Sunday, 22 June 2025
SPECIAL

จับตา!! ความร้อนแรง ‘พรรคเพื่อไทย’ ใต้จังหวะระเบิดสังหาร ‘เศรษฐา’ เริ่มก่อตัว

จากผล นิด้าโพล เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มี.ค.2566 ถ้าพูดจาภาษานักเลงม้า ก็ต้องบอกว่า พรรคเพื่อไทยเข้าป้ายทั้งวินทั้งเพลส...

‘อุ๊งอิ๊ง’ เป็นนายกฯที่ 38.20% ส.ส.เขต มาอันดับ1 ที่ 49.75 ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็มาอันดับ1 ที่ 49.85%

ทิ้งห่างอันดับ 2 (พิธา -ก้าวไกล) และอันดับ 3 (บิ๊กตู่ - รวมไทยสร้างชาติ) มากกว่าเท่าตัว…

โอ้!มายก๊อด...!! โพลออกมาแบบนี้ ดีไม่ดี ผอ.นิด้าโพล ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ อาจจะถูกนินทาว่ามีนอกมีในกันกับใครในเพื่อไทยหรือเปล่า?

แต่เท่าที่อยู่ในวงการสื่อมานานพอประมาณ...เชื่อว่าคนอย่าง ดร.สุวิชา ไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน..!!

อย่างไรซะ ทั้งหลายทั้งปวงก็อย่าเพิ่งไปปักใจกับโพลทั้งหมด....อันว่าม้าแข่งนั้นวิ่งกันประมาณ1,200 เมตร  บางตัว ตอนออกตัวนำมาครึ่งค่อนข้างทาง แต่สุดท้ายก็แผ่วเอาดื้อๆ โดนเพื่อนแซงกลายเป็นม้าตีนต้น...ศึกเลือกตั้งก็เช่นเดียวกันยุบสภา แล้วต้องสัประยุทธ์กันอีกเกือบ 2 เดือน จึงจะหย่อนบัตร

แต่ก็นั่นแหละยังไงๆ ไม่ต้อง นิด้าโพล หรอก..เลือกตั้งหนนี้ ม้าที่ชื่อ เพื่อไทย ก็เข้าทั้งวินทั้งเพลส เป็นแชมป์เลือกตั้งวันยังค่ำ...แบบไม่มีใครมาเบียดได้…

แล้วก็ต้องยอมรับว่าการไปบุกแนวรบด้านตะวันออกชลบุรีและระยอง เมื่อวันที่ 18 -19 มี.ค.ทำให้กองเชียร์และนักรบฮึกเหิมขึ้นมาก…

ทว่า น่าเสียดายที่ ‘แม่ทัพ’ อย่าง ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร  ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯหมายเลข 1 ท้องแก่ อีก3วันก็ครบ8เดือนแล้ว คงเดินทางหาเสียงไม่สะดวก จะใช้โทรศัพท์-วิดีโอคอลล์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ล้ำยุคแค่ไหนก็ไม่ได้น้ำได้เนื้อเท่ามาเจอตัวเป็นๆ...

ครั้นจะพึ่งพาแคนดิเดตนายกฯ หมายเลข 2 อย่าง เศรษฐา ทวีสิน  ซึ่งผ่านการทดสอบมาแล้ว4-5 เวทีปราศรัย แม้กรรมการจะยกธงให้ ‘ผ่าน’ ก็จริง แต่มีการกระซิบกันหนาหูว่า อีกไม่นานนับจากนี้ข้อมูลประเภทระเบิดสังหารเศรษฐา จะทะลักไหลออกมา จนอาจทำให้คนสูง192ซม.ทรุดฮวบ…

...เรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับผู้หญิง...เงื่อนปมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์…ฯลฯ

ว่ากันว่าที่ จตุพร พรหมพันธุ์ แพลมๆ เรื่อง ‘ขงเบ้ง’ หรือ เสี่ยเบ้ง นั้นเป็นแค่น้ำจิ้ม…     

‘เพชรรัตน์ ก้าวไกล’ รุดช่วยชาวเชียงใหม่ประสบภัยพายุลูกเห็บ ย้ำ!! บทบาทท้องถิ่นสำคัญ สามารถช่วยปชช. ได้ทันท่วงที

‘พลอย เพชรรัตน์’ ก้าวไกลเชียงใหม่ เขต 1 เร่งประสานช่วยเหลือประชาชน หลังพายุลูกเห็บถล่ม พบ ต.ฟ้าฮ่าม เสียหายกว่า 6,000 หลังคาเรือน ชี้โดมความร้อนเป็นเหตุ ในอนาคตมีโอกาสเกิดซ้ำ ระยะยาวต้องสร้างระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า ย้ำนโยบาย ‘ก้าวไกล’ หนุนกระจายอำนาจ เพิ่มงบท้องถิ่นรับมือสถานการณ์

(20 มี.ค.66) เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีเกิดวาตภัยสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ของ จ.เชียงใหม่ ว่าจากการลงพื้นที่ร่วมกับเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) พบว่าความเสียหายเกิดขึ้นใน 2 ส่วนหลัก คือบ้านเรือนของประชาชน และเสาไฟฟ้าหักโค่น โดย ต.ฟ้าฮ่าม อ.เมือง เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เกิดความเสียหายมากที่สุด หมู่บ้านที่ประสบปัญหาหนัก ประกอบด้วยหมู่ 1,2,3, และ 5 บ้านเรือนเสียหายจนแทบอาศัยอยู่ในบ้านไม่ได้ และทั้งหมด 7 หมู่บ้านใน ต.ฟ้าฮ่าม เกิดความเสียหายกว่า 6,000 หลังคาเรือน

เพชรรัตน์ กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชนของหน่วยงานในท้องถิ่นว่า ตอนนี้ทางเทศบาลตำบลฟ้าฮ่ามได้ตั้งศูนย์ประสานงานชั่วคราว ยังคงรับบริจาคกระเบื้องมุงหลังคาเพื่อมอบให้พี่น้องในชุมชน รวมถึงน้ำดื่มสะอาด อาหารพร้อมทาน และเครื่องปั่นไฟชั่วคราวตามหมู่บ้าน เพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นการเฉพาะ ขณะที่พรรคก้าวไกลได้เร่งประสานงานระหว่างบุคคลทั่วไปที่ต้องการช่วยเหลือคนในพื้นที่ ระดมอาหาร เครื่องปั่นไฟ จัดส่งให้เทศบาลฯ

