Friday, 5 July 2024
SPECIAL

‘กกต.’ แจง 4 เหตุผล พิมพ์บัตรเลือกตั้งสำรองกว่า 4.9 ล้านใบ ย้ำ!! ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดในวันเลือกตั้ง ต้องมีบัตรเพียงพอ

(5 พ.ค. 66) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงเรื่องการจัดพิมพ์และการสำรองบัตรเลือกตั้งว่า จำนวนบัตรเลือกตั้งและการสำรองบัตร หลักการในการพิมพ์บัตรเลือกตั้งคือ ต้องมีบัตรเพียงพอ ไม่ว่าจะมีเหตุหรือกรณีใด ๆ ในการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 มีผู้ใช้สิทธิภายหลังการเพิ่มชื่อและถอนชื่อแล้ว จำนวน 52,239,354 คน บัตรที่พิมพ์จำนวน 57,200,000 บัตร (จำนวน 2,860,000 เล่ม เล่มละ 20 บัตร) จึงมีบัตรสำรองเพื่อใช้ประโยชน์ในการเลือกตั้งจำนวน 4,960,646 บัตร บัตรที่สำรอง 4 ล้านกว่าฉบับดังกล่าวนำไปใช้ประโยชน์เพื่อ

1.แจกจ่ายให้ทุกหน่วยเลือกตั้งสำรอง 1 เล่ม เพราะการจ่ายบัตรจ่ายเป็นเล่ม ไม่ได้จ่ายเป็นฉบับ หน่วยเลือกตั้งมีอยู่ประมาณ (หน่วยปกติและหน่วยพิเศษสำหรับผู้พิการและทุพลภาพ) 100,000 หน่วย ใช้บัตรไปเพื่อการนี้จำนวน 2,000,000 บัตร

‘อุ้ม อัชญา’ เผยเหตุผลต้องเลือก ภท. ดูแล กทม. เขต 32 ชี้!! เข้าใจปัญหา-ร่วมพัฒนานโยบาย-ลงมือทำจริง

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวอัชญา จุลชาต หรือ อุ้ม ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เขต 32 พรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในเวทีเสวนา ‘ผู้แทนในฝัน สร้างสรรค์เขต 32’ ณ หอประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม 

ต่อข้อคำถามที่ 1 ว่าจะสร้างสรรค์ เขต 32 อย่างไร? นางสาวอัชญา กล่าวว่า มิติที่ 1 เรื่อง คน ‘เพิ่มจำนวนเงินในกระเป๋า’ จากการมอบโอกาส สนับสนุนเงินทุน และลดรายจ่าย เรามอบโอกาส พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก อยากให้โอกาสพ่อแม่พี่น้อง ได้หยุดพักหายใจ ไม่กังวลเรื่องภาระหนี้สิน เราสนับสนุนเงินทุน โครงการเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ไม่ต้องค้ำประกัน เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องนำเงินไปต่อยอดทางธุรกิจ ทำมาค้าขาย หารายได้ สร้างเนื้อ สร้างตัว และเราลดรายจ่าย ลดค่าไฟ ติด Solar Roof ให้ฟรี ลดค่าไฟได้ 450 บาท ต่อเดือน ไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนที่เหลือสามารถขายให้รัฐ เป็นรายได้ของครัวเรือน

มิติที่ 2 เรื่อง สภาพแวดล้อม ยกย่านฝั่งธนฯ ให้มีความปลอดภัย และส่งเสริมคุณภาพชีวิต จะต้องเชื่อมกล้อง CCTV บริเวณทางม้าลาย เพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะกล้องจะ monitor ปรับคะแนนวินัยจราจร ท่าเรือขนส่งที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย เรือไฟฟ้า EV ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องเสียง และลดมลพิษทางน้ำได้ เพิ่มโรงพยาบาลรัฐ ให้ครอบคลุมกับจำนวนประชากรในพื้นที่ ลดความแออัด ฉะนั้น ชีวิตที่ดีจะเกิดขึ้นได้ในฝั่งธนฯ เลือกอุ้ม อัชญา เบอร์ 7 นะคะ

ต่อข้อคำถามที่ 2 ว่าอยากให้พรรคดันนโยบายใดมากที่สุด เพราะอะไร? นางสาวอัชญา กล่าวว่าเรื่องการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยว คือ จุดแข็งของประเทศไทย ฉะนั้น ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ

สำหรับภาพใหญ่ พรรคภูมิใจไทย มีนโยบายกองทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดละ 100 ล้าน เพื่อสร้างไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว เราให้ทุกจังหวัด ไม่ใช่แค่จังหวัดใหญ่ ๆ เพราะเราเล็งเห็นถึงความสำคัญของทุกจังหวัดที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้

สำหรับเขต 32 อุ้มเห็นถึงศักยภาพ เรามีต้นทุนทางทรัพยากรที่มีความพร้อมมาก เป็นย่านที่มีเอกลักษณ์ในเชิงวัฒนธรรม มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ และ ‘มีจุดเด่น คือ มีวิถีชีวิตริมฝั่งคลอง’ อยากสนับสนุนในเรื่องของ การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางเรือ อยากให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ ได้มีโอกาสสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์นี้ แต่จากที่ได้รับฟังเสียงของคนในพื้นที่ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่าเรือในพื้นที่มีความเสื่อมโทรม ไม่ปลอดภัย และมีปัญหามลพิษทางน้ำและเสียงรบกวนจากเรือ”

พรรคภูมิใจไทย มีนโยบายท่าเรือปลอดภัย เรือไฟฟ้า EV เพื่อมาแก้ไขปัญหา ยกระดับความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว และให้ความเชื่อมั่นกับชาวบ้านว่าจะช่วยลดปัญหาเรื่องของเสียงและมลพิษทางน้ำ

“อุ้มจะทำงานอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะพัฒนาย่านนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน” นางสาวอัชญา กล่าว

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. ตรัง ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 4 เขตของจังหวัดตรัง ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

‘กรณ์’ นำทัพ ‘ชพก.’ ลุยปราศรัยขอคะแนนชาวสุราษฎร์ธานี ลั่น!! ไม่ร่วมรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายกฯ

(5 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายวรวุฒิ อุ่นใจ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ธชา จินตวร ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาพรรค ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อร่วมเวทีปราศรัย เมื่อค่ำวันที่ 4 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ช่วยนายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 4 หาเสียง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. นางพงศ์ศรี นาคเมือง เขต 2 เบอร์ 8 นายสุพจน์ บานเย็น เขต 4 เบอร์ 9 และ นายวศุธน เรืองขนาบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เบอร์ 4 ร่วมปราศรัย โดยได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น และร่วมรับฟังปราศรัยอย่างเนืองแน่น 

