Sunday, 18 May 2025
ECONBIZ NEWS

‘มูเตลูไทย’ รุ่ง!! ดันกลุ่มธุรกิจความเชื่อเฟื่องฟู พบปี 66 มูลค่าทุนจดทะเบียนทะลุ 100 ล้านบาท

เปิดความปัง‘มูเตลูไทย’เฟื่องฟู ดัน‘ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อคึกคัก มูลค่าทุนจดทะเบียนทะลุ 100 ล้านบาท

มูเตลูไทยเฟื่องฟูสุดๆ ดัน ‘ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาด’ เบียดแซงหน้าขึ้นแท่นธุรกิจดาวเด่น ...เปิดรายได้รวมปลายปีเพิ่มขึ้นกว่า 113% ขณะที่สินทรัพย์ธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่า 50% โซเชียลมีเดียและเว็บไซต์เป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาความเชื่อของผู้บริโภคมากที่สุด ขณะที่การพยากรณ์ดวงชะตาแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนได้รับความนิยมสูงสุด ส่งผลภาคธุรกิจนำความเชื่อด้านโชคลางไปใช้สนับสนุนการบริหารจัดการทั้งส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์สินค้ามากขึ้น ธุรกิจสายมูส่วนใหญ่ดำเนินกิจการในรูปแบบบุคคลธรรมดา ไม่นิยมจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ขอเชิญชวนให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสามารถขยายธุรกิจสู่การให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น 

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ตั้งแต่ปี 2563 เข้าสู่ปี 2566 มูเตลู หรือความเชื่อในศาสตร์เร้นลับ การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อเสริมดวงและโชคชะตาในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ผู้นับถือศาสตร์มูเตลู (สายมู) เชื่อว่าการบูชาและศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลังจะช่วยส่งเสริมด้านการงาน การเงิน โชคลาภ และความรัก ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจและส่งพลังด้านบวกให้ชีวิต ผนวกกับเรื่องของความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความกังวลและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีความผันผวน มีปัจจัยที่ไม่อาจคาดการณ์เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น โรคอุบัติใหม่ โรคระบาด อันตรายจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การศึกษา ความเห็นต่าง รวมทั้ง การไม่สามารถปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ และสถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ทำให้ภาคธุรกิจสบโอกาสที่จะนำความเชื่อในมูเตลูมาใช้สร้างรายได้และผลกำไรมากขึ้น 

เมื่อพิจารณาถึงการบริหารจัดการ พบว่า มีการปรับตัวนำศาสตร์แห่งความเชื่อมาใช้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด (โดยเฉพาะการตลาดออนไลน์) และประชาสัมพันธ์สินค้า/บริการ โดยจัดแคมเปญให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกช่วงอายุมากขึ้น รวมทั้ง ใช้ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencers) หรือผู้มีชื่อเสียงมาสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างประสบการณ์ร่วมด้านอารมณ์/ความรู้สึกกับลูกค้า ส่งผลให้’ ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาด’ มีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

ปี 2563 - 2565 ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาดมีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น ปี 2563 จดทะเบียนจัดตั้ง 11 ราย ทุนจดทะเบียน 7.59 ล้านบาท ปี 2564 จัดตั้ง 20 ราย (เพิ่มขึ้น 9 ราย หรือร้อยละ 81.8) ทุน 13.41 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.82 ล้านบาท หรือร้อยละ 76.7) ปี 2565 จัดตั้ง 24 ราย (เพิ่มขึ้น 4 ราย หรือร้อยละ 20.0) ทุน 27.45 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.04 ล้านบาท หรือร้อยละ 104.7)

ผลประกอบการธุรกิจ โดยรายได้รวมของธุรกิจ ปี 2562 อยู่ที่ 24.28 ล้านบาท สินทรัพย์ 49.54 ล้านบาท กำไร 1.12 ล้านบาท ปี 2563 รายได้รวม 28.76 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.5) สินทรัพย์ 47.31 ล้านบาท (ลดลง 2.23 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.5) กำไร 1.52 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.40 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.7) และ ปี 2564 รายได้รวม 61.28 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 32.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 113.1) สินทรัพย์ 71.07 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23.76 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.22) ขาดทุน 1.86 ล้านบาท (ลดลง 3.38 ล้านบาท หรือร้อยละ 222.4) ทั้งนี้ ปี 2564 มีรายได้รวมและสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปี 2563 แต่มีผลประกอบการขาดทุน แสดงถึงแนวโน้มของธุรกิจอยู่ในช่วงขยายการลงทุนรองรับการเติบโตหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 คลี่คลายลง

ปตท. คว้ารางวัลองค์กรคุณธรรมต้นแบบ 3 ปีซ้อน สะท้อนผ่านความใส่ใจ 'สังคม-ชุมชน-สิ่งแวดล้อม'

