Wednesday, 7 May 2025
ECONBIZ NEWS

พลังงานชงครม.กู้เงิน 2 หมื่นล.ตรึงดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท

นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธาน ได้เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินตามที่สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนำเสนอ เพื่อเตรียมพร้อมสภาพคล่องในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท ช่วยลดผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนในช่วงที่สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง โดยขั้นตอนจากนี้จะเสนอร่างนี้ให้กับที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบต่อไป 

ทั้งนี้ยืนยันว่า การเตรียมกู้เงินในครั้งนี้ ก็เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทเนื่องจากน้ำมันดีเซล เป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจหากปล่อยให้มีราคาสูงเกินไปจะกระทบต่อผู้ประกอบการ ค่าขนส่ง ค่าสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งกระทรวงพลังงานจะควบคุมการใช้เงินกู้อย่างเข้มงวด และเป็นไปตามข้อกฎหมายที่กำหนดเอาไว้

คลังเล็งออกคนละครึ่งเฟส 4 ต้นปีหน้า 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังจากกระทรวงการคลัง ได้เปิดให้ประชาชนให้ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ” ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ในวันนี้ (1 พ.ย.) เพื่อเก็บตกผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จที่ผ่านมาจาก 28 ล้านสิทธิ มีจำนวน ทั้งสิ้น 119,974 สิทธิ นั้น ทราบว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่เปิดให้สามารถลงทะเบียนได้ตอนนี้สิทธิเต็มครบจำนวนแล้ว ล่าสุดกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเหมาะสมของโครงการคนละครึ่งเฟส 4 ในช่วงต้นปี 2565 

ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์อีกที โดยพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีนโยบายแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว คู่ขนานไปกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เน้นความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้งอย่างแน่นอน โดยโครงการคนละครึ่ง ถือว่าเป็นโครงการที่ครองใจประชาชนมากที่สุด เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละวันได้ ช่วยประคับประคองการบริโภค ทำให้ประชาชนมีการวางแผนการใช้จ่ายดีขึ้น ได้รับการตอบรับที่ดี พิสูจน์ได้ว่า ประชาชนมีการนำเงินออกมาใช้จ่าย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ประชาชน ร้านค้า ได้ประโยชน์ร่วมกันหมด แสดงถึงความสำเร็จของมาตรการที่นายกรัฐมนตรีพยายามดำเนินการเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

‘Toyota’ เปิดตัว ‘bZ4X’ รถไฟฟ้าล้วนคันแรก ชาร์จเพียง 1 ครั้ง วิ่งไกล 500 กิโลเมตร

เมื่อไม่นานมานี้โตโยต้าญี่ปุ่นเพิ่งเปิดตัวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นรถ SUV BEV แพลตฟอร์มในชื่อรุ่น ‘bZ4X’ รถไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ โดยในการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า 500 กิโลเมตร และทางโตโยต้าตั้งเป้าเตรียมขายในกลางปี 2022 นี้ 

โดยรถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นแรกของตระกูล ‘bZ’ หรือ ‘beyond Zero’ อันประกอบไปด้วยเทคโนโลยีและการออกแบบล้ำสมัยมากมาย ที่โตโยต้าจะนำมาใช้ครั้งแรกกับรถตระกูล bZ ภายใต้แนวคิด ‘activity hub’ ที่เป็นเสมือนสายใย ให้ผู้โดยสารทุกคนสามารถแบ่งปันช่วงเวลาและพื้นที่ ที่สนุกสนานร่วมกันได้บนรถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำคันนี้

นอกจากนี้ทางบริษัทยังตั้งเป้าที่จะสร้างรถยนต์ที่ท้าทายนวัตกรรมใหม่ในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การตกแต่งภายใน ความรู้สึกในการขับขี่ รวมไปถึงสมรรถนะในการขับขี่ เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำนี้ผ่านเจ้ารถตระกูล ‘bZ’ 

สมอ. รุกตลาดสดปทุมธานี จับมือภาคีเครือข่ายเซ็น MoU นำร่องขายสินค้า มอก. ตั้งเป้าขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศเร็วๆ นี้ 

สมอ. จับมือภาคีเครือข่ายตลาดสดน่าซื้อจังหวัดปทุมธานี 37 แห่ง นำร่องขายสินค้าได้มาตรฐาน มอก. เตรียมขยายผลต่อเนื่องให้ครอบคลุมทั่วประเทศเร็วๆ นี้ สร้างการรับรู้ให้ประชาชนและร้านจำหน่าย ตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกซื้อและจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน

นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นอกจากภารกิจด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมให้สูงขึ้นแล้ว  กระทรวงอุตสาหกรรมยังมีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญในการคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่ได้มาตรฐาน โดยมีสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบและกำกับดูแล ทั้งการดำเนินงานด้านการมาตรฐานระดับประเทศ และระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในเวทีการค้าโลก

นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ส่งเสริมความรู้ด้านการมาตรฐานแก่ทุกภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และประชาชน เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างความตระหนักในความสำคัญของการมาตรฐาน ควบคู่ไปกับการควบคุมและกำกับติดตามการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ล่าสุด สมอ. ได้ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อหารือแนวทางร่วมกับภาคีเครือข่ายตลาดสดน่าซื้อ ในการร่วมมือกันให้ร้านค้ารายย่อยภายในตลาดทุกแห่งในจังหวัดปทุมธานี มีความรู้ความเข้าใจในการจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน และถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  โดยนำร่องที่จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดแรก

เนื่องจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ มีตลาดค้าปลีก-ค้าส่ง มากถึง 37 แห่ง ซึ่งตลาดเหล่านี้มีร้านค้าขนาดเล็ก เช่น ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ร้านวัสดุก่อสร้าง และร้านค้าทุกอย่าง 20 บาท กระจายอยู่โดยรอบ ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้โดยง่าย และสะดวก ประกอบกับสินค้ามีราคาถูก จึงทำให้ร้านค้าในลักษณะนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และโดยส่วนใหญ่ร้านค้าเหล่านี้จะขายสินค้าที่ สมอ. ควบคุม เช่น  วัสดุก่อสร้าง  ก๊อกน้ำ  ฝักบัว  พัดลม หม้อหุงข้าว  เตาปิ้งย่าง กระทะไฟฟ้า หม้ออบลมร้อน  ไฟแช็ก ไดร์เป่าผม  ที่หนีบผม  ของเด็กเล่น พาวเวอร์แบงค์  อะแด็ปเตอร์  ปลั๊กพ่วง  หลอดไฟ  สปอตไลท์  หลอดไฟแอลอีดี ถ่านไฟฉาย  ท่อน้ำดื่ม  ภาชนะจานชามเมลามีน ผงซักฟอก ไม้ขีดไฟ ไฟแช็คก๊าซ หัวนมยางดูดเล่น ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหาร แอลกอฮอล์แข็งสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง และสีเทียน เป็นต้น

 

โฆษกรัฐบาลเผย “นายก”ปลื้มผลสำรวจนักธุรกิจต่างชาติ พบมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น นักธุรกิจต่างประเทศในไทยยังสนับสนุนการเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้  เชื่อมีนักท่องเที่ยว/นักธุรกิจรอเดินทางเข้าไทยจำนวนมาก

นายธนกร วังบุญคงชนะ เผยภายหลังพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศมาตรการเปิดประเทศแบบปลอดภัยพร้อมรับผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยงต่ำ 45 ประเทศและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เริ่ม 1 พ.ย. นี้ ก็ได้การตอบรับจากภาคเอกชนไทยและนักธุรกิจชาวต่างชาติในไทยเป็นอย่างดี 

โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างชาติในไทย ไตรมาสที่ 3/ 2564 จากหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย 41 ประเทศ สมาชิกรวม 7,810 สถานประกอบการ พบว่าส่วนนักธุรกิจต่างชาติส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นต่อธุรกิจดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นต่อธุรกิจ เพิ่มขึ้นเป็น 44.9 และ 38.4 จากเดิมอยู่ที่ 29.8 และ 26.8 ตามลำดับ ในไตรมาส 2/64 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ เพิ่มเป็น 41.7 จาก 27.7  เป็นค่าดัชนีสูงสุดใน 4 รอบการสำรวจ นับจากไตรมาส 4/2563 นอกจากนี้ ร้อยละ 50 ยังเชื่อว่าไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วจากผลกระทบโควิด-19 และเชื่อว่าเศรษฐกิจและธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และเริ่มฟื้นตัวจากไตรมาส 4 ปีนี้ ด้วย ทั้งนี้ นักธุรกิจต่างชาติในไทยยังสนับสนุนการเปิดประเทศของไทย เพราะทำให้การเดินทางเข้าไทยและท่องเที่ยวในไทยง่ายและสะดวกเพิ่มมากขึ้น  เชื่อว่ามีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจรอเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งไทยเองยังเป็นฐานการลงทุนที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนเศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน 2564 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น  เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ภาคการท่องเที่ยวในเดือนกันยายน 2564 มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 2,198,337 คน ทั้งในรูปแบบการท่องเที่ยวโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox)  รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว (Tourist Visa) รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวสมาชิกสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) ด้วย

คลัง เผย เศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ 1% แม้รัฐลุยเปิดประเทศ

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จากเดิมประเมินว่าจะขยายตัว 1.3% เหลือ 1% หลังจากเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 3 เจอผลกระทบจากไวรัวโควิด-19 ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจหยุดชะงักจากการออกข้อกำหนดการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดอย่างเคร่งครัด 

