Friday, 6 June 2025
SPECIAL

‘เจ้าหลงสุนัขพันธุ์ไทย’ ถูกเพื่อนบ้านใช้ปืนแก๊ปยิง สาหัสปางตาย สุดท้ายรอดมาได้ ล่าสุดตำรวจออกหมายเรียกผู้กระทำผิดแล้ว

เจ้าหลงสุนัขพันธุ์ไทยถูกทำร้าย หลังถูกเพื่อนบ้านลากปืนแก๊ปยิงอาการสาหัสปางตาย แต่รอดตายแล้วดูท่าสุนัขก็มีหัวใจน้ำตาจะไหล หากพูดได้คงพูดไปแล้วว่ารอดตายแล้ว เมื่อมีคนใจบุญจ่ายค่ารักษาผ่าตัด ล่าสุดตำรวจออกหมายเรียกเชิญตัวผู้กระทำผิดแล้ว

(16 ส.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์เมื่อกลางดึกของคืนที่ผ่านมา มีเหตุคนใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงสุนัข ของนางนวลศรี อายุ 59 ปี เหตุเกิดที่บ้านหลุบหวาย ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ตามที่เสนอข่าวไปนั้น 

ต่อมา เจ้าของได้นำสุนัขทำการรักษาผ่าตัดเอาลูกกระสุนออกแล้วที่โรงพยาบาลสัตว์ โดยอาการของเจ้าหลงนั้นปลอดภัยดีแต่ยังมีอาการอ่อนเพลีย หมอให้นำกลับไปดูแลต่อที่บ้าน โดยสีหน้าเจ้าหลงหลังจากหมอทำการผ่าตัดรักษาแล้วปรากฏว่า เหมือนมีรอยยิ้มดีใจหากพูดได้คงพูดไปแล้วว่า ขอบคุณ บางครั้งจะเห็นเหมือนเจ้าหลงน้ำตาจะไหลออกมา ส่วนคดีความเจ้าของสุนัขได้เข้าแจ้งความไว้ดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วที่ สภ.โนนสูง จ.อุดรธานี โดยตำรวจจะได้ออกหมายเรียกคนก่อเหตุมาสอบสวนต่อไป

น้องสาวเจ้าของสุนัข บอกว่า ตอนแรกก็ไม่มีเงินพาหมามารักษาแต่ก็ทนสงสารไม่ได้จึงให้เพื่อนบ้านพาหมามาหาหมอก่อน จากนั้นค่อยคิดว่าจะหาทางหาเงินมาจากไหนเป็นค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันพอเจ้าหลงมารักษาที่รพ.สัตว์ปรากฏว่า มีผู้ใจบุญที่นำสุนัขมาหาคุณหมอเจอพอดี จึงมอบเงินช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เป็นจำวนเงิน 1,840 บาท ขอบคุณผู้ใจบุญที่ช่วยน้องในครั้งนี้

นางณัฐิกา อายุ 43 ปี บอกว่า วันนี้ตนเองเอาสุนัขที่เลี้ยงไว้ที่บ้านมาอาบน้ำและตัดผม พอดีมาเจอเจ้าหลงเลยสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของบอกว่า น้องโดนยิงมาและไม่มีเงินค่ารักษา ตนเองที่เป็นคนรักสุนัขอยู่แล้วเห็นแล้วก็สงสาร จึงช่วยเหลือจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ถือว่าช่วยๆ กันไปเท่าแรงที่เรามี สุนัข เขาก็มีหัวใจ โดนยิงคงเจ็บน่าดู หนูดูสีหน้าเขาแล้วคงจะดีใจที่มีคนมาช่วย ดีใจที่ได้ช่วยเจ้าหลงค่ะ นางณัฐิการ กล่าวไปน้ำตาก็จะไหลออกมาเพราะสงสารสุนัขโดนยิงปางตาย

จากนั้น ตำรวจจะออกหมายเรียก เชิญตัวนายนภา ผู้กระทำผิดใช้ปืนแก๊ปยิงเจ้าหลงเข้าพบตำรวจในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นี้ เวลา 09.00 น.

ทางด้านนางกันตนา อายุ 30 ปี ภรรยาผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า ในฐานะภรรยาผู้ก่อเหตุขณะนี้ก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นและพูดคุยกันกับสามีแล้ว และสามีไม่ได้หนีไปไหนแต่ต้องไปทำงานต่างจังหวัด สำหรับค่าเสียหายนั้นตนก็ยินยอมจะชดใช้ให้ ส่วนปืนที่ก่อเหตุนั้นตนก็ไม่รู้ว่าสามีเอาไปด้วยหรือเปล่า ยืนยันว่าสามีไม่ได้หนีไปไหน แต่เมื่อตำรวจนำหมายเรียกมาแล้วสามีก็จะเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายตามเวลาแน่นอน ในฐานะภรรยาผู้ก่อเหตุตนก็ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนตัวตนก็เลี้ยงหมาและรักหมาเหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบของสามี ซึ่งยอมรับว่าสามีเป็นคนใจร้อน

ด้านเจ้าของหมา บอกว่า ฉันว่าผู้ก่อเหตุทำเกินกว่าเหตุ เดินถือปืนไปยิงถึงในบ้าน และยังขู่บอกว่า แม่ใหญ่หนูข้อยบ่เอาไว้นะ บักหลง จะฆ่ามันทิ้ง เราก็ตกใจอยากให้กฎหมายดำเนินการกับบุคคลที่ก่อเหตุครั้งให้ถึงที่สุด ส่วนค่าเสียหายก็ให้ชดใช้ตามจริง ตอนนี้ตนยังเกรงกลัวคำขู่ของหลานอยู่เพราะก่อนไปเคยขู่ทำร้ายญาติอีกคนไว้ จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แถมยังมาขู่เราว่า ให้ระวังไว้ เราก็กลัวเพราะเขามีปืน เราไม่อยากยอมเพราะกลัวเขามาก่อเหตุอีก

‘อดีตพระอาจารย์คม-พวก’ ปฏิเสธยักยอกเงินทำบุญวัด 182 ล้าน ศาลอาญาคดีทุจริตฯ เตรียมนัดตรวจหลักฐาน 7 พ.ย.นี้

(15 ส.ค. 66) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติ มิชอบกลาง ตลิ่งชัน ศาลนัดสอบคำให้การในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 125/2566 ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ยื่นฟ้องนายวุฒิมาหรือ ‘พระมหาวุฒิมา เถาว์หมอ’ กับพวกรวม 9 คน ในความผิด (แต่ละรายพฤติการณ์ข้อหาต่างกัน) ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริต ยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษา ทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอา ทรัพย์นั้นไปเสีย หรือรับของโจร

วันนี้โจทก์ จำเลยทั้ง 9 คน ทนายจำเลยมาศาล

ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยทั้ง 9 คนฟัง แล้วจำเลยทั้งหมดยืนยันให้การปฏิเสธ

เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตรวจพยานหลักฐานและการพิจารณาคดี ศาลเห็นสมควร มอบหมายให้เจ้าพนักงานคดีดำเนินการตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีการดำเนินคดีทุจริต และประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2560 ข้อ 11 ให้เจ้าพนักงานคดีได้ดำเนินการตรวจสอบและรวบรวม พยานหลักฐาน และให้คู่ความมาศาล เพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าวร่วมกับเจ้าพนักงานคดี ให้นัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานโดยเจ้าพนักงานคดีรวม 1 นัด ในวันที่ 25 ก.ย.2566 เวลา 09.00 น. ตามที่คู่ความมีวันว่างตรงกัน

โดยให้เจ้าพนักงานคดีช่วยควบคุมและแนะนำให้คู่ความ ดำเนินคดีนี้ให้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายและคำสั่งศาล หากพบว่ามีข้อบกพร่องหรือขัดข้องเกี่ยวกับ กระบวนพิจารณาหรือการได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่คู่ความอ้างอิง ให้รายงานต่อศาลพร้อมด้วย แนวทางแก้ไขโดยเร็ว

เพื่อให้ศาลพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรให้คู่ความดำเนินการดังต่อไปนี้ ก่อนวันนัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวไม่น้อยกว่า 7 วัน

1.) ยื่นคำแถลงแนวทางการเสนอพยานหลักฐานในการไต่สวนต่อศาล รวมทั้ง ความเกี่ยวข้องกับประเด็นและความจำเป็นที่ต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น เพื่อพิสูจน์สนับสนุน ข้อเท็จจริงใดที่ยกขึ้นอ้างในแนวทางการไต่สวนนั้น พร้อมสำเนาแก่คู่ความอีกฝ่าย