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราเป็นพรรคเล็กและเป็นพรรคใหม่ แต่เรากล้าชกกับรุ่นเฮฟวี่เวต เรื่องที่เราออกมาสู้ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ จนได้รับการยอมรับสะท้อนมาเป็นผลโพลของสุราษฎร์ธานีเขต 1 วันนี้ที่โพลบี้กับที่ 1 แบบหายใจรดต้นคอ เวลาที่เหลืออยู่อีก 10 วันถือเป็นช่วงสำคัญ โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองและผู้สมัคร ที่หาเสียงแนวสร้างสรรค์ ไม่แจกเงิน เราต้องรักษาสถานะเป็นผู้ท้าชิง ให้เข้าสู่เส้นชัยให้ได้ 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามักได้ยินคำถามเสมอว่าเราอยู่ฝั่งไหน ซ้ายหรือขวา เราตอบไม่แบบอายว่า เรามองข้ามขั้วการเมือง แต่มาสู้กับเรื่องปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ไม่ตั้งเงื่อนไขให้กับสังคม แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นกลยุทธ์การเมืองของพรรคใหญ่ เพื่อแบ่งประชาชนออกเป็นสองข้าง แต่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย และยังเป็นอุปสรรคของประเทศในการที่จะเดินต่อไปข้างหน้า 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่พร้อมร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายก เราถูกปรามาสเสมอว่าเราพร้อมเสียบ ซึ่งต้องบอกว่า ถ้าเป็นพรรครอเสียบก็ต้องสงวนปากสงวนคำอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดเรื่องใหญ่ ไม่ท้าทายใคร แต่เราสู้กับทุนใหญ่ ทุนผูกขาด มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าน้ำมัน ค่าไฟ ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งมันสวนทางกับพรรครอเสียบ แต่เป็นพรรคที่พร้อมสู้เพื่อความถูกต้องทวงความเป็นธรรมคืนให้พี่น้องประชาชน  

“เราพร้อมสู้กับทุนผูกขาดทุกชนิด เพื่อพี่น้องประชาชน ไม่มีใครที่พึ่งพาได้เหมือนกับเรา ในการยืนหยัดต่อสู้กับใครก็ตาม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของท่าน ผมมีจุดยืนเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก่อนการทำงานการเมือง ด้วยซ้ำ ผมเกลียดที่สุดคือ ทุนผูกขาด เพราะกระทบกับต้นทุนชีวิตประชาชน ครอบงำการเมืองทุกขั้ว เราขอต่อสู้ในแนวทางสร้างสรรค์ ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองแบบนี้เข้าไปทำงานในสภา ท่านไม่ต้องกังวลว่าเลือกเราแล้วจะได้เป็นรัฐบาลไหม ขอให้ท่านเลือกอนุวัตรเบอร์ 4 และพรรคชาติพัฒนากล้าเบอร์ 14 ขอให้เรามี ส.ส.ในสภา จะกี่คนก็ตาม เราพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนขอทุกคนอย่าลังเล” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

ด้านนายวรวุฒิ กล่าวว่า นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเน้นโอกาสนิยม ให้คนตัวเล็ก ทำธุรกิจได้ เติบโตได้ แข็งแรง แข่งกันทุนใหญ่ได้ พรรคชาติพัฒนาจึงมีนโยบายเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก สนับสนุนเกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าด้วยการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แต่ระบบราชการไม่เอื้ออำนวยทำให้ต้องเกี่ยวพันกันหลายกระทรวง ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กเติบโต 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราเสนอโครงการ ‘บริษัทมหาชนของเกษตรกร’ โดยใช้กลไกตลาดทุนมาช่วย เราดึงเกษตรกรมารวมตัวกัน โดยมีเศรษฐีคนไทย และนักลงทุนต่างประเทศมาสนับสนุนนักบริหารทางการตลาด และหาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ แบบนี้เกษตรกรได้ประโยชน์ตั้งแต่ขายราคาพืชผล แปรรูปผลผลิต และนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพื่อพัฒนาสินค้า ถ้าทำแบบนี้เกษตรกรเราไม่จนแน่นอน และโมเดลนี้จะเริ่มที่ จ.สุราษฎร์ธานีเป็นที่แรก เพราะเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ 

นายวรนัยน์ กล่าวว่า นโยบายประชานิยม จะทำให้ล้มละลายทั้งประเทศ ชุดนโยบายเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยพัฒนา คุณภาพชีวิตพัฒนา คือการสร้างโอกาส สร้างความเสมอพรรค หลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลแจกเงินไปเท่าไหร่แล้ว แต่ประชาชนจนเหมือนเดิม ถ้าเราอยากมีอนาคต เราต้องมองเรื่องหาเงิน ใครจะมาพัฒนาเศรษฐกิจให้เราได้ สร้างโอกาส ให้อาวุธพวกเราต่อสู้ ไม่ใช่ลืมตาอ้าปาก แต่อิ่มหมีพีมัน อยู่ดีกินดี คนรวยมีไม่กี่คน ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าตอบโจทย์ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แบบไม่เน้นประชานิยม  

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเรามั่นใจว่าเราเป็นพรรคแห่งความหวัง เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน เราพูดได้ชัดเจนตรงไปตรงมาไม่ต้องเกรงใจทุนใหญ่ เราไม่รับทุนผูกขาด และเป็นพรรคแรกที่ต่อสู้เรื่องพลังงาน และออกมาเตือนรัฐบาลหลายครั้งว่าราคาน้ำมัน ค่าไฟ และข้าวของจะแพงตามมา แต่รัฐบาลไม่ทำ และยังประกาศขึ้นค่าไฟ ซ้ำเติมประชาชน และยังเอา รมว.พลังงานมาเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 2 ของพรรคลุงอีก มันสะท้อนถึงทุนผูกขาดที่มีอำนาจที่อยู่เหนือการเมือง   

‘ปชป.’ แจง!! ปมมือดีบิดเบือน แคปรูปปราศรัยขณะเคารพธงชาติ ย้ำ!! ไม่เคยโหนสถาบัน เตรียมแจ้งความเอาผิดผู้กระทำเสียชื่อเสียง

(5 พ.ค. 66) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย พร้อมด้วย นายจิตกร บุษบา ทีมโฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง และ ดร.รุจชรินทร์ ทองใหญ่ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ทีมกฎหมายพรรคร่วมกันแถลงข่าวต่อกรณีที่มีผู้ใช้งาน เฟซบุ๊กโพสต์ภาพจากการปราศรัยใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จังหวัดภูเก็ตบนโลกออนไลน์ โดยใช้ภาพและเนื้อหาเพียงบางส่วน ทำให้สังคมเข้าใจผิดไปว่ามีการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เพื่อประโยชน์ในการหาเสียงทางการเมือง ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง หวังผลให้การกระทำดังกล่าวส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ 