‘ปคบ.-สบส.’ รวบ ‘2 หมอเถื่อน’ ลอบเปิดคลินิกรักษาโรค ย่าน กทม.-ปทุม ไม่มีใบอนุญาต อ้าง!! ทำด้วยใจรัก

(20 มี.ค. 66) พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ. ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 2 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจ.ปทุมธานี เพื่อจับกุมคลินิกลักลอบเปิดบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และรักษาโดยแพทย์ซึ่งไม่มีใบประกอบวิชาชีพ จุดแรก เป็นคลินิกเวชกรรม ตั้งอยู่บริเวณถนนราษฎร์พัฒนา เคหะร่มเกล้า 31 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม. เมื่อเจ้าหน้าที่ เข้าไปถึงพบคลินิกดังกล่าวกำลังเปิดให้บริการประชาชน โดยมีนายรัฐภูมิ อายุ 51 ปี แสดงตัวเป็นแพทย์ตรวจรักษา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบสถานพยาบาลดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ และใบอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาล เช่นเดียวกับตัวนายรัฐภูมิ ที่แสดงตัวเป็นแพทย์ ก็ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม

'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกฯ หญิงคนเดียวของประเทศ กับวิบากกรรม 'จำนำข้าว'

ย้อนเวลาไป 12 ปีก่อน การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนมากกว่า 15 ล้านเสียง ได้ส.ส. 265 จาก 500 คน เกินครึ่งของที่นั่งในสภา แต่ที่สำคัญกว่าการชนะเลือกตั้ง คือการผลักดัน 'นายกรัฐมนตรีหญิง' คนแรกของไทยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เธอคือ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' โดยเป็นการพิสูจน์และเปิดประตูความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่น่าเสียดายที่บทส่งท้าย ของประวัติศาสตร์หน้าสำคัญนี้ กลับกลายเป็นความผิดพลาด เกิดวิบากกรรมทางการเมืองที่ทำให้เจ้าตัวยังไม่กลับประเทศไทยจนถึงวันนี้ 

กล่าวถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เธอเป็นบุตรสาวของนายเลิศ ชินวัตร อดีต ส.ส.เชียงใหม่ โดยในบรรดาลูกๆ ทั้ง 10 คนของนายเลิศ หลายคนเดินตามรอยของบิดาในการก้าวเข้าสู่สนามการเมือง ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกฯ ทักษิณ นางเยาวลักษณ์ นางเยาวเรศ นางเยาวภา และนายพายัพ ชินวัตร ส่วนลูกสาวคนสุดท้อง 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' เดิมไม่สนใจการเมืองแต่มุ่งหน้าเติบโตในสายธุรกิจ 

จนเมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ ในราวปลายปี 2551 เข้าสู่ยุคของพรรคเพื่อไทย 'ยิ่งลักษณ์' เป็นทางเลือกแรกของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่จะให้เป็นหัวหน้าพรรคแต่ยังถูกปฏิเสธ ด้วยไม่อยากเข้าสู่การเมืองและสนใจทำธุรกิจเท่านั้น ต่อมาปี 2554 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมือง หลังได้รับการร้องขอให้ลงสมัครรับเลือกตั้งแทน 'ดร.ทักษิณ' พี่ชาย โดยนำทัพพรรคเพื่อไทยสู้ศึกเลือกตั้ง ในฐานะผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และใช้เวลาเพียง 49 วัน พาเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง กรุยทางสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ในวัยเพียง 44 ปี 

นอกจากกระแสความนิยมในตัว 'ดร.ทักษิณ' ที่นำพา 'ยิ่งลักษณ์' ก้าวขึ้นสู่อำนาจแล้ว หากลองดูนโยบายของพรรคเพื่อไทยในช่วงปีนั้นก็ถือว่า หลายนโยบายที่ใช้หาเสียงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางเศรษฐกิจที่เรียกคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งด้วย ทั้งนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท , จบปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท , โครงการรถยนต์คันแรก , ลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก , แจกแท็บเลตให้เด็กนักเรียนให้เข้าถึงคอมพิวเตอร์และการเรียนออนไลน์ รวมถึงนโยบายที่ให้ทั้งคุณและโทษกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั่นคือ 'โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด' 

‘สาวใหญ่’ หลงคารมหนุ่มสายบุญ ให้ยืมเงิน-ซื้อรถป้ายแดง สุดท้ายโดนชิ่ง เจอหมายศาลยึดทรัพย์ ส่งถึงหน้าบ้าน

กำลังถูกยึดทรัพย์ หลงคารมหนุ่มสายบุญ เจอหมายศาลถึงบ้าน โทรไปถามแถไม่หยุด

(19 มี.ค.66) นางเอ (นามสมมติ) อายุ 57 ปี พนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ได้นำเอกสารหลักฐาน และหมายศาลที่ถูกฟ้องยึดทรัพย์ มาร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว หลังถูก นายเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 42 ปี พ่อค้าขายเครื่องราง หลอกยืมเงิน 2 แสนบาท และยังหลอกให้เช่าซื้อรถป้ายแดงให้ สุดท้ายกำลังจะถูกยึดทรัพย์

นางเอ เล่าว่า ตนรู้จักกับ นายเอ็ม เพราะชอบเข้าวัดทำบุญเหมือนกัน ก่อนนับถือเป็นพี่น้อง จากนั้นเมื่อปี 64 นายเอ็ม มาขอยืมเงินตน 200,000 บาท และต้นปี 2565 ก็หลอกให้ใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงให้ โดยอ้างว่าชื่อตัวเองติดแบล็กลิส เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพิษโควิดทำให้ขายของไม่ได้ จนถูกยึดรถยนต์ที่มีอยู่ ทั้งประสบปัญหาขาดทุนขายของไม่ได้ครอบครัวเดือดร้อนไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกน้อยกิน

ด้วยความสงสารจึงยอมให้ยืมเงินและใช้ชื่อเช่าซื้อรถให้ ทั้งเห็นว่าเป็นคนชอบทำบุญจึงเชื่อใจ ประกอบกับ นายเอ็ม รับปากว่าจะรีบหาเงินมาคืนและผ่อนจ่ายค่างวดโดยไม่ให้มีปัญหาแน่นอน แต่เมื่อเดือน พ.ย.65 ก็ได้รับหมายศาลจังหวัดนางรอง เนื่องจากถูกธนาคาร และบริษัทที่ตนใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ยื่นฟ้องเรียกรถยนต์คืน หากไม่มีรถคืนก็ให้จ่ายเป็นเงินแทน เนื่องจาก นายเอ็ม ที่หลอกให้ตนใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ราคาเกือบล้านบาท ไม่ยอมชำระค่างวด หากตนไม่มีรถไปคืนบริษัทหรือหาเงินไปชำระตามหมายศาล ก็จะถูกยึดทรัพย์