2.) ยื่นบัญชีระบุพยาน พร้อมคำแถลงวิธีการได้มาซึ่งพยาน และสำเนาแก่คู่ความอีกฝ่าย

3.) ส่งพยานเอกสารหรือพยานวัตถุที่ประสงค์อ้างอิงและยังอยู่ในความครอบครอง ของตนต่อศาลเพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตรวจสอบ กรณีพยานเอกสารให้ส่งพร้อมสำเนาในจำนวน ที่เพียงพอต่อคู่ความฝ่ายอื่น

4.) จัดทำสารบัญรายการพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ

5.) กรณีคู่ความประสงค์อ้างอิงพยานเอกสารหรือพยานวัตถุที่อยู่ในความครอบครอง ของบุคคลภายนอกให้คู่ความตรวจสอบเอกสารที่มีอยู่ในสำนวนก่อน หากไม่มี ให้ขอศาลมีคำสั่งเรียก พยานหลักฐานนั้นจากผู้ครอบครอง

6.) ยื่นคำแถลงเสนอแนวทางไต่สวนพยานบุคคลที่จะนำเข้าสืบพยานว่ามีจำนวน เท่าใด แต่ละปากเบิกความเพื่อพิสูจน์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงใดโดยย่อ

กรณีที่คู่ความไม่มาในวันนัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานโดยเจ้าพนักงาน คดีหรือไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลดังกล่าว ถือว่าคู่ความมีความพร้อมในการดำเนินกระบวนพิจารณา และไม่มีข้อขัดข้องใด ๆ ศาลจะพิจารณาตรวจพยานหลักฐานไปตามรูปคดีที่ปรากฏในสำนวนและ ตามรายงานของเจ้าพนักงานคดีต่อไป

เมื่อเจ้าพนักงานคดีและคู่ความร่วมกันดำเนินการตรวจสอบและ รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นในกำหนดนัดดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้คู่ความดำเนินการดังต่อไปนี้

1.) ตรวจสอบพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่งและจัดทำคำแถลงยื่นต่อศาลว่ายอมรับ หรือโต้แย้งพยานหลักฐานดังกล่าว หากโต้แย้งให้แสดงเหตุแห่งการโต้แย้งโดยชัดแจ้ง มิฉะนั้นถือว่า ยอมรับพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่ง

2.) ยื่นคำแถลงแนวทางการเสนอพยานหลักฐานในประเด็นที่ยังโต้แย้งกัน ทั้งพยาน วัตถุ พยานเอกสาร พยานบุคคลและหลักฐานอื่นที่คู่ความชี้ช่องประสงค์ให้ศาลกำหนดให้นำเข้าไต่สวน

โดยให้คู่ความจัดทำคำแถลงดังกล่าวข้างต้นยื่นต่อศาลก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ไม่น้อยกว่า 30 วัน เพื่อให้เจ้าพนักงานคดีตรวจสำนวน จัดทำสรุปย่อการกระทำความผิดของจำเลย ทั้ง 9 คน ตามฟ้อง สรุปรายงานการพยานหลักฐานต่าง ๆ ของคู่ความ โดยระบุพยานหลักฐานที่คู่ความ ไม่โต้แย้งกันเพื่อความสะดวกในการที่ศาลจะสอบถามคู่ความ และให้คู่ความรับข้อเท็จจริงหรือ พยานหลักฐานนั้นโดยไม่ต้องสืบพยาน สรุปประเด็นแห่งคดีที่คู่ความโต้แย้งกัน จำนวนพยานบุคคล และความเกี่ยวข้องกับประเด็น ความจำเป็นที่ต้องสืบพยานดังกล่าว และวิธีการได้มาซึ่งพยานหลักฐาน รวมทั้งจัดเรียงลำดับพยานบุคคลที่จะนำเข้าสืบก่อนหลังตามความประสงค์ของคู่ความ รายงานเสนอ ศาลก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 7 พ.ย.นี้ เวลา 09.30 น.ตามที่คู่ความมีวันว่างตรงกัน และให้เบิกตัวจําเลยที่ 1-4 ที่ 6 และที่ 8 มาในวันนัด

สำหรับรายชื่อจำเลย ประกอบด้วย อดีตพระอาจารย์คม อภิวโร หรือ ‘พระวชิรญาณโกศล’ อดีตประธานฝ่ายสงฆ์วัดป่าธรรมคีรี อายุ 39 ปี, นายวุฒิมา หรือ ‘อดีตพระมหาวุฒิมา เถาว์หมอ’ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี อายุ 38 ปี, น.ส.จุฑาทิพย์ ภูบดีวโรชุพันธุ์ อายุ 35 ปี, นายบุญส่ง หรือ ‘อดีตพระมหาบุญส่ง ผ่านภูวงษ์’ อายุ 34 ปี, นายบุณยศักดิ์ ภัทรโกศล, นายบุญเหลือ หรือ ‘พระบุญเหลือ โพธิ์ทอง’ อายุ 37 ปี, นายธนกฤต หรือ ‘อดีตพระธนกฤต ยศสุรินทร์’ อายุ 34 ปี, นายบัณดิษฐ์ หรือ ‘อดีตพระบัณดิษฐ์ ย่อยชา’ อายุ 38 ปี, นายณัฐพัชร์ หรือ ‘อดีตพระณัฐพัชร์’ หรือ ‘เบนซ์ ตั้งใจสนอง’ อายุ 35 ปี

ซึ่งกลุ่มจำเลยได้ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของวัดป่าธรรมคีรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ไปเป็นของตนเอง หรือของผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้วัดป่าธรรมคีรี ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงินจำนวน 182,776,733 บาท

DSI ประสานความร่วมมือ O.U.R. ปฏิบัติการจับกุมเครือข่ายเผยแพร่ภาพลามกอนาจารเด็ก

วันนี้ (วันที่ 14 สิงหาคม 2566) ภายใต้การอำนวยการของพันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจโท พเยาว์ ทองเสน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สั่งการให้ นายเขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ และนายยศสันธ์ เรืองสรรงามสิริ รองผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยี และสารสนเทศ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการส่วนคดีละเมิดทางเพศเด็ก พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันตรวจค้นและจับกุมชายไทย 1 ราย อายุ 19 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีพฤติการณ์โฆษณาขายสื่อลามกอนาจารเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในแพลตฟอร์มไลน์ ในราคาตั้งแต่ 150-500 บาท พบภาพนิ่งและคลิปวิดีโอลามกอนาจารเด็กสวมชุดนักเรียนระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา เป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 5,000 ไฟล์ โดยมีเจ้าหน้าที่ O.U.R. ประสานความร่วมมือในการปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ส่วนคดีละเมิดทางเพศเด็ก ได้ทำการสอบสวนกรณีนี้เป็นคดีพิเศษที่ 37/2566 และได้รวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งยื่นคำร้องต่อศาลออกหมายจับผู้ต้องหารายดังกล่าว และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ที่ห้องพักแห่งหนึ่งในตำบลหลักหก อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี จึงได้แจ้งข้อเท็จจริงให้ทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์แสวงหาประโยชน์ทางเพศจากบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยมีการโฆษณาเชิญชวนให้สมัครเข้ากลุ่มไลน์เพื่อดูสื่อลามกอนาจาร และแสวงหาประโยชน์จากการผลิตและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก  จากนั้นได้แจ้งข้อหาให้ทราบว่าเป็นความผิดฐานครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น, ส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น, เพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ทำผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลาย โดยประการใด ๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก, ประกอบการค้าหรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชนให้เช่าสื่อลามกอนาจารเด็ก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287/1, 287/2 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มาตรา 14 (4),(5) 

ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ได้มีการประสานความร่วมมือกับองค์การ Operation Underground Railroad (O.U.R.) โดยมีการใช้ “ฮิดู” สุนัขปฏิบัติการ ซึ่งเป็น ESD K9 นานาชาติตัวแรกของ O.U.R. ที่ได้รับการฝึกฝนจาก Jordan Detection Training Center ช่วยค้นหาอุปกรณ์เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในสถานที่อีกด้วย ถือเป็นการบูรณาการร่วมกันกับทุกภาคส่วน เพื่อต่อต้านอาชญากรรมการละเมิดทางเพศเด็กและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก 

การแสวงหาประโยชน์เกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็กเป็นอาชญากรรมที่นานาชาติให้ความสำคัญ เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและสิทธิของเด็ก หากผู้ปกครองช่วยสอดส่องพฤติการณ์ของบุตรหลาน จะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะช่วยปกป้องบุตรหลานจากภัยดังกล่าวได้ ทั้งนี้ หากมีข้อมูลหรือเบาะแสเกี่ยวกับละเมิดทางเพศเด็ก หรือมีการเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก สามารถแจ้งมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ โทรศัพท์สายด่วน 1202 (ฟรีทั่วประเทศ) โดยข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสจะถูกเก็บรักษาเป็นความลับ

