Friday, 13 June 2025
SPECIAL

‘จุรินทร์’ พร้อมคณะ บุก ‘บ้านโป่ง’ ขอคะแนนเสียงกา ปชป. เผย เสียดายคนเก่าออกไป แต่ไม่ท้อ ยังมีคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง

(19 เม.ย.66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย น.ส.รัศมี ทองสิริไพรศรี รองโฆษกพรรค พร้อมคณะ เดินทางไปขอคะแนนเสียงสนับสนุนให้นายธนากร เลี้ยงฤทัย ผู้สมัครส.ส. เขต 4 หมายเลข 4 ที่บริเวณหอนาฬิกาบ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่าเชื่อว่าคะแนนที่จังหวัดราชบุรีเราจะได้ดีมาก และเราสู้ทุกเขตทั้ง 5 เขต ซึ่งผู้สมัครทุกคนล้วนมีคุณสมบัติที่ดี มีศักยภาพสูง สู้กับคู่แข่งของพรรคการเมืองอื่นได้ ขอฝากทั้งคนทั้งพรรค และขอฝากสมาชิกพรรคทุกคนที่เป็นฐานกำลังสำคัญที่จังหวัดราชบุรี ช่วยกันหนักแน่นมั่นคง ยืนหยัดอยู่กับพรรค แล้วช่วยกันหาเสียงพาคนใหม่ๆ มาช่วยกันลงคะแนนให้กับพรรคด้วย

“ที่ผ่านมาในการเลือกตั้งซ่อมประชาธิปัตย์ก็ชนะ แต่เสียดายที่คนของเราจากไป ย้ายไปอยู่พรรคอื่น แต่พรรคก็ไม่ท้อแท้ ท้อถอย ไม่เป็นไร เรามีคนรุ่นใหม่ สิ่งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญให้ ซึ่งเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสของประชาธิปัตย์ และของพี่น้องชาวบ้านโป่ง ที่จะได้ผู้แทนคนใหม่ที่มีศักยภาพไม่แพ้ใคร” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

‘ชัยวุฒิ’ ชี้ ‘ลุงป้อม’ เป็น Soft Power ที่จะทำให้ทุกคนสามัคคีกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจน 

“ทุกวันนี้สังคมไทยมีการขัดแย้งทางการเมืองกันแบบสุดโต่ง ทั้งซ้ายจัด ขวาจัด บางคนอยากเปลี่ยนประเทศ คนไทยก็รับไม่ได้ และอาจทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในอนาคต และบางคนก็คิดแต่เรื่องที่เป็นเรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัวมากเกินไป ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งก็รับไม่ได้เช่นเดียวกัน 

ผมคิดว่าความขัดแย้งต่างๆ มีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นหลังเลือกตั้ง ผมว่าจะส่งผลต่อการบริหารราชการแผ่นดินนะครับ และทำให้บ้านเมืองมีปัญหาได้ในอนาคต 

ลุงป้อมจะเป็น Soft Power ที่ทำให้ทุกคนทำงานร่วมกัน รักกัน สามัคคีกันได้ สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติเราเดินหน้าไปได้ ประชาชนก็จะอยู่ดีกินดี ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจน 

'เพื่อไทย' ผวา 'แลนด์ไถล' หลัง 'คะแนนนิยมนิ่ง-คู่แข่งจ่อ' ต้องออกใบเตือนผู้สมัคร 'เสาไฟฟ้า' ให้ทำงาน-ลงพื้นที่

อาการของพรรคเพื่อไทยยามนี้ไม่สู้ดีนัก..ประมาณว่า 'พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก' ก็มิปาน

วันที่ 5 เม.ย.2566 จัดบิ๊กแคมเปญ เปิด 3 แคนดิเดทฝตนายกฯ ภายใต้ธีม 'ONE TEAM FOR ALL THAIS' และให้หนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ 'เศรษฐา ทวีสิน'   ประกาศนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท กะว่าจะเปรี้ยงปร้างระเบิดเถิดเทิงสมราคาคุย...คิดใหญ่ทำเป็น

แต่อนิจจา...ที่ไหนได้ นโยบายนี้กลายเป็นบั้งไฟที่ไปไม่สุด เกิดอาการแป๊ก...เสียฟอร์ม เสียรังวัดไม่น้อย...ว่ากันว่าถ้าเป็นโค้ง 7 วันสุดท้ายคงหวิดตายหมู่...แบบว่าคงแลนด์ไถลเหลืออย่างมากแค่ 170 ที่นั่งเหมือนที่โพลลับฝ่ายความมั่นคงเขาทำไว้เป็นแน่แท้...

ตอนนี้บรรดาเสนาธิการ และนักรบในห้องแอร์ทั้งหลายต้องช่วยกันแก้เกมเรื่องนโยบายหมื่นบาท ทั้งในส่วนคำชี้แจงต่อ กกต.และคำอธิบายต่อสาธารณชน ซึ่งอย่าว่าแต่ชนชั้นกลางเลยที่มีคำถามเลย ระดับรากหญ้าเองก็เริ่มมีคำถาม เพราะผู้บริหารพรรคบางคนพูดชัดเจนว่า...ใครที่มารับบริการเงินดิจิทัลหมื่นบาท ต้องสละสิทธิ์การรับสวัสดิการจากบัตรคนจน...

ร้อนจนวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้ง 'ภูมิธรรม เวชชชัย' รองหัวหน้าพรรค และตัวนายเศรษฐาเอง ต้องรีบออกมาดับไฟเสียแต่ต้นลมว่า...นโยบายนี้จะเดินหน้าโดยไม่ยกเลิกบัตรคนจน...

จะเป็นเพราะนโยบายแจกเงินหมื่นบาทด้วยหรือเปล่าก็มิทราบได้...ผลปรากฏว่าการทำโพลของค่ายต่างๆ ระบุว่า แม้คะแนนของแพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง และพรรคเพิ่อไทยจะยังคงนำ แต่เป็นการนำในลักษณะหยุดนิ่ง ในขณะที่คู่แข่งดีวันดีคืน โดยเฉพาะคู่ต่อสู้อย่างพรรคก้าวไกลเริ่มหายใจรดต้นคอ...