'ชัยวุฒิ' ทวนความจำ '30 บาท' ยุค พปชร. ตอบโจทย์ อุดรอยรั่ว '30 บาท' ยุครบ.เสียอำนาจ ที่เอาแต่เคลม

'ชัยวุฒิ' ซัด บางพรรคย้อนอดีต เกลียดปฏิวัติ เหน็บ เพราะเสียอำนาจ เย้ย '30 บาท ตายทุกโรค' ทำวุ่น เคลม รัฐบาลปัจจุบัน ปลดล็อกได้

(19 มี.ค.66) ที่สนามกีฬาสมโภชน์ 700 ปี จ.เชียงใหม่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวปราศรัยตอนหนึ่ง ว่า บางพรรคพูดถึงผลงานตัวเองเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พูดแต่เรื่องเก่า เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค สมัยก่อนมีปัญหามากแถวบ้านตนเรียก 30 บาท ตายทุกโรค เพราะโรงพยาบาลและรัฐบาลเจ๊ง เงินไม่พอ กว่าจะแก้ปัญหามาได้เหนื่อยมาก แต่รัฐบาลนี้ทำมาแล้ว ไม่ต้องไปดูป้ายหาเสียงพรรคไหน เพราะ พรรคพปชร.ทำมาแล้ว 

‘ณัฐวุฒิ’ ต่อสายตรง ‘อุ๊งอิ๊ง’ โฟนอินปราศรัยระยอง อ้อนปชช. เลือกทั้งคนทั้งพรรค ให้เกิดแลนด์สไลด์

เพื่อไทยบุกระยอง ‘เต้น’ ต่อสายตรง ‘อิ๊งค์’ โฟนอินถึงเวทีปราศรัยใหญ่ระยอง บอกคุณหมอขอร้องไม่ให้เดินทางไกล  ด้าน ‘เสี่ยนิด – ชลน่าน’ ประสานเสียงลั่น ตัดญาติขาดมิตรทุกพรรค ขอเทคะแนนให้เพื่อไทยพรรคเดียว

(19 มี.ค.2566) ที่ จ.ระยอง เมื่อเวลา 15.00 น. พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ระยอง พรรค ได้พบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการนักธุรกิจ ที่ร้านอาหารแหลมเจริญ อ.เมือง จ.ระยอง 

จากนั้นเวลา 17.30 น. พรรคเพื่อไทย จัดเวทีปราศรัย ที่ลานหมู่บ้านเพลินใจ 5 (ข้างขนส่งใหม่) อ.เมือง จ.ระยอง นำโดย นพ.ชลน่าน, นายเศรษฐา ,นพ.พรหมินทร์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัครส.ส.ระยอง 5 เขต ประกอบด้วย นายพเนตร วงษ์ไพศาล ,นายภีมเดช อมรสุคนธ์ ,นายชัยณรงค์ สันทัสนะโชค, นายวิเชียร สุขเกิด และนายวิชัย ล้ำสุทธิ โดยมีประชาชนเดินทางมารับฟังการปราศรัยเต็มพื้นที่ 

โดยนพ.ชลน่าน ปราศรัยว่า ตนเองตื้นตันใจที่พี่น้องชาวระยองมากันอย่างเนืองแน่น ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ฯ ระบุว่าพี่น้องชาวระยองมีรายได้ต่อหัว 1.1 ล้านบาทต่อปี ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ แต่เมื่อไปคุยกับชาวบ้านบางส่วน บอกว่าเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น ดังนั้นขอให้พี่น้องที่มีรายได้ไม่ถึง 2 หมื่นบาท ตกลงปลงใจมาจับมือกับพรรคพท. เราจะสร้างรายได้ให้พี่น้องเกิน 2 หมื่นบาท วันนี้เราขออาสาพาพี่น้องออกจากไอซียู คือคุณหมออิ๊งค์ แพทองธาร และคุณหมอเศรษฐา วันนี้คนไทยที่เปรียบเหมือนคนไข้ หัวใจกำลังหยุดเต้น ดังนั้นคุณหมอของเราจะเอาเครื่องมือทางเศรษฐกิจมากระตุกหัวใจ

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พี่น้องให้กระเป๋าตุงด้วยดิจิทัล วอลเล็ต เราต้องรวมใจ เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนให้พี่น้องชาวระยองมาเลือกเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรคให้ยกจังหวัด มาร่วมเปลี่ยนประเทศไปด้วยกัน เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่ชนะทั้ง 5 เขตในระยอง และเราไม่ชนะทั้งประเทศอย่างถล่มทลายแบบแลนด์สไลด์ สิ่งที่เกิดขึ้นคือหลังเลือกตั้งเราจะตั้งรัฐบาลไม่ได้

“ตอนนี้ 250 เสียงไม่ห่วง เรามั่นใจว่าได้ ส.ส.250 เสียงขึ้นไป แต่ยังชนะไม่เด็ดขาด ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และพรรคพวกจะแย่งตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอา พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกฯ พี่น้องจะเอาหรือ ดังนั้น 310 เสียงคือเป้าหมาย เขาจะไม่แย่งเราตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคอื่น ๆ จะมาร่วมเลือกนายกฯ ในสภาฯ กับเรา มั่นใจว่าเลือกตั้ง 14 พ.ค. โอกาสเป็นของเราแล้ว นอกจากเอาประยุทธ์ออกไป ปิดสวิตช์ ส.ว.แล้ว ยังได้นโยบายที่กินได้และประชาธิปไตยที่จับต้องได้ เราไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง พรรคญาติหรือพรรคลุง ขอให้เลือก พท.เพียงพรรคเดียว” นพ.ชลน่าน กล่าว 

นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายพรรคพท.โดนใจประชาชนมาตลอด มีสองนโยบายที่อยากกล่าวซึ่งโดนใจแน่นอน หากพรรคพท.เป็นรัฐบาล เราจะใช้บล็อกเชน ทำดิจิทัล วอลเล็ตใส่เงินให้คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป นอกจากนี้เราจะสำรวจอย่างรวดเร็ว ครอบครัวไหนมีรายได้ไม่ถึง 2 หมื่นบาท เราจะเติมเงินให้ทันที ถือเป็นโยบายที่โดนใจ แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนประเทศโดยเริ่มจากระยอง รอบนี้เรามีผู้สมัครที่มีคุณภาพ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เราไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง พรรคสาขา อย่าให้ใครเอาเรื่องนี้มาพูด เรามีนโยบายเด็ดๆ ขอให้พี่น้องเลือกผู้สมัครระยองทั้ง 5 เขตของพรรคพท.หากเลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ 310 เสียง เราทำนโยบายได้อย่างแน่นอน

