Sunday, 27 April 2025
ECONBIZ NEWS

มาสด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ประกาศแต่งตั้ง ‘คนไทย’ ขึ้นเป็น ‘ประธานคนใหม่’ เผย!! อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ มีบทบาทสำคัญ บริหารงานมาแล้ว ครบทุกฟังก์ชั่น

(11 ม.ค. 68) มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ประกาศแต่งตั้ง นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President & CEO) บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีบทบาทสำคัญในการบริหารองค์กรมาสด้ามายาวนาน สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนนับตั้งแต่ร่วมงานกับมาสด้า เมื่อปี พ.ศ. 2550 เริ่มจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนารถยนต์มาสด้าในตำแหน่งผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ฝ่ายการตลาด สั่งสมประสบการณ์กว่า 18 ปี บริหารงานครบทุกฟังก์ชั่น สร้างผลงานความสำเร็จมากมาย โดยเฉพาะการเปิดตัวมาสด้า2 ได้รับความนิยมสูงสุดจนสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตลาดรถยนต์นั่งซิตี้คาร์ ครองแชมป์ทำสถิติยอดขายสูงสุด 3 ปีติดต่อกัน รวมทั้งประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับบริษัทแม่ ประเทศญี่ปุ่น ขยายการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัตินอกประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในประเทศไทย ผลักดันโครงการขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจมาสด้าในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลา 18 ปี นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารองค์กรมาสด้า ทั้งส่วนงานวางแผนด้านผลิตภัณฑ์ การวางกลยุทธ์การตลาด ส่งเสริมการขาย การพัฒนาผู้จำหน่าย การเอาใจใส่ดูแลลูกค้าเสมือนคนในครอบครัว และส่วนอื่นๆ อย่างรอบด้าน ถือเป็นผู้บริหารที่มีส่วนร่วมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และอยู่ในทุกช่วงเวลา ทุกสถานการณ์ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคมากมาย ร่วมมือปลุกปั้นแบรนด์มาสด้าจนได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย แรกเริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2558 จากยอดขาย 11,000 คันต่อปี ก้าวสู่การสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายสูงสุดถึง 74,000 คันต่อปี

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของธุรกิจมาสด้า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ท้าทาย และมีคุณค่ายิ่ง ความผูกพันกับทีมงานคนไทย ผู้จำหน่ายมาสด้า สื่อมวลชน และพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดระยะเวลาที่ทำงานกับมาสด้า ผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เชื่อมั่นในศักยภาพของทีมงานทุกคน การที่มาสด้าทำงานลงลึกในรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การขาย การดูแลและการบริการ การมอบความประทับใจให้ลูกค้า ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกหล่อหลอมและส่งเสริมให้มาสด้าก้าวเดินและเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาถึงทุกวันนี้ ต่อจากนี้ อีกหนึ่งบทบาทใหม่จะมีความท้าทายยิ่งขึ้น มาสด้าจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลังและเข้มข้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในทุกมิติ สร้างธุรกิจมาสด้าและผู้จำหน่ายให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ที่มอบประสบการณ์ความสุขในการขับขี่ให้ลูกค้าตลอดไป

มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว สิ่งสำคัญที่จะทำให้มาสด้าเกิดความแข็งแกร่งจึงไม่ใช่การขายรถใหม่เพียงอย่างเดียว ทุกภาคส่วนต้องสร้างความรัก ความผูกพัน ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่ดี จนเกิดเป็นความประทับใจ กลับมาซื้อซ้ำ และเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าได้ทุกรุ่น ทุกช่วงเวลาของชีวิต กลายมาเป็น ‘มาสด้า แฟมิลี่’ นั่นคือแก่นแท้ของการดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ Retention Business คือการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าให้ดีที่สุด รวมถึงการแนะนำจุดเด่นของรถมาสด้าให้กับคนอื่นๆ ต่อไป มาสด้าเชื่อว่าแนวทางการทำธุรกิจด้วยวิถีนี้จะนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างเต็มกำลัง และให้ความสำคัญสูงสุดต่อการสร้างคุณค่าแบรนด์ โดยเฉพาะการบริการหลังการขายที่ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือก และเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริการ เพื่อส่งมอบรอยยิ้มและความสุขให้ลูกค้า รวมถึงผลประกอบการของผู้จำหน่ายต้องแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ถือเป็นประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนไทยคนแรกที่มาจากสายเลือดอันเข้มข้นของ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เพียงคนเดียว เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในองค์กรระดับโลก และมีเพียงคนไทยไม่กี่คนที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคนานัปการมาได้ เป็นขุนศึกที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้บริหารระดับสูงมานับไม่ถ้วน โดยดำรงตำแหน่งล่าสุด คือ รองประธานกรรมการบริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา

มร. ทาดาชิ มิอุระ จะขยับขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาอาวุโส กล่าวสั้นๆ แต่มากด้วยความหมายว่า "ผมเชื่อมั่นในพลังของการทำงานเป็นทีม ด้วยศักยภาพของพนักงานทุกคนใน มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และผู้จำหน่ายมาสด้าทุกราย ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสร้างมาสด้าให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย แน่นอนที่สุดการสนับสนุนและให้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วยดีมาโดยตลอดนั้น คือสิ่งสำคัญยิ่งต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ผมภูมิใจและมีความสุขกับบทบาทใหม่ที่กำลังจะมาถึง อีกไม่นานจากนี้ไป มาสด้ากำลังเร่งมือเดินหน้าแนะนำยนตรกรรมใหม่และรถยนต์รุ่นใหม่ รวมถึงการสร้างความยั่งยืนที่ครอบคลุมทุกๆ ด้าน เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่อยู่คู่สังคมไทยตลอดไป ผมมั่นใจว่าเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่นำพามาสด้าในประเทศไทยประสบความสำเร็จและยั่งยืน ทำให้มาสด้าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ลูกค้าภาคภูมิใจที่ได้ครอบครอง"

