Friday, 13 June 2025
SPECIAL

‘พปชร.’ ประกาศ ‘ไฟฟ้าประชาชน’ มั่นใจ!! ลดฮวบ ‘ไฟบ้าน’ เหลือ 2.50 บาท ‘ไฟอุตฯ’ เหลือ 2.70 บาท

(18 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ แถลงผลประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค เป็นประธานโดยที่ประชุมได้ข้อสรุปการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ รวมไปถึงการลดราคาน้ำมันและค่าแก๊ส และการลดค่าไฟฟ้า เป็นเวลา 1 ปี

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมาจาก 4 แห่งใหญ่ คือ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จากนั้นจ่ายผ่านการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไปยังธุรกิจอุตสาหกรรม และประชาชน ซึ่งคนไทยทั้งประเทศใช้ไฟฟ้าประมาณ 200,000 ล้านหน่วยต่อปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใช้ไฟมากกว่า 60% 

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า โครงสร้างราคาไฟฟ้า คือ ค่าไฟฟ้าฐาน และ ค่า FT มาบวกกัน ถึงออกมาเป็นค่าไฟฟ้าต่อหน่วย โดยปัจจุบันนี้อัตราค่าไฟของประเทศในอาเซียน ประเทศไทยถือว่าแพง พรรค พปชร.จึงต้องแก้ปัญหานี้ให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยรื้อและปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ภายใต้กรอบวินัยการเงิน และการคลัง 

กาฬสินธุ์ เพื่อไทยยกทัพตอกเสาเข็มแลนด์สไลด์กาฬสินธุ์ทั้ง 6 เขต

เพื่อไทยยกทัพนำขุนพลเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย “บอล” พลากร พิมพะนิตย์ ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 2 ตอกเสาเข็มกาฬสินธุ์ต้องแลนด์สไลด์ทั้ง 6 เขต  ด้าน“อุ๊งอิ๊ง”วีดีโอคอลอ้อนคิดถึงชาวกาฬสินธุ์ขออย่าปันใจ ย้ำพรรคเพื่อไทยไม่มีสาขา  ให้เลือกทั้งคน ทั้งพรรคแลนด์สไลด์ทั่วประเทศ ขณะที่ “เศรษฐา”ประกาศเดินหน้านโยบายกระเป๋าตังค์ดิจิทัลให้คนละ 10,000 บาท ยืนยันไม่ยกเลิกบัตรคนจน ระบุพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คนจนจะหมดไปเอง


เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 18 เมษายน 2566 ที่สนามกีฬาโรงเรียนวังมนวิทยาคาร ต.หัวงัว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายอดิศร เพียงเกษ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย  และนายพานทองแท้ ชินวัตร เปิดเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยนายพลากร พิมพะนิตย์ ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 2 พรรคเพื่อไทย เบอร์ 4 โดยมีนายวิรัช พิมพะนิตย์  ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 พรรคเพื่อไทย นางยรรยงรัตน์ ไชยศิวามงคล ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 3 นายทินพล ศรีธเรศ ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 5 และผู้สมัคร ส.ส.จาก จ.ร้อยเอ็ดเข้าร่วมปราศรัย พร้อมประกาศตอกเสาเข็มแลนด์สไลด์กาฬสินธุ์ทั้ง 6 เขต ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมรับฟังกว่า 20,000 คน หลังจากเมื่อช่วงเวลา 15.00 น.ได้เปิดเวทีปราศรัยจุดแรกที่อำเภอกมลาไสย


โดยเวทีการปราศรัยครั้งนี้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ยังได้ปราศรัยผ่านระบบออนไลน์ หรือวีดีโอคอลมาถึงพี่น้องประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งนางสาวแพทองธาร บอกว่า คิดถึงพี่น้องชาวกาฬสินธุ์ รอคลอดน้องแล้วจะไปหา พร้อมขอแรงเชียร์ แรงใจ จากพี่น้องประชาชนชาวกาฬสินธุ์ เลือกพรรคเพื่อไทย เราไม่มีพรรคอื่น ขออย่าปันใจ ให้เลือกทั้งคน ทั้งพรรค เลือกพรรคเพื่อไทยเท่านั้นให้แลนด์สไลด์ทั้ง 6 เขต และแลนด์สไลด์ทั่วประเทศ เพื่อเข้าไปเป็นรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาปากท้อง ปัญหายาเสพติด และแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศ


ด้านนายอดิศร เพียงเกษ  กล่าวปราศรัยว่า ผ่านมา 8 ปีแล้ว และหมดเวลาแล้วสำหรับการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาล"ประยุทธ์"  ซึ่งขณะนี้พรรคเพื่อไทยพร้อมที่สุด พร้อมทั้ง ส.ส.เขต พร้อมทั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และพร้อมทั้งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่จะเข้าไปกู้หน้าตาให้ประเทศไทยกลับคืนมา ขอพี่น้องประชาชนเปิดโอกาสให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลและขอพี่น้องชาวกาฬสินธุ์เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ทั้ง 6 เขต

'ชัยวุฒิ' ยก 'บิ๊กป้อม' มือประสานทุกฝ่าย ชี้!! เป็นนายกฯ โลกความจริง ไม่ใช่โลกออนไลน์

