทั้งยังประกาศลดระดับด้านการค้ากับจีน โดยเขากล่าวอย่างแข็งกร้าวว่าไม่ต้องการคบค้ากับ ‘พวกนักฆ่า’ ซึ่งหมายถึง ‘ประเทศจีน’ นั่นเอง

และด้วยนโยบายที่สุดโต่ง และดุดัน ทำให้ จาเวียร์ มิเลย์ เป็นที่นิยมในกลุ่มหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ชาวอาร์เจนตินา ที่เทคะแนนให้เพราะคาดหวังความเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว และการทลายกำแพงของกลุ่มทุนนิยม และกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองแบบเก่า จน จาเวียร์ มิเลย์ สามารถคว้าชัยชนะเลือกตั้งใหญ่ในอาร์เจนตินา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2566 ได้อย่างงดงาม ด้วยคะแนน 55.69%

เมื่ออาร์เจนตินา ได้ผู้นำคนใหม่กับนโยบายที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ หลายคนจึงคาดการณ์ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอาร์เจนตินาในปีหน้า 2024 ตามนโยบายที่ จาเวียร์ มิเลย์ ได้สัญญาไว้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทิ้งเงินเปโซ มาใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินสกุลหลัก ที่ จาเวียร์ มิเลย์ มองว่าเป็นหนทางที่จะแก้ปัญหาค่าเงินเฟ้อในอาร์เจนตินาได้ และจะทำให้สำเร็จภายในปี 2025 ด้วย รวมถึงบทบาทของธนาคารกลาง ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องถูกลดบทบาท (หรืออาจจะถูกยุบด้วยซ้ำ) พร้อมการรับเงินดิจิทัล อาทิ ‘บิตคอยน์’ เข้ามาใช้ในการทำธุรกรรมอย่างเต็มรูปแบบในระบบเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา

รวมถึงนโยบายต่างประเทศที่ จาเวียร์ มิเลย์ ประกาศชัดเจนว่าจะพาประเทศไปเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล อย่างเปิดเผย ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดสัมพันธ์ด้านการค้ากับจีน อีกทั้งการลดระดับความสัมพันธ์กับรัสเซีย เพื่อสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มตัวในสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และการประกาศศึกแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘บราซิล’ เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าป่าหนึ่งเดียวในทวีปอเมริกาใต้นั่นเอง

นับเป็นความทะเยอทะยานอันร้อนแรงของผู้นำป้ายแดงแห่งอาร์เจนตินา กับนโยบายสุดขั้ว เพื่อต้องการพลิกประเทศจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่ทำให้ชาวอาร์เจนตินาในตอนนี้เหมือนกำลังขึ้นรถไฟเหาะแห่งความเปลี่ยนแปลง ที่มีทั้งอารมณ์ ‘ตื่นเต้น’ และ ‘ตื่นกลัว’ ว่าผลงานของ ผู้นำ ‘มนุษย์เลื่อยไฟฟ้า’ (Chainsaw Man) จะได้ออกมาเป็น ‘ไม้เนื้องาม’ หรือ ‘ขี้เลื่อย’

‘อิหร่าน’ ผลิตยารักษา ‘โรคหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน’ สำเร็จ ขึ้นแท่น ‘ผู้ผลิตรายที่ 2 ของโลก’ รองจากสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันนี้ ‘อิหร่าน’ สามารถผลิตยา ‘Alteplase (Altelyse)’ ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลันได้สำเร็จ โดยกลายเป็นผู้ผลิตรายที่ 2 ต่อจากสหรัฐอเมริกา

ไม่นานมานี้มีพิธีเปิดตัวสายการผลิตยาที่สามารถสลายลิ่มเลือด ช่วยฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง และป้องกันภาวะแทรกซ้อนและความพิการในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยบริษัท Arena Life Science ของอิหร่าน

นอกจากนี้ Alteplase ยังใช้สำหรับการรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจวายเฉียบพลันและหลอดเลือดอุดตันที่ปอดขนาดใหญ่ที่การไหลเวียนโลหิตมีความไม่แน่นอนอีกด้วย โดยการผลิตยาชนิดนี้ทำให้สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านสามารถประหยัดเงินได้เฉลี่ย 10 ล้านเหรียญต่อปี

Rouhollah Dehghani รองประธานาธิบดีอิหร่านด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และองค์ความรู้ ซึ่งเข้าร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย กล่าวว่า อิหร่านต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายในการนำเข้า Alteplase  “ด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิคของบริษัทที่เน้นการค้นคว้าวิจัยสร้างองค์ความรู้ ยาที่สำคัญและสำคัญมาก ๆ ซึ่งการผลิตถูกผูกขาดโดยบริษัทอเมริกัน สามารถผลิตขึ้นภายในประเทศเพื่อก้าวผ่านมาตรการคว่ำบาตร” 