‘DSI’ สั่งฟ้อง ‘นอท-แทนไท’ พร้อมพวก  ฐานโยงฟอกเงินพนันกว่า 500 ล้าน

(13 ส.ค. 66) จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยกองคดียาเสพติด นำโดย นายพงษธร อินอำนวย ผู้อำนวยการกองคดียาเสพติด และคณะพนักงานสอบสวน ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 6/2566 เกี่ยวกับแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ของ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ ‘นอท กองสลากพลัส’ และบรรดานายทุนของนายพันธ์ธวัช ไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุด นายพงษธร อินอำนวย ผอ.กองคดียาเสพติด และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า สำหรับคดีพิเศษที่ 6/2566 ตนได้มีการประสานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการนับจำนวนสลากลอตเตอรี่ที่ได้ยึดมาจากกองสลากพลัส และตรวจสอบว่าเป็นสลากลอตเตอรี่จริงหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการนับจำนวนของกลาง อีกทั้งเจ้าหน้าที่งานธุรการจะต้องทำการบันทึกลงเลขในเอกสารว่า ลอตเตอรี่จำนวนดังกล่าวนี้มีทั้งหมดกี่ใบ เป็นหมายเลขใด และจากงวดใดบ้าง ซึ่งจำนวนของกลางลอตเตอรี่ที่ได้ตรวจยึดมีประมาณ 10 ล้านฉบับ

ส่วนจำนวนผู้ต้องหาที่คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องมี 4 ราย ประกอบด้วย นิติบุคคล 2 ราย ได้แก่ 1.) บริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด 2.) บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด ส่วนบุคคลอีก 2 ราย คือ 1.) นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กองสลากพลัส และ 2.) นายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด

โดยสั่งฟ้องความผิด 2 ข้อกล่าวหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันและร่วมกันฟอกเงิน ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนเตรียมส่งสำนวนให้พนักงานอัยการคดีพิเศษภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้

นายพงษธร เผยอีกว่า สำหรับสำนวนคดีพิเศษที่ 6/2566 นี้ดำเนินการในส่วนของการขายลอตเตอรี่บนแพลตฟอร์มกองสลากพลัส เพราะจากพยานหลักฐานพบว่าเป็นการจัดให้มีการเล่นพนัน เนื่องจากทางนายพันธ์ธวัช ได้มีการกำหนดราคา เข้าลักษณะการรับกิน - รับจ่ายเอง โดยการเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นองค์ประกอบในการเล่น โดยมีนายแทนไท รับหน้าที่เป็นนายทุนให้ อีกทั้งเมื่อนายแทนไทต้องรับเงินจากนายพันธ์ธวัช เจ้าตัวจะใช้บัญชีธนาคารบริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮล ดิ้ง จำกัด ในการรับเงิน จึงทำให้ทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันในเรื่องเส้นทางการเงินและถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

ส่วนจำนวนเงินที่มีการโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังนายแทนไท พบมูลค่า 200 ล้านบาท ขณะที่เส้นเงินจากนายแทนไทโอนไปยังนายพันธ์ธวัช มีมูลค่า 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายแทนไทก็ยังไม่ได้เงินคืนจากนายพันธ์ธวัช จากการร่วมลงทุนกองสลากพลัส ซึ่งนายแทนไทก็ได้ยื่นเอกสารแจ้งมายังดีเอสไอว่า ได้ดำเนินการฟ้องเรื่องเงินกับนายพันธ์ธวัช แต่พนักงานสอบสวนก็ยืนยันว่าให้พิสูจน์เรื่องนี้ในชั้นศาลแทน เพราะพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ในตอนนี้ พนักงานสอบสวนสามารถใช้พิจารณาจนเห็นสมควรแก่การสั่งฟ้องทั้ง 4 ราย ตามฐานความผิดข้างต้น

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับจำนวนเงิน 200 ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังบัญชีธนาคารของนายแทนไทนั้น นายแทนไทได้เคยเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน โดยชี้แจงว่า เงินจำนวน 200 ล้านบาท ที่ให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินของบริษัท โดยแบ่งเป็น 2 ยอด ได้แก่ 150 ล้านบาท และ 50 ล้านบาท และเป็นการจ่ายผ่านแคชเชียร์เช็ค ส่วนสาเหตุที่ไว้วางใจให้กู้ยืมเงิน เนื่องมาจากฝั่งนายพันธ์ธวัชมีการติดต่อมา เพื่อเสนอแนวทางการทำธุรกิจ อยากได้เงินกู้ รวมถึงนายพันธ์ธวัชยังได้แจ้งว่า จะกู้ยืมเงินเพื่อไปประกอบธุรกิจสลากกินแบ่งออนไลน์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นายพันธ์ธวัชมีกระแสข่าวเกิดขึ้น นายแทนไทได้พยายามบอกยกเลิกสัญญา กระทั่งนายพันธ์ธวัชได้นัดหมายวันที่ 30 ม.ค. 66 เพื่อทำการโอนคืนเงินให้นายแทนไท สำหรับสาเหตุที่นายแทนไทต้องยกเลิกสัญญาเพราะว่าในฐานะนายทุน ก็จะต้องพิจารณาว่านายพันธ์ธวัชและบริษัทฯ จะสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้หรือไม่ เพราะนายแทนไทก็มีความจำเป็นต้องปกป้องเงินทุนของตัวเองด้วย พร้อมกันนี้ ยืนยันว่าเงินที่นายแทนไทให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด ไม่ใช่เงินจากการทำธุรกิจผิดกฎหมายแต่อย่างใด

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2566

‘ประชาธิปไตย’ คือ ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ ‘ประชาชนเป็นใหญ่’ ต้องให้ประชาชนได้รับประโยชน์เต็ม อย่างนั้น จึงจะเป็นประชาธิปไตย ไอ้ประชาชนเป็นใหญ่นั้น มันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ 
ถ้าประชาชน ‘เห็นแก่ตัว’ แล้ว...ฉิบหายหมด!!!

-พุทธทาสภิกขุ-

‘ชัยวุฒิ’ จี้ ตร.ล่าแก๊งแอปฯ ดูดเงิน หลังผู้ประกาศดังสูญเงินนับล้าน ลั่น!! จะพยายามทำให้ดีที่สุด ย้ำความสำคัญ ‘ไซเบอร์ซีเคียวริตี้’

‘ชัยวุฒิ’ จี้ ตำรวจเร่งติดตามแก๊งแอปฯ ดูดเงินมาดำเนินคดี หลังผู้ประกาศข่าวดังสูญเงินนับล้าน รับจะพยายามทำให้ดีที่สุด ย้ำ ไทยมี กม.อายัดบัญชี้ม้าแล้ว ยอมรับเป็นห่วงด้วยสังคมให้สิทธิสูง ไซเบอร์ซีเคียวริตี้จึงสำคัญ มั่นใจ สูญญากาศก่อนจัดตั้งรัฐบาลไม่กระทบแก้ปัญหา

(12 ส.ค. 66) ที่ท้องสนามหลวง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินการช่วยเหลือ เหยื่อ ถูกหลอกลวงทางออนไลน์ กรณีผู้ประกาศข่าวดังสูญเงินกว่า 1 ล้านบาท ว่า ต้องยอมรับว่าคดีหลอกลวงทางออนไลน์มีเยอะจริงๆ ซึ่งช่องทางสื่อสารออนไลน์มีหลายช่องทาง ขอแจ้งเตือนประชาชนเป็นเคสตัวอย่าง ว่าอย่าไปพูดคุยที่หลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ “ไม่มีหรอก ไม่มีใครโทรหาหรอก” แต่ส่วนที่เกิดความผิดพลาดไปแล้ว ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสืบพาคนร้ายกลุ่มนี้มาดำเนินคดี และพยายามดำเนินการดึงเงินคืนมาให้ได้มากที่สุด

ซึ่งวันนี้เรามีกฎหมายเรื่องของการอายัดบัญชีม้าแล้ว ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่สุดท้ายด้วยระบบการเงินที่คล่องตัว และการสื่อสารที่เป็นระบบเปิดกว้าง ในสังคมไทยเราที่ให้สิทธิเสรีภาพสูงก็เป็นห่วงประชาชนจริงๆ ว่าจะโดนหลอกแบบนี้ ทั้งนี้ ขอฝากสื่อมวลชนช่วยเตือนพี่น้องประชาชนว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐคนใด ทุกกรมทุกกระทรวง โทรหาประชาชนเพื่อหลอก เพราะไม่ได้ว่างขนาดนั้น