ไม่แต่เท่านั้น โพลของค่ายมติชน-เดลินิวส์ ที่ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 8-14 เม.ย.ระบุชัดว่าคะแนนตำแหน่งว่าที่นายกฯ นั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แห่งก้าวไกล แซงอุ๊งอิ๊ง ห่างในระดับ 29 ต่อ 23 เปอร์เซ็นต์กันเลยทีเดียว...

ขณะเดียวกันบรรดา FC ของพรรคได้ร้องเรียนไปยังพรรคว่า มีผู้สมัครจำนวนไม่น้อยที่ไม่ลงพื้นที่ หวังโหนกระแสพรรคเป็นหลัก...ทำให้เมื่อวันที่ 16 เม.ย. กองอำนวยการเลือกตั้งต้อง ทำจดหมายน้อยกระตุกเตือนบรรดาผู้สมัคร ทั้งที่เป็นอดีตส.ส.และผู้สมัครหน้าใหม่ที่ทำตัวเป็นพวก 'เสาไฟฟ้า' แบบประชาธิปัตย์ภาคใต้เมื่อหลายปีก่อนโน้น คือไม่หาเสียง โหนกระแสพรรค อาศัยยี่ห้อพรรคเข้าสภา...

“...ถ้าพวกท่านยังขยันไม่พอและไม่เข้าหาประชาชน..เราคงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการแลนด์สไลด์ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยวดยิ่ง...” ตอนหนึ่งของจดหมายเตือนระบุ

‘จุรินทร์’ ปัดหนุนจับขั้วการเมืองทั้งที่ยังไม่ลงคะแนน  ยัน!! ประชาธิปัตย์ ขอให้เกียรติคะแนนเสียงคนไทย 

‘จุรินทร์’ นำประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 ลุยหาเสียงราชบุรี ชาวบ้านตะโกน ปาฏิหาริย์มีจริง! ช่วยเลือกธนากร เบอร์ 4 เป็นผู้แทนบ้านโป่ง

(19 เม.ย.66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย น.ส.รัศมี ทองสิริไพรศรี รองโฆษกพรรค และคณะเดินทางไปขอคะแนนเสียงสนับสนุนผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 นายธนากร เลี้ยงฤทัย เบอร์ 4 ที่บริเวณหอนาฬิกาบ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี 

โดยนายจุรินทร์ ได้แนะนำผู้สมัคร ส.ส. ที่ตนมาช่วยหาเสียงในวันนี้ว่า จังหวัดราชบุรี เป็นจังหวัดที่มีสมาชิกพรรคจำนวนมาก และมีฐานเสียงที่ดีมาทุกยุคทุกสมัยกระจายอยู่ทุกอำเภอ จากการเลือกตั้งหลายครั้งทำให้คะแนนพรรคมาเป็นที่ 1 เสมอ สำหรับการเลือกตั้งเที่ยวนี้ตนก็หวังว่าพี่น้องชาวราชบุรีก็จะไม่ทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะสมาชิกพรรคยังมีความหนักแน่น มั่นคงกับพรรค ซึ่งสิ่งนี้เป็นแต้มต่อสำคัญสำหรับผู้สมัครของพรรค รวมทั้งบัตรใบที่ 2 ที่ใช้เลือกบัญชีรายชื่อของพรรคด้วย หากทุกอย่างเป็นไปตามนี้ ตนก็เชื่อว่าคะแนนที่จังหวัดราชบุรีเราจะได้ดีมาก และเราสู้ทุกเขตทั้ง 5 เขต ซึ่งผู้สมัครทุกคนล้วนมีคุณสมบัติที่ดี มีศักยภาพสูง สู้กับคู่แข่งของพรรคการเมืองอื่นได้ 

“ขอฝากทั้งคนทั้งพรรค และขอฝากสมาชิกพรรคทุกคนที่เป็นฐานกำลังสำคัญที่จังหวัดราชบุรี ช่วยกันหนักแน่นมั่นคง ยืนหยัดอยู่กับพรรค แล้วช่วยกันหาเสียงพาคนใหม่ๆ มาช่วยกันลงคะแนนให้กับพรรคด้วย ที่ผ่านมาในการเลือกตั้งซ่อมประชาธิปัตย์ก็ชนะ แต่เสียดายที่คนของเราจากไป ย้ายไปอยู่พรรคอื่น แต่พรรคก็ไม่ท้อแท้ ท้อถอย ไม่เป็นไร เรามีคนรุ่นใหม่ สิ่งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญให้ ซึ่งเป็นการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสของประชาธิปัตย์ และของพี่น้องชาวบ้านโป่ง ที่จะได้ผู้แทนคนใหม่ที่มีศักยภาพไม่แพ้ใคร” นายจุรินทร์กล่าว 

พร้อมกับระบุว่า วันนี้ทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ มีการแถลงนโยบายพลังงานจากที่ทำการพรรค และยืนยันว่าประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานเป็นพิเศษ รวมถึงการมีนโยบายเกี่ยวกับการปรับลดค่าไฟฟ้า แก๊ส น้ำมัน และพลังงานทดแทน นอกเหนือจากการดูแลเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน สตาร์ตอัป เอสเอ็มอี และพี่น้องประชาชน

ส่วนการที่มีหลายพรรคการเมืองพยายามพูดถึงการจับขั้วตั้งรัฐบาลในช่วงนี้ นายจุรินทร์กล่าวว่า ประชาธิปัตย์ขอให้ประชาชนตอบก่อน เพราะประชาธิปัตย์ให้เกียรติประชาชน และเคารพเสียงประชาชน เราไม่สนับสนุนการไปจับขั้วกันตั้งรัฐบาล เพราะประชาชนยังไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้ ไม่อย่างนั้นเราจะมีเลือกตั้งไปทำไม 

