Sunday, 22 June 2025
SPECIAL

‘ตร.ไซเบอร์’ แจ้งความคืบหน้าคดีหลอกลงทุน ‘Turtle Farm’ ยอดความเสียหายรวม 2 พันล้าน เตือน ปปช.อย่าหลงเชื่อ

(24 มี.ค. 66) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอเรียนชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ บริษัท ไมน์นิ่งมายน์ เอ็กซ์ จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัดสถานีหลักสี่ โดยนางสาวฐานวัฒน์ กับพวก รวม 9 ราย ที่ได้ร่วมกันหลอกลวงชักชวนผู้เสียหายหลายรายให้ร่วมลงทุนเพาะเห็ด ปลูกพืชกระท่อม เลี้ยงผึ้ง หรือการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อประชาชนจากภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงชักชวนประชาชนให้ร่วมลงทุน โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงในเวลาอันรวดเร็ว โดยได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนและปราบปรามการกระทำความผิด บังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง

เพื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล และแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบในด้านงานป้องกันปราบปราม ได้กำชับไปยัง พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดทำการสืบสวนสอบสวน ขยายผลหาความเชื่อมโยงในคดี ปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

เมื่อประมาณเดือน พ.ย. 64 - ก.ค. 65 ผู้ต้องหากับพวกได้สร้างโรงเพาะเห็ดขึ้นมาหลายโรง ในพื้นที่ จ.สกลนคร ประกาศโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมลงทุนเพาะเห็ด ปลูกต้นกระท่อม และเลี้ยงผึ้ง โดยอ้างว่าผู้ที่เข้าร่วมลงทุนจะได้ผลตอบแทนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง โดยมีเงื่อนระยะเวลาในการลงทุน เช่น โครงการฝากเลี้ยงเห็ดเยื่อไผ่ ใช้เงินลงทุน 264,360 บาท ในเดือนที่ 3 จะได้รับเงินปันผล 108,640 บาท/เดือน หรือโครงการฝากเลี้ยงกระท่อม ใช้เงินลงทุน 275,000 บาท ในเดือนที่ 8 จะได้รับกำไร 150,000 บาท/เดือน โดยมีการสร้างความน่าเชื่อถือ โดยการทำสัญญาระหว่างผู้ร่วมลงทุนกับผู้ต้องหา มีการใช้บุคคลสำคัญ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงมาร่วมโฆษณาชักชวน มีการสร้างภาพว่าฟาร์มดังกล่าวได้รับรางวัล ทำให้ผู้เสียหายรายหลายหลงเชื่อ และนำเงินมาร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก

ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาไม่ได้มีการดำเนินการตามที่ชักชวนแต่อย่างใด กระทั่งเมื่อถึงกำหนดผู้ต้องหากับพวกอ้างเหตุขัดข้องต่าง ๆ ไม่สามารถจ่ายเงินผลตอบแทนได้ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเสียหายและมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมาย

คดีดังกล่าวพนักงานสอบสวน บก.สอท.3 ได้ดำเนินการสอบสวนสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด ได้ขออนุมัติศาลขอออกหมายจับผู้ต้องหากับพวก รวม 9 ราย ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกง และนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ปัจจุบันสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 7 ราย อยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี 2 ราย และที่ผ่านมาสามารถทำการตรวจยึดทรัพย์สิน และอายัดเงินในบัญชีที่เกี่ยวข้องได้เป็นจำนวนมาก

ต่อมาเมื่อ 3 ต.ค. 65 พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวน ครั้งที่ 1 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ โดยมีผู้เสียหาย 119 ราย ความเสียหาย 60 ล้านบาท และเมื่อ 22 ธ.ค.65 ได้สรุปสำนวนการสอบสวน ครั้งที่ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ มีผู้เสียหาย 1,001 ราย ความเสียหายกว่า 703 ล้านบาท ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสรุปสำนวนการสอบสวน ครั้งที่ 3 ปัจจุบันมีผู้เสียหายอีกกว่า 1,000 ราย ความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จสามารถส่งสำนวนการสอบสวนได้ภายในเดือน เม.ย. 66 เพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ปัดตก!! สูตรรัฐบาลบ้านป่ารอยต่อ รทสช. แค่พรรคร่วม!! ไม่มี 'ตู่' อยู่ในสมการผู้นำ เพราะมีแต้มไม่ถึง 50 เสียง

จะเป็นการเดินเกมปลอบใจกันเองหรือมีอะไรมากกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิด หรือบางพรรคกำลังติดกับดักนายพรานเลยต้องรับประทานอาหารกันบ่อยหน่อยก็ตาม...

แต่ต้องยอมรับว่าวานซืน (22 มี.ค.66) ทันทีที่จบอาหารมื้อเที่ยงที่บ้านป่ารอยต่อรอบสองระหว่างคณะของภูมิใจไทยนำโดย อนุทิน ชาญวีรกูล กับ คณะของพลังประชารัฐในฐานะเจ้าบ้าน...ก็พอจะเห็นภาพร่างของรัฐบาลผสมชุดหน้า...แต่ที่เห็นชัดกว่าภาพร่างก็คือ หน้าตาของนายกรัฐมนตรี...หลังเลือกตั้ง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ อนุทิน ชาญวีรกูล...คนใดคนหนึ่ง...

บนโต๊ะอาหารมีการยกตัวเลขจากผลโพลและการประมาณการของแต่ละฝ่าย...ซึ่งเคยเป็นข่าวไปแล้วตั้งแต่อาหารเที่ยงรอบแรกเมื่อ 15 มี.ค.คือ พรรคพลังประชารัฐกับภูมิใจไทยได้คะแนนใกล้เคียงกันที่พรรคละ 70 เสียง…รวมกันก็ 140 เสียง บวกกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นๆ เกิน 250 เสียงตั้งรัฐบาลได้...

