Friday, 9 May 2025
ECONBIZ NEWS

'สุริยะ' สั่ง กรอ. เร่งผลักดันศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวภาพ นำร่อง EEC คาดเอกชนสนลงทุนร่วมแสนล้านบาท

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งผลักดันและขับเคลื่อนมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ตามแผนปี พ.ศ. 2561 - 2570 (แผน 10 ปี) ซึ่งประกอบด้วยมาตรการเร่งด่วนและมาตรการสนับสนุน เพื่อขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุน มาตรการเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ มาตรการกระตุ้นความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการ และมาตรการสร้างเครือข่ายในรูปแบบของศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านชีวภาพ (Center of Bio Excellence: CoBE) รวมทั้งการดำเนินงานขยายผลมาตรการฯ เชิงพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Bio Hub)  

โดยได้เริ่มโครงการนำร่องในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor : EEC (ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) เขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง (นครสวรรค์ กำแพงเพชร) เขตพื้นที่ภาคะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (ขอนแก่น) เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) โดยการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐทำให้เอกชนสนใจเข้ามาลงทุนในเขตพื้นที่ดังกล่าว คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนรวมแสนล้านบาท   

เกษตรฯ เตรียมแผนส่งออกทุเรียนปลอดภัย

นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า กรมฯ ได้กำหนดแนวทางมาตรการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อ โควิด - 19 ระดับสวนเกษตรกร เพื่อใช้เป็นมาตรฐานให้ทุกสวนผลไม้ส่งออกได้ยึดถือปฏิบัติ และเป็นแนวทางให้ทุกฝ่ายได้ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้มาตรการเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตทุเรียนภาคตะวันออกปี 2565 รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการส่งออกผลไม้ภาคตะวันออก ปี 2565 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่กำหนดเป้าหมายไว้ว่าการส่งออกผลไม้ต้อง Zero COVID เท่านั้น

ทั้งนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งออก สร้างความเชื่อมั่นสู่ผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนที่เป็นตลาดส่งออกหลัก ซึ่งในฤดูกาลผลไม้ปีนี้ จีนในฐานะประเทศคู่ค้าสำคัญของผลไม้ของภาคตะวันออกได้กำหนดไว้ว่าต้องตรวจไม่พบเชื้อโควิด -19 ทั้งในคน ผลไม้ และองค์ประกอบอื่นในการขนส่ง โดยมีมาตรการระดับสวนเกษตรกร เช่น มีแนวกั้นบริเวณอาณาเขตของสวน และมีจุดเข้าออกทางเดียว 

คลังเกาะติดสถานการณ์ 'รัสเซีย-ยูเครน' หวั่นบานปลายราคาน้ำมันพุ่ง 6 บาท

“คลัง” เกาะติดสถานการณ์ตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน ลุ้นจบลงด้วยดี ด้าน “หอการค้าไทย” หวั่นเหตุการณ์บานปลาย ดันราคาน้ำมันไทยพุ่งอีก 6 บาท

24 ก.พ. 65 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวว่า ผลจากกรณียูเครน-รัสเซีย ต้องติดตามสถานการณ์ ไม่อยากเห็นเหตุการณ์บานปลาย ซึ่งจะส่งผลต่อราคาน้ำมันขยับตัว ซึ่งขณะนี้อยู่ในกรอบ 90-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังอยู่ในขอบเขตที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการไม่ให้ดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตรได้ กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตที่ผ่านมาก็เข้าไปช่วยในเรื่องของภาษี ขณะที่นักท่องเที่ยวจากรัสเซีย ยูเครน ก็มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ถ้าเกิดความตึงเครียดรุนแรง ก็จะส่งผลกระทบต่อไทยอยู่บ้าง

“สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน แต่เชื่อว่าจากความพยายามของทุกฝ่ายน่าจะทำให้เรื่องจบลงด้วยดี ไม่น่าเกิดความรุนแรงจนนำไปสู่การสู้รบ ซึ่งหากสถานการณ์จบลงด้วยดีก็จะส่งผลดีต่อทิศทางราคาน้ำมัน โดยปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 90-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล” นายอาคม กล่าว