“การเลือกตั้งมีไว้ก็เพื่อนับหนึ่งให้กับพรรคการเมืองต่างๆ ว่าประชาชนจะเลือกให้ไปทำหน้าที่อะไร เขาให้มากี่เสียง เพราะหลักของระบบนี้คือ ใครรวมเสียงข้างมากได้ คนนั้นก็เป็นรัฐบาล การไปรวมเสียงก่อนการเลือกตั้ง มันไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะเป็นจริงได้หรือเป็นจริงไม่ได้ แต่ประชาธิปัตย์ถือหลักว่าขอให้มีการเลือกตั้งก่อน และเป็นหลักสำคัญที่ผมได้ประกาศมาตลอด พรรคไหนจะไปประกาศรวมกับพรรคไหนก็รวมได้ แต่ประชาธิปัตย์ยังไม่ได้คุยกับใครว่าจะไปรวมกับใครไม่รวมกับใคร” นายจุรินทร์กล่าว 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวทางเกี่ยวกับมาตรา 112 ของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ตอบว่า เรื่องนี้ประชาธิปัตย์มีความชัดเจนว่า เราไม่สนับสนุนให้ยกเลิก เพราะมาตรา 112 นั้น ว่าด้วยบทของการคุ้มครองประมุขของประเทศ ที่หลายประเทศในโลกก็มีกันทั้งนั้น เราจึงเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องมีไว้ แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องการบังคับใช้กฎหมายก็ไปแก้ไขที่การบังคับใช้กฎหมายให้ถูกต้องเหมาะสม เป็นธรรม แต่ไม่ใช่การยกเลิกตัวบทกฎหมาย 

‘เศรษฐา’ ยกทีมลงพื้นที่ตลาดบางลำภู จ.ขอนแก่น บรรยากาศคึกคัก แม่ค้าโผกอดขอถ่ายรูป เชียร์เป็นนายกฯ

(19 เม.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรคพท. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจ พรรคพท. พานายชัชวาล พรอมรธรรม ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น เขต 1 เบอร์ 6 พรรคเพื่อไทย เดินหาเสียงในพื้นที่ตลาดบางลำภู อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น สำหรับบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก มีแม่ค้าอาหารทะเลสดตะโกน “อยากกอดนายกฯ จังเลย” ก่อนเข้าโผกอดและขอเซลฟี่ โดยนายเศรษฐา กล่าวตอบรับว่า “ฝากเบอร์ 6 และเบอร์ 29 ด้วยนะครับ” ด้านแม่ค้าร้านขายปลา ทักทายนายพานทองแท้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสว่า “ลูกทักษิณใช่หรือไม่”

‘กรณ์’ ลงพื้นที่บางกะปิ รับฟังปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ประกาศรื้อโครงสร้างพลังงาน คืนความเป็นธรรมให้ ปชช.

(19 เม.ย.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่เพื่อช่วย นายธาม สมุทรานนท์  ผู้สมัครส.ส.เขตบางกะปิ เบอร์ 8 และนายกอบกฤต สุขสถิตย์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตห้วยขวาง เบอร์ 13 ณ ตลาดลาดพร้าว 87 โดยมีพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมทั้งสะท้อนปัญหาค่าไฟที่เพิ่มขึ้นให้กับนายกรณ์ฟัง เนื่องจากทราบว่า นายกรณ์ เป็นผู้ที่ต่อสู้เรื่องค่าไฟฟ้า และพรรคชาติพัฒนากล้าเองก็ประกาศจะรื้อโครงสร้างพลังงานเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน 

นายกรณ์ กล่าวว่า ประชาชนสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกครัวเรือน และในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ รัฐบาลประกาศขึ้นค่าไฟฟ้า ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือนจาก 4.72 บาท เป็น 4.77 บาท แต่ลดให้ภาคอุตสาหกรรมจาก 5.33 ลงมาเท่ากับภาคครัวเรือนคือ 4.77 บาท เดือนพฤษภาคมจึงเป็นวันเผาจริงของประชาชน

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้โดยภาคอุตสาหกรรม ตนเห็นด้วยที่จะลดราคาให้ แต่ขอให้ลดเพียง 8-9% ได้ไหม เพราะเป็นจำนวนที่ไม่ต้องเพิ่มภาระให้ประชาชนในช่วงที่พวกเขาเดือดร้อน และมันก็ไม่มีเหตุผลที่มีตรรกะอธิบายได้ว่าทำไมต้องขึ้นเวลานี้ เนื่องจากต้นทุนสำคัญในการผลิตไฟฟ้าคือการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ ในอดีตแก๊สที่เราใช้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สจากอ่าวไทย แต่ในช่วงหลังมีประเด็นปัญหา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปริมาณแก๊สลดลงตามธรรมชาติ อีกส่วนคือโอนถ่ายสัมปทาน ที่เป็นปัญหาที่เกิดจากการทำงานของบริษัทในเครือ ปตท.คือ ปตท.สผ. พอปริมาณแก๊สที่เราผลิตจากอ่าวไทยลดลง มันเลยทำให้เราต้องไปซื้อแก๊สที่เป็น LNG จากต่างประเทศมากขึ้น และโชคไม่ดีไปเจอช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนค่าไฟในช่วงเวลานั้นสูงขึ้น แต่ถ้าเรามาดูความเคลื่อนไหวของราคาแก๊ส LNG ตั้งแต่ระดับช่วงที่สูงที่สุดอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ ต่อล้านบีทียู และได้ลดราคาลงมาอย่างรวดเร็วภายใน 6 เดือนเหลือ 11 ดอลลาร์ต้นทุนค่าใช้จ่ายของตัวเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าลดลง ทำไมถึงต้องปรับค่าไฟเพิ่มขึ้น 

นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเรารักษาเสถียรภาพได้ดี ต้นทุนในการซื้อแก๊สก็ถูกลงด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อต้นทุนราคาแก๊สถูกลง เงินบาทก็แข็ง ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปรับขึ้นค่าค่าไฟ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนเรื่องของโครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงาน โดยเฉพาะเรื่องของค่าไฟฟ้า วันนี้ประชาชนรับภาระเต็ม ๆ โดยที่ไม่ได้มีการประเมินเลยว่าสาเหตุที่ต้นทุนมันเพิ่มขึ้นด้วยเหตุใด มีการอภิปรายในสภาหลายครั้ง ว่า กฟผ.ในอดีต ได้ไปอนุมัติเซ็นต์สัญญาที่จะซื้อไฟจากภาคเอกชนในปริมาณที่มากเกินความต้องการ โดยปกติการรักษาเสถียรภาพอุตสาหกรรมไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 15% ซึ่งเป็นปริมาณที่เหลือเฟือเพียงพอแล้ว แต่วันนี้กำลังผลิตของเรามีมากกว่าความต้องการถึง 50% ซึ่งมันเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายของการไฟฟ้าที่ต้องไปจ่ายให้กับภาคเอกชน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20%  ที่โยนภาระให้ประชาชนแบกรับ 

อีกปัญหาคือ เรื่องของปริมาณแก๊สที่เราสามารถผลิตในอ่าวไทย ตรงนั้นมันก็เกิดจากความผิดพลาด ในการถ่ายโอนตัวสัมปทานระหว่างเชฟรอน กับ ปตท.สผ. ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณแก๊สที่เราผลิตได้ในต้นทุนราคาที่ต่ำในอ่าวไทย มีปริมาณน้อยมาก  น่าแปลกตรงที่ ปตท.สามารถที่จะโอนต้นทุนที่จะต้องไปซื้อแก๊สจากต่างประเทศมาในราคาที่แพงให้ขึ้นให้กับการไฟฟ้าได้  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตผิดพลาดก็สามารถที่จะโอนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของการไฟฟ้าส่งต่อมาให้กับประชาชนได้ ประชาชนเป็นผู้รับภาระแต่ผู้เดียวไม่มีอำนาจที่จะเจรจาต่อรองใด ๆ เลย ซึ่งตรงนี้เป็นโครงสร้างที่ต้องปรับต้องเปลี่ยน  เป็นเรื่องที่ชาติพัฒนากล้าจะต้องมาทุบเรื่องนี้แน่นอน

“ระบบการกำหนดค่าไฟบ้านเราเป็นระบบส่งต่อให้ประชาชนทั้งหมด ผู้ผลิตไม่รับความเสี่ยงอะไรเอาไว้เลย ต้นทุนเท่าไร ก็ส่งมาที่ประชาชน ไม่แปลกที่จะทำให้มีคนร่ำรวยจากการสร้างโรงไฟฟ้า ผมมองว่ามันไม่ยุติธรรม และที่มีการออกมาให้ข่าวว่าไม่สามารถจะลดค่าไฟฟ้าได้ เนื่องจากได้ลงนามในสัญญาแล้ว ก็ต้องรอการเปลี่ยนแปลงครับ ถ้าท่านไม่ทำจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าทำได้มันอยู่ที่ความตั้งใจ เรื่องของการรื้อระบบ การคำนวณราคาค่าไฟฟ้ามัน เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อทุนใหญ่แน่นอน เพราะมันมีผู้เสียประโยชน์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เราไม่กลัว และสาเหตุที่เราเลือกอยู่พรรคเล็ก เพราะเราการมีอิสระทางความคิดและทางนโยบาย เราไม่ต้องพึ่งทุนมากมายจากใคร ทำให้เราสามารถรักษาความซื่อสัตย์ต่อประโยชน์ที่มีต่อประชาชนไว้ได้” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว  

‘บิ๊กป้อม’ ร่อนจดหมายตอบปม ‘จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร?’  ย้ำ!! พปชร. พร้อมตั้งรัฐบาลที่เป็นความหวังของคนไทย

(19 เม.ย.66) เพจเฟซบุ๊กพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นเพจทางการของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความระบุว่า จะ ‘จัดตั้งรัฐบาล’ อย่างไร ดูจะยังเป็นประเด็นสับสน เกิดการพูดต่อๆ กันไปมากว่า ‘พลังประชารัฐ’ คิดอย่างไรกับการ ‘จัดตั้งรัฐบาล’ การเมืองไทยตอนนี้มีความซับซ้อน ผมจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และผมคิดว่า ‘การจัดตั้งรัฐบาล’ ควรจะทำอย่างไร

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ที่ว่า ‘การเมืองไทยขณะนี้ซับซ้อน’ เพราะมีหลายปัจจัยที่นำมาใช้กำหนดความเป็นไปของอำนาจทางการเมืองในทุกเรื่อง ตรงนี้มาพูดกันเฉพาะเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งกันอย่างไร ต้องเริ่มจาก “ผลการเลือกตั้ง” มาดูกันว่าประชาชนเลือกพรรคไหนมาเท่าไร แต่ละพรรคมี ส.ส.ได้รับเลือกเข้ามากี่คน เห็นตัวเลขแต่ละพรรคแล้ววางไว้ก่อน มาสู่ขั้นตอนเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน และได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา อันหมายถึง ส.ส.และ สว.รวมกันไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คือประมาณ 376 คน

ขั้นตอนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นขั้นตอนที่เป็นทางการขั้นตอนแรก หลังจากนั้นจึงมีการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการหาความตกลงร่วมกันว่าพรรคไหนจะร่วมกับพรรคไหน ในวิถีที่ควรจะเป็น คือจะต้องรวมกันแล้วมีเสียงส.ส.อย่างน้อยมมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือเกินกว่า 250 เสียง ต้องพยายามหาทางให้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด คือเสียง ส.ส.ร่วมสนับสนุนมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น หากได้รับโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ได้ แต่คงไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนอยากให้เป็นรัฐบาลแบบนี้