เมื่อถามว่า ส่วนช่วงสุญญากาศก่อนการจัดตั้งรัฐบาล จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เรื่องของคดี การแก้ไขปัญหาปราบปรามออนไลน์ เป็นเรื่องของตำรวจอยู่แล้ว ซึ่งทำงานร่วมกับธนาคาร, DSI, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคณะทำงานและติดตามเรื่องนี้ตลอด มีการรับแจ้งความออนไลน์และระบบติดตามหลังบ้านอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญคือเรื่องไซเบอร์ซีเคียวริตี้ เพราะแอปฯ ดูดเงินคือการแฮกเข้ามาในมือถือ แต่เราก็ต้องเข้าไปกดลิงค์ก่อน แต่วิธีที่ดีที่สุดระบบจะต้องบล็อกได้ ต้องมีการป้องกัน ซึ่งธนาคารและหน่วยที่เกี่ยวข้องพยายามอัพเดทระบบอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะย้ำว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องไซเบอร์ ซีเคียวริตี้

‘แจ็ค ไรเดอร์-ดีเจคิว’ โร่แจ้งความเอาผิดคลื่นวิทยุดัง หลังเบี้ยวค้างจ้างมา 3 ปี รวมกันประมาณล้านกว่า

(10 ส.ค.66) เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับคลื่นวิทยุชื่อดัง กรณีถูกเบี้ยวค่าจ้างหลักล้านบาท สำหรับ ‘แจ็ค ไรเดอร์’ และ ‘ดีเจคิว ธิติพันธ์’ พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.นครบาลพหลโยธิน 

โดย ‘ดีเจคิว ธิติพันธ์’ เผยว่า "มาแจ้งความดำเนินคดี ในเรื่องของจัดรายการวิทยุ แต่ไม่ได้รับค่าจัดรายการมานานเกือบ 3 ปี ค้างประมาณ 10 เดือน 2 คน รวมกันก็ประมาณล้านกว่า ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2563 ตอนช่วงโควิดตอนนั้นเขาเริ่มค้างจ่าย เพราะเนื่องจากสถานการณ์ เราก็เข้าใจ คิดว่าเดือนต่อไปจะจ่าย แต่ก็ไม่จ่าย จัดมาเป็น 10 ปี แรกๆ มีสัญญา หลังๆ กลายเป็นฟรีแลนซ์ประจำ ไม่ได้มีสัญญาจ้างปีต่อปี เราก็คิดว่าเป็นครอบครัว เราไปถามบัญชีว่าเงินจะออกไหม เขาตอบกลับมาว่าต้องออกด้วยหรอ เรารู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรม พอเราขอเอกสาร เขาเอาพี่แจ็คออก เหลือผมคนเดียว พอผมบอกว่าเราจัดคู่กันนะ เงินของเก่า คุณจะต้องขอเอกสารออกมายอมรับหน่อย แต่เขาไม่ออก ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องยื่นเอกสารฟ้องร้องกับพี่แจ็ค เพราะเราจัดรายการมาด้วยกัน หลักฐานมันมาด้วยกัน"

ด้าน ‘แจ็ค ไรเดอร์’ เผยว่า "เราก็ได้มีการเข้าไปพูดคุย เขาก็ขอลดเงินเดือน 20 เปอร์เซ็นต์ เราก็โอเค เพราะเห็นว่าเป็นครอบครัว เราก็ให้ลด แต่ก็ยังคงค้างจ่ายอีก ที่ผ่านมาได้ทวงกับเจ้านาย แต่ได้รับคำตอบว่า อยากได้ให้ไปฟ้องเอา และสุดท้ายโดนให้ออกจากงานทั้งคู่ และไม่ใช่มีแค่ทั้งสองคนที่โดน พนักงานคนอื่นๆ ที่ทำในบริษัทนี้ก็โดนโกงเหมือนเรา ก่อนหน้านี้มีการดำเนินการทางกฎหมายโดยทนายแล้ว ผมก็แต่งตั้งทนาย และให้ส่งเอกสารไปที่บริษัท เพื่อทวงถามว่าติดค้างกันเท่าไหร่ และขอให้ดำเนินการติดต่อเพื่อชำระ หรือจะตกลงกันอะไรยังไง แต่ว่ามันผ่านไปเกินเวลาที่เรากำหนด มันก็เลยเป็นส่วนที่ทำให้เราต้องเคลื่อนไหวอย่างอื่น ก็เลยเป็นที่มาของวันนี้ ขอพูดแทนทุกคนในบริษัทนี้ที่ออก ทุกคนไม่เคยมีใครได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่จ่ายด้วยตัวเอง ทุกคนต้องขึ้นศาลฟ้องหมด ในส่วนของวันนี้ลักษณะก็คงเป็นการแจ้งเรื่องราวไว้ เป็นการลงบันทึกประจำวัน หลังจากนี้ก็จะเอาเอกสารตัวนี้แนบในคำร้องต่อศาล และก็จะรวบรวมรายละเอียดทั้งหมด เพื่อที่จะฟ้องร้องในศาลแรงงานต่อไป เพราะเคสของเรามันไม่ใช่แค่แพ่ง เพราะเราทำงานให้"

‘ชัยวุฒิ’ ย้ำ กม.ใหม่ ไม่ต้องรอแจ้งความ ให้ธนาคารอายัดบัญชีได้ทันที ลดความเสียหาย

(10 ส.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า  เรื่องการอายัดบัญชีหรือระงับบัญชีม้า เราได้มีการแก้กฎหมายออกเป็นพระราชกําหนดปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งให้อํานาจธนาคารสามารถระงับบัญชีได้เลยเมื่อมีเหตุอันสงสัยว่าเป็นบัญชีม้า หรือมีประชาชนที่โดนหลอกลวงแจ้งไปที่ธนาคาร ทางธนาคารก็ต้องระงับบัญชีเลย เมื่อพูดคุยแล้วสอบถามแล้วเป็นบัญชีม้า มีผู้เสียหายมาร้องเรียน ธนาคารต้องระงับบัญชีเลยตามกฎหมายฉบับใหม่ที่ได้แก้ไขไปแล้ว 

ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่มีผู้ไปร้องและธนาคารไม่ยอมรับอายัดบัญชีนั้น นายชัยวุฒิ ให้ความเห็นว่า คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะถูกต้อง ต้องไปตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับสมาคมธนาคารไทยแล้ว และเข้าใจว่าทางธนาคารทุกแห่งก็ทราบแล้วก็มีการปรับปรุงระบบการทํางานให้มีการรับแจ้งความหรือรับเรื่องร้องเรียน เพื่อจะได้ระงับบัญชีม้าได้เลย โดยไม่ต้องมาดําเนินคดีหรือแจ้งตํารวจก่อนไประงับบัญชีที่ธนาคาร ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดึงเงินกลับมาได้มากที่สุด พูดง่าย ๆ ก็เพื่อไม่ให้บัญชีเหล่านี้ไปสร้างความเสียหายให้ประชาชนต่อไปนั่นเอง

“ผมคิดว่า ธนาคารทุกธนาคารทราบและมีระบบรองรับอยู่แล้ว ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวจะไปตรวจสอบอีกครั้ง แต่อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดถึงก็คือเรื่องของ ประชาชนที่ได้รับ link ส่ง link ส่งไลน์ โทรมาคุยจากมิจฉาชีพที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นกรมโน้นกรมนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ หรือบางทีก็อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือส่งอีเมลมาก็ตาม ผมก็ฝากเตือนทุกคน ว่าอย่าไปเชื่อ เจ้าหน้าที่และหรือหน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีใครโทรหาประชาชนเพื่อไปให้ทําธุรกรรมต่าง ๆ ถ้ามีก็จะติดต่อไปเป็นเอกสารหรือเป็นอะไรต่าง ๆ แล้วให้ท่านพยายามติดต่อธนาคารทําธุรกรรมต่าง ๆ ทุกเรื่อง ให้เข้าไปที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารหรือของหน่วยงานนั้นโดยตรง อย่าไปติดต่อผ่านคนที่โทรมาหาท่าน เพราะในความเป็นจริงไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนของหน่วยงานรัฐโทรไปหาประชาชน มีแต่เป็นคนร้ายทั้งนั้น ไม่ต้องไปคุยไม่ต้องไปฟังเลย เสียเวลา แล้วก็อาจจะโดนหลอกด้วย

อย่างไรก็ดี จากในข่าวที่มีเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลกรมที่ดิน ในส่วนนี้เป็นเรื่องสำคัญที่หน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA ของกระทรวงดิจิทัลฯ จะเข้าตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลจริงหรือไม่ หรือเป็นเรื่องของพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินนำข้อมูลไปขายซึ่งการกระทำดังกล่าว ถือว่ามีความผิด ฝากเตือนยังเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่เก็บข้อมูลประชาชนต้องเก็บให้ดี อย่านำข้อมูลไปขายจะมีโทษมีความผิด และจะต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