การปรับทัพผู้บริหารของมาสด้าในช่วงเวลาที่ตลาดรถยนต์ไทยมีการแข่งขันรุนแรงเช่นนี้ นับว่าน่าจับตามองอย่างยิ่ง ถือเป็นความท้าทายที่มาสด้าจะต้องก้าวผ่านเพื่อไปสู่ความสำเร็จในระดับสูงขึ้น โดยเฉพาะการแนะนำรถมาสด้ารุ่นใหม่ที่กำลังจ่อคิวลงตลาดตามแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะส่งผลให้มาสด้ากลับมาทวงแชมป์ความยิ่งใหญ่ และได้รับความนิยมสูงสุดจากลูกค้าชาวไทยในเร็วๆ นี้

‘เอกนัฏ’ หนุน!! เปลี่ยนใบอ้อยเป็นเงิน สร้างรายได้เกษตรกร วอน!! หยุดเผา ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 สร้างมูลค่าเพิ่ม อย่างยั่งยืน

(11 ม.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ตนได้มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ปฏิรูปอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่มีความยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนแนวทางและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 โดยได้เสนอของบประมาณจากรัฐบาลกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสด 100% ซึ่งจะมีการจ่ายเงินสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยเฉพาะเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสด และเพิ่มราคารับซื้อใบและยอดอ้อย เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบด้านพลังงานป้อนโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวลหรือโรงงานที่ใช้พลังงานชีวมวล ซึ่งมาตรการดังกล่าว

จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยอย่างยั่งยืน เนื่องจากจะทำให้ชาวไร่อ้อยเห็นคุณค่าและช่องทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มของใบและยอดอ้อย ทำให้ลดการเผาใบและยอดอ้อยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

ด้านนายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กล่าวว่า ภายหลังจากที่ สอน. ได้ทำจดหมายขอความร่วมมือไปยังโรงงานน้ำตาลทั้ง 58 แห่ง ให้รับเฉพาะอ้อยสดเข้าหีบ โดยชะลอ ระงับ ยับยั้ง และยุติการเผาไร่อ้อย พร้อมทั้งยุติการรับอ้อยเผาไฟเข้าหีบ ระหว่างวันที่ 3 มกราคม 2568 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 12 มกราคม 2568 เวลา 23.59 น. เพื่อเป็นของขวัญวันเด็กสำหรับเยาวชนไทยทั้งประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล สะท้อนได้จากสถานการณ์อ้อยเข้าหีบของโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ ณ วันที่ 8 มกราคม 2568 ที่มีตัวเลขอ้อยถูกเผาอยู่ในระดับคงที่กว่า 4 ล้านตัน คิดเป็น 20.18% ของปริมาณอ้อยที่รับเข้าหีบทั้งหมดกว่า 19 ล้านตัน 

“สอน. จึงขอความร่วมมือมายังเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ช่วยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีผลิตส่งเข้าหีบโรงงานน้ำตาล รวมทั้งไม่เผาใบอ้อยหลังเก็บเกี่ยว ขณะเดียวกันขอความร่วมมือจากโรงงานน้ำตาลให้งดรับซื้ออ้อยเผา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดการเกิดฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งผลักดันมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสด 100% เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และสร้างอากาศสะอาดและบริสุทธิ์ ไร้มลภาวะฝุ่น PM 2.5 ปฏิรูปอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ให้เป็นอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่มีความยั่งยืน ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล และแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างถาวรตามนโยบาย รัฐมนตรีฯ” นายใบน้อยฯ กล่าวทิ้งท้าย

'พิชัย' ถกเข้ม 10 นโยบายเร่งด่วนพาณิชย์ ยกระดับเศรษฐกิจ เพิ่มโอกาสเกษตรกรส่งออกข้าวเสรี ดันราคามันสำปะหลัง เตรียมบิน UAE เจรจาการค้าการลงทุน กุมภาฯนี้ 

(10 ม.ค.68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังการประชุมติดตามและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเร่งด่วนของกระทรวงพาณิชย์ ณ ห้องประชุม 20610 ชั้น 6 กรมการค้าภายใน โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วม

นายพิชัย กล่าวว่า วันนี้ได้มีการประชุมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ในการติดตามผลงานและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเร่งด่วนของกระทรวงพาณิชย์ตามแนวทางของรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการประชุมได้มีประเด็นสั่งการสำคัญดังนี้ 

(1) ให้เร่งติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจการค้า สื่อสารประชาชนให้ทราบแนวทางของกระทรวงฯและแนวทางเศรษฐกิจของรัฐบาล 