สำหรับการปรับตัวเลขเศรษฐกิจลงครั้งนี้ อยู่ภายใต้สมมติฐานสำคัญ คือ การเติบโตของประเทศคู่ค้า 15 ประเทศ เศรษฐกิจโลกเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากปัญหาโควิด-19 อัตราแลกเปลี่ยน ปี 2564 มีแนวโน้มอ่อนค่าลง 31.93 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบ 65.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพราะกลุ่มโอเปกเพิ่มกำลังการผลิตเพียง 4 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งการเปิดประเทศตั้งแต่ 1 พ.ย.2564 และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐ  

‘สุริยะ’ ลุ้นเปิดประเทศ หนุนดัชนี MPI ขยายตัว แต่ต้องจับตาราคาน้ำมัน - ค่าเงินบาทผันผวน

กระทรวงอุตสาหกรรม เผย ดัชนีผลผลิตอุตฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.49 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ภาพรวม 9 เดือน ขยายตัวร้อยละ 6.10 ส่งออกโตต่อเนื่อง ร้อยละ 17.90

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาคการผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ MPI เดือนกันยายน 2564 กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง ประกอบกับการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนและแรงงานในภาคอุตสาหกรรม โดยสะท้อนได้จากดัชนีแรงงานอุตสาหกรรม และดัชนีการส่งสินค้าในเดือนกันยายน 2564 เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสำคัญที่ดัชนีแรงงานขยายตัว เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ และอุตสาหกรรมแปรรูปผักและผลไม้ เป็นต้น ส่งผลให้ภาครัฐสามารถผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจได้มากขึ้น ประกอบกับภาครัฐยังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน 

ขณะเดียวกันนโยบายการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นี้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่จะทำให้ดัชนี MPI ขยายตัวต่อไปได้ นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. จะมีการปรับประมาณการณ์ตัวเลขดัชนี MPI ปี 2564 ใหม่อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่ทั้งนี้ ยังคงต้องจับตาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่มีความผันผวนด้วยเช่นกัน

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน อยู่ที่ระดับ 93.72 หดตัวลงเล็กน้อยร้อยละ 1.28 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าขยายตัวร้อยละ 7.49 โดย 9 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.10 โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมหลักของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับไตรมาส 3/2564 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 90.43 จากสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของแรงงานในสถานประกอบการมีทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีแรงงานอุตสาหกรรมเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญหลายกลุ่มยังคงขยายตัว อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวร้อยละ 10.85 แปรรูปผักผลไม้ขยายตัวร้อยละ 5.86 เครื่องปรับอากาศขยายตัวร้อยละ 9.76 และยางล้อขยายตัวร้อยละ 3.42  

แต่อย่างไรก็ตาม การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยังส่งผลต่อการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนรถยนต์บางรายการ แต่ในเดือนกันยายนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น โดยโรงงานผลิตรถยนต์ได้รับส่งมอบชิปและชิ้นส่วนรถยนต์ได้มากขึ้น ด้านสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายความเข้มงวดในการอนุมัติ ทำให้คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ 750,000 คัน ซึ่งจะส่งผลให้การผลิตขยายตัวต่อเนื่องตามกัน ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศ ไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งนี้อาจส่งผลกระทบบ้างในด้านโลจิสติกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพิงวัตถุดิบทางการเกษตรอาจจะได้รับผลกระทบบ้างในระยะถัดไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับการส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มของการขยายตัวที่ดี โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2564 ขยายตัวร้อยละ 15.75 มูลค่า 18,424.90 ล้านเหรียญ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถังและอากาศยาน) ขยายตัวร้อยละ 17.90 มูลค่า 18,093.70 ล้านเหรียญ โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ในส่วนการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวร้อยละ 16.06 ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ รวมถึงการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 43.56 ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น 

'ซีพี' พร้อมเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจร เตรียมแจกล็อตแรกวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม

โครงการปันปลูก ฟ้าทะลายโจร ตามนโยบายประธานอาวุโสเครือซีพี พร้อมเก็บเกี่ยวแล้วเตรียมแจกล็อตแรกวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 มั่นใจคุณภาพได้มาตรฐาน เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาสมุนไพร และเสริมภูมิคุ้มกัน

27 ตุลาคม 2564 นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด (CPP) เปิดเผยว่า โครงการปันปลูก ฟ้าทะลายโจร มีผลการดำเนินงานที่ก้าวหน้าและเป็นไปตามนโยบายของประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ที่มีความตั้งใจช่วยเหลือสังคม เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาสมุนไพรไทยและใช้เสริมภูมิคุ้มกัน ในยามที่ขาดแคลนสมุนไพรฟ้าทะลายโจร โดยจัดให้มีการปลูกฟ้าทะลายโจรบนเนื้อที่ 100 ไร่ที่ฟาร์มแสลงพัน และฟาร์มคำพราน จ.สระบุรี 