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์การรัสเซีย-ยูเครนในขณะนี้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น โดยทุก 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับขึ้น 50 สตางค์ต่อลิตร และกรณีเลวร้าย หากเกิดสงคราม คาดว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นถึง 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และจะกระทบต่อราคาน้ำมันถึง 6 บาทต่อลิตร

🔎 เปิดอีกมุมด้านเศรษฐกิจ ‘เหมืองทองอัครา’

💎 ภาษีทางตรง 1,000 ลบ./ปี
💎 คืนกลับพัฒนาท้องถิ่น 60%
💎 เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ 10,000 ลบ./ปี

📝นโยบายแร่ทองคำ สำหรับใครก็ตามที่จะมาลงทุน จะต้องลงทุนด้วยเทคโนโลยีที่ดี ดูแลทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี ดูแลชุมชนที่ดี และแบ่งปันผลประโยชน์ให้ประเทศไทยมากที่สุด


ที่มา : คุณนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ให้สัมภาษณ์ เพจ Open Up

รมว.เฮ้ง ห่วงแรงงานไทยในยูเครน ขอให้เฝ้าระวังติดตามข่าวสารจาก กต. อย่างใกล้ชิด

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงข้อห่วงใยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปยังคนไทยที่พำนักในยูเครน หลังสถานการณ์ระหว่างยูเครนและรัสเซียตึงเครียดว่า ท่านนายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีความห่วงใยคนไทยทุกคนที่พำนักอยู่ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ขอให้พี่น้องแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศยูเครนเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ ข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมอย่างทันท่วงที หากมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นต้องอพยพกลับประเทศไทยก็ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือของกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ได้มีเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศเพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับความเดือดร้อน กรณีคนงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนและประสบปัญหาต้องเดินทางกลับประเทศไทยก่อนสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุน เนื่องจากภัยสงครามหรือปัญหาความไม่สงบหรือจากภัยธรรมชาติหรือเกิดโรคระบาด ซึ่งทางการของประเทศนั้น ๆ ประกาศกำหนดแล้ว ในการไปทำงานในต่างประเทศตามขั้นตอนของกฎหมายอีกด้วย

'ศักดิ์สยาม' สั่งด่วน ชะลอค่าปรับ 10 เท่า M-Flow พร้อมให้กรมทางหลวงเร่งคืนค่าปรับทุกราย

'ศักดิ์สยาม' สั่งด่วน ชะลอค่าปรับ 10 เท่า ผู้ใช้ระบบ M-Flow ทุกราย จนถึง 31 มี.ค. 65 พร้อมให้กรมทางหลวงเร่งคืนค่าปรับทุกราย

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากปัญหา ที่กรมทางหลวง (ทล.) ได้เปิดใช้ ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) เต็มรูปแบบ บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 (วงแหวนบางปะอิน-บางพลี) จำนวน 4 ด่าน คือ ด่านธัญบุรี 1 ด่านธัญบุรี 2 ด่านทับช้าง 1 และด่านทับช้าง 2 ตั้งแต่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 22.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งตนรับทราบปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน ที่ต้องเสียเงินค่าปรับ 10 เท่า กรณีที่จ่ายเงินค่าผ่านทางเกิน 2 วัน ในการใช้ช่องทาง ระบบ M-Flow

สำหรับประชาชนที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก ระบบ M-Flow โดยตนได้สั่งการให้กรมทางหลวง (ทล.) ชะลอการเรียกเก็บเงินค่าปรับ 10 เท่า สำหรับผู้ที่ไม่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกระบบ M-Flow และได้เข้าใช้ช่องทางระบบ M-Flow ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ได้ชำระค่าธรรมเนียมผ่านทาง ทั้งนี้เริ่มตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2565

'ผู้ว่าฯอัศวิน' โวกรุงเทพฯ เหนือชั้นกว่า 'ลอนดอน-บาร์เซโลนา' หลังคว้าอันดับ 6 เมืองประชุมนานาชาติระดับโลก

'ผู้ว่าฯอัศวิน' ได้ทีขอโม้ โว 'กรุงเทพฯ' เป็นเมืองนัดหมายของการประชุมนานาชาติอันดับ 6 ของโลก เฉือนทั้ง 'ลอนดอน-บาร์เซโลนา' เพราะมีความพร้อมในหลายเรื่อง

24 ก.พ. 65  พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์เนื้อหาพร้อมรูปบนเพจเฟซบุ๊กผู้ว่าฯ อัศวิน ระบุว่า ...