นางดรุณวรรณ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีจุดยืนในการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีความเคารพใน 3 สถาบันหลักของชาติ พร้อมกับยืนยันว่าพรรคไม่มีแนวคิดในการนำสถาบันกษัตริย์มาข้องเกี่ยวในทางการเมือง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นบนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคที่จังหวัดภูเก็ต พร้อมกับจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของพรรคต่อไป 

โดย ดร.รุจชรินทร์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อการปราศรัยดำเนินมาถึงเวลา 18.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลายืนตรงเคารพธงชาติ ผู้จัดงานได้มีการเปิด VTR เพลงชาติที่มีการเผยแพร่ตามสื่อสาธารณะโดยทั่วไป แต่มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ Nat Thanakitamnuay ได้จับภาพเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งของเวทีปราศรัยที่ฉากหลังของเวทีปราศรัยกำลังเปิดภาพ VTR เพลงชาติไทย ขณะที่ VTR ดังกล่าวกำลังแสดงภาพพระบรมฉายาลักษณ์ด้วยระยะเวลาไม่ถึง 3 วินาที จากนั้นมีการนำภาพดังกล่าวมาโพสต์ที่เฟซบุ๊กของตนเอง พร้อมกับทำทีเป็นตั้งคำถามว่า “นำกษัตริย์มาหาเสียงได้หรือ” ซึ่งการกระทำดังกล่าว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความเสียหายถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เนื่องจากทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจไปได้ว่า พรรคฯ จงใจใช้ภาพดังกล่าวเป็นฉากหลังบนเวทีหาเสียง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น การลงภาพลักษณะนี้โดยไม่ลงรายละเอียดข้อความให้ครบถ้วน ถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้คนเข้าใจผิดอันจะส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ทำให้เกิดความเสียหายได้ 

ดังนั้นจึงขอให้ผู้โพสต์และผู้ที่แชร์ภาพดังกล่าว รวมถึงผู้ที่กดไลก์ ได้หยุดการกระทำนั้น เนื่องจากพรรคเตรียมดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย ซึ่งหากยังมีการกดไลก์ กดแชร์ภาพดังกล่าวต่อไป จะทำให้มีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 อนุ 5 ที่ระบุว่า…ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง 

ด้านนายจิตกร กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากสติปัญญา หรือทัศนคติของผู้บิดเบือน เพราะเมื่อดูจากข้อเท็จจริงจะพบว่า เราอยู่ในสังคมไทยที่เวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นเวลาเคารพธงชาติ ซึ่งจะมีการเปิด VTR หรือ มิวสิกวิดีโอ ที่ทางการเป็นผู้ผลิตขึ้น และฉายตามสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ จากการที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดเวทีปราศรัยที่ สะพานหิน จ.ภูเก็ต เมื่อถึงเวลา 18.00 น. ผู้ปราศรัยในเวลานั้นคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติที่คนไทยทุกคนพึงกระทำโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นสถาบันการเมือง จึงได้หยุดการปราศรัย เพื่อเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันเคารพธงชาติ โดยภาพที่ปรากฏบนเวทีก็คือ VTR หรือมิวสิกวิดีโอที่เป็นทางการและมีใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่มิวสิกวิดีโอเพื่อการขอคะแนน รวมทั้งไม่ใช่ภาพที่เป็นฉากหลังของเวทีปราศรัย แต่เป็นช่วงเวลาเพียง 2-3 วินาที จาก VTR ดังกล่าว 

“ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำการเมืองอย่างสุจริต ตรงไปตรงมา เรามีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันหลักของประเทศ ทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การเชิญชวนประชาชนเคารพธงชาติในเวลา 18.00 น. จึงเป็นเรื่องปกติที่วิญญูชนพึงกระทำ และเมื่อจบการเคารพธงชาติ การปราศรัยโดยนายอภิสิทธิ์ ก็ดำเนินต่อไปด้วยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เลย ดังนั้นเหตุการณ์นี้จึงเป็นความจงใจใส่ร้าย บิดเบือน จูงใจให้เกิดความเข้าใจผิดต่อการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน” นายจิตกร กล่าว 

อรรถวิชช์ ไม่มุ่งประชานิยม แต่จะสร้าง 'โอกาสนิยม' ย้ำ!! นโยบายทุกอันต้องเป็นแบบสไนเปอร์

(26 เม.ย. 66) ในรายการเลือกตั้ง 2566 ฟังเสียงคนไทย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ตอบคำถาม ‘ยกระดับรายได้ แก้ปัญหาคนจนเพิ่มอย่างไร’ โดยได้ระบุว่า...

“นโยบายของชาติพัฒนากล้าไม่เน้นแจก และครั้งนี้เสี่ยงมากในทางการเมืองเพราะผมจะไม่ทำนโยบายประชานิยม แต่ผมจะทำนโยบายโอกาสนิยม ซึ่งคำว่าถ้วนหน้าไม่มีสำหรับพรรคนี้ เพราะผมเชื่อว่าคนไม่เท่ากัน คนมีความแตกต่าง”

นายอรรถวิชช์ ได้กล่าวต่อว่า “เพราะฉะนั้นโอกาสที่อยู่ข้างหน้า คนตัวสูงจะเห็นโอกาสชัด แล้วคนตัวเตี้ยเห็นโอกาสไม่ชัด เพราะฉะนั้นนโยบายทุกอันต้องเป็นแบบสไนเปอร์”

นายอรรถวิชช์ ได้ยกตัวอย่างเสริมว่า “1. ยกเลิกระบบแบล็กลิสต์ ให้เปลี่ยนเป็นการคิดคะแนน เช่นต่อไปนี้บัญชีหนังหมา 3 ปี ปกติติดหนี้แล้วจบเลย แต่เที่ยวนี้คิดเป็นคะแนนส่งให้ เอาข้อมูลดีมาใส่ด้วย เอาข้อมูลจากแอปพลิเคชันของรัฐดี ๆ เอามาใส่คำนวณด้วย มันทำให้เกิดการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ย อันนี้ทำให้ดอกเบี้ยถูกลงได้ งบประมาณ 0”

'พิธา' เผย อยากทำงานการเมือง 10 ปี และอยากเป็นเลขาธิการสหประชาชาติคนแรกของไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาเปิดใจถึงความฝันสูงสุด โดยระบุว่า

‘กรณ์’ นำทีม ‘ชพก.’ เปิดเวทีปราศรัย อ้อนขอคะแนนชาวสุราษฎร์ธานี ลั่น!! พร้อมสู้กับทุนผูกขาดทุกชนิด ทวงความเป็นธรรมให้ประชาชน

‘กรณ์’ นำชาติพัฒนากล้า ปราศรัยสุราษฎร์ธานี ย้ำจุดยืนชนทุนผูกขาด เอาเปรียบประชาชน ลั่น ยกสุราษฎร์เป็นโมเดล ‘บริษัทมหาชนของเกษตรกร’ แห่งแรกของประเทศไทย  