(18 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการยกเลิกการเกณฑ์ทหารของบางพรรคการเมืองว่า ทุกคนเห็นต่างกันได้ พรรคการเมืองที่มีความเห็นไม่ตรงกับพรรคพลังประชารัฐ ก็จะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของเรา ตนก็มีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองอื่นเช่นเดียวกัน ถือเป็นการใช้สิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะที่มีบางพรรคพูดถึงเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐไม่มีนโยบายนี้ เราเห็นด้วยกับการคงนโยบายการเกณฑ์ทหารไว้ และให้มีการพัฒนากองทัพ ให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพราะเราเชื่อว่าความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเรื่องของการเกณฑ์ทหารมีระบบการสมัครใจอยู่แล้ว หัวใจสำคัญคือ ต้องดูแลทหารให้ดีขึ้น ให้คนที่ผ่านการเกณฑ์หรือสมัครเข้ามาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีประสบการณ์และได้รับการฝึกฝนที่ดี

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่อยากให้ทำนโยบายที่คิดถึงแต่ความนิยม หรือเอาใจประชาชน จนทำให้เกิดค่านิยมที่ผิด ค่านิยมไม่เสียสละเพื่อแผ่นดิน ตนไม่อยากใช้คำว่าชังชาติ แต่คิดว่าเป็นค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง อยากให้มองว่ากองทัพเป็นสิ่งสำคัญ ต้องช่วยกันสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เพราะนี่คือความมั่นคงของชาติที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะทำให้เศรษฐกิจของเราเดินหน้า ต่อไปได้ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายพรรคมองว่านโยบายการเกณฑ์ทหารควรได้รับความสมัครใจจากผู้ที่ประสงค์จะสมัครเป็นทหาร นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เป็นแนวคิดของพรรคการเมืองอื่น ซึ่งในข้อเท็จจริงวันนี้เรามีแผนพัฒนากองทัพ และมีการวางแผนใช้กำลังทหารอยู่แล้ว และปัจจุบันมีการปรับลดจำนวนทหารเกณฑ์ จาก 100,000 คนเหลือเพียง 6 หมื่นคน แต่ปัจจุบันผู้ที่สมัครเข้ามามีจำนวนไม่เพียงพอ จึงยังต้องคงระบบการเกณฑ์ทหารเอาไว้ ตนเชื่อว่าภัยคุกคามประเทศยังคงมีอยู่ บางเรื่องที่นักการเมืองไม่รู้แต่ฝ่ายความมั่นคงรู้ ก็ควรจะรับฟังและพูดคุยกันด้วยเหตุผล

ผู้สื่อข่าวถามถึงผลโพลที่ออกมา ที่ระบุว่า พล.อ.ประวิตร เป็นอันดับ 1 ในการก้าวข้ามความขัดแย้ง นายชัยวุฒิ กล่าวว่า นี่เป็นนโยบายหลักของพรรคอยู่แล้ว พล.อ.ประวิตร มีแนวคิดและแนวทางในการทำงานที่ชัดเจนอยู่แล้ว ในเรื่องของการประนีประนอม และพูดคุยกับทุกฝ่าย ทุกวันนี้สังคมไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสุดโต่ง มีทั้งฝ่ายซ้ายจัด ขวาจัด บางคนก็อยากเปลี่ยนประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นการเปลี่ยนที่ไกลเกินไป จนคนไทยรับไม่ได้ และอาจทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในอนาคต รวมถึงบางคน ที่คิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องของครอบครัว มากเกินไป ก็จะทำให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งรับไม่ได้เช่นกัน

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง อาจจะส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และทำให้บ้านเมืองมีปัญหาในอนาคต พล.อ.ประวิตร จึงต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง รับฟังทุกกลุ่มทุกฝ่าย ประสานให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้ ที่สำคัญคือเราคิดต่างกันได้ แต่ต้องมาหาทางออกร่วมกัน

“เชื่อว่าลุงป้อม จะเป็น Soft Power ที่จะทำให้ทุกคนมาทำงานร่วมกันได้ และสามัคคีกันได้ และเชื่อมั่นว่า สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้ประเทศชาติของเราเดินหน้าไปได้ ประชาชนก็จะอยู่ดีกินดีก้าวข้ามความขัดแย้งก้าวข้ามความยากจน"

‘เศรษฐา’ ร่วมหารือผู้ประกอบการร้อยเอ็ด เรื่องผลผลิตราคาตกต่ำ ชี้ ทุกคนเห็นปัญหา แต่ไร้ผู้นำในการแก้ไข ขอเสนอ ‘พท.’ ช่วยกู้วิกฤต

‘เพื่อไทย’ พบกลุ่มนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และเกษตรกร จังหวัดร้อยเอ็ด สะท้อนราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ ข้าว-วัวราคาถูก รวมถึงระบบชลประทานที่ยังขาดแคลน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ชี้ว่าทุกคนเห็นปัญหาร่วมกันแต่ไร้คนขับเคลื่อนแก้ไข เพื่อไทยขอเสนอตัวเข้าไปแก้ไขปัญหาเอง