(2) เรื่อง FTA ถ้าเราปิดจบได้มาก การค้าการลงทุนเราจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเราพยายามจี้ให้สำเร็จ มีเรื่องของ FTA ไทย-UAE ที่เราอยากดำเนินการให้สำเร็จ ซึ่งจะมีการลงทุนขนาดใหญ่จาก UAE เข้ามาอีกหลายเรื่อง โดยจะมีการร่วมมือกันในหลายระดับและตนจะเดินทางไป UAE เพื่อจะได้มีความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในเรื่อง ของ FTA Data Center และ Food Security

(3) เตรียมการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่ดาวอส จะไปเซ็นสัญญา FTA กับเอฟตา และจะมีประเด็นต่างๆเข้าไปร่วมเจรจาด้วย 

(4)เรื่อง Food Storage เพื่อแก้ปัญหา Food Security คลังอาหารของโลกให้กับประเทศต่างๆ เป็นทิศทางที่กระทรวงเร่งดำเนินการ 

(5) เรื่องเปิดเสรีข้าว ปลดล็อก/
ปรับลด เพื่อเพิ่มโอกาสให้เกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย เป็นนโยบายหลักของท่านนายกรัฐมนตรีที่อยากให้เปิดเสรี เพื่อให้มีการแข่งขันมากขึ้น ไทยจะได้สามารถส่งออกข้าวได้มากขึ้น มีการลดปริมาณสต๊อกและยกเว้นธรรมเนียมให้รายย่อย โดยหลังจากนี้จะมีการประชุมและแถลงอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 17 มกราคมนี้

(6) เรื่องการดูแลราคาสินค้าเกษตร ในเรื่องมันสำปะหลังปีนี้ทางจีนมีการซื้อช้าหน่อย แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาซื้อแล้วทำให้การส่งออกมันสำปะหลังไปจีนเริ่มดีขึ้น และจะมีการเร่งรัดเพื่อนำไปทำอาหารสัตว์เพิ่มเติมให้ราคามันสำปะหลังเพิ่มขึ้น และจะมีการดำเนินการอีกหลายโครงการ ซึ่งกรมการค้าภายในได้เชิญชวนผู้ซื้อมันสำปะหลังจากจีนผ่านสถานทูตจีนประจำประเทศไทย จะมีการซื้อขายมันเส้นอีกประมาณ 300,000 ตัน จะช่วยพยุงราคามันสำปะหลังให้ดีขึ้น และจะช่วยดันราคาสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นปีทองของสินค้าเกษตรต่อไป 

(7) เรื่องการปรับโฉม Thai SELECT ให้เทียบชั้น MICHELIN Star ยกระดับให้มีมาตรฐาน

(8) แก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้บริโภคของไทย ซึ่งที่ผ่านมามีสินค้าไหลเข้ามาในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องมีการจับนอมมินีมากขึ้น 
(9) ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัล APP กระทรวงพาณิชย์ ครอบคลุมทุกกรมฯให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการ เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวข้องกับประชาชนในวงกว้างให้สะดวกและครอบคลุม เป็นตัวอย่างให้กับกระทรวงอื่นในการดำเนินการต่อไป
(10) เรื่อง Thailandbrand ให้มี SME ใหม่ๆเกิดขึ้น โดยใช้สัญลักษณ์ Thailand brand มอบให้ท่านปลัดจะเป็นผู้รับผิดชอบ ให้สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับ ซึ่งคนในอาเซียนมองสินค้าไทยเป็นสินค้าพรีเมียม อยากให้คนไทยมองสินค้าไทยเป็นพรีเมียมด้วย สินค้าเรามีคุณภาพสูงอยากให้ส่งเสริมใช้สินค้าไทยกันเยอะๆ ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ของไทยให้ได้รับการยอมรับอย่างสูง

“และจากนี้ตนจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมกรมต่าง ๆ ซึ่งคนกระทรวงพาณิชย์มีความสามารถดีเยี่ยมอยู่แล้ว จะได้ไปกระตุ้นให้มีงานออกมาเยอะขึ้น ให้ประชาชนมีความสุขมากขึ้น  เราต้องการให้คนตัวเล็กเกษตรกรสามารถส่งออกข้าวได้มากขึ้น โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมและลดสต๊อกส่วนผู้ประกอบการค้าข้าว ซึ่งจะมีการติดตามและประเมินผลต่อไป และเฟสต่อไปจะอำนวยความสะดวกให้มาจดทะเบียนที่เดียว สามารถเป็นทั้งผู้ประกอบการค้าข้าวและผู้ส่งออกข้าว เป็นความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าภายในและกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ อำนวยความสะดวกผู้ประสงค์ประกอบธุรกิจค้าข้าวและการส่งออกข้าว จะได้ข้อสรุปภายในมีนาคมนี้ในเฟสแรก และถ้าเป็นไปด้วยดีจะเปิดเสรีเลยในอนาคต ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี อยากเห็นการทำลายการผูกขาดและเปิดเสรีในทุกด้าน“ นายพิชัย กล่าว

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ นั่งหัวโต๊ะ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น ‘ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกมฯ’ รากฐานการพัฒนาประเทศด้านเกม - กำลังคนดิจิทัล - เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศ

(10 ม.ค.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงการเป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการ (ร่าง) พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม พ.ศ. ….  เพื่อเปิดพื้นที่ให้ภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเสนอความคิดเห็น เพื่อนำไปสู่กฎหมายที่มีความสมบูรณ์และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนและประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีนายพรรณธนู วรรณกางซ้าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี , นายอัฐฐเสฏฐ จุลเสฏฐพานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี , นางสาวยุพาภรณ์ ศิริกิจพาณิชย์กูล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงฯ , ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ดีป้า , ดร.กษิติธร ภูภราดัย และ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ , นางสาวกษมา กองสมัคร และ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ , 

รวมถึงคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเกม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ (THACCA) สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กรมทรัพย์สินทางปัญญา สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกม ฯลฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ว่า อุตสาหกรรมเกมขยายตัวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก ดังนั้นการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกมจะเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานการพัฒนาประเทศด้านเกม ซึ่งเนื้อหาของ พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดกรอบการพัฒนาอุตสาหกรรมเกมในทุกมิติ ตั้งแต่การพัฒนากำลังคน การส่งเสริมให้เกิดการยกระดับผู้ประกอบการเกมไทยผ่านกลไกต่าง ๆ การกำหนดแนวทางป้องกันผลกระทบทางสังคม และการดึงดูดการลงทุนของผู้ประกอบการระดับโลกเข้ามาในประเทศไทย

"ดังนั้นการดำเนินการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกมจำเป็นต้องรับฟังเสียงสะท้อนจากผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม นักพัฒนาเกม นักวิชาการ ตัวแทนภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป โดยความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับในวันนี้จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย และตอบสนองความต้องการของทุกฝ่าย ซึ่งถือเป็นการสร้างรากฐานของอุตสาหกรรมเกม เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศสู่ระดับสากล ต่อยอดโอกาสสู่อาชีพใหม่ อีกทั้งสร้างรายได้และเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกมมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ผู้ผลิตและพัฒนา ผู้จัดจำหน่าย รวมถึงผู้ให้บริการแพลตฟอร์มกระจายการจัดจำหน่าย และสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมเกมในประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พัฒนามาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการกำกับ และควบคุมอุตสาหกรรมเกม เพื่อนำไปสู่การกำกับและบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพ อีกทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมเกมตลอดห่วงโซ่อุปทานและมูลค่าเกมผ่านกองทุนส่งเสริม

"ทั้งนี้ โครงของร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม ประกอบด้วย 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การปรับปรุงนิยาม การตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง การขึ้นทะเบียน การกำกับ และกองทุนส่งเสริม โดยกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมอุตสาหกรรมและการปกป้องสังคม โดยเฉพาะการดูแลเยาวชน การป้องกันผลกระทบทางจิตใจ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้อุตสาหกรรมเกมในเชิงบวก ซึ่ง ดีป้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนจะส่งผลให้ พ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกมเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกมไทย ทั้งในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพ และขีดความสามารถทางการแข่งขัน อีกทั้งผลักดันประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืนต่อไป จากนี้ ดีป้า จะนำความคิดเห็นของทุกภาคส่วนมาเร่งปรับปรุงร่างกฎหมาย โดยคาดว่าจะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายในเดือนเมษายน และจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2568" ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ขณะที่ผู้แทนจากภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของกำลังคนในภาคอุตสาหกรรม พร้อมเสนอให้มีการเพิ่มประเด็นเรื่องการพัฒนากำลังคนในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ และเสนอให้มีภาคเอกชน ภาคการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านเกมเพิ่มขึ้นในส่วนของคณะกรรมการ เนื่องจากอุตสาหกรรมเกมพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนจะทำให้คณะกรรมการสามารถติดตามความเคลื่อนไหวและรับความรู้ในประเด็นต่าง ๆ ได้รวดเร็ว ชัดเจน และถูกต้อง

วาระ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน 'อลงกรณ์' ปาฐกถามั่นใจความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย-จีนมีแนวโน้มสดใส

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII Thailand) และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศได้รับเชิญเป็นองค์ปาฐกและร่วมเป็นประธานเปิดการประชุมนักธุรกิจและประกาศเกียรติคุณกิจการและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นในวาระเฉลิมฉลอง 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับราชอาณาจักรไทยจัดโดยสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย ร่วมกับองค์กรปานามา แปซิฟิก อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กโปซิชั่น( Panama Pacific International Exposition ) ที่โรงแรมเดอะแกรนด์ โฟวิงก์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานครโดยนายอลงกรณ์ปาฐกถาแสดงความมั่นใจว่าความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย-จีนมีแนวโน้มสดใส พร้อมกับโชว์ธนบัตรฉบับแรกของไทยที่นำออกใช้ในปี 2445 (ค.ศ 1902)หรือเมื่อ 123 ปีก่อนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5มีภาษาจีนปรากฏในธนบัตรดังกล่าวซึ่งในหลวงรัชกาลที่5ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้คนจีนสามารถทำมาหากินทำการค้าธุรกิจในประเทศไทย (สยาม) ต่อมาอีก100ปีรัฐบาลไทย จึงให้จัดพิมพ์ธนบัตรดังกล่าวโดยพิมพ์เพิ่มด้านหลังเป็นพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 9 เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงทั้ง 2 พระองค์ซึ่งในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสถาปนาความสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2518 ซึ่งได้รับความสนใจจากที่ประชุมเป็นอย่างมาก 

นอกจากนี้นายอลงกรณ์ยังกล่าวยกย่อง ม.ล.สุภาพ ปราโมชว่าเป็น1ในคนไทยที่ทุ่มเทสานสัมพันธ์ไทย-จีนโดยเดินทางไปเยือนแผ่นดินใหญ่จีนถึง 157 ครั้งนับแต่ร่วมคณะม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไปสถาปนาความสัมพันธ์ที่กรุงปักกิ่งในปี พ.ศ.2518