เขากล่าวสรุปว่า “ปัจจุบัน อิหร่านเป็นที่รู้จักในฐานะประเทศที่สองที่สามารถผลิตยา Alteplase (Altelyse)”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อิหร่านมีความก้าวหน้าอย่างมากในทางการแพทย์ โดยสินค้าด้านเภสัชกรรมของอิหร่านส่วนใหญ่ใช้ประเทศและการส่งออกไปยังหลายประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

‘เกาหลีเหนือ’ แจ้ง ‘ญี่ปุ่น’ เตรียมปล่อย ‘ดาวเทียมสอดแนม’ ครั้งที่ 3 เมินคำเตือน ‘เกาหลีใต้-สหประชาชาติ’ ปะทุความตึงเครียดในภูมิภาค

(21 พ.ย. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์ และ สำนักข่าวสเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า หน่วยยามชายฝั่งของญี่ปุ่นแถลงว่า ได้รับแจ้งจากทางการเกาหลีเหนือ ว่ามีกำหนดจะปล่อย ดาวเทียมสอดแนม ในช่วงวันที่ 22 พ.ย. ถึงวันที่ 1 ธ.ค. ทั้งยังระบุด้วยว่า จะมีเส้นทางมุ่งหน้าไปยังทะเลเหลืองและทะเลตะวันออก

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลเกาหลีใต้แถลงเตือนว่า จะใช้มาตรการตอบโต้ หากเกาหลีเหนือเดินหน้าปล่อยดาวเทียมสอดแนมครั้งใหม่ ซึ่งเป็นครั้งที่ 3

ภายหลังความพยายาม 2 ครั้งแรกเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาล้มเหลว จากนั้นประกาศอีกว่าจะปล่อยดาวเทียมสอดแนมเป็นครั้งที่ 3 ในเดือนต.ค. แต่สุดท้ายก็เลื่อนออกไปกระทั่งแจ้งกำหนดล่าสุด

ทั้งนี้ เกาหลีเหนือออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 20 พ.ย. ประณามถึงความเป็นไปได้ที่สหรัฐอเมริกาจะขายขีปนาวุธหลายร้อยลูกให้กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทั้งยังตำหนิว่า ‘เป็นการกระทำที่อันตราย’ ที่ทำให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาค และนำมาซึ่งการแข่งขันทางอาวุธครั้งใหม่

สำนักข่าวเคซีเอ็นเอ ยังระบุจากกระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือด้วยว่า จะเพิ่มมาตรการสร้างการป้องปราม และตอบสนองต่อความไม่มั่นคงในภูมิภาคที่มีต้นตอมาจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร

‘ไทย’ หนุนเส้นทางท่องเที่ยว-โชว์มนต์เสน่ห์ ‘ภาคอีสาน’ ชูวัฒนธรรม-ยกระดับผลิตภัณฑ์-งานหัตถศิลป์สู่ตลาดจีน

(20 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, คุนหมิง รายงานว่า คุณสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และคุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้นำคณะผู้แทนบริษัทผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยมากกว่า 20 แห่ง เข้าร่วมงาน ‘ไชน่า อินเตอร์เนชันแนล ทราเวล มาร์ต’ (China International Travel Mart) ปี 2023 ซึ่งจัดขึ้นที่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อวันที่ 17-19 พ.ย. ที่ผ่านมา

คุณฐาปนีย์ กล่าวว่า การเข้าร่วมงานครั้งนี้ มุ่งนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่สู่ตลาดจีน ภายใต้แนวคิด ‘ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ยิ่งเที่ยวยิ่งสนุก’ โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถโดยสารรถไฟจีน-ลาว มาท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานของไทย ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวฯ ยังจัดการแสดงรำไทย การนวดแผนโบราณ และการทำงานหัตถศิลป์ ที่พาวิลเลียนไทย เพื่อนำเสนอขนบธรรมเนียมและมนต์เสน่ห์วัฒนธรรมภาคอีสานด้วย

คุณสุดาวรรณ เผยว่า ไทยให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับจีน ในด้านการลงทุนทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการท่องเที่ยว ขณะที่งานนี้ถือเป็นนิทรรศการจัดแสดงขนาดใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจีน รวมถึงเป็นเวทีสำหรับบริษัทผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย ได้ติดต่อสื่อสารกับบรรดาผู้มีบทบาทในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจีน ส่งเสริมผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวของไทยแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน และขยายส่วนแบ่งในตลาดจีน