ประการสำคัญ...ลุงกับหลานประสานเสียงเป็นคีย์เดียวกันว่า...ใครได้คะแนนมากกว่าก็เอาไป (เป็นนายกฯ)...

“ถ้าตามคะแนนนี้คือ เรากับหนู (อนุทิน)” ผู้อาวุโสว่า

“ลุงต้องเป็นนายกฯ ลุงเท่านั้นที่ควรเป็นนายกฯ” หลานถ่อมตน

“ไม่เป็นไรเราค่อยดูตัวเลขกันอีกที...”  ลุงจบได้สวย

‘ปดิพัทธ์’ เผย ประชาสัมพันธ์เลือกตั้งล่วงหน้า ‘นอกเขต’ น้อยเกินไป แนะ!! กกต. ควรร่วมมือกับภาคต่าง ๆ ช่วยโปรโมต เพื่อรักษาสิทธิ ปชช.

(24 มี.ค. 66) ปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พิษณุโลกเขต 1 และอดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่ามีความเป็นห่วงว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะถึงนี้จะมีประชาชนจำนวนมากเสียสิทธิจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประชาสัมพันธ์การใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า การเลือกตั้งนอกเขต และการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรน้อยเกินไป 

ปดิพัทธ์ กล่าวว่า จากการที่ กกต. กำหนดให้วันเลือกตั้งเป็นวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งไม่ได้ตรงกับช่วงวันหยุดยาว 4-7 พฤษภาคม อาจทำให้ประชาชนหลายคน ไม่ว่าจะเป็น คนที่ออกไปหางานทำที่ต่างจังหวัด นักเรียน-นักศึกษา เกิดความไม่สะดวกในการกลับไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ กกต.กลับประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตน้อยมาก ทำให้ประชาชนที่ไม่สะดวกใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. เสมือนเสียสิทธิเลือกตั้งไปโดยปริยาย

‘อนุทิน’ ปัดข่าวหนุน บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม แจงยังไม่ถึงเวลาเลือกตั้ง ย้ำฟังเสียง ปชช. หลังเลือกตั้งก่อน เหน็บวงกินข้าวไม่ควรพูดที่สาธารณะ

(24 มี.ค.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)ให้สัมภาษณ์กรณีนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า นายอนุทิน พร้อมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หากใครได้ส.ส.มากกว่า จะหนุนคนนั้นเป็นนายกฯ  ระหว่างกินข้าวมื้อเที่ยงที่ป่ารอยต่อฯ เมื่อ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา ว่า พรรคภูมิใจไทยชัดเจน หากได้ส.ส.มาเป็นอันดับหนึ่ง ก็พร้อมเป็นนายกฯเอง

‘กรณ์’ เผยโฉม 4 ผู้บริหารมากด้วยประสบการณ์ ลงสมัคร ส.ส. ชิงชัยในสนามกรุงเทพฯ

(24 มี.ค.66) พรรคชาติพัฒนากล้า ทยอยเปิดตัวผู้สมัครกรุงเทพมหานครเขตต่าง ๆ ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการปลายเดือนมีนาคมนี้ หลายฝ่ายจับตาโดยเฉพาะเขตใจกลางเมืองเศรษฐกิจ ที่ต้องคัดขุนพลที่มีความรู้ความสามารถได้รับการยอมรับ มาลงชิงชัย 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าส่ง 4 ผู้สมัคร ซึ่งเป็นคนที่พรรคคัดสรรแล้วว่าเหมาะสมที่สุด ลงในเขตใจกลางเมือง เริ่มจาก นายวรนนท์ อัศวกิตติเมธิน หรือ โด้เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ คร่ำหวอดในวงการธุรกิจบริหารสินทรัพย์มากว่า 10 ปี ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ดีกรีอดีตผู้บริหารบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำ มาลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่เขต สาทร ปทุมวัน ราชเทวี  

คนที่ 2 นายปรัชญา อึ้งรังษี หรือ ต๋อง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตบางคอแหลม ยานนาวา ดีกรีจบปริญญาโท วิศวะ จากสหรัฐอเมริกา และเป็นวิศวกร ปัจจุบันเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน ที่ประสบความสำเร็จ จากการนำเข้าอาหารแช่เข็ง ส่งทั่วประเทศ นอกจากนี้นายปรัชญา ยังจบนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เป็นปริญญาอีกใบ ก่อนตัดสินใจลงเล่นการเมือง ในนามพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นครั้งแรก โดยเจ้าตัวสนใจพิเศษในเรื่องการผลักดันนโยบายลดขั้นตอนที่ล่าช้าและการคอร์รัปชัน จากการปฏิบัติงานส่วนราชการของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของพรรคชาติพัฒนากล้า

เพื่อไทย’ เตรียมปราศรัยใหญ่ จ.นครปฐม 26 มี.ค.นี้ ลั่น!! ขอทวงคืนพื้นที่เลือกตั้งจาก ‘บ้านใหญ่สะสมทรัพย์’

(23 มี.ค. 66) นายวินัย วิจิตรโสภณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 จังหวัดนครปฐม พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการประกาศจะชนะเลือกตั้งยกจังหวัดนครปฐม ของบ้านใหญ่ตระกูลสะสมทรัพย์ ว่า…