(4 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวรวุฒิ อุ่นใจ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ธชา จินตวร ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาพรรค ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อร่วมเวทีปราศรัยช่วย นายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 4 หาเสียง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. นางพงศ์ศรี นาคเมือง เขต 2 เบอร์ 8 นายสุพจน์ บานเย็น เขต 4 เบอร์ 9 และ นายวศุธน เรืองขนาบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เบอร์ 4 ร่วมปราศรัย โดยได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น และร่วมรับฟังปราศรัยอย่างเนืองแน่น 

พรรคชาติพัฒนากล้า เราเป็นพรรคเล็กและเป็นพรรคใหม่ แต่เรากล้าชกกับรุ่นเฮฟวี่เวท เรื่องที่เราออกมาสู้ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ จนได้รับการยอมรับสะท้อนมาเป็นผลโพลของสุราษฎร์ธานีเขต 1 วันนี้ ที่โพลบี้กับที่ 1 แบบหายใจรดต้นคอ เวลาที่เหลืออยู่อีก 10 วันถือเป็นช่วงสำคัญ โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองและผู้สมัคร ที่หาเสียงแนวสร้างสรรค์ ไม่แจกเงิน เราต้องรักษาสถานะเป็นผู้ท้าชิง ให้เข้าสู่เส้นชัยให้ได้ 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามักได้ยินคำถามเสมอว่าเราอยู่ฝั่งไหน ซ้ายหรือขวา เราตอบไม่แบบอายว่าเรามองข้ามขั้วการเมือง แต่มาสู้กับเรื่องปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ไม่ตั้งเงื่อนไขให้กับสังคม แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นกลยุทธ์การเมืองของพรรคใหญ่ เพื่อแบ่งประชาชนออกเป็นสองข้าง แต่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย และยังเป็นอุปสรรคของประเทศในการที่จะเดินต่อไปข้างหน้า เรามีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่พร้อมร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายก เราถูกปรามาสเสมอว่าเราพร้อมเสียบ ซึ่งต้องบอกว่า ถ้าเป็นพรรครอเสียบก็ต้องสงวนปากสงวนคำอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดเรื่องใหญ่ ไม่ท้าทายใคร แต่เราสู้กับทุนใหญ่ ทุนผูกขาด มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าน้ำมัน ค่าไฟ ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งมันสวนทางกับพรรครอเสียบ แต่เป็นพรรคที่พร้อมสู้เพื่อความถูกต้องทวงความเป็นธรรมคืนให้พี่น้องประชาชน  

“เราพร้อมสู้กับทุนผูกขาดทุกชนิด เพื่อพี่น้องประชาชน ไม่มีใครที่พึ่งพาได้เหมือนกับเรา ในการยืนหยัดต่อสู้กับใครก็ตาม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของท่าน ผมมีจุดยืนเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก่อนการทำงานการเมือง ด้วยซ้ำ ผมเกลียดที่สุดคือ ทุนผูกขาด เพราะกระทบกับต้นทุนชีวิตประชาชน ครอบงำการเมืองทุกขั้ว เราขอต่อสู้ในแนวทางสร้างสรรค์ ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองแบบนี้เข้าไปทำงานในสภา ท่านไม่ต้องกังวลว่าเลือกเราแล้วจะได้เป็นรัฐบาลไหม ขอให้ท่านเลือกอนุวัตรเบอร์ 4 และพรรคชาติพัฒนากล้าเบอร์ 14 ขอให้เรามี ส.ส.ในสภา จะกี่คนก็ตาม เราพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนขอท่านอย่าลังเล” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเน้นโอกาสนิยม ให้คนตัวเล็ก ทำธุรกิจได้ เติบโตได้ แข็งแรง แข่งกันทุนใหญ่ได้ พรรคชาติพัฒนาจึงมีนโยบายเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก สนับสนุนเกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าด้วยการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แต่ระบบราชการไม่เอื้ออำนวยทำให้ต้องเกี่ยวพันกันหลายกระทรวง ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กเติบโต พรรคชาติพัฒนากล้า เราเสนอโครงการ 'บริษัทมหาชนของเกษตรกร' โดยใช้กลไกตลาดทุนมาช่วย เราดึงเกษตรกรมารวมตัวกัน โดยมีเศรษฐีคนไทย และนักลงทุนต่างประเทศ มาสนับสนุนนักบริหารทางการตลาด และหาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ แบบนี้เกษตรกรได้ประโยชน์ตั้งแต่ขายราคาพืชผล แปรรูปผลผลิต และนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพื่อพัฒนาสินค้า ถ้าทำแบบนี้เกษตรกรเราไม่จนแน่นอน และโมเดลนี้จะเริ่มที่ จ.สุราษฎร์ธานีเป็นที่แรก เพราะเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ 

นายวรนัยน์ นโยบายประชานิยม จะทำให้ล้มละลายทั้งประเทศ ชุดนโยบายเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยพัฒนา คุณภาพชีวิตพัฒนา คือการสร้างโอกาส สร้างความเสมอพรรค หลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลแจกเงินไปเท่าไหร่แล้วแต่ ประชาชนจนเหมือนเดิม ถ้าเราอยากมีอนาคต เราต้องมองเรื่องหาเงิน ใครจะมาพัฒนาเศรษฐกิจให้เราได้ สร้างโอกาส ให้อาวุธพวกเราต่อสู้ ไม่ใช่ลืมตาอ้าปาก แต่อิ่มหมีพีมัน อยู่ดีกินดี คนรวยมีไม่กี่คน ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าตอบโจทย์ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แบบไม่เน้นประชานิยม  

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเรามั่นใจว่าเราเป็นพรรคแห่งความหวัง เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน เราพูดได้ชัดเจนตรงไปตรงมาไม่ต้องเกรงใจทุนใหญ่ เราไม่รับทุนผูกขาด และเป็นพรรคแรกที่ต่อสู้เรื่องพลังงาน และออกมาเตือนรัฐบาลหลายครั้งว่าราคาน้ำมัน ค่าไฟ และข้าวของจะแพงตามมา แต่รัฐบาลไม่ทำ และยังประกาศขึ้นค่าไฟ ซ้ำเติมประชาชน และยังเอา รมว.พลังงานมาเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 2 ของพรรคลุงอีกมันสะท้อนถึงทุนผูกขาดที่มีอำนาจที่อยู่เหนือการเมือง   

‘เศรษฐา’ ประกาศกร้าวกลางปราศรัยเมืองจันท์ ลั่น!! “ยอมติดคุก” ย้ำ!! ไม่ให้ลูกหลานถูกมอมเมาด้วยกัญชา จากนโยบายบางพรรค