(18 เม.ย. 66) ที่สาเกต ฮอลล์ ​จังหวัดร้อยเอ็ด แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ​แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, น.ส.พานทองแท้ ชินวัตร ที่ปรึกษาศูนย์ปฎิบัติการเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย, นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรค, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ​ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร​ คณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทยทั้ง 8 เขต พบปะตัวแทนกลุ่มนักธุรกิจ และผู้ประกอบจังหวัดร้อยเอ็ดกว่า 30 คน

ตัวแทนกลุ่มเกษตรกร สะท้อนปัญหาข้าวหอมมะลิของทุ่งกุลาร้องไห้ว่า ตอนนี้ราคาข้าวหอมมะลิราคาตกลง ตั้งแต่หลังรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกษตรกรชาวนาไม่ได้รับการดูแลสนับสนุน จึงอยากให้รัฐบาลใหม่ส่งเสริมให้ราคาข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้นและใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแปรรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีมูลค่าเพิ่มเหมือนเช่นอดีต ซึ่งสิ่งที่เกษตรกร ต้องการคือ 

1.) ต้องการขายข้าวและพืชผลการเกษตรได้ราคา หรือในราคาสูง เพราะทุกวันนี้ขาดทุนอยู่ทุกวัน
2.) โค กระบือ ราคาตกลงอย่างมาก คนทำฟาร์มเลี้ยงไปไม่รอด 
3.) ปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งวันนี้ระบบชลประทานยังเข้าไม่ถึงพื้นที่

ขณะที่ ตัวแทนสภาหอการค้า สะท้อนว่าจังหวัดร้อยเอ็ดติดลำดับเมืองที่ยากจน วันนี้เราต้องผลักดันเกษตรแปรรูป สร้างอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เพราะราคาข้าวตกต่ำ ต้องนำไปแปรรูปเช่น เหล้าสาเก รวมถึงปัญหาราคาต้นทุนพลังงาน ที่ทั้งประชาชนและภาคอุตสาหกรรมต้องแบกภาระ จึงอยากให้ดูแล

นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวว่า รู้สึกว่า 8 ปีที่ผ่านมา เป็นอะไรที่เราอัดอั้นตันใจ ค้าขายก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดี ตนคิดว่าเรื่องของรายได้เกษตรกรถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของพรรคเพื่อไทย ซึ่งนโยบายหลักของเราคือ รายได้ของพี่น้องเกษตรกรต้องโตขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี และต้นทุนซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของพี่น้องต้องต่ำลง โดยเราจะมีการนำนวัตกรรมมาเสริมเพื่อลดต้นทุนตรงนี้

'พีระพันธุ์' ย้ำ!! บัตรสวัสดิการพลัส ได้รวม 12,000 บาท มากกว่าเงินดิจิทัล 2,000 เป็นเงินจริงที่ถูกดึงมาใช้อย่างมีระบบ

'พีระพันธุ์' เผย รทสช.ชูนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องคนไทยหลายด้าน เล็งเปิดนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลง ช่วยคนมีรายได้น้อย-เกษตรกรใช้ไฟฟ้าแค่ยูนิตละ 3.90 บาท หวังช่วยลดต้นทุนค่าครองชีพ พร้อมแจงบัตรสวัสดิการพลัสทำได้จริงถูกกฎหมายประชาชนได้ประโยชน์เต็มร้อย ภายใต้การคำนึงถึงระบบการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด 

(18 เม.ย.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงนโยบายการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยเฉพาะเรื่องการทำมาหากิน และเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกัน จะต้องมีการวางรากฐานเพื่อให้คนกลุ่มต่างๆ สามารถอยู่ต่อได้ในภาวะค่าครองชีพปัจจุบัน โดยหาแนวทางว่าทำอย่างไรจะสามารถลดค่าครองชีพให้กับประชาชนแบบเป็นไปได้ 

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า กรณีของพลังงานที่มีราคาแพง เรื่องราคาน้ำมัน พรรคมีแนวคิดว่าจะให้มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปแบบเสรีได้ จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงได้ เนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้าคอมมูนิตี้ หากนำเข้ามาเท่าไหร่ ก็เพียงดูว่าจะขายเท่าไหร่ หากพรรครวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือไฟฟ้า ก็จะต้องทำตามนโยบายของรัฐอยู่แล้ว เช่น ค่าไฟฟ้า จะมีการกำหนดราคาให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร ที่ใช้ไฟในการดำเนินชีวิต หรือทำมาหากินเพื่อแบ่งเบาภาระ และช่วยลดต้นทุนให้ โดยมีการคำนวณมาแล้วจะอยู่ที่ประมาณ ยูนิตละ 3.90 บาท เป็นนโยบายของรัฐบาลพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘กกต.’ เผย ‘บัตรเลือกตั้ง’ มีรหัสลับอย่างน้อย 3 ชั้น ทุกกระบวนการพิมพ์-ขนส่ง มีระบบดูแลความปลอดภัย

(18 เม.ย.66) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (ประธาน กกต.) กล่าวถึงตัวอย่างบัตรเลือกตั้ง ว่า ตัวอย่างบัตรเลือกตั้งมีแนบท้ายในระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มี 2 ประเภท คือ บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตสีม่วง ส่วนบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นสีเขียว และรูปแบบบัตรเป็นไปตามมาตรา 84 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยส.ส. เพื่อไม่สร้างความสับสนให้ประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเลือกตั้ง