โดยนายอลงกรณ์กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า “…วันนี้ เราทุกคนมารวมกัน ณ ที่แห่งนี้ ก่อนอื่น ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขในปีใหม่ และในปีนี้ เราร่วมกันเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันทรงคุณค่า และร่วมกันหารือถึงโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและไทย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างจีนและไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการค้าทวิภาคีทำสถิติสูงสุดใหม่ การแลกเปลี่ยนทางการค้าในภาคสินค้าเกษตรผลิตภัณฑ์เครื่องจักรกลและไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์เคมีมีมากขึ้นเรื่อยๆ ผลไม้คุณภาพสูงและข้าวของไทยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน ในขณะที่เครื่องจักรกลและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของจีนก็มีบทบาทสำคัญในตลาดไทยเช่นกัน   

ภายใต้การผลักดันของนโยบาย 'หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง' ของรัฐบาลจีน การเชื่อมโยงระหว่างจีนและไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย ได้สร้างช่องทางที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นสำหรับการค้าระหว่างกัน ในขณะเดียวกัน การแลกเปลี่ยนในด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรมและการศึกษาของทั้งสองฝ่ายก็มีการพัฒนาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน เราจะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน สนับสนุนนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อร่วมกันขยายตลาดสู่ระดับนานาชาติ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและมิตรภาพระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ       

เมื่อมองไปสู่อนาคต โอกาสในการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและไทยมีแนวโน้มสดใส โดยเฉพาะในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เราจะส่งเสริมมิตรภาพดั้งเดิม เสริมสร้างความเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ และแสวงหาโอกาสความร่วมมือในสาขาใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล พลังงานทดแทน เพื่อผลักดันความร่วมมือในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีนและไทยให้บรรลุผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้นไม้แห่งมิตรภาพจีน-ไทยเจริญงอกงามยิ่งขึ้น นำมาซึ่งความสุขและความเจริญให้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ และมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น…”

ต้นตำรับไก่ทอดเกาหลี เปิดสาขาแรกสยามสเคป ราคาน่าคบ เจาะกลุ่ม Gen Y-Z ตั้งเป้า 3 ปีขยาย 20 สาขา

(10 ม.ค.68) ร้านไก่ทอดเกาหลีชื่อดัง Pelicana (เพลิคาน่า) ต้นตำหรับไก่ทอดเกาหลีที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1982 จากเมืองแกยอง ที่มีกว่า 3,000 สาขาทั่วโลก บุกเปิดร้านแรกที่สยามสแควร์ หวังชิงส่วนแบ่ง 2.5% ของร้านอาหารประเภทไก่ทอดในประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปีและมีอัตราการเติบโต 8% ต่อปี

นาย อรรถวุฒิ นิธิกอบกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ร้านไก่ทอด เพลิคาน่า เป็น 1 ในร้านไก่ทอดร้านแรก ๆ ของประเทศเกาหลีที่เปิดบริการมากกว่า 40 ปี และได้รับการยกย่องให้เป็น King of Chicken ของเกาหลี และได้ขยายธุรกิจไปทั่วโลกกว่า 3,000 สาขาในเกาหลี สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไต้หวัน มาเลเซีย และจีน โดยบริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) จำกัด ได้เซ็นสัญญาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเพียงผู้เดียว โดยได้เปิดสาขาแรกที่ชั้น 3 อาคาร สยาม สเคปใจกลางสยามสแควร์  และเตรียมจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 5 สาขาในปีนี้ และขยายเป็น 10 สาขาในปีหน้า และ 20 สาขาในปีถัดไป บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าธุรกิจใน 3 ปี จะมีรายได้รวมประมาณ 500 ล้านบาท 

นาย อรรถวุฒิ ยังเผยอีกว่า สำหรับสาขาแรกที่สยามสเคปจะเจาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษาเป็นหลัก ซึ่งผู้ปกครองมีกำลังซื้อสูง ขณะที่ในการขยายสาขาอื่น ๆ จะมีคอนเซปต์การตกแต่งร้านที่แตกต่างกันออกไป โดยอาจจะมีการเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางสาขาที่อยู่ในแหล่งคนทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และลูกค้าในแต่ละกลุ่ม

“จุดเด่นของร้านไก่ทอดเพลิคาน่า คือ คุณภาพอาหารระดับพรีเมียม รสชาติเหมือนที่เกาหลี ในราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นที่ 99 บาท โดยมีจุดเด่นคือ ทอดไก่ทีละจาน ไก่คุณภาพสูง วัตถุดิบนำเข้าจากเกาหลีทั้งหมด ทานที่ร้านเหมือนไปทานที่เกาหลี ใช้แป้งเครื่องปรุงหมักไก่ 24 ชั่วโมง เปลี่ยนน้ำมันทอดใหม่ทุกวัน และมีไก่ทอดให้เลือกถึง 10 รสชาติ อาทิ ซอสซิกเนเจอร์ ซอสน้ำผึ้ง ซอสสโมกกี้ฮ็อต ซอสกังจอง ซอสเผ็ด ซอสสโมกกี้มาโย ซอสเผ็ดมาโย ซอสกระเทียม ซอสถั่วเหลือง และโรยผงชีส โดย อาหารจะทำทีละออเดอร์ เพื่อความสดใหม่ และใช้ซอสและวัตถุดิบนำเข้าโดยตรงจากเกาหลี นอกจากนี้ ยังมีอาหารเกาหลียอดนิยม อาทิ เบอร์เกอร์ไก่ทอด ซุปกิมจิ ข้าวผัดกิมจิ ต๊อกบกกี ชีสบอล เป็นต้น” 