สถานีวิจัยแสลงพัน ของกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือซีพี ซึ่งได้เริ่มปลูกในวันแม่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันได้ทยอยเก็บเกี่ยวเพื่อนำไปผลิตเป็นยาสมุนไพรภายใต้ชื่อ “ปันปลูก” โดยจะแจกฟรีแก่ชุมชน สถานพยาบาล องค์กรต่าง ๆ รวมถึงประชาชนกลุ่มเปราะบางได้ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของแผ่นดิน และเป็นการร้อยเรียงความดีเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ สอดคล้องตามค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือซีพีอีกด้วย

โครงการปันปลูก-ฟ้าทะลายโจร 100 ไร่ มีที่ตั้งอยู่ที่ จ.สระบุรี แบ่งเป็น 2 แปลง แปลงแรกตั้งอยู่ที่ฟาร์มแสลงพัน บนเนื้อที่ 30 ไร่ และอีกแปลงอยู่ที่ฟาร์มคำพราน บนเนื้อที่ 70 ไร่ โดยใช้ต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวน 1 ล้านต้นจาก 6 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม ปราจีนบุรี สุโขทัย กาญจนบุรี อุบลราชธานี และ พิจิตร โครงการนี้ผ่านการศึกษาวิจัยทั้งเรื่อง พันธุ์ ลักษณะดินที่เหมาะสม ปริมาณน้ำ ที่พืชต้องการ ขั้นตอนการเพาะปลูกที่เหมาะสม ทั้งเทคนิควิธีการจัดการแปลง อายุการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ให้ปริมาณสารสำคัญสูง โดยศึกษาร่วมกับเกษตรกรคนเก่งจากทุกพื้นที่ และมีเป้าหมายที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรที่สนใจ

คาดส่งออกทั้งปีโต 4% หลังเดือนก.ย.ยังบวก 17.1%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงตัวเลขการส่งออกของประเทศในเดือนก.ย. 2564 ว่า การส่งออกยังเป็นบวกอยู่ที่ 17.1% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 23,036 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งเสริม ผลักดัน และแก้ไขอุปสรรคด้านการส่งออกที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องของกระทรวงพาณิชย์ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเติบโตดี และการอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้การส่งออก 9 เดือนของปีนี้ ขยายตัว 15.5% โดยประเมินว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยในปีนี้ จะอยู่ที่ 4% หรือคิดเป็นมูลค่า 240,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้

นอกจากนี้ ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าสินค้าในเดือนกันยายน 64 อยู่ที่ 22,426.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นบวก 30.3% โดยไทยยังได้ดุลการค้าในเดือนกันยายน 64 อยู่ที่ 609.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตัวเลขการนำเข้า 9 เดือนมียอดอยู่ที่ 197,980.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นบวก 30.9% ทำให้ไทยเกินดุลการค้าช่วง 9 เดือนอยู่ที่ 2,016.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

แนะรัฐ! ดันท่องเที่ยว หวังศก.ไทยปีหน้ากลับมาโต 5% 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเร่งการส่งเสริมการลงทุน เมื่อได้เปิดประเทศ ต้องหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาให้ได้อย่างน้อย 10 ล้านคน เพื่อเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 65 ขยายตัวได้ถึง 5% ส่วนจีดีพีของกลุ่มค้าปลีก คาดว่าขยายตัว 2% เติบโตใกล้เคียงกับ จีดีพีของประเทศ โดยโมเดิร์นเทรด มีสัดส่วน 65% ของค้าปลีกทั้งระบบ 

ทั้งนี้ยังได้เปิดเผยผลสำรวจผู้ประกอบการโมเดิร์น เทรด ไตรมาส 3ปี 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ปรับสูงขึ้นอีกครั้งในรอบ 2 ไตรมาส โดยดัชนีรวมอยู่ที่ 47.9 ดัชนีฯในปัจจุบันอยู่ที่ 47.1 และดัชนีฯในอนาคตอยู่ที่ 48.7 เนื่องจากปลายไตรมาส 3 รัฐทยอยคลายล็อกมาตรการต่างๆ และผู้ประกอบการมองว่าค้าปลีกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนียังต่ำกว่า 50% ทั้งจากองค์ประกอบการในการคำนวณดัชนี จากรายรับ กำไร ราคาขาย จ้างงาน ต้นทุน ยังอยู่ในระดับทรงตัวหรือดีเล็กน้อย ยกเว้นจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นหลังคลายล็อก แต่มีมุมมองต่อไตรมาส4 ดีขึ้น เพราะมองผลดีรัฐบาลจะคลายล็อกที่เหลือ เปิดประเทศ และแรงกระตุ้นใช้จ่ายของภาครัฐส่งท้ายปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top