‘ส.ว.ประพันธ์’ สอน ‘ก้าวไกล’ ทบทวนตัวเองใหม่ มุ่งสู่พรรคที่เน้นโยบายก้าวหน้า เชื่อ!! เทียบ 'เพื่อไทย' ได้

‘ส.ว.ประพันธ์’ แนะพรรคก้าวไกล ทบทวนบทบาทตัวเอง หลังเดินทางผิดมานาน เชื่อหากปรับท่าที จะผงาดขึ้นมาแทนเพื่อไทย

19 มี.ค.2566-นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) อดีตนักเคลื่อนไหวการเมืองนอกรัฐสภาชื่อดังตั้งแต่ยุค 14 ตุลาคม 2516 -6 ตุลาคม 2519 -เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 -กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้ความเห็นทางการเมืองถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของพรรคก้าวไกล(ก.ก.)ว่า  จริงๆแล้วพรรคก้าวไกล ก็เป็นพรรคการเมืองที่ดีพรรคการเมืองหนึ่ง มีความตั้งใจที่จะสร้างพรรคขึ้นมาทำงานในเชิงมีหลักการและอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ว่ามันเหมือนสมัยพวกเราเป็นนักศึกษาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่มีความตื่นตัว และมีความเร่าร้อนเกินความจำเป็น มักจะมีอาการออกไปทางสุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย ตามภาษานักทฤษฎีการเมืองและมักจะมองคนอื่นเป็นพวกปฏิกิริยาล้าหลัง

แนวความคิดแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากพวกเรดการ์ดในจีนสมัยหนึ่ง พรรคก้าวไกลต้องปรับตัวเองและสลัดคราบความคิดที่จะไปถึงขนาดจะไปเปลี่ยนแปลงระบอบโครงสร้างการปกครองประเทศ เปลี่ยนแปลงระบอบสถาบันฯ ยกเลิกกฎหมายอะไรต่าง ๆ ที่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เป็นข้อเรียกร้องของประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองที่เข้ามาตามระบอบของรัฐสภาและการเลือกตั้ง ที่มันไม่ได้มวลชน ไม่ได้แนวร่วม ไม่ได้ผู้สนับสนุนทำให้ตัวเองโดดเดี่ยว เรียกว่า เดินกลยุทธ์การเมืองผิด โดยหากพรรคก้าวไกลปรับตัวเอง และทำงานเหมือนกับที่ทำงานอยู่ในสภาฯในช่วงที่ผ่านมา ไปเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน จะดีกว่าที่จะไปเล่นเกมบนท้องถนน หรือไปท้าทายอำนาจศาล ไปอะไรกับสถาบันฯ ที่ไม่ใช่แนวทางที่ถูกของพรรคการเมือง

“ผมเชื่อว่าหากพรรคก้าวไกลปรับตัวเองและมีท่วงทำนองที่มีความสุภาพ แล้วก็สร้างนโยบายที่เป็นประโยชน์ของมหาชน ก็ทำให้ก้าวไกลมีโอกาสจะขึ้นไปแทนพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยมีแต่จะถอยลงมา เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นพรรคของทักษิณ คนในพรรคเพื่อไทยที่มันไม่กล้าพูดเพราะมันโกหกตัวเองทั้งนั้น แม้แต่คนเสื้อแดง ก็ยังแตกหนีออกไป ซึ่งถ้าก้าวไกลปรับตัวเอง ปรับกลยุทธ์ ปรับนโยบาย ก้าวไกลก็มีโอกาสเติบโตได้ เพราะหากดูจากหน้าเสื่อการเมืองตอนนี้ ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งที่สุดตอนนี้ ก็คือพรรคก้าวไกล ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน ก้าวไกลก็เหมือนกับประชาธิปัตย์ สมัยเป็นฝ่ายค้าน แต่ว่าก้าวไกลเล่นประเด็นสะเปะสะปะกับประเด็นที่ไม่ควรไปเล่น เลยไม่ได้คนทุกชนชั้นมาเป็นแนวร่วม เป็นมิตรกันทางการเมือง”

นายประพันธ์ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่เข้ามาเป็นนายกฯรอบสองหลังเลือกตั้งปี 2562(ม็อบสามนิ้ว)  ไม่สามารถเรียกมวลชนให้มาร่วมเคลื่อนไหวด้วยได้มาก เหมือนตอนพันธมิตรฯ หรือ กปปส.เคลื่อนไหว ทำให้เมื่อไม่มีมวลชนเข้าร่วมด้วย พลังเคลื่อนไหวก็ไปไม่ได้ ทำให้มาถึงตอนนี้ พลังในส่วนของกลุ่มที่เคลื่อนไหวดังกล่าว ก็อ่อนแรงและถดถอยไปเยอะ ไม่มีศักยภาพพอที่จะไปปลุกเร้าประชาชนให้มาเข้าร่วม อีกทั้งแกนนำหลายคนก็ถอดใจไปเยอะเพราะถูกดำเนินคดีหลายสิบคดี เสียอนาคตตัวเองไปเยอะ ผมจึงมองว่าพลังที่จะมาเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันฯ ยกเลิกมาตรา 112 มันไม่น่าจะเกิดขึ้น

‘มาดามเดียร์’ ควง ‘จักรวี’ ฝากตัวชาวเขตสวนหลวง-ประเวศ ชี้!! มีความตั้งใจ-คุณสมบัติครบ เมิน ‘ฟิล์มรัฐภูมิ’ ลงชิงด้วย 

‘มาดามเดียร์’ ควง ‘จักรวี’ ผู้สมัคร ส.ส.เขตสวนหลวง-ประเวศ ร่วมงานดื่มน้ำชาการกุศลฯ เมิน ‘ฟิล์ม-รัฐภูมิ’ ลงชิงด้วย

(19 มี.ค.66) น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วย นายจักรวี สุทธิผล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตสวนหลวง-ประเวศ(หนองบอน) พรรคปชป. ร่วมงานดื่มน้ำชาการกุศล ในงาน ‘สาธารณกุศลคนสวนหลวง’ บริเวณอาคารเอนกประสงค์ครอบครัวปานเหล็ง ซอยอ่อนนุช 39 เขตสวนหลวง พร้อมพบปะทักทายพี่น้องชาวมุสลิม