กรุงเทพฯ เป็นเมืองจุดหมายการประชุมนานาชาติอันดับ 6 ของโลก

กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความสะดวกในการเดินทางเข้าถึงเมือง เป็นจุดหมายของการเดินทาง ทำให้หลายครั้งที่กรุงเทพฯ ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับนานาชาติ 

กรุงเทพฯ ติดอันดับ 6 เมืองประชุมนานาชาติระดับโลก ลั่น เดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ทุกจังหวัด

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่ 6 ของเมืองจุดหมายจัดการประชุมนานาชาติระดับโลก จากรายงานดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของเมืองที่เป็นจุดหมายจัดการประชุมนานาชาติ ประจำปี 2564 (International Convention Destination Competitive Index 2021) ด้วยคะแนน 642.1 จากทั้งหมด 101 เมืองทั่วโลก (International Convention Destination 2021) ซึ่งจัดทำโดยบริษัท GainingEdge บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกด้านอุตสาหกรรมไมซ์ (Meeting, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions: MICE) ซึ่ง 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ ปารีส นิวยอร์ก สิงคโปร์ ปักกิ่ง โตเกียว กรุงเทพฯ ลอนดอน บาร์เซโลนา อิสตันบูล และวอชิงตัน ตามลำดับ 

นายธนกร กล่าวว่า กรุงเทพฯ ได้ขยับขึ้นมา 2 อันดับ จากเดิมอันดับ 8 ในปี 2563 และเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กรุงเทพฯ จะอยู่ในอันดับ 4 ของเมืองในทวีปเอเชียยอดนิยม (Top Asian Metropolises) ดังนี้ สิงคโปร์ ปักกิ่ง โตเกียว กรุงเทพฯ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ กัวลาลัมเปอร์ และโซล สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการจัดการประชุมของประเทศไทยที่มีศักยภาพในการจัดประชุมทุกระดับ เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

นายธนกร กล่าวว่า รายงานผลการจัดอันดับดังกล่าว ใช้การวิจัยและรวบรวมข้อมูลจากรายชื่อเมืองที่มีการจัดประชุมนานาชาติมากที่สุดในแต่ละปีของสมาคมการประชุมและการประชุมนานาชาติ จากนั้นได้ประเมินคุณภาพของปัจจัยที่สำคัญในแต่ละเมือง ซึ่งพิจารณาใน 3 ปัจจัยหลัก และ 11 องค์ประกอบย่อย คือ 1.) ด้านสุขอนามัย ได้แก่ สิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนสำหรับการประชุม ข้อเสนอของโรงแรมที่พัก ตอบโจทย์การใช้งาน และการเดินทางทางอากาศซึ่งต้องมีทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศและในประเทศรองรับผู้เข้าร่วมการประชุม 2.) ด้านความได้เปรียบในการแข่งขัน ได้แก่ เครือข่ายทางการตลาด ต้นทุนในการจัดเตรียมการประชุมคุ้มค่า และการเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว 3.) ด้านการสร้างความแตกต่าง ได้แก่ ระบบโลจิสติกส์ที่เคลื่อนย้ายได้สะดวก มูลค่าทางการตลาดของประเทศนั้นๆ ขนาดของเศรษฐกิจโดยคำนวณจากค่า GDP/ประชากร สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและ ความปลอดภัยและเสถียรภาพในประเทศ

รมว.เฮ้ง อนุมัติปล่อยกู้ 5 ล้านบาท ให้กองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ช่วยเหลือผู้รับงานไปทำที่บ้าน ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% 12 งวด ต่อเนื่องปีที่ 3 ยื่นกู้ได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 31 สิงหาคม 2565