“ส่วนความปลอดภัยนั้นต้องบอกว่าทุกบัตรเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นบัตรเลือกตั้งประเภทไหนในการจัดพิมพ์จะต้องจัดพิมพ์แบบมีระดับความมั่นคงปลอดภัย มีรหัสลับอย่างน้อย 3 อย่าง หากเป็นบัตรปลอมจะไม่เหมือนเราก็สามารถตรวจและทราบได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์” ประธาน กกต. กล่าว

‘3 คำสำคัญ’ ใช้วัดนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง

เมื่อวันที่ 16 เม.ย.66 ‘ดร.วิรไท สันติประภพ’ อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองไหนบ้าง โดยระบุว่า…คำถามที่ผมถูกถามมากเป็นพิเศษในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้ คือชอบนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองไหนบ้าง

คำตอบ คือ ยังตัดสินใจไม่ได้ เพราะไม่ค่อยเห็นข้อเสนอนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองต่างๆ แบบภาพรวม จะเห็นแต่การนำเสนอมาตรการประเภทสัญญาว่าจะให้ เพื่อเอาใจฐานเสียงกลุ่มต่างๆ หรือไม่ก็มีลักษณะเป็น wish list แบบเบี้ยหัวแตกมากกว่าที่จะบอกว่าเป้าหมาย หรือทิศทางของเศรษฐกิจไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร และจะทำอย่างไรให้เกิดผลได้จริง

ข้อเสนอนโยบายเศรษฐกิจควรต้องผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี ผ่านการจัดลำดับความสำคัญ ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียและผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เพราะปัญหาแต่ละเรื่องมีความเร่งด่วนและความรุนแรงไม่เท่ากัน และเรามีทรัพยากรทุกอย่างจำกัด ไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง หลายเรื่องที่ถูกต้องและจำเป็นสำหรับอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องที่จะถูกใจฐานเสียงเสมอไป

ท่ามกลางหลากหลายปัญหาที่ระบบเศรษฐกิจไทยเผชิญอยู่ในเวลานี้และที่จะเผชิญในอนาคต ผมคิดว่านโยบายเศรษฐกิจจะต้องให้ความสำคัญกับคำสามคำ คือ productivity (ผลิตภาพ) immunity (การสร้างภูมิคุ้มกัน) และ inclusivity (การกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง) เพราะทั้งสามเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทย และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น และแก้ไขยากขึ้นมากถ้าเราปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ไหลลงไปเรื่อยๆ โดยไม่รีบจัดการ (อันที่จริง เราพูดเรื่องเหล่านี้กันมากว่า 10 ปีแล้ว แต่หลายเรื่องมักถูกลืม หรือถูกแกล้งลืม จนทำให้ปัญหาสะสมมากขึ้น)

              

คำแรก productivity หรือ ผลิตภาพ ถ้าแปลง่ายๆ คือคนไทยต้องเก่งขึ้น ธุรกิจไทยต้องเก่งขึ้น และต้นทุนการใช้ชีวิต การทำธุรกิจของคนไทยต้องลดลง สังคมไทยกำลังจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในขณะที่จำนวนคนไทยวัยทำงานลดลงเรื่อยๆ มาสองสามปีแล้ว และหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นมาก ในอนาคตคนไทยวัยทำงานแต่ละคนจะต้องหาเงินดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทั้งดูแลทางตรง(ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและตัวเองในวัยชรา) และทางอ้อม(ผ่านการเสียภาษีให้รัฐบาลเพื่อเอาไปดูแลคนชรา) ตลาดในประเทศก็มีแนวโน้มเล็กลงตามจำนวนประชากรและโครงสร้างประชากร ในอนาคตงบประมาณของภาครัฐที่จะไปลงทุนเรื่องใหม่ๆ ให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกก็มีแนวโน้มน้อยลง เพราะงบรายจ่ายสวัสดิการเพิ่มสูงขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันกับประเทศอื่นที่เข้มข้นมากขึ้น หลายประเทศคู่แข่งของเรามีโครงสร้างประชากรที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว และกำลังเพิ่มผลิตภาพหลายด้านอย่างก้าวกระโดด

นโยบายด้าน productivity ต้องทำหลากหลายเรื่อง ที่สำคัญต้องเร่งพลิกโฉม (transform) ภาคเศรษฐกิจที่มี productivity ต่ำแต่มี impact สูงกับคนส่วนใหญ่ของประเทศก่อน โดยให้ความสำคัญกับอย่างน้อยสามภาค คือ ภาคเกษตร ภาคการศึกษา และภาครัฐ ที่ต้องพลิกโฉมอย่างจริงจัง ต้องทำนโยบายและมาตรการด้านอุปทาน (supply side) และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็น Agri-tech, Edu-tech, หรือ Gov-tech ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลได้จริงในระยะยาว