‘เศรษฐา’ เยือนเมืองจันท์ ลั่นยอมติดคุกป้องลูกหลานมอมเมากัญชา แม้ถูกบางพรรคฟ้อง ‘เต้น’ แฉแผนสุมหัวตั้งรัฐบาลข้างน้อย

(4 พ.ค.66) ที่สนามสามเหลี่ยมทุ่งนาเชย อ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวบนเวทีปราศรัยช่วย 3 ผู้สมัคร ส.ส.จันทบุรี พรรค พท. ได้แก่ นายมงคล ศรีคำแหง เขต 1 เบอร์ 2 นายวันทิต ตั้งรักษาสัตย์ เขต 2 เบอร์ 2 และนายแสนคม อนามพงษ์ เขต 3 เบอร์ 3

นายเศรษฐา ปราศรัยว่า ปัญหาที่ประชาชนประสบอยู่ขณะนี้เกิดจากนายกฯไม่มีวิสัยทัศน์พาประเทศเจริญ และเพิ่มรายได้ให้ประชาชน หรือปัญหาเรือประมงออกไปจับปลาไม่ได้ เพราะไปเซ็นสัญญาอัปยศกับอียูจนชาวประมงไปทำมาหากินไม่ได้ พรรคร่วมรัฐบาลต่าง ๆ ก็ไม่มีใครมาช่วยแก้ปัญหา จ.จันทบุรี มีของดีอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องผลไม้ แต่นายกฯไปเปิดตลาดให้บ้างหรือไม่ นายกฯพรรค พท. จะเดินทางไปทุกหย่อมหญ้า หาตลาดผลไม้ให้เกษตรกร ใช้การตลาดนำ ให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ภายใน 4 ปีที่เป็นรัฐบาล รายได้สุทธิเกษตรกรจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว รวมถึงจะผลักดันพลอย จ.จันทบุรี เป็นซอฟต์พาวเวอร์มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

นายเศรษฐา ปราศรัยว่า ขณะที่เรื่องกัญชาเสรีที่พรรคการเมืองหนึ่งมาหาเสียงที่นี่บอกจะทำให้กัญชาเสรี สูบพี้กันเมามัน หลายคนรับไม่ได้ ตนไม่ได้เป็นศัตรูกับพรรคนั้น แต่เป็นศัตรูกับกัญชา ไม่อยากให้ลูกหลานถูกมอมเมา แต่พูดกลับก็สะเทือนพรรคนั้น ถึงขั้นไปฟ้องตน แต่ตนยอมติดคุก เพื่อไม่ให้ลูกหลานถูกมอมเมาด้วยกัญชา ถ้าเลือกพรรคนั้นมา ลูกหลานจะถูกมอมด้วยกัญชา อย่ายอมเด็ดขาด ขอให้สู้ไปด้วยกัน วันเลือกตั้งอย่าปันใจให้ใคร พรรค พท. มาคนเดียว ไม่มีพรรคพี่น้อง ขอให้เทใจกาบัตรทั้งสองใบให้พรรค พท.

ทลายโกดังเถื่อน!! แอบอ้างชื่อ ‘คิงพาวเวอร์’ ลวงขายสินค้าไร้คุณภาพ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท

ตำรวจสอบสวนกลางตรวจค้นโกดังสินค้า แอบอ้างชื่อคิงเพาเวอร์ หลอกจำหน่ายสินค้าไม่ได้คุณภาพให้กับประชาชน

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CBI) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.

(4 พ.ค.66) ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.คงกฤช เลิศสิทธิกุล รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.พัฒนา ฉายาวัฒน์ รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.2 บก.ปอศ., พ.ต.ท.วันเผด็จ จันยะรมณ์ รอง ผกก.๒ บก.ปอศ.

เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.ท.พีระพัฒน์ สุทธเสนา สว.กก.2 บก.ปอศ. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดสมุทปราการ ที่ 277/2566 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ในความผิดตาม “พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2560 มาตรา 242, 243 และ 246

โกดังเก็บสินค้า ถนนบางนา-ตราด ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ

สืบเนื่องจากมีประชาชนได้แจ้งแบะแสและได้รับการประสานความร่วมมือจาก บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล King Power ว่ามีการแอบอ้างโดยการปลอมเป็นเพจเฟซบุ๊ก

‘ชวน’ นำทีม ‘ปชป.’ อ้อนขอคะแนนชาวสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ยัน!! ‘ปชป.’ อยู่มา 77 ปี ไม่เคยโกง ย้ำ!! เลือกคนสุจริตมาบริหารประเทศ

‘ชวน’ เดินเท้าหาเสียง อ้อนแม่ค้าพ่อค้าเมืองสุไหงโก-ลก เลือกทั้งคนทั้งพรรค

(4 พ.ค.66) นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รวมทั้งนางวทันยา บุนนาค หรือมาดามเดียร์ ได้เดินเท้าลงพื้นที่ตลาดสดเก็นติ้ง เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อช่วยนายเมธี อรุณ หรือ เมธี วงลาบานูน ผู้สมัคร ส.ส.นราธิวาส เขต 2 เบอร์ 1 หาเสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางมาช่วยลูกพรรคหาเสียงของนายชวน หลีกภัย ครั้งนี้ ได้แต่งตัวแบบเป็นกันเอง พร้อมกับชูนโยบายต่างๆ ที่ผ่านมา เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ การกู้เงิน กยศ. ให้เด็กได้เรียน รวมไปถึงนโยบายของผู้สมัครในพื้นที่ เพื่อขอคะแนนสนับสนุนให้ผู้สมัครของพรรคทั้งแบบแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อ เราอาจไม่รู้ว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี พรรคการเมืองก็เช่นกัน ทุกพรรคมีนโยบายที่ดีทั้งสิ้น แต่จะดีหรือไม่ดีนั้น พิสูจน์ได้จากการทำงานว่า ทุจริตหรือโกงกิน

อีกทั้งได้เน้นย้ำถึงความเป็นสถาบันทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ที่อยู่มาได้ถึงวันนี้ ครบ 77 ปี ด้วยการยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งได้รับความสนใจจากพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่เดินทางมาจับจ่ายอาหารในตลาดสด โดยบางรายได้ถือโอกาสมอบดอกไม้และผลไม้ ให้นายชวนได้นำไปรับประทาน พร้อมทั้งได้ขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

นอกจากนี้ นายชวน และคณะ ได้ขึ้นรถบรรทุก 10 ล้อของพรรค ไปตามถนนภายในเขตเทศบาล ในการขอสนับสนุนคะแนนเสียงเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชน รวมทั้งผู้ประกอบการ ที่ได้มีการโปรยมือทักทายนายชวน และคณะ ตลอดเส้นทางที่รถยนต์ผ่าน ด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มที่ไม่คิดว่านายชวน จะลงพื้นที่หาเสียงเองให้กับทางพรรค