‘รมว.เฮ้ง’ สั่งกวาดล้างต่างชาติแย่งงานคนไทย เร่ขายสินค้า ย่านอนุสาวรีชัยฯ - ซอยอารีย์

(10 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีพบข้อร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนว่ามีแรงงานต่างชาติเข้ามาประกอบอาชีพเร่ขายสินค้า ทั้งรถเข็นขายสินค้าบนฟุตบาท และมอเตอไซค์พ่วงข้าง ย่านอนุสาวรีชัยสมรภูมิ และซอยอารีย์ เป็นจำนวนมากนั้น กระทรวงแรงงานขอย้ำเตือนอีกครั้งว่างานเร่ขายสินค้า เป็นอาชีพที่คนต่างชาติห้ามทำโดยเด็ดขาด ซึ่งระบุไว้ในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ หลังทราบเรื่อง ตนไม่นิ่งนอนใจได้มอบหมายให้กรมการจัดหางานลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อดำเนินคดีคนต่างชาติที่ทำงานผิดกฎหมายแย่งอาชีพคนไทย 

“งานที่ห้ามแรงงานต่างด้าวทำมีทั้งสิ้น 40 งาน แบ่งเป็น งานที่ห้ามทำเด็ดขาด 27 งาน และงานที่ให้คนต่างด้าวทำได้โดยมีเงื่อนไข 13 งาน ซึ่งงานเร่ขายสินค้า อยู่ในบัญชีที่ 1 งานที่ห้ามทำเด็ดขาด หากตรวจพบการฝ่าฝืนกฎหมาย คนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ และนายจ้าง/สถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาทต่อคน ต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาทต่อคน ต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานรับข้อสั่งการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจสอบย่านอนุสาวรีชัยสมรภูมิ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ผ่าน จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน พบว่าบริเวณดังกล่าวมีร้านค้าแผงลอย และรถเข็นผลไม้ที่มีคนลักษณะคล้ายคนต่างชาติกำลังทำงานอยู่ จำนวน 4 ร้าน จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบเอกสารหลักฐาน พบนายจ้างกระทำความผิดรับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน จำนวน 2 ราย และคนต่างชาติกระทำความผิด จำนวน 5 คน ประกอบด้วยสัญชาติเวียดนาม 2 คน สัญชาติลาว 2 คน และสัญชาติกัมพูชา 1 คน ในจำนวนนี้  3 คน มีเอกสารการเข้าเมืองถูกต้องแต่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และอีก 2 คน ไม่มีเอกสารใด ๆ มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพญาไท เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ หากพบเห็นการจ้างคนต่างชาติทำงานโดยผิดกฎหมาย หรือพบคนต่างชาติลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย โปรดแจ้งเบาะแสมาที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน อาคารกระทรวงแรงงาน ชั้น 4 โทร. 023541729 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วน 1694 กรมการจัดหางาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

น.1 สั่งสืบทั่วกรุงไล่ล่ากว่า 14 วัน…รวบแจ๊คนักอนาจาร ลวนลามเด็กนักเรียนกว่า 7 ราย

หวาดผวาทั่วกรุงเทพฯแก่นักเรียนหญิง ครู และ ผู้ปกครองของเด็กเมื่อได้เกิดเหตุ “ไอ้หื่น” ไล่ตระเวน อนาจาร ลวงลามเหล่าเด็กหญิงที่อยู่ตามถนนสาธารณะโดยแผนประทุษกรรมของคนร้ายรายนี้จะคัดเลือกเหยื่อที่ “สวมชุดนักเรียน” และกำลังเดินทางไปโรงเรียน ก่อนทำทีถามทางเมื่อเหยื่อหยุดคุยเฟสทูเฟส จะทำทีเข้าใกล้แล้วใช้มือ “จ้วง” เข้าไปที่บริเวณอวัยวะเพศของเหยื่อ  พบก่อเหตุพื้นที่ นางเลิ้ง บางรัก  สำราญราษฏร์ และปทุมวัน พล.ต.ท.ธิติ  แสงสว่าง ผบช.น. สั่ง พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.นำทัพ สืบนครบาล , สืบ บก น 1 , สืบ บก น.6 ไล่ล่าพลิกแผ่นดิน จนรวบนายแจ๊ค คนชาวนครปฐม อ้างทนต่อการสัมผัสเสียงและกลิ่นตัวของเด็กสาวในชุดนักเรียนไม่ไหว

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พล.ต.ต.อัฎพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ศักยะ แสงวรรณ รอง ผบก.น.1 , พ.ต.อ.สมบูรณ์ สุขศรีดาวเดือน ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วิชัย สนสกุล ผกก.สส.บก.น.1 , พ.ต.อ.เชิดศักดิ์ รอดเข็ม ผกก.สส.บก.น.6  พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.เอกยุทธ อดิสร สว.กก.สส.บก.น.1  บูรณาการกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายจิรายุส  หรือแจ๊ค อายุ 35 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 38 หมู่ 5 ต.วังเย็น อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ผู้ต้องหา

โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน "กระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม"

ตามหมายจับดังนี้

1.หมายจับศาลอาญาที่ 2435/2566 ลงวันที่ 31 ก.ค.2566  โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน "กระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม"
2.หมายจับศาลอาญา ที่ 2436/2566 ลงวันที่ 31 ก.ค.2566  โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน "กระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม"
3.หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 706/2566 ลงวันที่ 7 ส.ค.2566 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน "กระทำอนาจารแก่บุคคลกว่าสิบห้าปีโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้"
4.หมายจับศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ที่ จ.77/2564 ลงวันที่ 30 มิ.ย.64 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน "ยักยอกทรัพย์"
โดยจับกุมตัวได้ที่ หน้าบ้านเลขที่ 122 หมู่ 8 ต.หนองดินแดง อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม

พบประวัติก่อเหตุอนาจารลักษณะเดียวกัน เบื้องต้น 7 ครั้ง คือ

1.พื้นที่ สน.สำราญราษฎร์ วันที่ 6 ก.ค เวลา 06.25 น. บริเวณหลังสวนรมย์มณีนาท
2.พื้นที่ สน.บางรัก วันที่ 6 ก.ค.66 เวลา 06.45 บริเวณถนนนครไท
3.พื้นที่ สน.บางรัก วันที่ 6 ก.ค.66 เวลา 06.50 น. บริเวณถนนนครไท
4.พื้นที่ สน.นางเลิ้ง วันที่ 18 ก.ค เวลา 07.20 น. บริเวณแยกวันชาติ หน้าร้านแพต คาเฟ่โบราณ
5.พื้นที่ สน.นางเลิ้ง วันที่ 26 ก.ค. เวลา 07.41น. บริเวณแยกวันชาติ หน้าป้ายรถเมล์
6.พื้นที่ สน.ปทุมวัน วันที่ 26 ก.ค. เวลา 09.15 น. บริเวณประตู รร.เตรียมอุดม
7.พื้นที่ สน.นางเลิ้ง 
 