“ตอนนี้ที่จังหวัดนครปฐม ไม่มีบ้านใหญ่ มีแต่บ้านประชาชนที่อยู่กันเป็นครอบครัวอันอบอุ่น ที่ผ่านมานครปฐมเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยมาช้านาน จะเห็นได้ว่าพอตระกูลสะสมทรัพย์ ไปลงสมัครในนามพรรคชาติไทยพัฒนา เมื่อปี 2562 ก็สอบตกกันเป็นแถว ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถทวงคืนพื้นที่เลือกตั้งในจังหวัดนครปฐมกลับมาได้ แม้ว่าทั้ง 6 คน จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่อย่าลืมว่าส่วนใหญ่เป็นอดีต สจ.ที่อยู่ในพื้นที่มานาน มีฐานเสียงเป็นของตัวเองที่แน่นอน เมื่อบวกกับกระแสของคุณอุ๊งอิ๊งที่โพลทุกกสำนักให้คะแนนนำโด่ง หรือคะแนนนิยมของพรรคที่ได้เกือบ 50% ก็เชื่อว่าจะเป็นโอกาสของพรรคเพื่อไทยที่จะทวงแชมป์ ส.ส.ในนครปฐมกลับคืนมา” นายวินัย กล่าว

นายวินัย กล่าวต่อว่า นโยบายหลายอย่างที่ออกมาล้วนโดนใจคนทุกกลุ่มทุกวัย โดยเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท หรือเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570 ที่คนรุ่นใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยชอบมาก ยังไม่นับรวมนโยบายด้านการเกษตรที่ชาวนครปฐมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยทำได้จริง นโยบายดี ๆ ใครก็พูดได้ แต่พูดแล้วทำได้จริงก็คงมีแต่พรรคเพื่อไทย ที่ชาวบ้านให้ความเชื่อมั่นมาโดยตลอด ดูได้จากผลโพลที่ออกมา

“พวกเราจึงหาเสียงด้วยการชูประเด็น ‘นครปฐมแลนด์สไลด์ ให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาล’ เพราะไม่ว่าจะเลือกพรรคไหน สุดท้ายพรรคเหล่านั้นก็จะไปเลือก พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร กลับมาเป็นนายกฯ อีกอยู่ดี ดูได้จากข่าวที่ออกมาพวกเขาไปประกาศจับมือกันเป็นรัฐบาลแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เลือกตั้งเลย ดังนั้น ถ้าจะเปลี่ยนนายกฯ ต้องเลือกเพื่อไทยพรรคเดียวที่จะสามารถสู้กับเสียง 250 ส.ว.ได้ เลือกพรรคอื่นไปก็เปลี่ยนนายกฯ ไม่ได้” นายวินัย กล่าว

‘ธนาธร’ ลุยหาเสียงสมุทรปราการ ชู ‘ก้าวไกล’ เป็นพรรคกล้าปฏิรูปชนต้นตอปัญหา

ธนาธร-ไอติม’ นำทัพผู้สมัครก้าวไกลสมุทรปราการ 8 เขตขึ้นรถลงเรือเดินตลาด ได้เสียงตอบรับล้นหลาม ‘ธนาธร’ ชี้ ประเทศไทยจะไปต่อ ต้องเปลี่ยนการเมือง ยก ‘ก้าวไกล’ กล้าปฏิรูปชนต้นตอปัญหา ปลุกอำนาจอยู่ในบัตรเลือกตั้ง ส่งต่อสังคมที่ดีกว่าให้คนรุ่นหลัง 

(23 มี.ค.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล ร่วมหาเสียงกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ พรรคก้าวไกล ตลอดทั้งวัน

เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ ที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ ธนาธรและพริษฐ์ เดินชุมชนพบปะพูดคุยกับประชาชนภายในหมู่บ้านสยามนิเวศน์ 1 และ 2 ร่วมกับ บุญเลิศ แสงพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 7 ก่อนเดินทางมายังตลาดเทศบาลเมืองพระประแดง ร่วมเดินหาเสียงพบปะชาวตลาดและชุมชนกับ วีรภัทร คันธะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 6

จากนั้นช่วงบ่าย เดินทางไปยังตลาดปากน้ำและชุมชนโดยรอบ ร่วมกับ พนิดา มงคลสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 1 และ รัชนก สุขประเสริฐ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 2 ก่อนร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงที่ อ.สำโรง ร่วมกับ พิชัย แจ้งจรรยาวงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 3, วุฒินันท์ บุญชู ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 4, นิตยา มีศรี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 5 และ ตรัยวรรธน์ อิ่มใจ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 8

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย ธนาธร ระบุว่าวันนี้ตนเดินตลาดมาทั้งวัน ก่อนหน้านี้ก็ได้เดินตลาดมาในทุกภาค พ่อค้าแม่ขายและประชาชนทุกที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว นี่คือผลพวงจากวิกฤติโควิดที่ไม่ได้เป็นความผิดของประชาชนเลย และนี่ยิ่งเป็นเหตุผลให้ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมา เพราะหากประชาชนอยู่ในสภาพอ่อนล้าเช่นนี้ ประเทศชาติจะเข้มแข็งได้อย่างไร

ประเทศไทยไม่สามารถสร้างอนาคตจากการแจกเงินอย่างเดียว แต่ต้องสร้างอุตสาหกรรมใหม่มาสร้างงานให้ประชาชน รองรับคนจบการศึกษาใหม่ปีละ 7-8 แสนตำแหน่ง ทุกวันนี้อุตสาหกรรมหลักของประเทศ ทั้งยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ล้วนแต่ไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมของคนไทย และไม่สามารถพาประเทศไปไกลกว่านี้แล้ว ประเทศไทยสามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองได้มากมายจากปัญหาที่ดำรงอยู่ เช่น รถเมล์ไฟฟ้า เพื่อแก้ทั้งปัญหามลพิษ การจราจร และการเข้าไม่ถึงระบบขนส่งสาธารณะของคนไทย ไปได้พร้อมๆ กัน เป็นต้น