น.ส.วทันยา กล่าวว่า ตั้งแต่ได้มาลงพื้นที่ในเขตสวนหลวง-ประเวศ จะเห็นได้ว่ามีบรรยากาศที่ดี ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และการต้อนรับอย่างอบอุ่นทุกครั้ง ซึ่งในเขตสวนหลวง-ประเวศนั้นจะเห็นได้ว่ามีประชาชนทั้งกลุ่มที่เป็นชาวพุทธ และชาวมุสลิม เป็นชุมชนที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรม อีกทั้งจะเห็นได้ว่าในพื้นที่เขตสวนหลวงนั้นเป็นพื้นที่มีการขยายตัวของเมืองเข้ามา ทำให้ประชาชนบางส่วนอาจจะยังปรับตัวรับมือไม่ทัน

ส่วนกรณีที่ขณะนี้มีหลายพรรคการเมืองเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในเขตสวนหลวง-ประเวศ ซึ่งมีทั้งอดีตดารานักแสดง อย่างเช่น ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นั้น น.ส.วทันยา กล่าวว่า ไม่รู้สึกหวั่นเกรง เพราะเชื่อว่าการทำงานการเมืองนั้น ชื่อเสียงอาจเป็นหนึ่งในปัจจัย แต่ตนเชื่อว่าประชาชนจะมองหาคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน ซึ่งนายจักรวี ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคปชป.นั้นที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ทำงานให้ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นายจักรวีก็ได้ทำงานช่วยเหลือประชาชนจนผ่านพ้นสถานการณ์มา ดังนั้นเชื่อว่าจะเป็นเครื่องชี้วัดที่สำคัญ อีกทั้งนายจักรวียังเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน มีคุณสมบัติที่พร้อมทั้งคุณวุฒิ ประสบการณ์การทำงานทั้งงานการเมือง และงานนอกการเมือง

‘บิ๊กป้อม’ ขึ้นปราศรัย ขออาสาสร้างความเป็นหนึ่งเดียว เมินโพลไม่ติด 1 ใน 10 ‘นายกฯ ในใจ’ ยันเดินหน้าต่อ

‘บิ๊กป้อม’ ขึ้นเวทีเชียงใหม่ อ้อนเลือกพปชร. ช่วยให้ประเทศเป็นหนึ่งเดียว ลั่น เป็นรัฐบาลทำทุกนโยบาย ด้านปชช. หนีฝน กลับก่อน เมินไม่ติด 1 ใน 10 อันดับนายกฯ ในใจ ยัน เดินหน้าต่อ

(19 มี.ค.66) เมื่อเวลา 17.35 น. ที่อาคารยิมเนเซียม สนามกีฬาสมโภชน์ 700 ปี จ.เชียงใหม่  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางถึงเวทีปราศรัย ภาคเหนือ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคเหนือตอนบน 6 จ. จำนวน 23 คน 

โดยบรรยากาศก่อนการปราศรัย พปชร. มีชาวบ้านเดินทางมารับฟังยิมเนเซียมตั้งแต่ช่วงเวลา 13.00 น. ขณะที่ตามกำหนดการเดิม พล.อ.ประวิตร จะขึ้นปราศรัย 17.15น.แต่ปรากฏว่า ในช่วงที่ พล.อ.ประวิตร ยังไม่มาถึง ประชาชนเริ่มทยอยเดินทางกลับ เนื่องจากมีลมแรง และเสียงฟ้าร้องดังต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงมรสุมพายุฤดูร้อน ทำให้ประชาชนบางส่วนขอเดินทางกลับก่อน จนยิมเนเซียมดูโล่ง 

ก่อนหน้านั้นร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พปชร.ในฐานะกำกับดูแลการเลือกตั้งพื้นที่ภาคเหนือ กล่าวปราศรัยบนเวที ว่า ทราบว่ามีพี่น้องชาวเชียงใหม่มานั่งรอพรรคพปชร.อย่างคับคั่งเหมือนเช่นปี 62 เพื่อมารอฟังการปราศรัยของผู้บริหารพรรค ตนตั้งใจมาหาชาวเชียงใหม่ แต่วันนี้ก็มีพายุโซนร้อนเข้าที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็เข้าใจได้ที่อาจจะไม่ได้เจอกันครบทุกคน ล่าสุดตนไปปราศรัยกับพี่น้องชาวจังหวัดเชียงราย ท่ามกลางอากาศที่ร้อนมาก แต่พี่น้องยังมีใจมาให้การต้อนรับและสนับสนุนพวกเรา

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ทุกพรรคการเมืองมีนโยบายดีทุกพรรค หากว่าเกิดประโยชน์กับประชาชน แต่ พปชร.ได้พูดเสมอว่า เราเป็นพรรคของประชาชน ชื่อพรรคบอกชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นการรวมกันของพลังของคน 2 กลุ่ม คือ การร่วมพลังของประชาชนทั้งแผ่นดินทั้ง 77 จังหวัด ภายใต้การดูแลของรัฐ ก็คือรัฐบาล

"ประเทศไทยของเรามีโครงสร้างเป็นฐานพีระมิด เริ่มจากฐานรากหญ้า ก็คือ พี่น้องประชาชน นโยบายที่พรรคพลังประชารัฐ นำเสนอออกมา คือต้องการทำให้คนฐานรากมีความเข้มแข็ง อย่างเช่น บัตรประชารัฐ  ที่จะมีการเพิ่มเงินจากมูลค่า 300 เป็น 700 บาท ทันทีเมื่อพรรคพลังประชารัฐได้บริหารประเทศ"

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายดูแลผู้สูงอายุ ที่ทุกวันนี้ผู้สู่งอายุได้รับอยู่ที่ 600 ถึง 1000 บาท แต่หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมดูแลผู้สูงอายุ 60 ปี เอาไปเลย 3000 บาท 70 ปี 4000 บาท และ 80 ปีขึ้นไป 5000 บาท การสร้างความเข้มแข็งให้กับคนฐานรากต่อสิ่งสำคัญที่สุดที่พรรคพลังประชารัฐตั้งใจทำ เพราะเราต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเปราะบาง 

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคพลังประชารัฐ เราจะดูแลราคาพืชผลทางการเกษตรสำคัญของชาวภาคเหนือ นั่นก็คือ ราคาลำไย คือสิ่งที่ผมต่อสู้อย่างต่อเนื่อง โดยมีคนที่สนับสนุนพวกเรามาตลอดก็คือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ของเรา 