นางสาวอารดา นิธิกอบกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) บริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เราได้พัฒนาเมนูพิเศษเฉพาะในประเทศไทย คือ ข้าวมันไก่ทอดเกาหลี เป็นเจ้าแรกในไทย โดยเราจะเสิร์ฟ ไก่ทอดเกาหลี พร้อมกับข้าวมันหอมมะลิของไทย ในราคา 139 บาท พร้อมเซตน้ำรีฟิล ซึ่งคาดว่าลูกค้าจะให้การตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากกระแสความนิยมข้าวมันไก่และไก่ทอดระดับพรีเมียม ได้เพิ่มขึ้นอย่างสูงและคาดว่าจะเป็นเซกเมนต์ใหม่ที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมและพรีเมียมแมส นอกจากนี้ เรายังได้พัฒนา ขนมปังบัน สูตรพิเศษจากญี่ปุ่น ใช้แป้งขนมปังจากญี่ปุ่น สำหรับเบอร์เกอร์ไก่ทอด ทำให้ บันของเรามีความนุ่มนวล เหนียว เป็นพิเศษ เพิ่มความอร่อยให้ไก่ทอด แบบไม่เหมือนใคร ในราคา 169 บาท มาพร้อมเซตน้ำรีฟิลและเฟรนช์ฟรายส์"

นายอทิต ปัญทเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด (CMO) บริษัท เพลิคาน่า ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ใน 2 ปีนี้ บริษัทฯมีแผนที่เจาะตลาดหลักในกรุงเทพมหานคร ในศูนย์การค้าชั้นนำต่าง ๆ เพื่อรองรับ กลุ่มลูกค้าหลักในกลุ่ม Gen Y ช่วงต้นๆ กลุ่ม First Jobber และคนทำงานรุ่นใหม่อายุ 22-30 ปี และ Gen Z คือ นักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย รวมถึงแฟนคลับของซีรีส์เกาหลี แฟนคลับศิลปิน K-Pop ทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวเอเชีย ที่มีกำลังซื้อเป็นลูกค้าเป้าหมายด้วยเช่นกัน โดยภายในปี 2568 เราตั้งเป้าขยาย 5 สาขาพร้อมตั้งเป้ายอดขาย 100 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้ เราเตรียมเปิดบริการ Delivery ผ่านทาง Platform ยอดนิยมคือ Grab, Lineman, Robinhood  เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในกรุงเทพมหานครและมีแผนจะขยาย CLOUD Kitchen เพื่อขยายพื้นที่การให้บริการได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

“เราเตรียมแผนการตลาดและการสร้างแบรนด์ Pelicana โดยใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์แบบ Word-of- Mouth ด้วย Social Media, Viral Marketing & PR เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม พร้อมกับการใช้มาสคอต ARI เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียม Event และ Life Stlye Marketing เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศด้วย"

นายอทิต ปัญทเศรษฐ์ ยังอธิบายว่า ที่มาของชื่อ Pelicana มาจากการผสมคำระหว่างคำว่า นก Pelican ที่มักมีนิสัยคาบอาหารใส่ในอุ้งปากกลับไปให้ลูกกิน กับคำว่า American ซึ่งที่มาความนิยมไก่ทอดในเกาหลีเริ่มต้นหลังยุคสงครามเกาหลีที่ทหารอเมริกันนำเมนูไก่ทอดเข้ามาในเกาหลีจนเป็นที่แพร่หลาย

ด้านนายมาคัส ลี ผู้บริหารจาก Pelicana Korea กล่าวเสริมว่า Pelicana Fried Chicken เป็น 1 ในผู้บุกเบิกร้านไก่ทอดเกาหลี เมื่อ 42 ปีก่อน และได้รับความนิยมอย่างสูง โดยมีทั้งหมดกว่า 3,000  สาขาทั่วโลก โดยมีถึง 1,245 สาขาในประเทศเกาหลี นอกจากนี้ยังได้ขยายแฟรนไชส์ไปยัง 16 ประเทศที่สำคัญทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไต้หวัน มาเลเซีย และจีน โดยไทยเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมร้านอาหารขนาดใหญ่ มูลค่าสูงและเติบโตทุกปี เนื่องจากคนไทย ชอบทานอาหารนอกบ้านและมีธุรกิจ Food Delivery ที่มีคุณภาพและเติบโตสูง ขณะเดียวกัน ไทยเป็นตลาดที่มีความท้าทาย เนื่องจากมีการแข่งขันสูง มีแบรนด์ไทย และแบรนด์สากลจากประเทศชั้นนำทั่วโลก มาเปิดสาขาในกรุงเทพ จำนวนมาก อย่างไรก็ดี เรามีความมั่นใจในศักยภาพ และแผนธุรกิจ และ การตลาดของ บริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) ว่าจะสามารถ ทำให้ร้านเพลิคาน่า ประสบความสำเร็จในประเทศไทยได้ และทางบริษัทฯแม่ที่เกาหลีพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่” 