พฤติการณ์กล่าวคือ เป็นที่ “หวาดผวา” ให้กับเหล่าผู้ปกครองของเด็กนักเรียนหญิงในเมืองกรุง เมื่อได้เกิดเหตุ “ไอ้หื่น” ไล่ตระเวนอนาจาร และลวงลามเหล่าเด็กนักเรียนหญิงที่อยู่ตามท้องถนน โดยแผนประทุษกรรมของคนร้ายรายนี้จะคัดเลือกเหยื่อที่ “สวมชุดนักเรียน” และกำลังเดินทางไปโรงเรียน ก่อนทำทีถามทางเมื่อได้ เฟสทูเฟส จะทำทีเข้าใกล้เพื่อสัมผัสเสียงและกลิ่นตัวของเด็กสาว ก่อนใช้มือ “จ้วง” เข้าไปที่บริเวณอวัยวะเพศของเหล่าเด็กหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อ ก่อนใส่เกียร์หมาวิ่งหนีหายไป ทิ้งให้เหยื่อยืนอึ้งกับการกระทำสุดอุบาทว์ของคนร้ายรายนี้ ซึ่งจากข้อมูลในเบื้องต้นในห้วงเดือน ก.ค. 66 ที่ผ่านมา ไอหื่นรายนี้ออกอาละวาดก่อเหตุไปแล้วไม่ต่ำกว่า “7 คดี” ในพื้นที่ จ.กรุงเทพฯ ซึ่งยังมีเด็กสาวอีกหลายรายที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดีเพราะอับอาย ซึ่งต่อมาวีรกรรมระยำใจของไอหื่นรายนี้ได้มีการส่งต่อในโลกโซเชี่ยล ซึ่งก็ได้ถึงหูของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ไม่รอช้าเร่งส่งชุด “สืบนครบาล” และ “สืบ1” สืบ 6 และ สืบ สน.นางเลิ้ง  สนธิกำลังสืบสวนหาตัวไอหื่นรายนี้ ซึ่งใช้เวลากว่า 2 สัปดาห์ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.  ส่ง พ.ต.อ.สมบูรณ์ สุขศรีดาวเดือน ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น.  พ.ต.อ.วิชัย สนสกุล ผกก.สส.บก.น.1 ,พ.ต.อ.เชิดศักดิ์ รอดเข็ม ผกก.สส.บก.น.6 และทีมสืบสวนได้ทราบว่าคนร้ายคือ นายจิรายุส  ผมหอม อายุ 35 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.นครปฐม ซึ่งข้อมูลทางการสืบสวนทำให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนถึงกับอึ้ง เพราะที่พักของคนร้ายอยู่ที่ จ.นครปฐม แต่เจ้าตัวจะ “ดั้นด้น” มาที่ จ.กรุงเทพฯ ในทุกเช้าด้วยความหื่นกระหาย เพื่อมาก่อเหตุล้วงอนาจารเด็กนักเรียนหญิงลักษณะนี้เป็นประจำ ต่อมาชุดไล่ล่าตามรอยเท้าเบาะแสไปจนกระทั่งไปจับกุมตัวได้ที่ บ้านเลขที่ 122 หมู่ 8 ต.หนองดินแดง อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม

ในชั้นจับกุม นายจิรายุส ผมหอม ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองยอมรับว่าเกิดอารมณ์เวลาที่ขึ้นรถเมล์แล้วได้เบียดเสียดกับเหล่าเด็กนักเรียนหญิง และยิ่งชุดนักเรียนมีลักษณะรัดแน่นแนบเนื้อยิ่งเพิ่มความหื่นกระหายให้ตัวเอง โดยเมื่อได้สนทนากับเด็กหญิงนักเรียน ร่างกายใกล้กันสัมผัสถึงกลิ่นเด็กสาวยิ่งทำให้อารมณ์ถึงขีดสุด จึงลงมือล้วงไปที่อวัยวะเพศของเหล่าเด็กหญิงก่อนจะวิ่งหนี โดยอ้างว่าที่ตนทำไปนั้นเพราะป่วยทางจิตและไม่ได้รับการรักษา” หลังการจับกุมได้นำตัวนำส่ง พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ดำเนินคดีตามกฎหมาย

โดยในวันที่ 9 สิงหาคม 2566 เวลา 10.30 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. จะร่วมซักถามผู้ต้องหา และสังเกตการณ์กรณีนักเรียนหญิงผู้เสียหายจำนวนหลายคนชี้ยืนยันตัวคนร้าย ณ. สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง 

‘ดีเจแมน’ วืดประกันรอบ 2 หลังแม่ยื่นโฉนด-แคชเชียร์เช็ครวม 4 ลบ. แต่ศาลไม่อนุมัติปล่อยตัวชั่วคราว ชี้!! เป็นคดีร้ายแรง หวั่นหลบหนี

เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นางพิมพ์แข กุญชร มารดา และน้าชายของนายพัฒนพล กุญชร หรือ ‘ดีเจแมน’ หนึ่งในจำเลยคนสำคัญคดีฉ้อโกงแชร์ ‘Forex 3D’ หมายเลขดำ อ.989/2566 ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างย่านพระโขนง ราคาประเมิน 1.3 ล้านบาทเศษ และแคชเชียร์เช็คมูลค่า 3 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราวนายพัฒนพล ระหว่างพิจารณา

อย่างไรก็ตามศาลพิเคราะห์ แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยมาแล้ว โดยชี้แจงเหตุผลชัดเจน กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 พ.ค.66 ภายหลังที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ยื่นฟ้อง ดีเจแมน และ ‘ใบเตย – สุธีวัน กุญชร’ ภรรยา นักร้องชื่อดังพร้อมพวก เป็นจำเลยต่อศาลอาญาแล้ว มารดาดีเจแมนได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นเงินสด 1 แสนบาท ขอประกันตัว และเสนอขอติด EM ส่วนใบเตย มีน้องชายของใบเตย ยื่นเงินสด 5 ล้านบาท และขอติด EM ขอปล่อยชั่วคราวเช่นกัน

ทั้งนี้ ศาลอาญาพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าจำเลยถูกฟ้องว่าร่วมกับพวกกระทำความผิดหลายกรรม ลักษณะการกระทำเป็นขบวนการอันมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก ส่งผลเสียเป็นวงกว้าง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ยกคำร้อง ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวดีเจแมนไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนใบเตย สุธีวัน ถูกควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง

สำหรับคดีฉ้อโกงแชร์ ศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายวันที่ 11 ก.ย.นี้ โดยมี ‘นายแดริล ยังฮุน ไช’ ชาวสิงคโปร์ สามี ‘ซาร่า คาซิงกินี’ ภรรยา นางแบบชื่อดังร่วมเป็นจำเลยด้วย

'ผบ.ตร.' เตือนม็อบทุกคนมีสิทธิชุมนุมได้ แต่ต้องอยู่ใต้กรอบ กม. ชี้!! การดูแลประชุมเอี่ยวตั้งรัฐบาลหนหน้า เข้มงวดมากขึ้น

(8 ส.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมไปทำกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ว่า เท่าที่ได้รับรายงานกลุ่มทะลุวังที่ไปกระทรวงวัฒนธรรมผิดหลายข้อหา โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมได้มาเป็นผู้กล่าวหาแล้ว ในเรื่องบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ซึ่งมีอัตราโทษสูง ตำรวจได้ดำเนินคดีอยู่ ได้ออกหมายเรียกและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวานนี้ (7 ส.ค.66) ทราบว่า จะมีการมากล่าวหาดำเนินคดีซึ่งข้อหาก็คงคล้าย ๆ กัน คือบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ใครที่เคยได้รับการประกันตัว หรือทำผิดซ้ำซากก็มีโอกาสที่จะถูกเพิกถอนประกัน จึงอยากจะเตือนว่าสิทธิการชุมนุม ทุกคนมีสิทธิที่จะชุมนุมได้แต่ว่าต้องชุมนุมอยู่ในกรอบกฎหมาย อย่าถือว่าท่านไม่รับรู้อะไรแล้วมาโวยวายทีหลังว่าอะไรเป็นสิทธิของประชาชน ไม่ได้ อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด จึงอยากเตือนว่าทุกคนมีกรอบกฎหมายเท่ากัน แต่ละครั้งที่ทำเท่ากับความผิด 1 กรรม

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า บางคดีหากเป็นความผิดเสียหายต่อรัฐ ตำรวจก็สามารถดำเนินคดีได้เลย บางข้อหาตำรวจสามารถดำเนินคดีได้อยู่แล้วแต่หน้างานหากเหตุไม่รุนแรงมาก อาจจะหลีกเลี่ยงการจับกุมซึ่งหน้า หากจำเป็นก็ต้องจับกุมซึ่งหน้า เป็นไปตามแนวทางที่เคยดำเนินการไว้ ทุกคดีเราจะดำเนินคดีย้อนหลังจึงอยากจะเตือนว่าทำอะไรให้คิดถึงหลักกฎหมายด้วย

เมื่อถามผู้สื่อข่าวถามถึงการกระทำผิดซ้ำ? พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลหรืออัยการที่จะต้องพิจารณาหลักฐานว่าเห็นควรสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องตำรวจจะทำตามหน้าที่ของตำรวจไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อยากฝากเตือนน้อง ๆ ว่าความเห็นต่างเป็นสิทธิแต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย ชุมนุมก็เป็นสิทธิที่จะชุมนุมได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญแต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายหากไปรบกวนหรือเข้าไปปิดกั้นอะไรต่าง ๆ เป็นการเข้าข่ายกระทำผิดฐานบุกรุกหรือการรบกวนการครอบครองสิทธิ์

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผู้ทำกิจกรรมที่ติดเงื่อนไขกับศาลตำรวจจะพิจารณาดำเนินการอย่างไร? พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวตอบว่า จะเสนอต่ออัยการ ซึ่งจะเสนอทั้งหมด เพราะกฎหมายเท่าเทียมกัน ใครที่เคยทำผิดซ้ำก็ต้องพิจารณา หากยังมีการกระทำผิดอย่างต่อเนื่องก็ต้องดำเนินการไปตามวิธีการของเรา 