ต่อมาเวลา 17.45 น. พล.อ.ประวิตร และคณะที่ในช่วงบ่ายเดินทางไปเวทีปราศรัยและเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของ พปชร.ที่ จ.เชียงรายก่อนหน้านั้น ได้เดินทางมาถึงอาคารยิมเนเซียม ทันทีที่มาถึงประชาชนที่รอฟังการปราศรัยได้ตะโกนร้องต้อนรับเสียงดังกึกก้อง

จากนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัย ว่า รู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่งท่ามกลางพี่น้องชาวเชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดเมืองใหญ่ของไทย มีการท่องเที่ยวก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง ตนมาในวันนี้พร้อมกับผู้บริหารพรรคอีกหลายคน รวมทั้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และสมาชิก ฝาก พปชร.ไว้กับประชาชนทุกคนด้วย เราพร้อมจะทำงานรับใช้ชาวเชียงใหม่ทุกคน ฝากทุกคนไว้ว่า ให้เลือกผู้สมัคร ส.ส.ของ พปชร.ทุกคน พปชร.ได้คัดสรรคนดี คนเก่ง คนที่ตั้งใจจริงมาเป็นผู้แทน มุ่งมั่น ร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อพัฒนาแก้ไขปัญหาทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์กับคนเชียงใหม่ เราต้องดการแก้ปัญหาทุกเรื่องให้คนเชียงใหม่ให้อยู่ดีกินดี ผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ให้กับทุกคน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า สำหรับนโยบายของพรรคพปชร. ได้แก่ บัตรประชารัฐ 700 บาท จะทำทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล ลดค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส อยู่ในความคิดของ พปชร.ที่จะทำทันทีเช่นเดียวกัน การดูแลคนทุกช่วงวัย เบี้ยผู้สูงอายุ แม่และเด็ก ให้เท่าเทียมกัน ลดปัญหาความเลื่อมล้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง เป็นภารกิจของตนที่จะทำให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ว่าจะน้ำอุปโภค อุปโภค น้ำเพื่อการเกษตร โดยเฉพาะน้ำประปา ต้องมีความสะอาด ตนจะต้องดำเนินงานให้ทุกคนได้ใช้น้ำที่ดี นอกจากนี้ จะลด PM 2.5 ซึ่งสำคัญสำหรับคนเชียงใหม่ โดยจะแก้ทันทีเมื่อเราเข้ามาเป็นรัฐบาล ขณะเดียวกัน เราจะปราบปรามยาเสพติด 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในเรื่องการใช้ที่ดินของรัฐ ซึ่งมีปัญหาซ้อน ตนกำลังทำอยู่ โดยจะให้คนที่ถือที่ดิน ส.ป.ก. ที่ดินของรัฐ และในป่าสงวน เราพยายามให้ทุกคนมีโอกาสมาเป็นเจ้าของที่ดิน โดยการออกโฉนดให้ ฝากทุกคนว่าให้เลือก พปชร. ทุกอย่างที่ตนพูด เราจะทำให้ท่านทันที ส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที ซึ่งเราทำมาแล้วและจะทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่เรื่องการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของ จ.เชียงใหม่ ยืนยันว่าจะมาต่อยอด ดำเนินการให้ จ.เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
 

‘อนุทิน’ แจงทานข้าว ‘ลุงป้อม’ ปัดขอช่วยเหลือคดี ‘ศักดิ์สยาม’ รับดัล ‘ภท.-พปชร.’ ลงตัว หากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง

หัวหน้าภท.ปัดกินข้าว ‘บิ๊กป้อม’ ขอช่วยคดี ‘ศักดิ์สยาม’ รับคุยการเมือง ปิดดีลจับขั้ว ‘ภท.-พปชร.’ หากไม่มีอุบัติเหตุการณ์การเมือง ย้ำพร้อมนั่งนายกฯ ในฐานะพรรค 70 บวก

วันนี้ (19 มี.ค.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารรสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการชั่วโมงข่าวเสาร์อาทิตย์ ทางไทยพีบีเอส โดยยอมรับว่า วงรับประทานอาหารระหว่างแกนนำพรคภูมิใจไทย และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เป็นการนัดหมายเพื่อพบปะพูดคุยในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล และในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นผู้ประสานขอเข้าพบพลเอกประวิตร

โดยในวงอาหาร ได้มีการพูดคุยและประเมินสถานการณ์การเมืองร่วมกัน และอาจจะเรียกได้ว่า ดีลระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐลงตัวแล้ว เพราะการทำงานร่วมกันมาตลอด 4 ปี ไม่มีปัญหาใด ๆ และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

“ภูมิใจไทย กับ พลังประชารัฐ ทำงานร่วมกันมา 4 ปี ถ้าไม่มีอุบัติเหตุ หรือ เหตุจำเป็นยิ่งยวด เราไม่มีปัญหา สิ่งใดไม่เข้าใจก็เคลียร์กันครบทุกเรื่อง” นายอนุทิน กล่าว

ผู้ดำเนินรายการ ถามถึงความสัมพันธ์กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังมีข้อสังเกตความไม่ลงรอย จากการสั่งพักโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม นายอนุทิน ยืนยันว่า ความสัมพันธ์กับพลเอกประยุทธ์ยังคงเดิม ทั้งความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือความสัมพันธ์ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ยังมีความแข็งแรง มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน

‘กรณ์’ นำ ‘นที’ ลุยพญาไท ชูผลงาน ‘กล้าปลดหนี้’ ชี้!! คุณสมบัติครบ อ้อนขอโอกาสให้คนรุ่นใหม่

‘กรณ์’ ฟิตลงพื้นที่ ‘พญาไท’ ช่วย ‘นที ศิริธรรมวัฒน์’ ขวัญใจชุมชน หลังทำโครงการกล้าปลดหนี้ มีผลงานชัด อ้อนฝากคนรุ่นใหม่ 

(19 มี.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่พญาไท เพื่อช่วยนายนที ศิริธรรมวัฒน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.หาเสียง โดยมีนายธาม สมุทรานนท์ และนางสาววิเวียน จุลมนต์ ร่วมให้กำลังใจ โดยในวันนี้ นายกรณ์ และทีมงานได้พบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชน ชุมชนวัดไผ่ตันและเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดไผ่ตัน  