ภาคเกษตร ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลผลิตต่อไร่ของทุกพืชหลักของเราแทบไม่ดีขึ้นเลย และอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น นอกจากนี้ แรงงานในภาคเกษตรเป็นแรงงานสูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ วิธีการทำเกษตรแบบดั้งเดิมใช้น้ำมาก ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในปริมาณสูง และสร้าง PM2.5 ทำให้คนไทยตายผ่อนส่งและสร้างภาระรายจ่ายด้านสุขภาพสูงมาก ภาคเกษตรจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศรุนแรงในอนาคต ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่เพราะครัวเรือนกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไทยพึ่งพิงรายได้จากภาคเกษตร การเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตรจะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ไม่ติดอยู่กับนโยบายให้เงินอุดหนุน ประกันรายได้ หรือเน้นสร้างแรงจูงใจที่มีผลบิดเบือนระยะสั้นเหมือนที่ผ่านมา

ภาคการศึกษา ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลิตภาพการศึกษาของเราอยู่ในระดับต่ำ และยังผลิตคนที่มีทักษะและความรู้ไม่ตรงกับความต้องการของโลกปัจจุบันและอนาคต เรามีโรงเรียนรัฐบาลขนาดเล็กที่ขาดคุณภาพจำนวนมาก และกำลังเผชิญปัญหาเด็กเกิดใหม่น้อยลงเรื่อยๆ สถาบันการศึกษาเอกชนหลายแห่งต้องทยอยปิดตัวลง สถาบันอุดมศึกษาต้องเร่งปรับตัวจากการมุ่งสอนนิสิตนักศึกษาไปสู่การวิจัยที่สร้างนวัตกรรม และเพิ่มบทบาทการ upskill และ reskill แรงงานจำนวนมากที่ต้องยกระดับทักษะของตัวเอง การศึกษาเคยเป็นบันไดทางสังคม (social ladder) ที่สำคัญของไทย แต่บทบาทนี้จะยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่องว่างในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพถ่างขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะดี กับคนทั่วไป

ภาครัฐ ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณในอนาคต ภาครัฐจะต้องมีขนาดเล็กลง ซึ่งหมายความว่าต้องทำงานเก่งขึ้น นอกจากนี้ภาครัฐเป็นต้นทุนแฝงของการใช้ชีวิต และการทำธุรกิจของเราทุกคน เพราะเราต้องจ่ายภาษีและจ่ายค่าบริการสาธารณูปโภคต่างๆ ให้กับรัฐวิสาหกิจ (ที่หลายแห่งมีปัญหาด้านคุณภาพและรั่วไหลต่อเนื่อง) การยกระดับผลิตภาพของภาครัฐจะต้องปฏิรูปกระบวนการทำงานของระบบราชการและรัฐวิสาหกิจอย่างจริงจัง ต้องรักษาคนเก่งจำนวนมากให้อยู่ในภาครัฐให้ได้ ให้ได้ผลตอบแทนที่ดีและให้ทำงานที่มีคุณค่าสูง ต้องลดการรวมศูนย์จากส่วนกลาง กระจายอำนาจลงไปสู่ท้องถิ่นเร็วขึ้นและมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องเร่งปรับปรุงกฎหมาย ยกเลิกกฎเกณฑ์กติกาที่ล้าสมัย ซึ่งเป็นต้นทุนและอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตและทำธุรกิจของคนไทย และที่สำคัญที่สุดต้องเน้นการสร้างความโปร่งใส และเอาจริงกับการปราบปรามคอร์รัปชัน เพราะการคอร์รัปชันทำลายผลิตภาพโดยรวมของเศรษฐกิจไทย ที่ใดก็ตามที่มีการคอรัปชั่นเป็นวัฒนธรรม การแข่งขันจะไม่ได้อยู่บนความเก่งหรือความสามารถ แต่จะขึ้นอยู่กับว่ารู้จักใคร หรือรู้จักวิธีที่จะจ่ายกับใคร
 

'ก้าวไกล' แย้ม!! แผน 5 ขั้น ปีแรกชนนายทุนลดค่าไฟ 70 สตางค์ ใน 4 ปีเปลี่ยนแดดเป็นเงิน เปิดเสรีโซลาร์รูฟทั้งประเทศ

(18 เม.ย.66) ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลฝ่ายนโยบาย และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก้าวไกล ให้สัมภาษณ์พิเศษกับผู้สื่อข่าวถึงประเด็นค่าไฟหลายๆ บ้านที่แพงขึ้น โดยเปิดเผยถึงแผนบันได 5 ขั้น ที่พรรคก้าวไกลเตรียมเข้าไปผลักดัน หากหลังการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ซึ่งศิริกัญญาเชื่อว่าถ้าทำได้ทั้งหมดนี้ ค่าไฟประชาชนจะลดลงได้อย่างน้อยหน่วยละ 1 บาท พร้อมฝันเห็นภูมิทัศน์ใหม่ของธุรกิจไฟฟ้าของประเทศไทยที่มีการเปิดเสรี ประชาชนไม่ถูกมัดมือชกให้ซื้อไฟฟ้าจากนายทุน