และจุดสุดท้ายที่นายชวน และคณะ ได้เปิดปราศรัยย่อที่บริเวณลานอเนกประสงค์ หน้าสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก โดยมีการสลับปรับเปลี่ยนกันปราศรัยหาเสียงของ นายนิพนธ์ นายสุชัชวีร์ นางวทันยา และนายเมธี ซึ่งได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนจำนวนกว่า 2,000 คน ได้เดินทางมารับฟังนโยบาย

นางวทันยากล่าวปราศรัยว่า พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายไม่เซ็กซี่เหมือนพรรคอื่นๆ ท่านรู้มั้ยว่าเราเป็นหนี้จากการกู้ยืมเงินของรัฐบาลเท่าไร หนี้นับ 10 ล้านล้านบาท ใครเดือดร้อนพวกท่านๆ ที่นั่งตรงนี้เดือดร้อน ส่วนใหญ่ต้องไปพึ่งการกู้หนี้ยืมเงินนอกระบบ แล้วท่านจะลืมตาอ้าปากได้เมื่อไหร่ นอกจากนี้ นโยบายกัญชา ถามว่าตนเอาไหม บอกเลยว่าไม่เอา มีเพียงอย่างเดียวใช้ในทางการแพทย์ ส่วนกัญชาเสรีนั้น ดูซิคนหรือเยาวชนใน กทม.ติดกัญชากันจนผู้ปกครองบ่นว่าเดือดร้อน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะต่อต้านเรื่องกัญชาเสรี

ด้าน นายนิพนธ์ขึ้นปราศรัยใจความได้ว่า ถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ การติดอินเตอร์เน็ต 1 ล้านจุดทั่วประเทศ จุดประสงค์หลักคือ นักเรียนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อการเรียนการสอนที่สะดวก แม้แต่ในโรงเรียนหรือทางบ้าน เราต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษาของเยาวชน

ด้านนายชวนกล่าวปราศรัยใจความว่า เล่นการเมืองรับใช้พี่น้องประชาชนมาเกือบทั้งชีวิต ซึ่งคนของพรรคทุกคนไม่เคยโกงกินหรือติดคุก เราซื่อสัตย์ต่อพี่น้องประชาชน นโยบายต่าง ๆ ที่สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี การสร้างรถไฟรางคู่ซึ่งก็ได้คืบหน้าไประดับหนึ่ง แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล นโยบายต่าง ๆ จึงถูกโละทิ้ง ถือว่าไม่ใช่นโยบายของพรรคนั้น ๆ เขาก็ไปพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขา ภาคใต้บ้านเราจึงไม่เจริญเท่าที่ควรจะเป็น

‘สุวัจน์’ ลุยขอคะแนนชาวโคราช ชูนโยบาย ‘โคราชโนมิกส์’ มั่นใจ!! นโยบายทำคัมแบ๊ก ได้กลับมารับใช้ประชาชน

‘สุวัจน์’ บุกย่านหัวมังกรโคราชชั้นใน มั่นใจ ‘โคราชโนมิกส์’ ถูกใจ ประทับใจคนโคราช

(4 พ.ค.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้าและแคนดิเดตนายกฯ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 5 เขต 1 ลงพื้นที่หาเสียงพบปะพี่น้องประชาชนชาวโคราช เริ่มตั้งแต่ตลาดเช้า ตลาดหัวรถไฟ และเดินทางต่อไปตามเส้นทางถนนราชดำเนิน ถนนชุมพล ถนนจอมพล ถนนหัวมังกร ถนนเศรษฐกิจหลักของโคราช พบปะกับพ่อค้าแม่ค้าเพื่อนำเสนอนโยบาย ‘โคราชโนมิกส์’ โคราชระเบียงเศรษฐกิจ โคราชเมืองท่องเที่ยวอินเตอร์ โคราชเมือผลิตอาหารป้อนโลก โคราชเมืองคมนาคมทันสมัย โคราชน้ำไม่ท่วม น้ำไม่แล้ง น้ำประปาพอใช้ และปรับโครงสร้างค่าไฟ เพื่อแก้ปัญหาค่าไฟแพง “งานดี มีเงิน ของไม่แพง”

นายสุวัจน์กล่าวว่า การเปิดเวทีปราศรัยได้พบพี่น้องประชาชนมารับฟังการปราศรัยจํานวนมากทุกท่านมีความมั่นใจและชอบนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบายเพื่อชาวโคราชโดยเฉพาะ ทําให้มีความรู้สึกว่าเป็นพรรคการเมืองที่เข้าใจและทํางานกับชาวโคราชมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เราใช้ยุทธศาสตร์การเดินเข้าหาพี่น้องประชาชน เน้นเรื่องนโยบายต่าง ๆ วันนี้การเมืองพี่น้องประชาชนอยากฟังนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายในการแก้ไขปัญหา

นายสุวัจน์กล่าวว่า ฉะนั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งเราต้องใช้ยุทธศาสตร์ในการที่จะเข้าหาพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด เน้นนโยบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคมีนโยบายทั้งสองอย่างคือนโยบายเศรษฐกิจในการแก้ไขปัญหา “งานดี มีเงิน ของไม่แพง” และนโยบายให้กับพี่น้องประชาชนชาวโคราช 'โคราชโนมิกส์' เอาเศรษฐกิจยุคทองกลับมา เอาการลงทุนกลับมา

“โคราชเป็นเมืองท่องเที่ยวอินเตอร์ โคราชผลิตอาหารป้อนโลก โคราชเมืองคมนาคมทันสมัย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทําให้เรามั่นใจ ยิ่งเดินเท่าไหร่ ยิ่งพบพี่น้องประชาชนเท่าไหร่ การตอบรับดีมากๆ ทําให้เรามั่นใจว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคชาติพัฒนากล้าน่าที่จะคัมแบ๊กได้กลับมารับใช้พี่น้องชาวโคราชด้วยเสียงที่ดีกว่าเดิม” แคนดิเดตนายกฯพรรคชาติพัฒนากล้าระบุ

‘ปชป.’ ย้ำจุดยืนนโยบาย!! ไม่เอายาเสพติด-ไม่หนุนกัญชาเสรี ชี้!! ปรับปรุงการลดโทษหลังคำพิพากษา เป็นบทลงโทษสูงสุด

‘ปชป.’ เสนอจุดยืนนโยบายยาเสพติด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ย้ำต้องปรับปรุงกระบวนการลดโทษหลังคำพิพากษา ผู้ผลิต – ผู้ค้า ให้รับโทษสูงสุดตามกฎหมาย 

(4 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้สมัคร ส.ส. เขตหลักสี่ จตุจักร เบอร์ 14 พร้อมด้วย นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย ผู้สมัคร ส.ส. เขตวังทองหลาง บางกะปิ เบอร์ 1 และนายธีรวิทย์ ภูมิดิษฐ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขตบางเขน จตุจักร หลักสี่ เบอร์ 5 ร่วมกันแถลงถึงจุดยืนของพรรคในนโยบายป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 