นายกรณ์ กล่าวว่า อีกไม่ถึง 2 เดือน ประชาชนก็จะได้ใช้สิทธิของตัวเองเลือกผู้แทนราษฎรแล้ว วันนี้ยังมีเวลาศึกษาเพื่อตัดสินใจว่า วันที่เราเข้าคูหา เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าจะเลือกคนแบบไหน พรรคไหน แล้วตัวเราจะได้อะไร บางคนอาจจะมีครบทุกอย่างแล้ว แต่สิ่งที่อยากได้คือ สิ่งแวดล้อมที่ดี ผู้ที่ดีที่สามารถเป็นผู้แทนไปเจรจากับผู้นำต่างประเทศแล้วรู้สึกภาคภูมิใจ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้า เรามั่นใจว่าเรามีนโยบายที่ดีที่จะตอบโจทย์ความต้องการ และว่าที่ผู้สมัครของเรามีคุณสมบัติครบที่จะทำให้ทุกท่านภาคภูมิใจ อยากให้ทุกท่านให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ของพรรคชาติพัฒนากล้า  

นอกจากนี้ นายกรณ์ ยังได้นำเสนอนโยบาย ช่วยเหลือแม่และเด็กตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึง 6 ขวบ โดยมองเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการพัฒนาการทางสมอง แม่และเด็กควรได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และมีงบประมาณที่เพียงพอในการใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดยจะจัดงบประมาณส่วนนี้เพิ่มจาก 600 บาท เป็น 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน นอกจากนี้ยังจะจัดสรรงบประมาณ 500 บาทต่อหัวเด็ก สำหรับศูนย์เด็กเล็กที่รับดูแลเด็กเล็กจนถึง 2 ขวบครึ่ง ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ พรรคชาติพัฒนากล้า ได้คิดและคำนวณอย่างละเอียด จนเป็นนโยบายแล้วว่าเราจะหาเงินจากไหน 

‘พุทธิพงษ์’ เผย ‘ภท.’ แบ่งพื้นที่กทม. 4 กลุ่ม แก้ปัญหาตรงจุด มั่นใจ 8 ส.ส.แชมป์เก่า พร้อมดึง ‘เอกภพ สายไหมต้องรอด’ ร่วมทัพ

‘พุทธิพงษ์’ ชี้ นโยบาย กทม.พรรคภูมิใจไทย แบ่งกลุ่ม 4 พื้นที่แก้ปัญหาเฉพาะที่ ตรงจุด ถ้าคิดและทำแบบเดิม ก็ได้เหมือนเดิม มั่นใจ 8 ส.ส.แชมป์เก่าครองใจคนกรุงเทพฯ ได้ เพราะพูดแล้วทำทุกนโยบาย ดึง “เอก สายไหมต้องรอด” ร่วมทัพ
(19 มี.ค.66) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เปิดเผยว่า พื้นที่กรุงเทพมหานครกว้างใหญ่ เป็นเมืองหลวงและเป็นหัวใจสำคัญของประเทศ ถ้าคิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ก็ได้แบบเดิม หากจะพัฒนากรุงเทพฯ ไปข้างหน้า พรรคภูมิใจไทยจึงขอแบ่งพื้นที่กรุงเทพฯเป็น 4 กลุ่มพื้นที่ โดยมองจากสภาพแวดล้อมและปัญหา มีกรุงเทพฯชั้นใน, กรุงเทพฯเหนือ, กรุงเทพฯตะวันออก และกรุงเทพฯฝั่งธน เพื่อเอื้อต่อการแก้ปัญหาให้ตอบโจทย์และความต้องการของพี่น้องประชาชน

ซึ่งจากการลงไปติดตาม รวมรวบรับฟังปัญหาจากพื้นที่ ซึ่งแต่ละพื้นที่มีปัญหาและความต้องการที่แตกต่างกัน โดยต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันด้วยนโยบาย ซึ่งพรรคเตรียมพร้อมไว้แล้ว พร้อมระบุด้วยว่า พรรคภูมิใจไทย คัดเลือกคนทำงานจริงมาจากในพื้นที่ ที่สำคัญมีอดีต ส.ส.กทม.ถึง 8 เขต พร้อมจะทำงานให้คนกรุงเทพฯอย่างจริงจังต่อเนื่อง และทั้ง 33 ว่าที่ผู้สมัครล้วนเป็นคนที่พร้อม คิด พูดและลงมือทำจริง ทุกนโยบาย

‘ส.ส.โต้ง’ ป้อง ‘สมศักดิ์-สุริยะ’ หลัง ‘สันติ’ โจมตีเหตุย้ายซบ ‘พท.’ ลั่น!! อาการออกเพราะกลัวแพ้พื้นที่ภาคเหนือ หลังโพลนิด้าพุ่งสูง

‘ส.ส.โต้ง’ ป้อง ‘สมศักดิ์-สุริยะ’ ปม ‘สันติ’ ออกมาโจมตี หลังย้ายซบเพื่อไทย ซัดควรเคารพการตัดสินใจให้เกียรติอดีตแกนนำพรรค เตือนอย่ากวนน้ำให้ขุ่น ทั้งที่ไปมาลาไหว้ดี ห่วง ถูกปลดพ้นเลขาฯพรรค ไม่ทำตามนโยบาย ‘บิ๊กป้อม’ ก้าวข้ามความขัดแย้ง เหน็บ อาการออก อาจกลัวแพ้พื้นที่ภาคเหนือ หลังนิด้าโพลพุ่งสูง

(19 มี.ค.66) นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.จังหวัดนนทบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีแกนนำกลุ่มสามมิตร หลังย้ายเข้าพรรคเพื่อไทยว่า การออกมาให้สัมภาษณ์พาดพิงถึงอดีตแกนนำพรรค ควรให้เกียรติ และเคารพการตัดสินใจ ที่เป็นสิทธิส่วนตัว ไม่ควรนำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะทั้งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรมว.ยุติธรรม และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.อุตสาหกรรม ก็ได้มีการลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งบรรยากาศ ก็เป็นไปด้วยดี โดยพล.อ.ประวิตร เวลาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ก็ให้เกียรติเป็นไปในทิศทางที่ดี