ศิริกัญญาเปิดเผยว่า บันไดขั้นที่ 1 พรรคก้าวไกลมีนโยบายเปลี่ยนนโยบายจัดสรรก๊าซธรรมชาติ จากเอื้อกลุ่มทุนเป็นเอื้อประชาชน โดยใช้กลไกคณะกรรมการกำกับดูแลนโยบายพลังงาน (กกพ.) กำหนดนโยบาย ซึ่งตัวนโยบายสามารถเปลี่ยนได้เลยใน 100 วัน และเห็นผลในบิลค่าไฟ ลดได้ทันที 70 สตางค์ต่อหน่วยในปีแรก พร้อมกันนั้น ต้องเร่งเจรจาสัมปทานก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทยเพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากการนำเข้า

ขั้นที่ 2 พรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนแดดเป็นเงิน ด้วยการปลดล็อกระบบขายไฟมิเตอร์หมุนกลับจากหลังคาบ้านเรือน (Net Metering) เพื่อให้ทุกบ้านเรือนที่ต้องการติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านสามารถทำได้อย่างถูกต้อง และเกิดการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านประชาชนเพื่อลดค่าใช้จ่ายได้เอง เชื่อว่าภายใน 4 ปี จะเห็นการติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านของประชาชนเพิ่มขึ้นทั้งประเทศ

เลือกตั้ง 66 ตัวกำหนดจุดยืนไทย ในขณะ 'จีน-สหรัฐฯ' ขับเคี่ยวกัน หากได้ผู้นำอ่อนประสบการณ์ อาจเป็นการชักศึกเข้าบ้าน

                  

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เรื่องที่สำคัญมาก ๆ เรื่องหนึ่งที่คนไทยไม่ได้ใส่ใจ ด้วยคิดว่า เป็นเรื่องไกลตัวคือ “ตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในเกมช้างชนกัน (ระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน) ในบริบทของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวคนไทยมาก ๆ เพราะที่ตั้งของประเทศไทยอยู่ตำแหน่งที่ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ดีที่สุดในทวีปเอเชีย

                          

การเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลถึงผู้ที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งต้องมีความรู้ ความสามารถ เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และมีแนวคิดตลอดจนวิธีที่จะทำให้ประเทศชาติ บ้านเมือง รอดพ้นจากผลกระทบจากเกมช้างชนกันครั้งนี้ไปได้อย่างดีที่สุด กล่าวคือ ประเทศชาติ บ้านเมือง และคนไทยทั้งหมดทั้งมวลจะเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้อย่างน้อยที่สุด... เพราะการเจรจา ไม่สามารถใช้ที่ปรึกษาแทนได้ ต้องเป็นระดับ ผู้นำต่อผู้นำ…ซึ่งต้องเป็นผู้นำที่มีประสบการณ์ชีวิตสูง เพราะเดิมพันหนนี้สูงมากด้วยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเกิดความผิดพลาดจะร้ายแรงและรุนแรงมาก จนไม่อาจจะคาดคิดได้

                       

ในอดีตไม่กี่สิบปีก่อน ประเทศไทยเกือบจะเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเหมือนเช่นประเทศยูเครนในปัจจุบัน เพราะในช่วงสงครามเวียดนาม ไทยได้ส่งทหารไปร่วมรบกับสหรัฐ ยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา ตาคลี อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา ฯลฯ รวมทั้งที่ดอนเมือง เพื่อให้สหรัฐฯได้ขนระเบิดไปทิ้งที่เวียดนาม กัมพูชา และลาว จนทำให้ลาวเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก (โดยเครื่องบินของสหรัฐฯนำระเบิดมาทิ้งในดินแดนลาว ระหว่างปี ค.ศ. 1964-1973 กว่า 5.8 แสนเที่ยว หนักรวมกว่า 2 ล้านตัน)

                   

เมื่อสหรัฐฯ พ่ายแพ้ในการทำสงครามเวียดนาม ต้องขนทหารสหรัฐฯ กลับ โดยทิ้งให้ประเทศไทยต้องปากกัดตีนถีบในการช่วยเหลือตัวเองเพื่อป้องกันประเทศ ในช่วงนั้นไทยเราไม่สามารถหนีภาพการเป็นสาวกประเทศที่สวามิภักดิ์สหรัฐฯ อย่างที่สุดไม่ได้ และเวียดนามก็ประกาศบุกไทยเพื่อเป็นการแก้แค้นที่ไทยยอมให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในประเทศ

                 

เมื่อสหรัฐฯ ขนทหารออกจากประเทศไทยไป รัฐบาลไทยก็ต้องช่วยตัวเองในการป้องกันประเทศ แต่ก็ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพียงพอต่อการต้านกองทัพเวียดนาม (ซึ่งขณะนั้นถูกจัดให้มีความแข็งแกร่งอันดับที่ 4 ของโลก ในขณะที่กองทัพไทยในยุคนั้นยังไม่ติด 20 อันดับแรกเลย) รัฐบาลไทยจึงร้องขอต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ขอใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่สหรัฐขนกลับไม่หมด แต่คำตอบจากรัฐบาลสหรัฐฯ คือ ไม่อนุญาตให้รัฐบาลไทย นำอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ไปใช้ในการป้องกันประเทศ พร้อมทั้งจัดการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ตกค้างในไทยกลับประเทศจนหมด