ธนาธรกล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าการเมืองยังเป็นแบบนี้อยู่ จะสร้างสังคมและประเทศไทยที่มีอนาคต จะต้องมีการปฏิรูปในเรื่องยากๆ ในเรื่องที่จะต้องเจอตอ เช่น การปฏิรูปกองทัพ การต่อสู้กับทุนผูกขาด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ และวันนี้พรรคที่ตนเห็นว่ามีเจตจำนงปฏิรูปในเรื่องยากๆ กล้าชนปัญหาที่ต้นตอแบบนี้ ก็มีอยู่เพียงพรรคเดียวเท่านั้นคือพรรคก้าวไกล

‘ศรัณย์วุฒิ’ เล่นใหญ่คุกเข่าขอขมา ‘บิ๊กตู่’ ด้าน ‘บิ๊กตู่’ ลั่นไม่โกรธ - เข้าใจบริบทการเมือง

‘ศรัณย์วุฒิ’ กลับใจ! คุกเข่าขอขมา ‘บิ๊กตู่’ หลังตัดสินใจสวมเสื้อ ‘รทสช.’ สู้ศึกเลือกตั้ง ด้าน ‘ประยุทธ์’ บอกไม่โกรธเคือง-เข้าใจการเมืองคือการเมือง

(23 มี.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ อดีต ส.ส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อชาติ ได้เดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช.โดยได้ขึ้นไปรอด้านบนพรรค รทสช.เนื่องจากมาไม่ทันช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค รทสช.สวมเสื้อให้ทีมเศรษฐกิจ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.

ทั้งนี้ ทันทีที่นายศรัณย์วุฒิ ได้พบกับ พล.อ.ประยุทธ์ นายศรัณย์วุฒิ ได้คุกเข่าขอขมา พล.อ.ประยุทธ์ ที่ก่อนหน้านี้ได้พูดในสภาด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จับมือพร้อมกล่าวกลับไปว่า “ไม่โกรธเคือง เข้าใจว่าการเมืองคือการเมือง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 นั้น ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ตัดสินใจนั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 1 เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รทสช.และสมัครเป็นสมาชิกพรรค ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนของพรรค รทสช.อยู่แล้ว

เพจหนุน ‘บิ๊กตู่’ ชวนอ่าน ‘ผู้นำ’ หนังสือสะท้อนตัวตน ‘นายกรัฐมนตรีสองแผ่นดิน’

(23 มี.ค. 66) เพจ ‘สนับสนุนลุงตู่ สู้ไม่ถอย’ ได้แนะนำหนังสือน่าอ่าน “ผู้นำ” ซึ่งเป็นหนังสือที่ตีแผ่และสะท้อนการทำงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาลตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โดยให้ข้อมูลว่า

“ผู้นำ” หนังสือที่จะพาทุกท่านไปสัมผัสความเป็น “ผู้นำ” ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 แห่งราชอาณาจักรไทย ที่ได้ชื่อว่า “นายกรัฐมนตรีสองแผ่นดิน” และ “ทหารเสือราชินี” ผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

เรื่องราวกว่า 8 ปี ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่พลิกโฉมประเทศไทยไปตลอดกาล ทั้งยังเป็นกระจกเงาสะท้อนให้คนไทยได้พิจารณาว่า “ผู้นำประเทศ...ต้องเก่งและดี”  ต้องมีคุณลักษณะเช่นไร โดยที่ผู้อ่านสามารถวิเคราะห์และตกผลึกด้วยตนเองว่า “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ใช่ผู้นำประเทศตามความหมายนี้หรือไม่...?

พร้อมให้ทุกท่านร่วมตกผลึกทางความคิด ผ่านหนังสือ “ผู้นำ” เรียบเรียงโดย อัศวินโต๊ะกลม ราคา 249 บาท 

สั่งซื้อได้ทางร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศแล้ววันนี้
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0j8NRo9pxHyhPSwSsELWu7bZtdJEAxvRgwunQwmpAbUsc6AYGoqU71uZRz72fz9GYl&id=100064411490734&mibextid=qC1gEa

‘อลงกรณ์’ ชู 12 แนวทางปฏิรูป ศก.ไทยตอบโจทย์อนาคต ภายใต้ยุทธศาสตร์ ‘สร้างเงิน - สร้างคน - สร้างชาติ’

(23 มี.ค.66) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคฯ และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงความเห็น และข้อเสนอแนะของภาคเอกชน ที่มีต่อความคาดหวังในนโยบายของพรรคการเมือง ว่า พรรคประชาธิปัตย์เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนรวมทั้งมุมมองวิสัยทัศน์ของภาคเอกชนล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนาประชาธิปไตย การพัฒนาประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์บนหลักการ 3 ประการคือ อุดมการณ์ประชาธิปไตย นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยม และแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน

“พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจในความคาดหวังของภาคเอกชนที่มีต่อนโยบายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งนี้ซึ่งในส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีแนวทางนโยบายอย่างน้อย 12 ประการ เสมือนคานงัดในการสร้างจุดเปลี่ยนประเทศไทย สู่ ‘ก้าวใหม่ ไทยแลนด์’ โดยพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคเอกชน ได้แก่

1. การพัฒนาการเมือง โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
2. การขจัดคอร์รัปชั่น โดยการสร้างระบบธรรมาภิบาล
3. การส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เสรี และเป็นธรรม ลดการผูกขาดทางเศรษฐกิจ และพลังงาน
4. การปฏิรูประบบราชการโดยลดอำนาจรัฐ ลดขนาดภาครัฐ 
-มุ่งกระจายอำนาจและทรัพยากรสู่ท้องถิ่นและชุมชน (Community Empowerment) 
-การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนและชุมชนท้องถิ่นทางเศรษฐกิจ
-การพัฒนาเมือง และชนบท