“ดังนั้น นายสันติ ไม่ควรกวนน้ำให้ขุ่น ควรช่วยกันสร้างบรรยากาศทางการเมืองให้สร้างสรรค์ เพราะท่านสมศักดิ์ ก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงสาเหตุการย้ายพรรคไปแล้วว่า การเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ทำได้ไม่เต็มที่ ซึ่งจากที่ผมติดตาม ก็เห็นชัดเจนว่า หลายโครงการยังสะดุดอยู่ อาจมีการขัดแข้งขัดขาแย่งผลงาน เช่น การปลดล็อกพืชกระท่อม ที่ยังไม่สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากพืชกระท่อมได้ เนื่องจากติดระเบียบ อย.ที่กำกับดูแลโดยกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงเรื่องนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เรื่องส่งเสริมวัวชน ที่ยังขับเคลื่อนได้ล่าช้าอยู่ ทั้งที่ล้วนเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์กับประชาชน” นายจิรพงษ์ กล่าว

นายจิรพงษ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีมาแล้วหลายสมัย ในหลายรัฐบาล จึงได้มีโอกาสทำงานร่วมกับทั้งรัฐบาลผสม และรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งก็ได้เห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน ในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ โดยถือว่า เป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูง จึงไม่แปลกที่เลือกมาทำงานกับพรรคเพื่อไทย เพื่อต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกร ดังนั้น การย้ายมาพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ผิดอะไร เพราะออกมาอย่างถูกต้อง ไม่มีการรักษาการเก้าอี้รมต.ด้วย รวมถึงขณะที่อยู่พรรคพลังประชารัฐ ก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่ จนมีผลงานอย่างชัดเจน ไม่เคยเอาเปรียบพรรคตามที่ถูกกล่าวหา

‘ชลน่าน’ เผยไม่ใส่ใจวันยุบสภา เคาะปาร์ตี้ลิสก่อน 1 เม.ย. เมิน ‘ก้าวไกล’ เหน็บ ชี้!! พูดยกตัวเองข่มคู่แข่ง คือเรื่องปกติ

‘ชลน่าน’ เย้ยไม่ใส่ใจแล้วยุบสภาวันไหน เผย เตรียมเคาะลำดับปาร์ตี้ลิสต์ให้เสร็จ 1 เม.ย. ส่วน แคนดิเดตนายกฯ5 เม.ย. เห็นควรนายกฯ ควรเป็นส.ส. เมิน ก้าวไกลปราศรัยเหน็บ มอง เป็นสีสันทางการเมือง

(19 มี.ค.66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีกระแสข่าวยุบสภาในวันที่ 21 มี.ค. หรือ 22 มี.ค.ว่า เราไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้ว เพราะยังไงวันสุดท้ายก็วันที่ 23 มี.ค. ซึ่งหากจะยุบวันสุดท้ายก็คือวันที่ 22 มี.ค. แต่เราก็เตรียมความพร้อมการเพื่อการเลือกตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เรายึดวันที่ 20 มี.ค. เป็นเกณฑ์ ซึ่งหากมีการยุบสภาวันที่ 20 มี.ค. วันที่ 3-7 เม.ย. จะมีการเปิดรับสมัครส.ส.แบบเขต วันที่ 4-7 เม.ย. มีการเปิดรับสมัครแบบบัญชีรายชื่อ ฉะนั้น เราต้องจัดไทม์ไลน์ให้สอดรับกับเรื่องนี้

ถามว่า นายกฯ เคยบอกว่าจะไม่มีการยุบสภาในวันเกิด นพ.ชลน่าน กล่าวว่า แล้วแต่ว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ เพราะเราก็ไม่ได้ใส่ใจแล้ว แต่ไทม์ไลน์ของเราก็คาดการณ์ว่านายกฯจะยุบสภา เร็วที่สุด

เมื่อถามว่า หากมีการยุบสภาและมีการเปิดรับสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อในวันที่ 4 เม.ย. พรรคเพื่อไทยจะประกาศส.ส.บัญชีรายชื่อให้ครบก่อนหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เนื่องจากมีข้อกฎหมายกำหนดว่าต้องไปรับฟังความเห็นหรือทำไพรมารี่โหวตในพื้นที่เลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้จังหวัดหนึ่งสามารถทำไพรมารี่โหวตได้ 1 จุด ก็สามารถส่งผู้สมัครเขตได้ทุกเขต ขณะเดียวกันระบบบัญชีรายชื่อ คณะกรรมการสรรหาต้องส่งระบบบัญชีรายชื่อไปให้แต่ละเขตเพื่อทำไพรมารี่โหวตด้วย ซึ่งพรรคเพื่อไทยชัดเจนว่ามีการทำการโหวตภายในวันที่ 26-28 มี.ค. ทั้งนี้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยส่งไปโดยเรียงตามลำดับอักษร วิธีที่เห็นชอบอาจเห็นชอบรายบุคคลหรือทั้งหมดเลยก็ได้

ถามต่อว่า ระบบบัญชีรายชื่อทั้งหมด จะเสร็จภายในวันที่ 28 มี.ค. แต่การเรียงลำดับจะเสร็จเมื่อไหร่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารจะมีหน้าที่ตัดสินเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งหากคณะกรรมการสรรหารับมติการทำไพรมารี่มาแล้วเขาก็จะนำเข้ามาสู่กระบวนการจัดลำดับ และส่งให้กรรมการบริหารให้ความเห็นชอบ และเราตั้งใจว่าจะประชุมกรรมการบริหารไม่เกินวันที่ 1 เม.ย. และเราต้องทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนการรับสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ

เมื่อถามว่าคนที่เป็นแคนดิเดตนายกฯจำเป็นต้องอยู่ในส.ส.บัญชีรายชื่อในลำดับต้นๆหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละพรรคว่ามีความเห็นอย่างไร ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยกำหนดไว้ว่าวันที่ 5 เม.ย. จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างกรรมการบริหารพรรค ตัวแทนสาขาพรรคการเมืองสาขาประจำจังหวัด ประธานสาขาพรรคและเราจะตัดสินวันนั้น

“คนที่เป็นแคนดิเดตนายกฯจำเป็นที่จะต้องอยู่ในบัญชีรายชื่อหรือไม่นั้น เรื่องนี้พรรคยังไม่ได้คุยกัน แต่ส่วนตัวตนเห็นว่าควร เพราะเราเคยยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานี้มาแล้ว อย่างไรก็ตามคนที่เสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนนายกฯต้องได้รับความยินยอม”

นพ.ชลน่าน กล่าวถึงกรณีหากพรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกฯ จำเป็นต้องเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนคิดว่าไม่ เขาน่าจะแยกกันว่านี่คือผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ จริง ๆ ร้องขอหากพล.อ.ประยุทธ์ เปิดช่องว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็ควรให้ความสำคัญกับสภาด้วย หากจะมาเป็นผู้แทน คุณจะรู้เห็นว่าสภามีความเห็นอย่างไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top