ร้อยเอ็ด…บรรยากาศ คนร้อยเอ็ดแห่ตะโกนเชียร์ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หลังนำทีมเพื่อไทยชุดใหญ่ ลงพื้นที่อีสานปราศรัยวันนี้

วันนี้ (18 เมษายน 2566) เวลา 08.30 น.  ที่อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย นำโดย เศรษฐา ทวีสิน ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย เสริมศักดิ์พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรค สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พานทองแท้ ชินวัตร ที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และรักษาการโฆษกพรรค ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ขัตติยา สวัสดิผล ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เดินทางพร้อมคณะมาถึง สนามบินร้อยเอ็ด เพื่อเดินทางไปปราศรัยใหญ่ภาคอีสานเป็นวันแรก

โดยทันทีที่คณะของพรรคเพื่อไทยเดินทางมาถึง มีผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ดพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย สถาพร ว่องสัธนพงศ์ เขต1 เบอร์ 3, ฉลาด ขามช่วง เขต 2 เบอร์ 3, จิราพร สินธุไพร เขต 5 เบอร์3, โดยมีFCเสื้อแดงพี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ด ยืนเข้าแถวรอรับพร้อมมอบพวงมาลัยคล้องคอแคนดิเดตนายกฯ และส่งเสียงตะโกนดึงกึกก้อง ว่า “นายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย” ตลอดทางระหว่างที่คณะของเศรษฐา เดินออกจากสนามบิน

‘ธนาธร’ แจงปมดีเบตที่เชียงใหม่ดุเดือด ชี้!! กองเชียร์-บรรยากาศ-ประเด็นมันพาไป

(18 เม.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ทวิตข้อความผ่านบัญชีทวิตเตอร์ Thanathorn Juangroongruangkit @Thanathorn_FWP ว่า หลายคนถามว่าทำไมเมื่อคืนดีเบตเชียงใหม่ ผมดุดันเหลือเกิน ต้องบอกว่าบรรยากาศและประเด็นมันพาไป บวกกองเชียร์ก็ดุดันไม่แพ้กัน ขอบคุณชาวก้าวไกลทุกคนที่มาเชียร์ที่เวทีกันหนาแน่น ถ่ายรูปไม่ครบขออภัยด้วยครับ กลัวตกเครื่อง

โวย!! ผู้สมัครก้าวไกล หาเสียงปิดทับป้าย 'วัน อยู่บำรุง' ทำกองเชียร์ 2 พรรค เปิดศึกวิวาทะสนั่นโซเชียล

ยิ่งใกล้เข้าสู่การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.66 เท่าไหร่สถานการณ์การเมืองยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการหาเสียงเลือกตั้งกันอย่างดุเดือดในแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งได้มีการงัดนโยบายและจุดยืนทางการเมืองมาเพื่อเรียกคะแนนจากประชาชน

เหล่าบรรดาคอการเมืองและบรรดาแฟนคลับแต่ละพรรคก็ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองกันเป็นวงกว้างโดยเฉพาะในช่องทางโซเชียลมีเดีย

‘อุ๊งอิ๊ง’ ปลุกประชาชน เข้าคูหากาเลือก ‘เพื่อไทย’ ชี้!! ต้องเลือกทั้งคนทั้งพรรค ให้แลนด์สไลด์เกิดขึ้นจริง

(18 เม.ย.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย แถลงถึงยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งโค้งสุดท้ายพรรคเพื่อไทยว่า ขณะนี้มีกระแสต่าง ๆ มากมายถาโถมใส่พรรค ล่าสุดมีเสียงสะท้อนจากประชาชนถึงกระแสวิจารณ์ผู้สมัครส.ส.เขต พรรคเพื่อไทย ไม่ลงพื้นที่หาเสียง ชาวบ้านหาตัวผู้สมัครพรรคไม่เจอ และไม่ค่อยเห็นป้ายหาเสียงของพรรคนั้น ตนและพรรคเพื่อไทยไม่นิ่งนอนใจ ส่งทีมงานไปตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่ต่างๆ พบว่าส.ส.เขตลงพื้นที่สม่ำเสมอ อาจมีส่วนน้อยลงพื้นที่ไม่มากพอ แต่นโยบายต่างๆ ของพรรคที่ไปสู่ประชาชน อาทิ ค่าแรง 600 บาท กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ก็เป็นผลมาจากการที่ส.ส.ลงพื้นที่พบประชาชน เชื่อว่า ผู้สมัครทุกคนอยากเข้าสภา ก็ต้องพบปะประชาชน ส่วนเรื่องป้ายหาเสียงในบางพื้นที่ที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนั้น เนื่องจากต้องทำกฎคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ยอมรับเป็นข้อจำกัด พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ ถูกเพ่งเล็งตลอด จำเป็นต้องทำตามกฎ แต่อีกไม่กี่วันจะมีป้ายหาเสียงชุดใหม่ออกมาอธิบายนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล และการเติมเงินให้ครอบครัวละ 20,000 บาทต่อเดือน 

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยหนักแน่น เลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์จะเลือกพรรค ไม่เลือกคนไม่ได้ ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลง พรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ตอบโจทย์ให้ได้ ประชาชนอย่าเพิ่งแผ่ว ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งคน และพรรค ให้แลนด์สไลด์