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีนโยบายเร่งด่วน ในการกระตุ้น ส่งเสริมและรักษาการจ้างงาน พัฒนาฝีมือแรงงาน รวมถึงทางเลือกอาชีพอิสระ และการรับงานไปทำที่บ้านแก่ผู้ว่างงาน โดยในปีงบประมาณ 2565 กระทรวงแรงงานได้อนุมัติวงเงินกู้ยืม จำนวน 5,000,000 บาท พร้อมมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0 ต่อปี (จากเดิมร้อยละ 3) ในงวดที่ 1 -12 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับแรงงานนอกระบบที่เป็นผู้รับงาน/กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมาย บรรเทาความเดือดร้อนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 

“นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรองนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญและห่วงใยพี่น้องแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่ต้องการทำงาน มีรายได้ และยังมีศักยภาพ แต่ไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยกำชับกระทรวงแรงงานดูแลช่วยเหลืออย่างเท่าเทียม ทั่วถึงเพื่อให้สามารถก้าวต่อไปได้ภายใต้สถานการณ์โควิด – 19” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กองทุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับให้กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านกู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบหรืออุปกรณ์ในการผลิตหรือใช้ขยายการผลิต สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของกรมการจัดหางาน ในการส่งเสริมการจ้างงานและการประกอบอาชีพแรงงานกลุ่มเปราะบางเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ครม. ไฟเขียวขึ้นภาษีรถใช้น้ำมันยกแผง บีบคนหันใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

ครม. เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ครั้งใหญ่ บีบขึ้นภาษีรถยนต์น้ำมันยกแผง เพื่อให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยผลการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 65 เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั้งระบบ โดยมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ดังนี้

1.) การปรับลดเกณฑ์การปล่อย CO2 เพื่อส่งเสริมให้รถยนต์นั่ง รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน รถยนต์กระบะ และรถจักรยานยนต์ มีการลดการปล่อย CO2 และประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น

2.) การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประเภท HEV และ PHEV ให้มีความแตกต่างกัน เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่สูงขึ้นของ PHEV และการพัฒนาไปสู่รถยนต์ BEV ซึ่งมีการพิจารณาถึงสมรรถนะของเทคโนโลยี PHEV ในเรื่องระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range : ER) โดยสามารถวิ่งได้ไม่น้อยกว่า 80 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และขนาดถังบรรจุน้ำมัน (Oil Tank) เพื่อลดการใช้พลังงานจากน้ำมัน

3.) การทยอยปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประเภท ICE, HEV และ PHEV ให้เหมาะสม โดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได 3 ช่วง ได้แก่ ปี พ.ศ. 2569 พ.ศ. 2571 และ พ.ศ. 2573 ตามลำดับ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์/ชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ และปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประเภท BEV จากอัตราร้อยละ 8 เหลืออัตราร้อยละ 2 เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และสร้างแรงจูงใจในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นตามมติคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ

4.) การส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์กระบะ และอนุพันธ์ของรถยนต์กระบะ (Product Champion) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตต่อไป โดยคำนึงถึงการลดการปล่อย CO2 และสนับสนุนพลังงานเชื้อเพลิงทดแทน Biodiesel และยังส่งเสริมให้เกิดการใช้และผลิตรถยนต์กระบะไฟฟ้า (BEV) ในประเทศโดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 0 เป็นการชั่วคราวจนถึงปี พ.ศ. 2568

5.) การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทุกประเภท ยังสนับสนุนมาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยให้มีการติดตั้งระบบ Advanced Driver - Assistance Systems (ADAS) มาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ต้องมีการติดตั้งระบบ ADAS อย่างน้อย 2 ระบบจาก 6 ระบบ ยกเว้น BEV ต้องมีอย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ และรถยนต์กระบะ ต้องมีการติดตั้งระบบ ADAS อย่างน้อย 1 ระบบจาก 6 ระบบ ยกเว้น BEV ต้องมีอย่างน้อย 2 จาก 6 ระบบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top