5. การปฏิรูปภาคเกษตร ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม 
-การส่งเสริมเกษตรปลอดภัยและ เกษตรอินทรีย์ 
-การยกระดับเกษตรรายย่อยเป็น  เกษตรแปลงใหญ่ 
-การพัฒนาระบบสหกรณ์ 
-การส่งเสริมสตาร์ทอัพเกษตร และ เอสเอ็มอี.เกษตร 
-การส่งเสริมอาหารแห่งอนาคต
-และการทำตลาดเชิงรุก ทั้งออนไลน์และออฟไลน์

6. การพัฒนาโลจิสติกส์ เชื่อมไทย-เชื่อมโลก 
-การเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจภายในประเทศและต่างประเทศ

7. การสร้างฐานการผลิต การแปรรูปการตลาด และกระจายการลงทุนสู่ทุกภูมิภาค
-ภายใต้ฐานใหม่ 18 กลุ่มจังหวัดโดยเฉพาะคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเกษตร (Agroindustry)

8. การสร้างคนและการ Reskill-Upskill ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน
-โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ (12  S-Curves)
-การส่งเสริมMSMEและStartup ด้วยกองทุนเอสเอ็มอี.
-และการทำงานแบบสร้างสรรค์

9. สร้างระบบธนาคาร และระบบ การเงินของเศรษฐกิจฐานรากด้วย
-ธนาคารหมู่บ้าน 
-ธนาคารชุมชน 80,000 หมู่บ้าน  และชุมชน 77 จังหวัด 
-รวมทั้งส่งเสริมธนาคารเพื่อการลงทุนและเวนเจอร์แคปิตอล

10. ขับเคลื่อนภาคการผลิต (Real  Sector) ภาคบริการภาคการท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมและซอล์ฟพาวเวอร์ (Soft Power)

11. การปฏิรูปการบริการภาครัฐ
-โดยปรับปรุง และยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรค และภาระทางการค้าธุรกิจและการบริการประชาชน

12. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าการลงทุนเสรี (FTA) และกลยุทธ์มินิ เอฟทีเอ. (Mini FTA) ที่มีอยู่เดิมและข้อตกลงใหม่
-ปูทางสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยในเวทีแข่งขันระหว่างประเทศ
-พร้อมกับการใช้กองทุน เอฟที เอ.รองรับผลกระทบทุกด้าน

‘พปชร.’ เปิดตัว ‘บิ๊กแอ๊ด’ พร้อมว่าที่ผู้สมัครครบทุกภาค ด้าน ‘บิ๊กป้อม’ ยกเป็นบุญคุณที่มาช่วยเสริมแกร่งให้พรรค

(23 มี.ค. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ร่วมกันแถลงเปิดตัว พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หรือ ‘บิ๊กแอ๊ด’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กว่า 70 คน ประกอบด้วย

กรุงเทพมหานคร ได้แก่ นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี, นายสิทธิโชค คล้องแสงอาทิตย์, นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์, นายมานพ มารุ่งเรือง, น.ส.แพรว กิจสุวรรณ และ นายอนันตชาติ บัวสุวรรณ 

ภาคกลาง
- จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ น.ส.สมบูรณ์วรรณ ตรีสิทธุ์ไชย เขต 1, นางจิรวรรณ เรี่ยวแรง เขต 2, นายสมพงษ์ รัตนพรสุวรรณ เขต 3 และ นายทองใบ เสริฐสอน เขต 4
- จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ นายพิตติพรรธน์ พรรณธนะ เขต 4 และ นายภูมินทร์ มงคลกาย เขต 5
- จังหวัดสระบุรี ได้แก่ นายกฤษดา อินทร์พาเพียร และ นายธนกร กระต่ายจันทร์ เขต 3
- จังหวัดชลบุรี คือ นายยศพนต์ สุธรรม
- จังหวัดชัยนาท คือ นายปัญญา ไทยรัตนกุล เขต 2
- จังหวัดเพชรบุรี คือ นายอรรถพล นุชนิยม
- จังหวัดราชบุรี ได้แก่ นายจตุพร กมลพันธุ์ทิพย์ และ นายวรวัฒน์ น้อยโสภา
- จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ นายประมวล เรืองศรี เขต 1 และ นายไพฑูรย์ พุ่มสงวน เขต 2
- จังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ นายศุภกิจ กลิ่นหอม เขต 1, นายอุดม เพชรน้อย เขต 2, นายธานินทร์ โลห์ประเสริฐ เขต 3 และ นายเทียนชัย ปิ่นวิเศษ เขต 5

ภาคตะวันออก
- จังหวัดระยอง ได้แก่ นายดนัย วิริยะสหกิจ เขต 1, นายนฤพล พงษ์ประเทศ เขต 2, นายกรี ไพรสี เขต 4 และ น.ส.รฎาศิริ ศิริคช เขต 5
- จังหวัดจันทบุรี ได้แก่ นายเฉลิมพล ศักดิ์คำ เขต 1 และ นายธนกร เฉลิมเฉลา เขต 2
- จังหวัดนครนายก ได้แก่ น.ส.วนิดา ขนายงาม เขต 1 และ น.ส.ชลธิชา ขนายงาม เขต 2
- จังหวัดฉะเชิงเทรา คือ นายสายัณห์ นิลาช เขต 3
- จังหวัดปราจีนบุรี คือ นายสุรเดช สิทธิเดชกุลถาวร เขต 3