ขั้นตอนอย่างเป็นทางการเริ่มต้นอย่างนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน แต่ในทางปฏิบัติจริง มีประเด็นที่ต้องมาพิจารณาซับซ้อนกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรมของพรรคการเมือง ที่ได้ ส.ส.มากที่สุด ต้องมีสิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน พรรคการเมืองต่างๆ จะแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายกันอย่างไร / ร่วมกับใครแล้วได้รับการตอบสนองข้อเสนอดีกว่า ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ระหว่างอำนาจของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง กับอำนาจที่ซ่อนอยู่ในกลไกตามรัฐธรรมนูญ อันไหนมีอิทธิพล หรือสามารถกำหนดการจัดตั้งรัฐบาลได้มากกว่า และอื่นๆ อีกมากมาย หลายเรื่องที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ เป็นเงื่อนไขที่ยังไม่เกิดขึ้นเสียด้วยซํ้า คนที่มีประสบการณ์การเมืองจะรู้ว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลทุกครั้งที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนไป ไม่เคยเป็นไปอย่างที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงทั้งนั้น มีข้อมูลที่จะพูดถึงการปรับเปลี่ยนของพรรคเพื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชนมากที่สุดเสมอ

ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปี 2562 ผู้นำพรรคการเมืองหลายพรรคประกาศตัวไว้อย่างหนึ่ง แต่พอถึงการจัดตั้งรัฐบาลจริง ต้องเข้าร่วมด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง เช่นพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมโดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ แค่ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไป โดยมีประโยชน์ของประชาชนมากมายมาใช้อ้าง

เช่นเดียวกับ “นายอนุทิน ชาญวีรกุล” ให้สัมภาษณ์ในข่าวลงวันที่ 8 มีนาคม 2562 ใจความสำคัญกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ลั่นอยู่คนละขั้วกับทหาร-พปชร. และได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ในเนื้อหาข่าวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 ว่าเฉลยแล้วปี 62 จับมือ พปชร.ตั้งรัฐบาล เพราะผมไม่อยากอยู่กับระบบ คสช. ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่ง หากได้เป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายก็รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกประหลาดอะไร อย่างที่บอกว่า หากมีประสบการณ์การเมืองมายาวนานเพียงพอจะรู้ว่า “นี่คือความปกติของการเมืองไทย” แม้ว่าสื่อและสังคมไทยจะไม่ยอมรับก็ตาม การเมืองไทยทุกเรื่องจึงขึ้นอยู่กับการเจรจาตามเงื่อนไขเฉพาะหน้า โดยเฉพาะเรื่องสำคัญระดับ “จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร จะร่วมรัฐบาลกับใคร” จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรอขั้นตอนที่เหมาะสม การตัดสินใจประกาศว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นที่รู้กันว่านั่นเป็นแค่การหาเสียง ที่เป็นจริงคือการเจรจาด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า

‘พปชร.’ เผยโฉมหน้า ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ ลั่น!! รวมตัวกันได้จากชายชื่อ ‘บิ๊กป้อม’

(19 เม.ย.66) นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนเป็นอย่างมาก มุ่งหวังจะแก้ปัญหาให้ประเทศชาติ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ โดยออกมาย้ำถึง ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ ของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีทั้งที่เป็นรัฐมนตรีในปัจจุบัน อดีตรัฐมนตรี และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรี ประกอบด้วย...

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง

นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลังและอดีต รมว.อุตสาหกรรม

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีต รมว.พาณิชย์

นายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตผู้ช่วย รมว.คลัง

ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน

และตนที่เป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง

'นายชวน' ชู 'อภิมุข เบอร์ 7 บางคอแหลม' เป็นคนตั้งใจ วอน!! เลือก ปชป. เบอร์ 26 ซื่อสัตย์สุจริตดูแลเงินภาษีปชช.

(19 เม.ย.66) นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 มาพื้นที่ริมถนนเจริญกรุงเมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน และขอความสนับสนุนคะแนนเสียงให้แก่ นายอภิมุข ฉันทวานิช ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางคอแหลม-ยานนาวา เบอร์ 7 

รวมถึงได้ปราศรัยเป็นระยะเวลาสั้นๆ ถึงนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ นมโรงเรียน กองทุน กยศ. ฯลฯ 

ตอนหนึ่ง อดีตนายกฯ ชวน ได้ขอให้พี่น้องประชาชนสนับสนุนพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่มีความซื่อสัตย์ เพื่อที่จะเข้าไปทำหน้าที่ดูแลงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนซึ่งมีจำนวนมหาศาล

“ขอพี่น้องได้เลือกเส้นทางประเทศ เลือกพรรคที่ซื่อสัตย์สุจริต เพราะบ้านเมืองของเรา แม้จะเก็บภาษีจากพี่น้องไปมากกว่า 3 ล้านล้านก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า เงินเหล่านั้นไม่ได้ไปถึงชาวบ้านอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก ด้วยมีการรั่วไหลอันมาจากนักการเมืองไม่สุจริต 

รัฐบาลลุงตู่ ผู้ฟื้นสัมพันธ์ ไทย-ซาอุฯ รอบ30 ปี

จากวิกฤติความสัมพันธ์ สู่ผลงานชิ้นโบแดง รัฐบาลลุงตู่ ผู้พื้นสัมพันธ์ ‘ไทย – ซาอุฯ’ รอบ 30 ปี
25 มกราคม 2565 การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ 'บิ๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามคำเชิญของ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นับเป็นการฟื้นความสัมพันธ์ประเทศไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียให้กลับมาอยู่ในระดับปกติอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ในรอบ 32 ปี 

ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ผ่านการเตรียมการมานานกว่า 1 ปี ไม่นับรวมอุปสรรคจากสถานการณ์ระบาดของ โควิด-19 และช่วงก่อนหน้านั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามประสานเจรจากับทางซาอุดีอาระเบียด้วยตนเองในหลายโอกาส ตั้งแต่เวทีหารือ 3 ฝ่ายในช่วงการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (เอซีดี) ครั้งที่ 2 ในเดือนตุลาคม 2559 ที่กรุงเทพฯ  หรือในช่วงการประชุมผู้นำจี 20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่นช่วงเดือนมิถุนายน 2562  ขณะที่ในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย ยังมีการพบหารือกันเป็นระยะเกี่ยวกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน 