‘สรรพากร’ จี้กลุ่มค้าขายออนไลน์ - อินฟลูฯ ยื่นภาษีเงินได้ฯ ชี้! หากเลี่ยงภาษี - แจ้งเท็จ เสี่ยงเจอโทษหนักคุกสูงสุด 7 ปี

(10 ม.ค.68) นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่าภาพรวมกรมสรรพากรจัดเก็บรายได้ 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.- 31 ธ.ค. 2567 เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยสามารถจัดเก็บได้ 4.7 แสนล้านบาท เกินเป้า 3.9 พันล้านบาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ สามารถจัดเก็บได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ส่วนปัจจัยที่ทำให้การจัดเก็บภาษีลดลง ส่วนหนึ่งมาจากภาษีการนำเข้าลดลงประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อเดือน

โดยในไตรมาส 2/2568 คาดว่า การจัดเก็บภาษีจะเกินเป้า เพราะเป็นช่วงของการยื่นจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจะเน้นย้ำใน กลุ่มค้าขายแบบซื้อมาขายไป ซึ่งรวมถึง ธุรกิจค้าขายแบบออนไลน์ และอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น ขณะที่ไตรมาสที่ 3/2568 เป็นฤดูกาลจัดเก็บภาษีนิติบุคคล ซึ่งยังต้องจับตาภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

“กรมสรรพากร มีเป้าจัดเก็บรายได้ทั้งปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 2.37 ล้านล้านบาท ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 ถึง 5% จากจำนวนผู้ยื่นเสียภาษี จำนวนราว 11 ล้านคน ซึ่งมีการยื่นขอคืนเงินภาษี 4 ล้านคน และจ่ายภาษีเพิ่ม 7 ล้านคน โดยสรรพากรจะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมาย” นายปิ่นสาย กล่าว

ซึ่งข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ยื่นเสียภาษีมากกว่า 100,000 รายแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้ยื่นขอคืนภาษีผ่านช่องทางออนไลน์สูงถึง 96%

อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวอีกว่า สำหรับการยื่นเสียภาษีรูปแบบออนไลน์ จะทำให้ผู้เสียภาษีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคืนภาษีได้รวดเร็วขึ้น ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ใน 2-3 วัน ซึ่งผู้เสียภาษีสามารถยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91 ผ่านระบบออนไลน์ได้จนถึงวันที่ 8 เม.ย. 2568

ทั้งนี้ กรมสรรพากร ได้ใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาตรวจจับข้อมูลของกลุ่มดังกล่าวด้วย ฉะนั้น จึงขอให้มายื่นไว้ก่อนถูกผิดไม่เป็นไร ซึ่งสามารถแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม หากเกินระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นภาษี จะมีโทษทั้งทางเเพ่งและทางอาญา โดยทางเเพ่งต้องเสียเบี้ยปรับ 1 หรือ 2 เท่า ของภาษีที่ต้องชำระแล้วแต่กรณี บวกเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน หรือ 18% ต่อปี ส่วนทางอาญา เจตนาผู้ที่สร้างรายได้อันเป็นเท็จและมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีหรือใช้ใบกำกับภาษีปลอม มีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 – 200,000 บาท

‘แบงก์ชาติ’ สั่ง ธ.พาณิชย์คืนเงินผู้เสียหายทุกราย จากกรณีลูกค้าถูกขโมยบัตรเครดิต - เดบิตไปใช้

(10 ม.ค.68) นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กรณีมีผู้เสียหายจากการถูกมิจฉาชีพขโมยบัตรเครดิตไปชำระค่าสินค้าและบริการนั้น ธปท. ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการบัตรเครดิตเร่งตรวจสอบ ดูแล และชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าทุกรายในกรณีดังกล่าว โดยกรณีบัตรเครดิต ผู้ถือบัตรจะไม่ต้องชำระเงินและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น

ส่วนกรณีบัตรเดบิต ธนาคารจะคืนเงินให้ผู้ถือบัตรตามยอดที่ถูกตัดชำระภายใน 5 วัน นับแต่วันที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะต้องเข้มงวดในการปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว

นอกจากนี้ ธปท. ได้กำชับให้ผู้ให้บริการติดตามร้านค้าที่มีความเสี่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกใช้เป็นช่องทางรับชำระเงินของธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผู้ให้บริการต้องมีกระบวนการรู้จักและพิสูจน์ตัวตน เพื่อคัดกรองร้านค้า ประเมินความเสี่ยง รวมทั้งติดตามความเสี่ยงและพฤติกรรมของร้านค้าอย่างต่อเนื่อง โดยต้องยุติการบริการทันทีเมื่อพบร้านค้าที่อาจเข้าข่ายให้บริการที่ไม่ถูกกฎหมาย รวมถึงพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถาม ขอคำปรึกษาและร้องเรียนปัญหาการใช้บริการทางการเงินได้ที่ BOT contact center 1213

‘เอกนัฏ’ คิกออฟ! ขนกากพิษ ‘วิน โพรเสส’ ล็อตแรก ตั้งเป้าปิดฉากมหากาพย์กากพิษระยอง ภายใน เม.ย. 68

คิกออฟ!! วิน โพรเสส ‘เอกนัฏ’ ลงพื้นที่สั่งเคลียร์กากพิษล็อตแรกกว่า 7 พันตัน เร่งปิดฉากมหากาพย์อนุสรณ์สถานกากพิษระยอง