โดย พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า จากปัญหายาเสพติดเป็นภัยคุกคามที่กระทบต่อชีวิต สังคม และประเทศอย่างรุนแรง พรรคประชาธิปัตย์จึงจัดทำโครงการ ฟัง - คิด - ทำ เพื่อรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชน และพบว่าปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่ง ดังนั้นพรรคจึงมีนโยบาย “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่เอายาเสพติด และไม่สนับสนุนกัญชาเสรี” พร้อมๆ ไปกับ นโยบายปราบทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดวิกฤตชาติ และสาเหตุที่ 2 นโยบายดังกล่าวมีความเกี่ยวเนื่องกันนั้น เป็นเพราะปัญหายาเสพติดส่วนหนึ่งเกิดมาจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นหากเราสามารถแก้ปัญหายาเสพติด และปัญหาทุจริตได้ ก็จะทำให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน

พล.ต.ต.วิชัย ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีผู้ติดยาเสพติดประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งทำให้มีการใช้สิ่งเสพติด จำพวกยาบ้า ยาไอซ์ เฮโลอีน และอื่นๆ มากกว่า 3 ล้านเม็ด และคิดเป็นการมูลค่าความสูญเสียกว่า 300 ล้านบาทต่อวัน ปีละไม่ต่ำกว่าแสนล้าน ซึ่งยังไม่รวมถึงงบประมาณสำหรับการป้องกัน ปราบปราม บำบัด รักษา ดังนั้นด้วยนโยบาย “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่เอายาเสพติด และไม่สนับสนุนกัญชาเสรี” จึงมีความจำเป็นต้องเริ่มต้นการแก้ไขตั้งแต่การเจรจากับต่างประเทศ การสกัดการส่งออกสารตั้งต้น การเพิ่มอำนาจ ป.ป.ส. ให้มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน ทำสำนวนเพื่อส่งอัยการฟ้องศาลได้ นอกจากนี้จะต้องมีการจัดตั้งและปรับปรุงสถานบำบัดในทุกจังหวัด โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เพื่อให้เกิดกระบวนการสำหรับรักษา เยียวยา ฟื้นฟู และบำบัดสุขภาพของผู้ติดยาเสพติดให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ส่วนแนวทางในการแก้ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชันนั้น จำเป็นที่จะต้องกำหนดกรอบโทษของผู้กระทำผิด ซึ่งทั้งผู้ก่อ ผู้สนับสนุน ผู้ช่วยเหลือ ต้องได้รับโทษสูงสุดเท่ากัน 

“พรรคประชาธิปัตย์ มีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหายาเสพติดให้กับพี่น้องประชาชน ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พรรคได้ ฟัง- คิด- ทำ จะเกิดประโยชน์ได้ หากพี่น้องประชาชนเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 ให้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะสามารถขับเคลื่อนนโยบายจนประสบความสำเร็จได้ต่อไป” พล.ต.ต.วิชัย กล่าว 

‘แอม ไซยาไนด์’ ซุ่มหอบทองของสามีขาย-จ้องสแกนม่านตาศพ หลังเสียชีวิตได้วันเดียว พร้อมขวางการผ่าตัดชันสูตรของ ‘จนท.’

เปิดอีกพฤติกรรม ‘แอม’ แด้ตายวันเดียว ซุ่มเอาทองขาย-จ้องสแกนม่านตาศพ

(4 พ.ค.66) ความคืบหน้าคดี ‘แอม ไซยาไนด์’ ผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ข้อหาลักทรัพย์ และพยายามฆ่า หลังพบว่ามีผู้เสียชีวิตปริศนานับสิบคน ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวโยง ‘แอม’ โดยหนึ่งในนั้น คือ นายแด้ สามีของแอม ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 มี.ค.66 

พล.ต.ต.พิษณุ อุณหะเสรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี (ผบก.ภ.จว.อุดรธานี) เปิดเผยทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าว ว่า คดีแอม ก่อนที่จะถูกออกหมายจับ ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบประจักษ์พยาน ทั้งที่ปั๊มน้ำมัน หอพักที่อยู่ มีพยานบุคคลและหลักฐานอย่างอื่นๆ รวมทั้งสิ่งของนายแด้ ที่แอมส่งไปให้ญาติที่ จ.ราชบุรี มีไซยาไนด์ด้วย ทำให้ศาลออกหมายจับ แอม หลังนายแด้เสียชีวิต

ทั้งนี้ นางแอม ได้นำทองของนายแด้ไปขาย ครั้งแรกนำไปขายในวันที่ 13 มี.ค. เป็นเลสข้อมือ หนัก 3 บาท ขายได้ราคา 85,800 บาท ครั้งที่ 2 ในวันที่ 18 มี.ค. เป็นพระเลี่ยมทอง 3 บาท ขายได้ในราคา 79,000 บาท โดยทางร้านทองให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างดี ส่วนกรณีมีตำรวจยศ รอง ผกก. คนใกล้ชิดแอมเดินทางมา จ.อุดรธานี ทางตำรวจอุดรธานีตรวจสอบพบว่ารถเซฟโรเลตของนายแด้สวมทะเบียน มีคนสนิทของแอม เดินทางขึ้นมาเอารถเอากลับไป แล้วไปจำนำ และศาลได้ออกหมายจับไปแล้ว

‘บิ๊กป้อม’ ควง ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ สรุปนโยบายพรรค ก่อนเลือกตั้ง ลั่น!! หากเป็นรัฐบาลทำทันที ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ-ลดราคาน้ำมัน’

‘บิ๊กป้อม’ ควง ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ สรุปนโยบาย พปชร.โค้งสุดท้าย ลั่น ถ้าเป็นรัฐบาลทำทันทีทุกอย่าง ชู ยุติความขัดแย้งช่วงวัย ไม่มีลงถนน บริหารประเทศแบบไม่ชะงัก ‘อุตตม’ เผย ภารกิจด่วน กระตุ้นเศรษฐกิจ ‘สนธิรัตน์’ ตีปี๊บ ใช้กองทุนหมู่บ้านเสริมเข้มแข็งชุมชน ‘มิ่งขวัญ’ ย้ำ ลดราคาพลังงาน-ก๊าซแน่ อ้อน ปชช. ขอใจร่มๆ ฟังแล้วไปเลือกเบอร์ 37 ‘คณิศ’ โอ่ พรรคไม่แจกเงินคนรวย ‘ธีระชัย’ กางแหล่งที่มาเงิน ใช้ ‘ไฟแนนซ์นโยบาย’ ทุกโครงการเศรษฐกิจมหภาคโตหมด ‘นฤมล’ สานต่อบ้านประชารัฐ