ย้อนรอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย มีจุดเริ่มจากการเกิดคดีฆาตกรรมนักการทูตซาอุดีอาระเบียถึง 4 คนในประเทศไทย เมื่อปี 2532-2533 ที่ทางการไทยไม่สามารถแจงผลการสอบสวนให้เป็นที่น่าพอใจไปยังซาอุดีอาระเบียได้  และในช่วงรอยต่อขณะนั้น ยังเกิดกรณีแรงงานไทย 'เกรียงไกร เตชะโม่ง' ขโมยชุดเครื่องเพชรจำนวนมากขณะเข้าไปทำงานในพระราชวังเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด แห่งซาอุดีอาระเบีย แต่การคลี่คลายคดีของตำรวจไทยกลับไม่เป็นไปในทางที่ดี ขณะที่การติดตามเครื่องเพชรเพื่อส่งคืนส่วนใหญ่ถูกระบุว่าเป็นของปลอม  

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ยังเกิดกรณี 'มูฮัมหมัด อัลลูไวรี่' นักธุรกิจและสมาชิกราชวงศ์ของตระกูลอัล-สะอูดหายตัวไป หลังถูกควบคุมตัวสอบสวนเหตุพัวพันคดีฆาตกรรมนักการทูต ซึ่งต่อมามีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจำนวนหนึ่งในข้อหา 'อุ้มหาย' กรณีนี้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ทางการซาอุดิอาระเบียไม่พอใจถึงขั้นลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ออกข้อจำกัดเกี่ยวกับแรงงานไทย ห้ามประชาชนของซาอุดิอาระเบียเดินทางมาประเทศไทย และลดระดับความร่วมมือระดับสูงในทุกด้านลงมาอยู่ระดับต่ำสุด

ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยแทบทุกชุด ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหารอยร้าวของสองชาติ แต่ซาอุฯ ไม่เคยใจอ่อนให้ไทย จนกระทั่งมาบังเกิดผลสำเร็จ ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการเป็นผลสำเร็จ เปิดโอกาสความร่วมมือระหว่างกัน 9 ด้าน ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยว ด้านแรงงาน ด้านอาหาร ด้านสุขภาพ ด้านพลังงาน ด้านการศึกษาและศาสนา ด้านความมั่นคง ด้านกีฬา และด้านการค้าและการลงทุน ทั้งภาครัฐและเอกชนของทั้ง 2 ฝ่าย

‘ปชป.’ ลุยดอนเมือง อ้อน ปชช.หนุน ‘ธัญญ์นิธิ’ เข้าสภาฯ เผย พรรคทำงานหนักต่อเนื่อง เชื่อ ทุกคนเห็นความตั้งใจ

ทีม ปชป. กทม. ลุยหาเสียงเขตดอนเมือง ช่วย ‘ธัญญ์นิธิ’ ด้าน ‘องอาจ’ วิงวอน ปชช.หันกลับมาเลือกประชาธิปัตย์ ขณะที่ ‘มาดามเดียร์’ ยืนยัน เดินหน้าลงพื้นที่-จัดเวทีปราศรัย หลังคะแนนนิยมพรรคยังเป็นรอง

(18 เม.ย. 66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง และ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม.ลงพื้นที่เขตดอนเมือง ช่วยหาเสียงให้ นายธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ ผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง หมายเลข 7 โดยเริ่มต้นด้วยการขึ้นรถแห่รอบถนนสรงประภา และพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนจะลงเดินทักทายรับฟังปัญหา และแนะนำผู้สมัคร ส.ส.ที่บริเวณตลาดโกสุม

นายองอาจ กล่าวว่า ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนเดิมตั้งแต่ปี 2562 และอยู่ในพื้นที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชนมาโดยตลอด เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนเห็นว่านายธัญญ์นิธิ เป็นที่ไว้วางใจและเป็นตัวเลือกเข้ามารับใช้ประชาชนในพื้นที่ต่อไป ซึ่งปกติแล้วทุกพื้นที่ก็จะมีอดีต ส.ส.ที่มีฐานเสียงเดิมอยู่แล้ว คนใหม่ก็ต้องทำงานหนักขึ้น

เมื่อถามว่าเขตดอนเมือง ถือเป็นเขตที่ยากสำหรับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง อยู่ที่ช่วงจังหวะเวลาการเมืองในขณะนั้นมีหลายเงื่อนไข หลายปัจจัย ที่จะมีส่วนในการตัดสินใจของประชาชน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทีมงานพรรคประชาธิปัตย์และผู้สมัคร ทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนเห็นความตั้งใจจริง และจากการลงพื้นที่มาตลอดเชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาส ผู้สมัครเขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์

นายองอาจ ยังกล่าวถึงภาพรวมของพรรคจากการลงพื้นที่ว่า ประชาชนให้การตอบรับดี และมีประชาชนหลายคนเข้ามาพูดว่าขอโทษที่ครั้งที่แล้วไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์และจะกลับมาเลือกซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ว่าประชาชนที่คอยสนุบสนุนพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะใน กทม.ที่พรรคประชาธิปัตย์มีมากกว่า 1,000,000 เสียงมาโดยตลอด แต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เหลือคะแนนเพียง 390,000 เสียง

เพราะฉะนั้น คราวนี้ขอร้องวิงวอนพี่น้องประชาชน ที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ขอให้กลับมาเลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเชื่อว่าเสียงที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ กทม.แล้วไปเลือกพรรคอื่นในการเลือกตั้งปี 62 หากกลับมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ ส.ส.ใน กทม.อย่างแน่นอน

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. สมุทรสาคร ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 3 เขตของจังหวัดสมุทรสาคร ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

>> เขต 1 อำเภอเมืองสมุทรสาคร (เฉพาะตำบลมหาชัย, ตำบลท่าฉลอม, ตำบลโกรกกราก, ตำบลบางหญ้าแพรก, ตำบลท่าทราย, ตำบลโคกขาม, ตำบลพันท้ายนรสิงห์, ตำบลคอกกระบือ และตำบลบางน้ำจืด)