เมื่อถามถึงมาตรการการดูแลความเรียบร้อยหลังจากนี้? พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวตอบว่า ทุกพื้นที่ทราบอยู่แล้วว่าอะไรมีโอกาสที่จะเกิดเหตุในแต่ละพื้นที่จะต้องมีมาตรการรองรับในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นอยู่ในพื้นที่ของกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) ทางผบก.น.1 ได้วางกรอบอยู่แล้วว่าพื้นที่ไหนจะมีม็อบจะต้องมีแผนรองรับไว้ทั้งหมด

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์เมื่อวานนี้ทางบก.น.1 จะต้องประเมินสถานการณ์เพิ่มเติมหากมีการประชุมหรือมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการตั้งรัฐบาลจะต้องเตรียมมาตรการให้เข้มงวดมากขึ้น ตำรวจทำงานตามการข่าวอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มดังกล่าวก็เป็นกลุ่มที่มีการเฝ้าระวังอยู่แล้ว 

ตำรวจไซเบอร์ ตัดวงจรค้ากามเด็กผันตัวจากผู้ขายเป็นนายหน้า นำเด็ก ๑๔ ค้าบริการ ผ่านทวิตเตอร์

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ต่าง ๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนให้ถึงต้นตอของขบวนการอย่างจริงจัง

สืบเนื่องจากกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. ได้รับแจ้งจาก 
มูลนิธิพิทักษ์สตรี (Alliance Anti Trafic หรือ AAT) กรณีพบการโพสต์ลักษณะเชิญชวนให้ซื้อบริการทางเพศ ในพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร โพสต์โดยผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ที่มีชื่อว่า you @you๐๙๖๕๔๓ โดยให้ QR Code สำหรับเพิ่มเพื่อนไว้เป็นช่องทางสำหรับติดต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้สายลับสแกน QR Code จากทวิตเตอร์ เพื่อใช้ในการติดต่อผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ จากนั้นจึงได้รับข้อมูลจากนายหน้าว่ามีหญิงสำหรับขายบริการ ในราคา ๑,๑๐๐ บาท และมีการส่งภาพหญิงขายบริการดังกล่าวมาให้จำนวน ๔ ภาพ โดยเงื่อนไขต้องมีการโอนมัดจำก่อนใช้บริการจำนวน ๒๐๐ บาท โดยโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารออมสินของ น.ส.เอ (นามสมมติ) ส่วนอีก ๙๐๐ บาท นัดจ่ายหลังจากส่งหญิงขายบริการที่โรงแรม โดยได้ข้อมูลจากหญิงขายบริการว่าได้รับส่วนแบ่ง ๖๐๐ บาทต่อครั้ง จากนายหน้าหรือผู้เป็นธุระจัดหา

ต่อมาวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ พ.ต.ท.วิสุทธิ์  ขุนพิลึก สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท., พ.ต.ท.วิเชียร  คำชุมภู สว.ฯ, พ.ต.ท.ธนพงศ์ธัช  อ่อนชูเหมรัต สว.ฯ, พ.ต.ต.เขมอธิษฐ์  ทองคำ สว.ฯ, ว่าที่ ร.ต.ท.ชัยวัฒน์  ตั้งใจเพียร รอง สว.ฯ  พร้อมชุดสืบสวน ร่วมกับ ศพดส. ภ.๖, กก.สส.ภ.จว.พิษณุโลก, กก.สส.ภ.จว.กำแพงเพชร และ สภ.เมืองกำแพงเพชร เข้าดำเนินการจับกุม โดยเมื่อเวลา ๐๙.๒๗ น. สายลับตกลงใช้บริการและได้โอนเงินมัดจำเป็นจำนวนเงิน ๔๐๐ บาท เข้าบัญชีผู้ต้องหา จากนั้นเวลา ๑๓.๐๐ น. จึงนัดหมายส่งตัวหญิงสาวผู้ขายบริการที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในตำบลนครชุม จังหวัดกำแพงเพชร และส่งมอบเงินส่วนที่เหลือจำนวน ๔,๐๐๐ บาท

ต่อมาเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. น.ส.เอ (นามสมมติ) ขับ รถจักรยานยนต์ Honda Wave I สีน้ำเงินดำพาหญิงสาวผู้ขายบริการที่นัดหมายไว้มาส่งให้กับสายลับเข้ามาภายในโรงแรม ที่ห้องพักหมายเลข ๐๑, ๐๒, ๐๓ และ ๐๔ สายลับจึงได้ชำระเงินส่วนที่เหลือให้กับ น.ส.เอ (นามสมมติ) ภายในห้องพักหมายเลข ๐๑ เป็นเงินจำนวน ๔,๐๐๐ บาท เมื่อ น.ส.เอ (นามสมมติ) รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว จึงออกมาจากห้องหมายเลข ๐๑ เดินออกมาบริเวณถนนหน้าห้องเตรียมที่จะขี่รถจักรยานยนต์กลับไป เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้แสดงตัวและเชิญตัว น.ส.เอ (นามสมมติ) และหญิงสาวผู้ขายบริการทางเพศมาตรวจสอบข้อมูลบุคคลที่ สภ.เมืองกำแพงเพชร

จากการตรวจสอบข้อมูลบุคคลหญิงสาวผู้ขายบริการทางเพศ ทราบชื่อ ด.ญ.บี (นามสมมติ) อายุ ๑๔ ปี, ด.ญ.ซี(นามสมมติ) อายุ ๑๕ ปี และ น.ส.ดี (นามสมมติ) อายุ ๑๖ ปี จึงได้ประสาน เจ้าหน้าที่ พม. เข้าร่วมคุ้มครองคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยทีมสหวิชาชีพ ได้ร่วมกันสัมภาษณ์เด็กหญิงผู้ขายบริการทางเพศและมีการประชุมร่วมกันระหว่าง เจ้าหน้าที่ พม., พนักงานสอบสวน และเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม ผลการประชุมมีความเห็นว่าผู้ให้สัมภาษณ์ ราย ด.ญ.บี , ด.ญ.ซี และ น.ส.ดี เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ 

จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและร่วมกันจับกุม น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ ๑๖ ปี อาศัยอยู่ ต.ในเมือง อ.เมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร ความผิดฐาน “กระทำการค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี, เป็นธุระจัดหาล่อไปหรือชักพาไปซึ่งบุคคลใด เพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี แม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม, เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิง แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม, ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด”

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท., พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทาง อินเทอร์เน็ต บก.ตอท. สั่งการ พ.ต.ท.วิสุทธิ์ ขุนพิลึก สว.ฯ, พ.ต.ท.วิเชียร คําชุมภู สว.ฯ, พ.ต.ท.ธนพงศ์ธัช อ่อนชูเหมรัต สว.ฯ, พ.ต.ต.เขมอธิษฐ์  ทองคำ สว.ฯ พร้อมทีมสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘สืบนครบาล’ รวบ ‘เอส คอลาย’ ลักพาตัวลูกเลี้ยงวัย 12 ปี บังคับเสพยาก่อนข่มขืน ล้างสมองให้เกลียดแม่

(7 ส.ค. 66) พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ปฏิบัติการที่ 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ, ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น สืบสวน 110 โดย ร.ต.อ. มนตรี เฉลิมวัฒน์, ร.ต.อ. จิรศักดิ์ ว่องไว, ร.ต.อ. ชัยวิทย์ หาญญ์สุวรรณนทีวิทย์, ร.ต.ท. อนันตชัย สัจจพงษ์, ร.ต.ท. เดชาธร ชมศิริ, ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุด PCT5, สืบนครบาล และเหล่านักเรียนอบรมหลักสูตรสืบสวนคดีอาญา รุ่นที่ 110 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัวนายวีรยุทธ แสนชัย หรือ ‘เอส คอลาย’ อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ 113/2566 ลงวันที่ 25 พ.ค. 66 ข้อหา ‘ความผิดเกี่ยวกับเพศ’ จับกุมตัวได้ที่ ภายในซอยตลาดวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย จ.กรุงเทพฯ จับกุมตัวเมื่อ 6 ส.ค. 66 เวลาประมาณ  10.50 น. ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากชุดสืบสวนนครบาล สืบทราบว่า นายวีรยุทธ แสนชัย หรือ ‘เอส คอลาย’ เดนทรชรในคราบ ‘พ่อเลี้ยง’ ก่อเหตุลูกติดเด็กหญิงอายุ 12 ปี และครอบครัว หลังคบกับแม่ของเด็กหญิงดังกล่าวตั้งแต่ปี 2562 แม่เด็กสังเกตเห็นพฤติกรรมลูกสาวมีสนิทสนมกับสามีมากเกินกว่าพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง มีการหยอกล้อในเชิงชู้สาวกับลูกเลี้ยงดังกล่าวอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งปี 2565 พาลูกเลี้ยงไปอยู่แบบสามีภรรยา ล้างสมองให้เกลียดแม่ตัวเอง ให้ลาออกจากโรงเรียน และให้ตกเป็นธาตุกามอารมณ์ของตนเองโดยไม่สนอนาคตของเด็กแต่อย่างใด ไม่เรียนหนังสือและออกเร่ร่อนไปกับพ่อเลี้ยงดังกล่าว ล่าสุดเดนทรชนรายนี้ได้พาตัวเด็กหญิงออกไปจากบ้านอีกครั้งและพาไปเร่ร่อนบังคับเสพยาเสพติดและลงมือกระทำชำเรา