‘บิ๊กตู่’ เมินโพลยก ‘บิ๊กป้อม’ ที่ 1 ก้าวข้ามความขัดแย้ง ชี้!! ผลโพลเปลี่ยนทุกวัน ย้ำ!! ตนไม่ขัดแย้งกับใคร

(18 เม.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการสำรวจสวนดุสิตโพล ประชาชนยกให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีคะแนนอันดับหนึ่งเกี่ยวกับนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง ว่า ก็ฟังกันไป ดูกันไป ผลสำรวจโพลก็เปลี่ยนทุกวัน 

เมื่อถามย้ำว่าโพลให้เรื่องก้าวข้ามความขัดแย้งเป็นอันดับหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ว่ากันไปเถอะ มันอยู่ที่พวกเราจะมองว่าขัดแย้งหรือไม่ขัดแย้ง พวกเราก็ดูกันเอาเอง อย่างน้อย ตนก็ไม่ได้ขัดแย้งกับใคร พร้อมถามสื่อว่าถูกหรือไม่ ตนไม่ขัดแย้งกับสื่อ ไม่ขัดแย้งกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่เมื่อทำผิดกฎหมายก็ต้องรับกติกา ถือเป็นประชาธิปไตย ทุกประเทศที่มีประชาธิปไตย เขาก็มีกฎหมายของเขา พร้อมถามว่าประเทศไหนไม่มีบ้าง แล้วประเทศไหนไม่ใช้กำลัง ในวันนี้ที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น มีหรือไม่ ประเทศไทยถือว่าเบาที่สุดแล้ว ตนไม่อยากให้เกิดขึ้น ระมัดระวังอย่างที่สุดแล้ว

‘นฤมล’ ควง ‘ไปป์ ภูวกร’ ลงพื้นที่หาเสียงเอกมัย 19 ชู ‘บ้านประชารัฐ 360 องศา’ เปลี่ยนเงินเช่าเป็นเงินผ่อน

(18 เม.ย.66) ชุมชนลีลานุช เอกมัย 19 กรุงเทพฯ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม. เขตวัฒนา-คลองเตย หมายเลข 8 พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ชุมชนลีลานุช เอกมัย 19 พร้อมเปิดตัวพื้นที่ต้นแบบ ‘บ้านประชารัฐ 360 องศา’ โครงการต้นแบบจากนโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา ‘เข้าถึง เข้าใจ ทำได้จริง’ โดยได้ร่วมพูดคุยและรับฟังความคิดเห็น รวมถึงข้อเสนอแนะจากพี่น้องประชาชนในชุมชน

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า วันนี้เรามาดูแลนโยบายเพื่อที่จะทำให้กับเขตคลองเตยวัฒนา โดยผู้สมัครของพรรคนายภูวกร หรือไปป์ ได้มีการเสนอกับผู้บริหารพรรคให้แก้ไขในเรื่องของที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งทันทีที่ได้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส.ในสภา จะต้องมีการผลักดันผ่านหน่วยงานต่าง ๆ และ กทม.รวมถึงภาคเอกชนที่จะต้องเข้ามาช่วยในเรื่องของการออกแบบก่อสร้าง ตกแต่ง ให้ถูกใจผู้อยู่อาศัย และบริเวณภายนอกก็ควรจะเหมาะสมกับพื้นที่นั้น ๆ นอกจากนี้จะต้องมีการประสานกับธนาคารของรัฐ ที่จะเข้ามาช่วยในด้านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำด้วย

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐจะผลักดันให้เป็นสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ซึ่งอยู่ในโครงการบ้านประชารัฐ และเป็นบ้านหลังแรก โดยพี่น้องประชาชนก็จะได้มีบ้านที่สวยงาม มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ เช่น เมื่อเรามีการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ หรือร้านค้าอื่นๆ ก็จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา รายได้ก็จะตามมา 

"พื้นที่บริเวณนี้จะต้องได้รับการพัฒนาเหมือนเช่น คอนโดตึกใหญ่รอบข้างที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ชุมชนตรงนี้ก็จะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้ได้ วันนี้ต่อให้เราจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ได้เป็น เราก็จะผลักดันโครงการนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะ ความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งนโยบายนี้เราจะทำให้เกิดขึ้นในทุกเขต เพื่อให้ชาว กทม.ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้ เพราะคน กทม.ยังมีอีกหลายชุมชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง" ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด้านนายภูวกร กล่าวว่า ตนเป็นคนเกิดที่นี่ และต้องการจะผลักดันโครงการบ้านประชารัฐ วันนี้ตนได้รับข่าวจากประธานชุมชนว่าในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามชุมชน ได้โดนไล่รื้อถอนบ้านที่อยู่อาศัยไปแล้ว ตนจึงไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีกในชุมชนนี้ ตนต้องการให้ชุมชนลีลานุชแห่งนี้ เป็นชุมชนแรกที่ได้ริเริ่มโครงการบ้านประชารัฐ ที่ผ่านมาเราเคยมีบ้านลักษณะเช่นนี้จากภาครัฐแล้วก็เช่นนี้มาแล้วแต่วันนี้จะทำให้ดีขึ้นอีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top