ทั้งนี้ คุณสุดาวรรณ เสริมว่า ไทยดำเนินมาตรการฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน ระยะ 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. เป็นต้นมา พร้อมกับพยายามยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการบริการทางการท่องเที่ยว ดำเนินมาตรการรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอย่างแข็งขัน เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในไทย ช่วยให้นักท่องเที่ยวชาวจีนได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวอันยอดเยี่ยม สร้างความประทับใจที่ดีแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน

การท่องเที่ยวฯ ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยในปีนี้รวมอยู่ที่ 2.86 ล้านคน เมื่อนับถึงวันที่ 9 พ.ย. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวคนหนุ่มสาวที่เดินทางมาท่องเที่ยวด้วยตนเอง โดยการท่องเที่ยวฯ จะเดินหน้าสร้างสรรค์ภาพลักษณ์เชิงบวกของการท่องเที่ยวไทย เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนได้ดียิ่งขึ้น

รักษาการซีอีโอ ‘ChatGPT’ จ่อพา ‘อัลท์แมน’ กลับมาอีกครั้ง หลังเผชิญความกดดันหลายฝ่าย เหตุไม่ปลื้ม!! ที่มีมติปลดออก

(20 พ.ย. 66) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นางสาวมิร่า มูราติ (Mira Murati) ซีอีโอชั่วคราวของ OpenAI ผู้พัฒนาแชตบอตพลิกโลกเทคโนโลยีอย่าง ‘ChatGPT’ วางแผนที่จะพา ‘นายแซม อัลท์แมน’ (Sam Altman) ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอกลับมาดำรงตำแหน่งในบริษัทอีกครั้ง

หลังจากคณะกรรมการของ OpenAI มีมติปลดนายอัลต์แมนในเช้าวันที่ 18 พ.ย.66 ตามเวลาไทย ก็มีเสียงคัดค้านตามมาจากหลายฝ่ายโดยเฉพาะผู้บริหารและนักลงทุนของ OpenAI ที่พยายามหาทางคืนสถานะซีอีโอให้กับนายอัลต์แมน

และการที่นายอัลต์แมนต้องลงจากตำแหน่งซีอีโอของ OpenAI ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ตามมามากมาย เช่น นายเกร็ก บร็อกแมน (Greg  Brockman) ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท รวมถึงพนักงานระดับสูงอีกหลายคนก็ตัดสินใจลาออกตาม

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า คณะกรรมการของ OpenAI กำลังหารือในประเด็นที่จะให้นายอัลต์แมนกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง แต่มีเงื่อนไขคือต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริหารจัดการ และถอดถอนคณะกรรมการชุดเดิมทั้งหมด โดยผู้บริหารและนักลงทุนของ OpenAI ได้ขีดเส้นตายให้คณะกรรมการรับข้อเสนอภายใน 17.00 น. ของวันที่ 19 พ.ย.66 ตามเวลาท้องถิ่นในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

รายงานข่าวระบุว่า นางสาวมูราติได้ตัดสินใจท่ามกลางความกดดันจากผู้บริหารและนักลงทุนของ OpenAI ที่ไม่พอใจกับมติการปลดนายอัลต์แมน รวมถึงคณะกรรมการที่เหลือยังคงพยายามทาบทามและสรรหาบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นซีอีโอคนใหม่อยู่

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ปมปัญหาสำคัญที่ทำให้นายอัลต์แมนต้องลงจากตำแหน่งมาจากการที่นายอัลต์แมนพยายามผลักดันให้ OpenAI เติบโตในเชิงพาณิชย์และเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งขัดกับวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งบริษัทที่จะเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ

ความแตกต่างของเป้าหมายในการบริหารงานน่าจะทำให้คณะกรรมการเกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน AI ที่อาจจะกระทบกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ และนำไปสู่การตัดสินใจในมติดังกล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดปัจจุบันของ OpenAI ประกอบไปด้วยนายอิลยา สุตสกีเวอร์ (Ilya Sutskever) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ OpenAI, นายอดัม ดีแอนเจโล (Adam D’Angelo) ซีอีโอ Quora, นางทาช่า แมคคอลีย์ (Tasha McCauley) ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี และนางสาวเฮเลน โทเนอร์ (Helen Toner) จาก Georgetown Center for Security and Emerging Technology

‘ชายวัย 69 ปี’ กระโดดลงน้ำแบบไม่คิดชีวิต!! หลังพบคนขับรถจมน้ำ สุดท้ายปลอดภัยทั้งคู่

เมื่อวานนี้ (19 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ชายชาวจีน วัย 69 ปี ได้กระโดดลงแม่น้ำสายท้องถิ่นมณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เพื่อช่วยชีวิตคนขับรถยนต์ที่กำลังจะจมน้ำ โดยทั้งสองได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนที่สัญจรผ่านมาและกลับเข้าสู่ฝั่งอย่างปลอดภัย