>> เขต 2 อำเภอเมืองสมุทรสาคร (เฉพาะตำบลนาดี) อำเภอกระทุ่มแบน (เฉพาะตำบลอ้อมน้อย, ตำบลสวนหลวง, ตำบลท่าไม้, ตำบลตลาดกระทุ่มแบน, ตำบลแคราย, ตำบลคลองมะเดื่อ และตำบลดอนไก่ดี)

‘ปิยบุตร’ ร่วมปราศรัย จ.หนองบัวลำภู ย้ำ ต้องเร่งแก้รัฐธรรมนูญ ลั่น!! ถ้า ‘ก้าวไกล’ ได้เป็น รบ.พร้อมดันประชามติทั้งประเทศทันที

‘ปิยบุตร’ ช่วยผู้สมัคร ส.ส.หนองบัวลำภูหาเสียง ประชาชนร่วมเวทีอบอุ่นคับคั่ง ปราศรัยย้ำความจำเป็นเร่งแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อถ้าเปลี่ยนขั้วอำนาจหลังเลือกตั้งแล้วไม่รีบแก้ เกิดการใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญล้มรัฐบาลแน่ ชี้ ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ภายใน 100 วัน พร้อมดันประชามติถามประชาชนอยากได้รัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ทันที

(18 เม.ย.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีปราศรัยของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู ในหลายเขต พร้อมกับ นายอภิชาติ ศิริสุนทร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ‘ครูใหญ่’ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล

โดยเริ่มต้นกิจกรรมช่วงเช้าที่ วัดสุวรรณาราม อำเภอสุวรรณคูหา ช่วยหาเสียงให้กับนายสมเกียรติ เชษฐสุมน ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู เขต 3 (เบอร์ 8) ก่อนที่ช่วงบ่ายจะเดินทางต่อไปยัง วัดศรีชมชื่น อำเภอนาวัง ช่วยหาเสียงให้กับ นายทรงเดช มหาเสนา ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู เขต 2 (เบอร์ 7) ซึ่งในทั้งสองเวที ต่างได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่ร่วมการรับฟังและส่งเสียงตอบรับชื่นชอบตลอดการปราศรัย

‘ตร.’ ทลายแหล่งพัก-เครือข่ายขนยาเสพติด ก่อนส่งออกทางเรือ พร้อมจับบิ๊กชาวมาเลฯ-ฮ่องกง ยึดเฮโรอีน 94 กก.-ไอซ์ 162 กก.

ตำรวจ ปส. (NSB) ทลายเครือข่ายขนยาเสพติดข้ามชาติ ผ่านระบบขนส่ง Logistics ก่อนส่งออกทางเรือและทลายแหล่งพักยา จับนักค้ามาเลเซีย-ฮ่องกง ระดับสั่งการ ได้พร้อมด้วยของกลางรวมเฮโรอีน 94 กก.ไอซ์ 162 กก. จากการปราบปรามอย่างหนักของตำรวจ (NSB) ในการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ และรายย่อย ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร ซึ่งจะพบว่า สถานการณ์ยาเสพติดขณะนี้ ผู้ค้ายาเสพติดมีความพยายามในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระบบขนส่งในการลักลอบขนยาเสพติด

(18 เม.ย. 66) ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รอง ผบช.ปส.,พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส.บช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส.บช.ปส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1,พล.ต.ต.ธนรัชน์  สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 แถลงผลการจับกุมเครือข่ายค้าเฮโรอีนรายใหญ่ระดับสั่งการผู้ต้องหา 8 ราย ตรวจยึด เฮโรอีน 94 กก., ไอซ์ 182 กก., ยาบ้า 7 แสนเม็ด, คีตามีน 25 กก.และสารเสพติดไม่ทราบชนิด (อยู่ระหว่างตรวจพิสูจน์) 1,250 ขวด

คดีแรก สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10-11 เม.ย.ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (NSB) ร่วมกับ เจ้าหน้าที่หน่วยงานร่วมภายใต้โครงการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ ท่าเรือสากลของอาเซียน หรือ Seaport Interdiction Task Force (SITF) ประกอบด้วย สำนักงาน ป.ป.ส., ศุลกากรและศูนย์รักษาความปลอดภัย เข้าตรวจสอบพัสดุหลังพบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ที่คลังสินค้าแห่งหนึ่ง เขตบึงกุ่ม พบเฮโรอีนน้ำหนักกว่า 30 กก.ซุกซ่อนไปกับแผ่นเรซิ่นลายแผ่นไม้ เตรียมส่งออกไปประเทศออสเตรเลีย

เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนขยายผลจนทราบว่า ผู้ส่งสินค้าคือ น.ส.กานดา (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ก่อนจะถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา สารภาพว่า เป็นผู้ส่งเฮโรอีนจริง โดยใช้บัตรประชาชนของผู้อื่นในการจัดส่ง ส่วนยาเสพติดรับมาจากชายรู้จักเพียงว่าชื่อ ‘เถ้าแก่’ พูดภาษาจีน โดยมี ‘นายตี๋’ ช่วยแปลภาษาและจ่ายเงินว่าจ้างถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา ส่วนผู้รับเป็นลูกครึ่งไทย – ออสเตรเลีย

ต่อมา เจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายนี้ จะส่งยาเสพติดไปต่างประเทศในช่วงใกล้วันสงกรานต์ อีกครั้ง จึงขยายผลจากฐานข้อมูล (Big data) ที่ บช.ปส. (NSB) มีอยู่ กระทั่งวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม Mr.LEUNG หรือเฮีย หรือเถ้าแก่ สัญชาติมาเลเซีย ระดับสั่งการ ได้ที่ปั้มน้ำมัน ย่านถนนพระราม 3 พร้อมไอซ์กว่า 2 กก.ซุกซ่อนในกรอบรูปเตรียมส่งไปยังประเทศญี่ปุ่น