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรางวัลองค์กรคุณธรรมต้นแบบ จากคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ สะท้อนการยอมรับในการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

‘ศาลปกครองสูงสุด’ พิพากษายืน ‘ยกฟ้อง’ ปม 'บีทีเอส' เรียกค่าเสียหายประมูล 'สายสีส้ม'

ด่วน!! ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืน สั่งยกฟ้องคดี BTS ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ปมเปลี่ยนหลักเกณฑ์คัดเลือกฯประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม 

(1 มี.ค. 66) เวลา 09.30 น. ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำพิพากษาในคดีที่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส (BTSC) ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยขอให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ชดใช้ค่าเสียหายจากกรณีมีมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาผู้ชนะการประเมินของเอกสารการคัดเลือกเอกชนโครงการดังกล่าว 

ซึ่งคดีดังกล่าวศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปรากฏ ข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการคัดเลือกฯโครงการดังกล่าว ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการประกาศเชิญชวนฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว เหตุแห่งความเดือดร้อนหรือ ความเสียหายจากคำสั่งที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จึงหมดสิ้นไปแล้ว จึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีในข้อหา ฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนฯที่แก้ไขเพิ่มเติม

ส่องขุมกำลังรถไฟ EV สัญชาติไทยจาก EA หลังเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยเฉพาะ 'เวียดนาม' แอบสนใจ

รถไฟ EV ต้นแบบคันแรกของไทย ได้รับความสนใจและเสียงตอบรับที่ดีจากประชาชนคนไทย รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะการส่งเสริมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) เพื่อให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกลง 20-25% ภายในปี 2573 

สำหรับรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ต้นแบบคันนี้ ประเทศไทยประกอบและติดตั้งระบบแบตเตอรี่สำหรับรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเสร็จเมื่อปี 2565 ซึ่งถือเป็นแห่งแรกของโลก โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA

'ดร.กอบศักดิ์' เชื่อ!! รัฐเคาะ 50% ของงบจัดซื้อต้องเป็นสินค้าจาก SME ช่วยกระจายเม็ดเงินกว่าแสนล้านต่อปีสู่ผู้ประกอบการ

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และประธานกรรมการบริหาร สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า

นโยบายที่ใช่ เพื่อช่วย SME ในยามที่ Global recessions จะมาเยือน !!!

ต่อไป 50% ของสินค่าและบริการต่าง ๆ ที่รัฐบาลซื้อ จะต้องมาจาก SME

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริม SME กับท่านนายกฯ ได้กำหนดเป้าหมายให้ทุกส่วนราชการ จัดซื้อสินค้าและบริการจาก SME ให้ได้ 'ครึ่งหนึ่ง' ของเม็ดเงินงบประมาณในเรื่องนี้ของส่วนงานนั้น ๆ ในแต่ละปี

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ‘สุราษฎร์ธานี’ สุดพีค หลัง นทท. มาเยือนพุ่งอันดับ 1 ของประเทศ

‘บิ๊กตู่’ ยินดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีสถิตินักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 600% เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ รายได้สูงขึ้น 912.04% นักท่องเที่ยว 3.6 ล้านคน ทำรายได้กว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ในปี 2565

(1 มี.ค.66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบรายงานจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่าในปี 2565 ที่ผ่านมา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีอัตรานักท่องเที่ยวเติบโตสูง สถิตินักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเยือนกว่า 3.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 600% ทำให้มีรายได้ในจังหวัดเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลการท่องเที่ยวของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในปี 2565 จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจำนวน 27,661 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยวจำนวน 3,690,642 คน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 รายได้สูงขึ้น จำนวน 912.04 %

‘อลงกรณ์’ เร่งเจรจาเขตการค้าเสรี กับ อียู - อังกฤษ ดันไทยขึ้นแท่น Top 10 มหาอำนาจด้านอาหารของโลก

(28 ก.พ. 66) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวปาฐกถาเปิดงานเสวนาบนเวทีของงานแถลงข่าวประจำปี NRF 2023 Annual Press conference ‘Big Move’ ภายใต้ประเด็นเสวนา ‘ปัญหาและโอกาสสู่ทางออก ของการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทย ในตลาดยุโรปและอังกฤษ’ โดยมี คุณแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF คุณอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Exim Bank และคุณณัฐศักดิ์ มนัสรังษี K Fresh เข้าร่วม ณ ลิโด้ คอนเนคท์ (ห้องลิโด้ 1) สยามสแควร์ซอย 3

โดยการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้วิทยากรผู้เชี่ยวชาญภาครัฐได้แสดงความคิดเห็น และแชร์ประสบการณ์ให้แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่ และรายย่อยในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทย เพื่อร่วมต่อยอดความคิดและร่วมหาทางแก้ปัญหา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลักดัน สินค้าเกษตรและอาหารไทยไปสู่ตลาดยุโรปและอังกฤษโดยเฉพาะบริษัทชั้นแนวหน้าของไทย เช่น เอ็นอาร์เอฟ (NRF) ที่มีเป้าหมายขยายเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตสินค้าอาหารไทยและเอเซีย ในอังกฤษและยุโรป ซึ่งมีมูลค่าตลาดนี้ 10 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3 แสนล้านบาท

นายอลงกรณ์ กล่าวปาฐกถาว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ และผู้ประกอบการเอกชน ในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยไปสหภาพยุโรปและอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย จึงให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เร่งเปิดทางสร้างโอกาสให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการส่งออกสินค้าไปอียูและอังกฤษ

โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ลงนามเอ็มโอยู กับกระทรวงสิ่งแวดล้อมอาหารและกิจการชนบทของอังกฤษ เพื่อขยายความร่วมมือทางการเกษตรทุกมิติรวมทั้งการขจัดอุปสรรคทางการค้าสินค้าเกษตรและอาหารเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ เร่งเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) 3 กรอบสำคัญ คือ

เอฟทีเอไทย-อียู
เอฟทีเอไทย-อังกฤษ
เอฟทีเอไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA)

ซึ่งมีสมาชิก 5 ประเทศ คือ รัสเซีย, คาซัคสถาน, เบลารุส, อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน เป็นก้าวใหม่ก้าวใหญ่ของภาครัฐ ผสมผสานกับบิ๊กมูฟของภาคเอกชนในวันนี้ จึงมั่นใจว่าประเทศไทยจะบรรลุความสำเร็จที่ตั้งเป้าหมาย เป็นมหาอำนาจทางอาหารท็อปเทนของโลกภายในปี 2030 เป็นอาหารปลอดภัย (Food Safety) ที่มีการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของสำนักงาน มกอช.ตั้งแต่ฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร (Farm 2 Tables) ภายใต้การพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ลดปัญหาภาวะโลกร้อน สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสหภาพยุโรปและอังกฤษ ตลอดจนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางเรือ ทางอากาศและทางบก โดยเฉพาะการขนส่งทางรางบนเส้นทางรถไฟสายไทย-จีน-ลาว-ยุโรป

สำหรับโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ทั้งในเรื่องการรักษาและขยายส่วนแบ่งการตลาดในสินค้าหลักที่มีฐานการตลาดอยู่เดิม ได้แก่

1.) สินค้าปศุสัตว์ - ไก่แปรรูปและไก่หมักเกลือ (สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์) โดยในปี 2565 ประเทศไทยส่งออกไก่แปรรูปไปยังสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร มูลค่า 38,000 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวจากปี 2564 ถึงร้อยละ 69

2.) สินค้าพืชผักผลไม้สดผลไม้แปรรูป และข้าว (สหราชอาณาจักร อิตาลี เนเธอร์แลนด์) สับปะรดกระป๋อง และน้ำสับปะรดกระป๋อง และผลไม้กระป๋อง (เนเธอร์แลนด์และเยอรมนี)

3.) สินค้าประมงและสัตว์น้ำ (แช่แข็งและแปรรูป) ปลาหมึกแช่แข็ง (อิตาลี) ปลาทูน่ากระป๋อง (เนเธอร์แลนด์)

4.) ยางพาราและผลิตภัณฑ์ (เยอรมนี เนเธอร์แลนก์ สเปน เบลเยียม อิตาลี)

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 20 - 24 ก.พ.66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 27 ก.พ. - 3 มี.ค.66

ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรุนแรงขึ้น ซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมัน โดยตลาดคาดว่าในปี 66 Fed อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบัน สู่ระดับ 5.25-5.50% มากกว่าที่เคยคาดการณ์ 0.25% ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมัน โดยดัชนีดอลลาร์ (DXY Index) ซึ่งเทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักของโลก วันที่ 24 ก.พ. 66 ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.61 จุด จากวันก่อนหน้า อยู่ที่ 105.21 จุด สูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ กดดันราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันโลกจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์น้ำมันของจีนที่กำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการเดินทางทางอากาศ โดยสำนักวิเคราะห์ Wood Mackenzie, FGE, Energy Aspects และ S&P Global Commodity Insight คาดการณ์ว่าจีนจะนำเข้าน้ำมันดิบในปี 66 เพิ่มขึ้น 0.5 – 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 11.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ตลาดกังวลว่าอุปทานน้ำมันจากรัสเซียจะตึงตัว หากรัสเซียลดการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทมากกว่า 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน มี.ค. 66 ตามที่เคยประกาศไว้ เพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรและตั้งเพดานราคาน้ำมัน (Price Cap) ของชาติตะวันตก โดย Reuters รายงานรัสเซียมีแผนลดการส่งออกน้ำมันดิบจากท่าเรือ Primorsk และ Ust-Luga ในทะเลบอลติก และท่า Novorossiysk ในทะเลดำ 25% ในเดือน มี.ค.-เม.ย. 66