ภาคอีสาน
- จังหวัดนครราชสีมา คือ นายสุธรรม พรสันเทียะ เขต 4
- จังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ นายอนุรัตน์ ศรีสุรินทร์ เขต 1 และ นายอิทธิพล กำลังหาญ เขต 4
- จังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ นายธนินท์ธร ศรีขาว เขต 1, นายธีรปภัสร์ พงษ์วันกิตติคุณ เขต 5 และ นายธนกฤช จิริวิภากร เขต 8
- จังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ นายโกวิทย์ ธรรมานุชิต เขต 3, นายธนบูรณ์ชัย อร่ามเรือง เขต 6 และ น.ส.วิยดา พรหมทอง เขต 7
- จังหวัดขอนแก่น คือ นายสำราญ ศรีภา เขต 6
- จังหวัดหนองคาย คือ นายศักดิ์ บึงลี เขต 2
- จังหวัดอุดรธานี ได้แก่ นายสุรศักดิ์ แสงตา, นายมนตรี พึ่มชัย เขต 7 และ นายอัมพร เทศศรีเมือง เขต 10
- จังหวัดนครพนม คือ นางวิทยาพร หาญทองชัย เขต 4
- จังหวัดมหาสารคาม ได้แก่ นายทองหล่อ พลโคตร และ นายประสาทพร สีกงพลี
- จังหวัดร้อยเอ็ด ได้แก่ นายภาณุวัฒน์ ศิริ และ นายใหม่ เสาวงค์
- จังหวัดสกลนคร คือ นายเชิดชัย สิงห์มหันต์ เขต 5

ภาคเหนือ
- จังหวัดเชียงราย ได้แก่ นายศรัณพัฒน์ ศรีสวัสดิ์ เขต 1, นางวันดี ราชชมภู เขต 2 และ พ.ต.อ.รัฐพล น้อยช่างคิด เขต 3
- จังหวัดพะเยา คือ นายอนุรัตน์ ตันบรรจง
- จังหวัดพิษณุโลก คือ นายอัศวิน นิลเต่า
- จังหวัดเพชรบูรณ์ คือ นายอัคร ทองใจสด เจต 6
- จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ นายเรวัต คล้ายสมบูรณ์ เขต 1, นายสุขโกศล โกศลธรรมสกุล เขต 2 และ นายอัฑฒ์ เชื้อมีศรี เขต 3
- จังหวัดสุโขทัย ได้แก่ นางเบญจมาศ ไก่แก้ว, นายวิโรจน์ มากมูล, นายอารยะ ชุมดวง เขต 3 และ นายจเร บุญกำเนิด เขต 4

ภาคใต้
- จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ นายสุชาติ จิตรติศักดิ์ เขต 5 และ นายซุ้น ณัฐเดช กังสุกุล เขต 10
- จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ นายประเทือง มีแต้ม และ นางจิรวรรณ สารสิทธิ์ เขต 4
- จังหวัดสงขลา ได้แก่ นายอาทิตย์ สุวิทย์ เขต 3 และ นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว เขต 4
- จังหวัดปัตตานี คือ นายอรุณ เบ็ญจลักษณ์ เขต 1

อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ยกระดับชีวิตคนจน และส่งเสริมการกีฬาเพื่อเยาวชน

แม้ว่า สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสมศักดิ์ เทพสุทิน จะบอกลาพรรคพลังประชารัฐ ข้ามขั้วไปเปิดตัวกับพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว  แต่สำหรับ "อนุชา นาคาศัย" หรือ "เสี่ยแฮงค์" อีกหนึ่งแกนนำสำคัญของกลุ่มสามมิตร กลับลั่นวาจาชัดเจนว่าจะขอไปร่วมหัวจมท้าย กับ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ  

ด้วยความที่รักในความมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชน และความจริงใจของ "ลุงตู่" ซึ่งเขาคิดว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้สามารถประคับประคองรัฐนาวาฝ่าข้ามคลื่นลมมาได้จนถึงเวลาประกาศยุบสภา และ "อนุชา" ในบทบาทรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับนายกฯ ลุงตู่ มากที่สุด 

"อนุชา" เคยสะท้อนตัวตนของเขาผ่านสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ว่าแม้เขาเป็นคนพูดน้อย แต่เมื่อลงมือทำแล้วมั่นใจได้ว่าทำจริง เวลาเกือบ 4 ปี ของการเป็นรัฐบาล อนุชาเคยสวมหมวก “พ่อบ้าน" ทั้งของพรรค และของรัฐบาล โดยเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และยังเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ต่อเนื่องมาจนกระทั่งยุบสภา

ช่วงที่ "อนุชา" อยู่ในบทบาทเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ต้องฝ่าอุปสรรคความคิดที่หลากหลาย คล้ายมี  “สารพัดก๊ก” ภายในพรรค  แต่เขากลับไม่ได้มองเป็นเรื่องเสียหาย เพียงแค่หยิบส่วนดีของแต่ละฝ่ายนำมาใช้ และต้อง “ไม่เข่นฆ่ากัน” ในช่วงเวลาไล่เรียงกัน เมื่อสภาฯ กำลังจะมีการประชุมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 วาระ 2 และ 3 หลายฝ่ายเป็นห่วงสถานการณ์นอกสภาที่มีการนัดชุมนุม '19 กันยา' เรียกร้องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่อาจลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรง

อนุชา ซึ่งเป็นทั้งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และรมต.ประจำสำนักนายกฯ ร้องขอให้ ส.ส. ของพรรค เข้าประชุมตามปกติ  พร้อมให้ความเห็น ว่าการชุมนุมเป็นเรื่องปกติทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ออกมาเคลื่อนไหวก็เป็นลูกเป็นหลาน ที่ทั้งรัฐบาลและรัฐสภา ต้องรับฟังข้อเรียกร้องและช่วยกันแก้ปัญหา 

แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ร้องขอกลับไปยังกลุ่มผู้ชุมนุม หรือผู้อยู่เบื้องหลัง ให้พยายามใช้กลไกในการแก้ปัญหา หาทางออกร่วมกัน ดีกว่าการนำการเมืองลงถนนเพื่อกดดัน เรียกร้องในสิ่งที่อยากได้ทั้งหมด 

“แม้ว่าผมจะเคยถูกตัดสิทธิทางการเมือง (เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบในปี 2549 ) แต่ไม่เคยคิดลงถนน เพราะการเมืองบนท้องถนน วันหนึ่งมันก็เหมือนเขาลงได้ เราก็ลงได้ ไม่มีวันจบสิ้น และวันข้างหน้าจะไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า เรารักประชาธิปไตย ดังนั้น นักการเมืองคนใด ที่ใช้เวทีเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ผมคิดว่าคนๆ นั้นจะต้องพิจารณาตัวเองว่ารักระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่” 

หากมองลึกลงในบทบาทรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “อนุชา” ช่วยประคับประคองและแบ่งเบาภาระ “งานหลังบ้าน” ของรัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งของ “พล.อ.ประยุทธ์” ตั้งแต่งานรูทีน ที่ต้องกำกับดูแลสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค  บมจ.อสมท. - กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนา 

ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี หรือ กตน. ทำให้ในหลายๆ ครั้ง เรามักจะได้เห็นภาพเขานำคณะลงพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหา และฟังเสียงสะท้อนจากคนเล็กคนน้อยด้วยตนเอง อย่างที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ที่มีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินของชุมชนชาวเล หรือที่ชุมชนชาวกะเหรี่ยง บ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่ยังต้องแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน

ทีมเศรษฐกิจ รทสช.เตรียมดันนโยบายมุ่งเป้า ไม่ขอเล่นเกมหว่านแห ลั่น!! ‘คนละครึ่ง’ ทำต่อแน่

(23 มี.ค. 66) ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมเปิดตัวทีมเศรษฐกิจ รทสช. ถึงกรณีสมัครเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค รทสช.ว่า ถ้าเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อก็เป็นไปได้ ตามกติกาของพรรค เพราะตนลงมาตรงนี้แล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ที่สุด ซึ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจของตนนั้น จะไม่เน้นที่การให้แบบเหวี่ยงแห แต่เป็นการมุ่งเป้า และการส่งเสริมการดำเนินการอะไรต่าง ๆ จะได้มีอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นความร่วมมือกับประชาชน และทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว เราใช้หลักที่เราฟันฝ่าอุปสรรคโควิด-19 มาได้อย่างไร เราจะใช้หลักนั้น เพราะเราเชื่อว่าหลักนั้นเป็นความสำเร็จที่ดี ทุกอย่างต้องร่วมมือด้วยกัน

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ หลายพรรคการเมืองออกนโยบายเรื่องตัวเลขมาเกทับกัน นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เดี๋ยวรอดูของพรรค รทสช.เราจะมุ่งเป้าสำหรับคนที่จำเป็น มีที่ไหนบ้างในอดีตที่ช่วยเหลือแต่ละกลุ่มอย่างเป็นระบบ เมื่อก่อนเหวี่ยงแหแจกทุกคน แต่ในยามวิกฤต ยามเดือดร้อน เราใช้เงินเหมาะสม คนล่างสุดรับเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เหมือนเบาะรองรับเมื่อตกตึกสองชั้น ซึ่งเขาพออยู่ได้ มีโอกาสดำรงชีวิตได้ในระดับหนึ่ง คนที่ระดับสูงกว่านั้นก็เป็นโครงการคนละครึ่ง ที่ต้องไปช่วยคนตัวเล็กอีกทีหนึ่ง ส่วนช็อปดีมีคืน ก็เป็นคนมีฐานะก็ไปช่วยกันใช้เงิน การแบ่งเป็น 3 ชั้นอย่างนี้ไม่เคยมี

ถามต่อว่า แสดงว่าโครงการคนละครึ่งเหล่านี้ จะมีการทำต่อ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ทำต่ออยู๋แล้ว ถือว่าเป็นนโยบายของพรรคเลย ก็มันเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งครั้งนี้จะต่างจากช่วงวิกฤติ แต่เราจะเน้นผู้ที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้ที่ถือแอพพิเคชั่นเป๋าตังค์ รอบหน้าเราเพิ่มเรื่องถุงเงินที่เน้นเอสเอ็มอี เน้นคนตัวเล็ก ซึ่งในถุงเงินภายใต้โครงการคนละครึ่งมีผู้มีสิทธิ์ 1 ล้านราย เราอยากให้มีมากขึ้นถึง 5 ล้านราย


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/719396

‘เพื่อไทย’ เตรียมจัดปราศรัย กทม.เป็นครั้งแรก 24 มี.ค.นี้ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเปิดวิสัยทัศน์ประเทศไทย

(23 มี.ค.66) พรรคเพื่อไทย (พท.) เผยแพร่คลิปเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมงานเปิดวิสัยทัศน์ประเทศไทย ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อคนกรุงเทพฯ’ โดยเนื้อหาภายในคลิป น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม (พท.) และหัวหน้าครอบครัวเ พื่อไทย กล่าวว่า อยากเชิญชวนประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ มางานเปิดวิสัยทัศน์ประเทศไทย ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อคนกรุงเทพฯ’
.
คนที่จะแสดงมุมมองเพื่ออนาคตของคนกรุงเทพฯ และประเทศไทยทั้ง 4 ด้าน พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 คน 33 เขต พบกันวันศุกร์ที่ 24 มีนาคมนี้ ที่ Stadium One จุฬาซอย 4 และซอย 6 ถนนบรรทัดทอง เริ่มตั้งแต่เวลา 17.30 น.