(4 พ.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมดรีมทีมเศรษฐกิจของพรรค ประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายคณิศ แสงสุพรรณ ร่วมกันแถลง 'สรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้งเป็นรัฐบาล พลังประชารัฐ'

พล.อ.ประวิตร แถลงว่า เหลืออีก 10 วันเท่านั้น จะมีการเลือกตั้ง ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่เราจะหาเสียงแล้ว ตลอดระยะเวลา 45 วันหลังจากที่รัฐบาลได้ยุบสภา เราได้หาเสียงกันมาตลอด 45 วัน มุ่งเน้นหาเสียงทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งนี้ 7 นโยบายของ พปชร.คือ 1. ก้าวข้ามความขัดแย้ง 2. ก้าวข้ามความยากจน 3. ลดความเหลื่อมล้ำ 4. สร้างสวัสดิการเข้มแข็ง 5. พลิกฟื้นเศรษฐกิจ 6. สร้างความเป็นธรรมของสังคม และ 7. พลิกโฉมการบริหารงานของภาครัฐ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนอยากให้คนไทยมีความรักใคร่ สามัคคีกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เมื่อประเทศมั่นคง ไม่มีขัดแย้งกันแล้ว จะเกิดความสงบสุข รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ ต่างประเทศจะมาลงทุนในประเทศไทย การค้าขายจะเจริญเติบโต ไม่มีการหยุดชะงักถ้าไม่มีประชาชนมาเดินในถนน เมื่อเราทุกคนมีความเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีกัน จะสามารถบริหารประเทศไปได้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ตนไม่สามารถทำให้คนไทยมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวกันได้ การเมืองใครจะคิดอย่างไร อยู่พรรคไหน อยู่ไป ไม่ว่าอะไร แต่เมื่อเลือก ส.ส.มาแล้ว 400 เขต ให้ไปว่ากันในสภา จะแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมาย ไปว่ากันในเรื่องของสภา เพราะเป็นตัวแทนของประชาชน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ส่วนการบริหารประเทศเป็นเรื่องของรัฐบาล เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ประชาชน เมื่อบริหารประเทศโดยไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีหยุดยั้ง ไม่มีการเดินถนน จะทำให้ประเทศชาติสามารถเดินไปได้ บริหารประเทศไปได้ ประชาชนไม่ชอบหรือ ถ้าเราทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เงินในกระเป๋าท่านดีขึ้น รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่ติดขัด จึงอยากฝากประชาชนทุกคนว่า ความเป็นหนึ่งเดียวนั้นมีความสำคัญมากที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศต่อไป ความขัดแย้งระหว่างรุ่นอายุ ทุกคนเป็นคนไทยทั้งนั้น ถึงเวลาที่เราจะต้องยุติสักที ฝากกับประชาชนว่าความเป็นคนไทยไม่ว่าจะอายุ หรือเพศไหน อย่างไรเป็นคนไทย ต้องมีความรักใคร่ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ประเทศจะได้เจริญรุ่งเรืองถ้าพวกเราก้าวข้ามความแย้งสำเร็จ มั่นใจว่าคนไทยกว่า 60 ล้านคน จะสามารถก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องน้ำ เรื่องที่ดิน ถ้ามีน้ำจะไม่มีแล้ง มีที่ดินจะไม่มีจน เราจะดูแลเกษตรกรให้เข้มแข็ง หาที่ดินทำกิน ส่วนเรื่องน้ำ รัฐบาลทำมาตลอดสี่ปี ทำให้ประชาชนไม่มีแล้งเลย แสดงถึงความสำเร็จของรัฐบาลที่ตนได้ดำเนินการมาสามารถทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีเพิ่มมากขึ้น ส่วนเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีฝนตกมากจะต้องมีน้ำหลาก ต้องมากันว่าในพื้นที่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีน้ำหลาก ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ต่างประเทศน้ำก็เดือดร้อนเพราะน้ำหลากเช่นกัน แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ รัฐบาลสามารถเยียวยาได้

นายอุตตม กล่าวว่า ภารกิจด่วนที่ต้องทำทันทีเมื่อ พปชร.ได้เป็นแกนนำรัฐบาล จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้น ต้องเร่งเศรษฐกิจให้โต เพราะเศรษฐกิจประเทศไทยโตต่ำกว่าศักยภาพมาหลายปี จะแก้ปัญหาความยากจนด้วยการกระตุ้น นอกจากนี้ ต้องลดค่าใช้จ่าย โดยเรื่องค่าใช้จ่ายพลังงาน พปชร.พร้อมจะแก้ไขทั้งระบบให้เกิดความเป็นธรรมในเรื่องราคา และเราจะแก้ไขภาระหนี้สินของประชาชนอย่างครบวงจร

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 3 หมื่นบาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เรามีปัญหาค่าครองชีพ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เริ่มจากน้ำมัน พปชร.จะลดราคาน้ำมันเบนซิลิตรละ 18 บาท ดีเซลลดลิตรละ 6.30 บาท ไม่ว่าน้ำมันโลกจะขึ้นหรือลง เมื่อ พปชร.ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลจะทำทันที ส่วนเรื่องแก๊ส หลังวันเลือกตั้งถ้า พปชร.ได้ขึ้นมาบริหารจัดการ ราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือนจะอยู่ที่ 250 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย พปชร.จะทำให้ค่าครองชีพลดลง นอกจากนี้ จะผลักดันนโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ โดยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไปได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไป ได้ 5,000 บาท ทั้งนี้ เหลืออีก 10 วันจะเลือกตั้งแล้ว ขอให้คนไทยใจเย็นๆ ใจร่มๆ ฟังดรีมทีมเศรษฐกิจของเรา และถามตัวเองว่าใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าใช่ขอให้เลือกเบอร์ 37 ด้วย

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับนโยบายอีสานประชารัฐ อีสานเป็นภาคที่มีความสำคัญ เป็นภาคที่มีประชากรมากที่สุด มีพื้นที่ทำเกษตรกรรมจำนวนมากและมีแรงงานมากที่สุด ถ้าพัฒนาอีสานได้จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ตลาดโลก เป็นความคิดที่จะดูแลภาคอีสาน เป็นความตั้งใจที่ชาญฉลาดในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวอีสาน อีสานประชารัฐ คือ การพัฒนาอีสาน เริ่มต้นจากการที่จะมีโครงการรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งตั้งแต่ จ.บึงกาฬ มาถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่อีอีซี

นายคณิศ กล่าวว่า นโยบายของ พปชร.คือ ไม่แจกเงินคนรวย เพื่อให้ทุกคนกลับฟื้นคืนมา ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งนี้ สำหรับนโยบายระยะยาวนั้น เราจะทำเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ ใน 5 จังหวัด ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับดี ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ทำให้ทุกคนดีขึ้น ตอนนี้เราทำแผนกันไว้แล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top