‘ญี่ปุ่น’ เตือน!! นทท.ในโตเกียว ระวัง ‘แท็กซี่ไร้ใบอนุญาต’ เหตุเสี่ยงไม่ปลอดภัย หลังความต้องการใช้บริการขนส่งสูงขึ้น

รัฐบาลญี่ปุ่นออกโรงเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังการใช้บริการรถแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาต หลังความต้องการใช้บริการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นในกรุงโตเกียว เนื่องจากยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งทะยานขึ้น

(20 พ.ย. 66) หนังสือพิมพ์ไมนิจิ ชิมบุนรายงานในวันเสาร์ที่ 18 พ.ย. ว่า เจ้าหน้าที่จากกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่นได้เผยแพร่ใบปลิวคำเตือนเรื่องการใช้บริการรถแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาตเป็นภาษาอังกฤษและจีนที่สนามบินนาริตะในกรุงโตเกียวเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพ.ย.

ใบปลิวดังกล่าวระบุว่า รถแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาตนั้นทั้งผิดกฎหมายและไม่ปลอดภัย พร้อมกล่าวเสริมว่า ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุขณะโดยสารรถแท็กซี่เหล่านี้อาจไม่ได้รับการคุ้มครองจากบริษัทประกันภัย

ขณะเดียวกัน ใบปลิวดังกล่าวได้ระบุถึงความแตกต่างระหว่างรถแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตและไม่มีใบอนุญาต โดยแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตจะมีป้ายทะเบียนสีเขียว ส่วนแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาตจะมีป้ายทะเบียนสีขาว

นายมิตสึเตรุ ยานาเสะ หัวหน้าสำนักงานของกระทรวงคมนาคมญี่ปุ่นประจำจังหวัดชิบะระบุว่า “เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยด้านการเดินทาง เราจึงต้องการให้นักเดินทางใช้รถแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตและยานพาหนะที่ได้รับการจัดการมาเป็นอย่างดี”

แม้บริษัทให้บริการเรียกรถรับส่งผ่านทางแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ เช่น อูเบอร์และแกร็บ ได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายประเทศ แต่ญี่ปุ่นยังคงไม่อนุญาตให้รถที่ไม่มีใบอนุญาตรับส่งผู้โดยสาร โดยปัจจุบันอูเบอร์เปิดให้บริการในญี่ปุ่น แต่ใช้ในการเรียกรถแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตเท่านั้น

‘จีน’ จ่อขึ้นแท่น ‘ผู้ส่งออกรถยนต์’ รายใหญ่สุดของโลกปีนี้ หลัง 10 เดือนแรกยอดแตะ 3.9 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.7

เมื่อวานนี้ (18 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจ้าหน้าที่สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน รายงานว่าจีนจะกลายเป็นผู้ส่งออกยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกภายในปีนี้อย่างแน่นอน ขณะปริมาณการส่งออกยานยนต์ของจีน ช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคมของปีนี้ สูงแตะ 3.9 ล้านคัน

หวังเซี่ย หัวหน้าสภาย่อยด้านยานยนต์ของสภาส่งเสริมฯ กล่าวคำข้างต้นที่งานจัดแสดงยานยนต์นานาชาติแห่งกว่างโจว ครั้งที่ 21 โดยหวังเผยว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนได้ก้าวสู่ความเป็นสากลอย่างแข็งแกร่ง แม้สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศมีความซับซ้อน

อนึ่ง ปริมาณการส่งออกยานยนต์ของจีนในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้ รวมอยู่ที่ 1.07 ล้านคัน ซึ่งแซงหน้าญี่ปุ่นจนกลายเป็นผู้ส่งออกยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกครั้งแรก ส่วนปริมาณการส่งออกในช่วงสิบเดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.7 เมื่อเทียบปีต่อปี รวมอยู่ที่ 3.92 ล้านคัน

ราคาส่งออกยานยนต์ต่อคันในช่วงสามไตรมาสแรก (มกราคม-กันยายน) ของปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 137,000 หยวน (ราว 685,000 บาท) จาก 85,000 หยวน (ราว 425,000 บาท) ในปี 2014

หวัง กล่าวว่า มูลค่าการส่งออกของห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์จีนในปี 2001 อยู่ที่เพียง 1.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.52 หมื่นล้านบาท) ครองส่วนแบ่งโลกเพียงร้อยละ 0.65 แต่มูลค่าดังกล่าวในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคมของปีนี้สูงเกือบ 1.22 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.31 ล้านล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 5.5 ของทั้งหมดทั่วโลก

หวัง เสริมว่า ตลาดยานยนต์ของจีนจะมีการเติบโตใหม่ๆ ตามการดำเนินชุดนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการบริโภค รวมถึงการทยอยฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top