ผู้เป็นแม่ทราบเรื่องถึงกับใจสลาย ทั้งพยายามติดต่อ ตามหา แต่พ่อเลี้ยงเดนทรชนก็ยังนำโทรศัพท์มือถือของเด็กหญิงดังกล่าวแต่กลับไปขายเพื่อนำมาซื้อยาเสพติดเสพ แม่ไร้ทางออกโพสต์ข้อความประกาศตามหาลูกจนกลายเป็นไวรัล ซึ่งประชาชนต่างช่วยกันแชร์และติดตาม ซึ่งเรื่องนี้ก็ถึงหู พล.ต.ต.ธีรเดช หรือ ผู้การจ๋อ รายงานให้ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศอ.ปส.ตร.ทราบ พร้อมส่งมือดีชุดสืบนครบาล และสืบ 110 ติดตามไล่ล่าเดนทรชนรายนี้ทันที โดยทราบเพียงเบาะแสว่า เดนทรชนรายนี้ได้พาเด็กหญิง มาเสพยาภายในชุมชนแห่งหนึ่งย่านธนบุรี

พล.ต.ต.ธีรเดช ส่งกำลังลงพื้นที่ชุมชนต้องสงสัยแบบราบเป็นหน้ากลอง แต่ด้วยสมรภูมิที่คนร้ายได้เปรียบจึงสามารถหลบหนีชุดสืบสวนไปได้ทันควัน เล่นเอาชุดสืบสวนต้องคว้าน้ำเหลวในค่ำคืนแรก หากแต่ชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งกับอีกหนึ่งครอบครัวที่เฝ้ารอความหวังจากเจ้าหน้าที่ ชุดสืบสวนไล่ล่าติดตามร่องรอยเดนทรชนจนพบเบาะแสจากพลเมืองดีรายหนึ่งในตลาดวังหลังซึ่งเห็นคนร้ายเดินกับเด็กหญิงสาวโดยเด็กผู้หญิงมีบาดแผลตามร่างกายจนกระทั่งไปจับกุมตัวได้ที่ ตลาดวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย จ.กรุงเทพฯ และสามารถช่วยเหลือเด็กหญิงดังกล่าวได้ก่อนจะถูกคนร้ายพาหนีลงไปทางภาคใต้ และจากการตรวจสอบประวัติต้องโทษคดีอาญา 13 คดี เช่น เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1, ครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1, ลักทรัพย์, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน, ชิงทรัพย์, วิ่งราวทรัพย์ และกระทำพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร

จากการสอบสวนนายเอส คอลาย ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองลงมือกระทำชำเราลูกเลี้ยงวัย 12 ปี จริง โดยกระทำโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย และตนได้ไปต่ออวัยวะเพศของตนเองมา เมื่อเวลามีเพศสัมพันธ์ลูกจะบอกว่าเจ็บตลอด และที่ทำไปเพราะความรัก ตอนแรกแค่แอบชอบ แต่พอพูดคุยแหย่กันไปมาก็เริ่มมีความรู้สึกรัก ตอนนี้ไม่ได้รักแม่ของเด็กแล้ว แต่มารักเด็กแทน โดยที่ผ่านมาตนเองเคยถูกจับกุมตั้งแต่วัยเด็ก โดยรวมทั้งหมดถึงปัจจุบันกว่า 13 ครั้ง ในข้อหา เสพยาบ้า, ครอบครองยาบ้า, ครอบครองยาไอซ์, ขับเสพฯ, ร่วมกันชิงทรัพย์ ชิงโทรศัพท์มือถือเด็กนักเรียน, ลักทรัพย์, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน, ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์, พรากผู้เยาว์อายุ 13 ปี ไปเพื่อการอนาจารฯ และล่าสุดโดนข้อหา อนาจารเด็กและอยู่ระหว่างการประกันตัว ตนเองได้ถูกติดกำไร EM แต่ได้ถอดทิ้งไปเพื่อหลบหนีจะไม่ไปฟังคำพิพากษาของศาล เพราะไม่พร้อมที่จะติดคุก ฝากขอโทษครอบครัวของลูกเลี้ยง ทำให้เกิดเป็นปมด้อยเป็นตราบาปกับเด็ก และยอมรับว่าไม่ได้ไปทำแบบนี้กับเด็กคนอื่นอีกแน่นอน หากเจ้าหน้าที่เผยแพร่ใบหน้าตนไปแล้วมีเหยื่อมาชี้ยืนยัน ยินดีให้เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้เลย”

ต่อมาตำรวจได้นำตัวนำส่งศาลอาญาธนบุรีเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทางด้านพล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ประวัติคนร้ายรายนี้ถือว่าโชกโชนมากไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด, ชิงทรัพย์, อนาจาร ยาวเป็นหางว่าว เป็นภัยสังคม และจากแผนประทุษกรรมในคดีล่าสุดนี้เรียกได้ว่าไม่เหลือศีลธรรมในจิตใจ กระทำกับเด็กผู้หญิงวัยเพียง 12 ปีที่เป็นลูกเลี้ยงของตนเองได้ และที่ผมรับไม่ได้คือการบังคับให้เด็กเสพยาเสพติดก่อนลงมือกระทำชำเราเด็ก ผมไม่ต้องการให้คนเช่นนี้เพ่นพ่านในสังคม จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชน หากพบว่าบุตรหลานของท่านเคยตกเป็นเหยื่อ หรือมีแนวโน้มที่จะถูกคนร้ายรายนี้กระทำมิดีมิร้าย โปรดแจ้งเบาะแสมาที่เราทางเพจเฟซบุ๊ก สืบนครบาล IDMB เรามีเจ้าหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง และแม้จะไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ แต่หากเป็นความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ สงสว่าง ผบช.น.

‘ตร.’ แยกสอบ 2 ผัวเมียเจ้าของโกดังพลุระเบิด จ.นราฯ เผย ทั้งคู่มีอาการวิตกกังวล ทั้งยอมรับทั้งปฏิเสธ

(6 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี นายสมปอง และ น.ส.ปิยุนุช สามีภรรยา เจ้าของโกดังเก็บดอกไม้ไฟ หมู่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ได้เกิดระเบิดขึ้นสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนของประชาน รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 คนถูกจับกุมตัวได้ที่ด่านสะเอดา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หลังหนีไปประเทศมาเลเซีย ก่อนนำตัวมาสอบปากคำ

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.อ.สุธน สุขวิเศษ รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส และพนักงานสอบสวน ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ได้เบิกตัว 2 สามีภรรยา แยกกับสอบปากคำ โดยมีทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งนั่งร่วมสังเกตการการสอบปากคำ 2 สามีภรรยาอย่างใกล้ชิด

ซึ่งคำให้การของ 2 สามีภรรยา โดยภาพรวมยอมรับในบางข้อกล่าวหา และปฏิเสธไม่รู้เห็นในบางข้อกล่าวหา ซึ่งทั้ง 2 คน อยู่ในอาการวิตกกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่การถูกจับกุมดำเนินคดี และการสอบสวนในครั้งนี้หากยังไม่ครบถ้วนกระบวนการภายใน 48 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จะส่งตัวผลัดฟ้องฝากขัง

ส่วนกรณีเหตุการณ์คาร์บอมบ์ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก เมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.อนุรุธ กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิด ที่มีการกล่าววิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา และการระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ได้รับความเสียหายนั้น เป็นความโชคดีที่คนร้ายได้ซุกซ่อนระเบิดไว้ในรถเก๋ง จำนวน 2 ถัง แต่เกิดระเบิดขึ้นเพียง 1 ถัง ส่วนอีก 1 ถัง กระเด็นออกมาจากตัวรถ ไม่เช่นนั้นบ้านเรือนของประชาชน โดยเฉพาะที่ตั้งฐานจุดตรวจต้องได้รับความเสียหาย ซึ่งเหตุระเบิดไม่ได้มีเจาะจงแต่ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จังหวัดยะลาและปัตตานี ก็มีเหตุลักษณะเดียวกันนี้เหมือนกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top