จากนั้นขยายผลจับกุมนายจายหลู่ หรือ ‘ตี๋ ชาวไทใหญ่’ ได้ที่ปั้มน้ำมันในซอยสาธุประดิษฐ์ 15 พร้อมสอบสวนและขยายผลเพิ่มเติมก่อนเข้าตรวจค้นที่พักย่านถนนพระราม 3 เป็นห้องสำหรับจัดเตรียมยาเสพติดเพื่อซุกซ่อนไปกับสินค้าชนิดต่าง ๆ ผลการตรวจค้นพบไอซ์ ซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า น้ำหนักกว่า 13 กก., และไอซ์ ลักษณะเป็นเกล็ดผสมกับเนื้อซิลิโคน 2 แผ่น น้ำหนักกว่า 18 กก.ซุกซ่อนในกรอบรูปผ้าใบ 2 กรอบ, ไอซ์ ลักษณะเหลวเหนียวข้น 1 กก. และของเหลวบรรจุอยู่ในขวด แสดงสินค้าเป็น Massage Oil 1,250 ขวด ตรวจทดสอบเบื้องต้นด้วยน้ำยาทดสอบยาเสพติดพบเปลี่ยนสี หลังจากนี้จะส่งไปตรวจกับสถาบันตรวจพิสูจน์ว่าเป็นสารเสพติดชนิดใด

นอกจากนี้ยังจับกุม Mr.Kai สัญชาติฮ่องกง ได้เพิ่มอีก 1 ราย จากนั้นได้เข้าตรวจค้นห้องพัก 2 ห้อง ภายในคอนโด ย่านถนนเลี่ยงวงแหวนอุตสาหกรรม พบเฮโรอีน น้ำหนักกว่า 64 กก. และ ไอซ์กว่า 128 กก.

ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากฐานข้อมูล Big Data พบว่า ผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องกับการจัดส่งพัสดุไปต่างประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศซึ่งจะต้องสืบสวนขยายผลการจับกุมบุคคลหรือกลุ่มเครือข่ายต่อไป

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ร่วมกันจับกุมนายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี และ น.ส.อรุณี (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายดังกล่าว เตรียมนำยาเสพติดจำนวนมากจาก จ.เชียงราย มาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคตะวันออก จึงวางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้ตลอดเส้นทางที่คาดจะขับผ่าน ก่อนจะสกัดจับกุมได้ที่ริมถนนหมายเลข 3543 อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจค้นรถพบยาบ้า 7 แสนเม็ด ซุกซ่อนในรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กท 30xx สุโขทัย

‘เศรษฐา’ ประกาศชัด!! นาทีนี้ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง วอน ปชช.แทงตรง!! เลือกเพื่อไทยทั้ง 2 ใบเท่านั้น

(18 เม.ย.66) พรรคเพื่อไทย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย น.ส.พานทองแท้ ชินวัตร ที่ปรึกษาศูนย์ปฎิบัติการเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรค ผู้บริหารพรรค พร้อมด้วย ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ ได้แก่ นายวิรัช พิมพะนิตย์ เขต 1 เบอร์ 9, นายพลากร พิมพะนิตย์ เขต 2 เบอร์ 4, นางยรรยงรัตน์ ไชยศิวามงคล เขต 3 เบอร์ 7, นายพีระเพชร ศิริกุล เขต 4 เบอร์ 3, นายทินพล ศรีธเรศ เขต 5 เบอร์ 8, และ นายประเสริฐ บุญเรือง เขต 6 เบอร์ 9 เปิดปราศรัยที่สวนสุขภาพข้างที่ว่าการ อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ท่ามกลางประชาชนผู้ฟังกว่า 5,000 คน

นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ชาวนาถือว่าเป็นอาชีพหลักของพี่น้องกาฬสินธุ์ ปัจจุบันค่าปุ๋ยแพง ต้นทุนการผลิตสูง ทำให้รายได้ไม่พอกินพอใช้ ประชาชนอยู่ได้อย่างไม่มีศักดิ์ศรี ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาบริหารจัดการ เราจะใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ให้ไปเปิดตลาดใหม่ ๆ ในการค้าขายให้พี่น้องทุกคน ด้านสิทธิที่ดินทำกิน พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่จะให้ที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ภายใน 4 ปี เพื่อให้พี่น้องมีที่ดินอย่างมีศักดิ์ศรี

“นโยบายดี ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล วันนี้พรรคเพื่อไทยมาวิงวอนหาเสียงให้พี่น้องคนกาฬสินธุ์ เข้าคูหากาเพื่อไทยทั้ง 2 ใบ เรายอมไม่ได้ให้ใครมาบอกเป็นพรรคพี่พรรคน้อง วันนี้ต้องแทงตรงอย่างเดียวคือ เลือกพรรคเพื่อไทยทั้ง 2 ใบ แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าว

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวปราศรัยว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ถ้าคนหนึ่งได้เป็นนายก อีกสองคนก็จะร่วมกันทำงาน ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทย คือเพื่อไทย ต้องกาเพื่อไทย ไม่มีพรรคเพื่อน ไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง ขอให้พี่น้องเลือกให้เพื่อไทยชนะขาดลอย และถ้าต้องการให้ประยุทธ์ ประวิตร กลับบ้าน ต้องกาพรรคเพื่อไทย คราวนี้ต้องชนะแลนด์สไลด์ ตนจึงชวนประชาชนล้มอำนาจ 3 ป. และ 250 สว.

“กาฬสินธุ์ เว้นเขตใดเขตหนึ่งไม่ได้ ฟันหลอไม่ได้ เพราะว่าถ้าพลาดแม้แต่แต้มเดียว พวกนั้นทึกทักเอาอีก สิทธิ์ในการตั้งรัฐบาลของพวกเขาคือเสียงข้างน้อย หรือใช้กล้วย มีงูเห่า ฉะนั้น ต้องฆ่างูเห่าล่วงหน้า ด้วยการกาเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์” นายณัฐวุฒิ กล่าว


ที่มา : https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/pfbid0vAFHspD1zYpC9drW88CJQJLMRBURmrFNaDpyvhGRqnG6EmFUYkQ25TusRJ52ickPl


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top