เปิด 10 จังหวัด ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดในประเทศไทย

เปิดจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 จาก 77 จังหวัดทั่วไทย รวม 52 ล้านคน

(1) กรุงเทพมหานคร 
-ชาย 2,041,204 คน
-หญิง 2,428,076 คน
-รวม 4,469,280 คน

(2) จังหวัดสมุทรปราการ
-ชาย 504,258 คน
-หญิง 579,799 คน
-รวม 1,084,057 คน

(3) จังหวัดนนทบุรี
-ชาย 474,078 คน
-หญิง 579,719 คน
-รวม 1,053,797 คน
.
(4) จังหวัดปทุมธานี
-ชาย 443,723 คน
-หญิง 515,923 คน
-รวม 959,646 คน
.
(5) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
-ชาย 313,936 คน
-หญิง 351,924 คน
-รวม 665,860 คน
.
(6) จังหวัดอ่างทอง
-ชาย 105,959 คน
-หญิง 119,396 คน
-รวม 225,355 คน
.
(7) จังหวัดลพบุรี
-ชาย 295,127 คน
-หญิง 304,626 คน
-รวม 599,753 คน
.
(8) จังหวัดสิงห์บุรี
-ชาย 78,644 คน
-หญิง 90,058 คน
-รวม 168,702 คน

(9) จังหวัดชัยนาท
-ชาย 78,644 คน
-หญิง 90,058 คน
-รวม 168,702 คน

(10) จังหวัดสระบุรี
-ชาย 246,534 คน
-หญิง 263,468 คน
-รวม 510,002 คน

(11) จังหวัดชลบุรี
-ชาย 586,771 คน
-หญิง 644,189 คน
-รวม 1,230,960 คน

(12) จังหวัดระยอง
-ชาย 283,477 คน
-หญิง 303,030 คน
-รวม 586,507 คน

(13) จังหวัดจันทบุรี
-ชาย 206,556 คน
-หญิง 221,724 คน
-รวม 428,280 คน

(14) จังหวัดตราด
-ชาย 85,643 คน
-หญิง 89,557 คน
-รวม 175,200 คน

(15) จังหวัดฉะเชิงเทรา
-ชาย 279,099 คน
-หญิง 298,493 คน
-รวม 577,592 คน

(16) จังหวัดปราจีนบุรี
-ชาย 193,231 คน
-หญิง 202,657 คน
-รวม 395,888 คน

(17) จังหวัดนครนายก
-ชาย 101,740 คน
-หญิง 108,025 คน
-รวม 209,765 คน

(18) จังหวัดสระแก้ว
-ชาย 217,293 คน
-หญิง 221,097 คน
-รวม 438,390 คน

(19) จังหวัดนครราชสีมา
-ชาย 1,028,882 คน
-หญิง 1,095,705 คน
-รวม 2,124,587 คน

(20) จังหวัดบุรีรัมย์
-ชาย 614,203 คน
-หญิง 639,123 คน
-รวม 1,253,326 คน

(21) จังหวัดสุรินทร์
-ชาย 538,514 คน
-หญิง 555,519 คน
-รวม 1,094,033 คน

(22) จังหวัดศรีสะเกษ
-ชาย 575,310 คน
-หญิง 591,577 คน
-รวม 1,166,887 คน

(23) จังหวัดอุบลราชธานี
-ชาย 730,963 คน
-หญิง 746,681 คน
-รวม 1,477,644 คน

(24) จังหวัดยโสธร
-ชาย 214,726 คน
-หญิง 219,878 คน
-รวม 434,604 คน

(25) จังหวัดชัยภูมิ
-ชาย 441,582 คน
-หญิง 463,781 คน
-รวม 905,363 คน

(26) จังหวัดอำนาจเจริญ
-ชาย 149,003 คน
-หญิง 153,358 คน
-รวม 302,361 คน

(27) จังหวัดบึงกาฬ
-ชาย 163,350 คน
-หญิง 165,717 คน
-รวม 329,067 คน

(28) จังหวัดหนองบัวลำภู
-ชาย 201,120 คน
-หญิง 206,281 คน
-รวม 407,401 คน

(29) จังหวัดขอนแก่น
-ชาย 703,629 คน
-หญิง 750,060 คน
-รวม 1,453,689 คน

(30) จังหวัดอุดรธานี
-ชาย 611,774 คน
-หญิง 641,046 คน
-รวม 1,252,820 คน

(31) จังหวัดเลย
-ชาย 251,642 คน
-หญิง 255,126 คน
-รวม 506,768 คน

(32) จังหวัดหนองคาย
-ชาย 202,060 คน
-หญิง 209,791 คน
-รวม 411,851 คน

(33) จังหวัดมหาสารคาม
-ชาย 375,807 คน
-หญิง 400,106 คน
-รวม 775,913 คน

(34) จังหวัดร้อยเอ็ด
-ชาย 519,009 คน
-หญิง 539,834 คน
-รวม 1,058,843 คน

(35) จังหวัดกาฬสินธุ์
-ชาย 385,979 คน
-หญิง 404,236 คน
-รวม 790,215 คน
.
(36) จังหวัดสกลนคร
-ชาย 449,159 คน
-หญิง 463,617 คน
-รวม 912,776 คน

(37) จังหวัดนครพนม
-ชาย 281,138 คน
-หญิง 288,751 คน
-รวม 569,889 คน

(38) จังหวัดมุกดาหาร
-ชาย 137,701 คน
-หญิง 139,989 คน
-รวม 277,690 คน

(39) จังหวัดเชียงใหม่
-ชาย 628,476 คน
-หญิง 704,612 คน
-รวม 1,333,088 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top