สัปดาห์นี้ ทางเทคนิคคาดว่าราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 80 – 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

>> ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

'การรถไฟ' แก้แบบสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยาใหม่ ช่วยลดผลกระทบต่อโบราณสถานและมรดกโลก

(28 ก.พ. 66) เพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้ Update ข้อมูลสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ระบุว่า...

สถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา จะอยู่ตรงไหน มีหน้าตาอย่างไร มาช่วยกันหาทางออก เพื่อพัฒนาเมืองในการศึกษา HIA 10 มีนาคม 2566 นี้!!! ณ โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ อยุธยา

ติดตามและแสดงความคิดเห็นได้ที่ Line
https://lin.ee/WU1GxB7 

HIA Historic City of Ayutthaya

เพื่อน ๆ ยังจำการที่ ‘กรมศิลปากร’ ออกมาคัดค้านในการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ด้วยเหตุผลการกระทบกับโบราณสถาน และมรดกโลก ซึ่งขอให้การรถไฟ ทำการศึกษา HIA (ศึกษาผลกระทบกับโบราณสถาน) ซึ่งทำให้โครงการเกิดการชะงัก และกับมาพิจารณากันใหม่

โดย กรมศิลปากรเป็นห่วงในเรื่องความสูงของทางวิ่ง และตัวอาคารสถานี ที่อาจจะสูงมากจนทำให้เป็นทรรศนะอุจาด ของเมืองอยุธยาได้

แต่ถ้าดูตามบริบทของพื้นที่ สถานีรถไฟอยุธยา ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับสถานีรถไฟความเร็วสูง อยู่นอกเขตเกาะเมืองอยุธยา ซึ่งจากเขตของมรดกโลก มากกว่า 1 กิโลเมตร

ซึ่งปัจจุบัน การรถไฟได้จ้างที่ปรึกษามาทำการศึกษา HIA (ศึกษาผลกระทบกับโบราณสถาน) เพื่อหารูปแบบ และป้องกันผลกระทบในทุกด้านกับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายอีสาน

คนอยุธยาช่วยกันออกมาแสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้สิ่งที่คนอยุธยาต้องการจริง ๆ นะครับ

เผื่อใครยังไม่ได้อ่านรายละเอียด ประเด็นปัญหาสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา

ซึ่งผมเคยพูดถึงดรามานี้ไปจนใหญ่โต เรื่อง สถานีอยุธยา VS กรมศิลป์ฯ ตามลิงก์นี้
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1201611603610650/ 

การทำ HIA ตามที่กรมศิลป์ฯ และ UNESCO ต้องการ ตามลิ้งค์นี้
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1202420353529775/?d=n 

การเปรียบเทียบ โครงการอื่นๆ ที่ผ่านใกล้กับมรดกโลก จากทั่วโลก
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1286300595141750/?mibextid=BfDkjB

ซึ่งหลังจากที่กรมศิลปากร มีข้อเป็นห่วงกับการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ก็มีการปรับปรุงรายละเอียดเพื่อลดผลกระทบ

โดยจะแก้ไขรายละเอียดสถานีและทางวิ่งช่วงผ่านเมืองอยุธยา คือ...

- ปรับลดคานทางวิ่งของทางรถไฟยกระดับลง 
จาก 21.62 เมตร >>> เหลือ 17 เมตร 

- ใช้ระยะสูงสุดของอาคารตาม EIA เดิม

หลังคากลางอาคารสูงสุด อยู่ที่ 37.45 เมตร...
ระดับชั้น 3 ชานชาลารถไฟความเร็วสูง 21.62 เมตร
ระดับชั้น 2 ชานชาลาพื้นที่ยานตั๋วและรอรถ 12.00 เมตร
ระดับชั้น 1 สถานีเดิม ชานชาลารถไฟทางไกล และชานชาลารถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงในอนาคต 1.50 เมตร

'คลัง' ยันเสถียรภาพ ศก.ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ดัชนีเชื่อมั่นโต อัตราเงินเฟ้อลด

(27 ก.พ. 66) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม 2566 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และสูงสุดในรอบ 26 เดือน ขณะที่แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.7 จากระดับ 49.7 ในเดือนก่อน

ทั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น หลังจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ในเดือนมกราคม 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -7.3% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 6.6%

ขณะที่ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนมกราคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่10.1% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 2.1%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top