(9 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมกำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) คุมเข้มการขนย้ายตะกรันอะลูมิเนียมหรืออะลูมิเนียมดรอสล็อตแรกทั้ง 7,000 ตัน ในทุกขั้นตอน โดยเริ่มขนย้ายออกจากบริษัทฯ แล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 เพื่อนำไปบำบัดกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งจากการประเมินของกรมโรงงานฯ พบว่า ในพื้นที่มีกากของเสียตกค้างรวมประมาณ 33,800 ตัน ประกอบด้วย 

1) ของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ 12,600 ตัน 2) กากตะกอนของเสียตกค้างในอาคารและรางระบายน้ำ 4,600 ตัน 3) กากตะกอนผิวดินที่เกิดการปนเปื้อนจากเหตุไฟไหม้ 5,900 ตัน และ 4) น้ำเสียเคมีวัตถุ 10,700 ตัน ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการบำบัดกำจัดสูง ไม่สามารถดำเนินการในคราวเดียว ประกอบกับจากการสำรวจพื้นที่พบว่ามีอะลูมิเนียมดรอสประมาณ 7,000 ตัน ซึ่งเป็นกากของเสียที่สร้างปัญหาเรื่องกลิ่นรบกวนชาวบ้านในพื้นที่มากที่สุด กระทรวงอุตสาหกรรมจึงแถลงต่อศาลจังหวัดระยองขอเบิกเงินที่บริษัท วิน โพรเสส จำกัด วางไว้ต่อศาลจำนวน 4.9 ล้านบาท มาใช้ในการบำบัดกำจัด อะลูมิเนียมดรอสก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีกำหนดการแล้วเสร็จภายในวันที่ 26 เมษายน 2568 นี้

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการประเมินตัวเลขค่าใช้จ่ายในการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอส รวมค่าขนส่งจะอยู่ที่ประมาณตันละ 10,000 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสทั้งหมด 7,000 ตัน สูงถึง 70 ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ผนึกกำลังร่วมกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ผ่านการดำเนินกิจกรรม 'อุตสาหกรรมรวมใจ' ทำการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสไปบำบัดกำจัดโดยใช้เป็นวัตถุดิบผสมร่วมกับดินอลูมินาในกระบวนการเผา เพื่อผลิตปูนซีเมนต์ซึ่งใช้อุณหภูมิสูงกว่า 1,400 องศาเซลเซียส ประกอบกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มีระบบบริหารจัดการและระบบบำบัดมลพิษประสิทธิภาพสูง ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสได้ทั้งหมดอย่างปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบโรงงาน ด้วยงบประมาณเพียง 4 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ได้แล้ว ยังสามารถลดการใช้งบประมาณของภาครัฐลงได้กว่า 66 ล้านบาท

ด้าน นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การขนย้ายจะคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ โดยการยกถุงบิ๊กแบ็กที่บรรจุอลูมิเนียมดรอส บรรทุกโดยรถโรลออฟพ่วงที่ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตให้ขนส่งวัตถุอันตราย บรรทุกจำนวน 17 ถุงต่อคัน จำนวน 4-5 คันต่อวัน รวมจะทำการขนย้ายปริมาณ 115 ตันต่อวัน ซึ่งจะใช้เวลาในการขนย้ายและทำการบำบัดกำจัดอลูมิเนียมดรอสทั้งสิ้นประมาณ 60 วัน โดยรถโรลออฟพ่วงทุกคันมีการใช้ระบบติดตามจีพีเอส และมีระบบติดตามและตรวจสอบการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสเฉพาะกิจ ปิดคลุมรถด้วยแผ่นพลาสติกรัดตรึงด้วยเชือกทุกด้าน เพื่อป้องกันการหกรั่วไหลและป้องกันน้ำอย่างมิดชิด จึงสามารถมั่นใจได้ว่าการขนย้ายและการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสทั้งหมดจะดำเนินการเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด

“ผมได้สั่งการและกำชับให้ กรอ. เร่งทำการบำบัดกำจัดกากของเสียที่เหลือให้เร็วที่สุด โดยในระยะต่อไป จะทำการบำบัดของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ โดยเฉพาะสารเคมีที่บรรจุอยู่ในถัง IBC และถุงบิ๊กแบ็กที่อยู่นอกอาคารปริมาณ 2,600 ตัน รวมถึงวัตถุอันตรายในบ่อซีเมนต์อีกกว่า 1,400 ตัน และกากของเสียที่เหลืออื่น ๆ ทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรม พ.ศ. ... ที่ได้ยกร่างแล้วเสร็จต่อรัฐสภา ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะอุดรอยรั่วและยกระดับมาตรการทางกฎหมายที่ครอบคลุมการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบอย่างเข้มงวด รัดกุม ป้องกันการกระทำผิดแบบครบวงจร และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้เกิดความสมดุลต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายเอกนัฏฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘ซิกเว่ เบรกเก้’ คัมแบคธุรกิจโทรคมนาคมไทย นั่งแท่น ปธ.บอร์ด กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือซีพี

ซีพี ตั้ง ‘ซิกเว่ เบรกเก้’ นักธุรกิจระดับโลกจากนอร์เวย์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง 'ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์'

(9 ม.ค. 2568) นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์  เปิดเผยว่า การเข้ามาของ นายซิกเว่ เบรกเก้ ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับเครือซีพี  ซึ่งมั่นใจว่าด้วยวิสัยทัศน์และประสบการณ์ของนายซิกเว่ จะสามารถนำพาเครือซีพีก้าวสู่การเป็น Technology Company ชั้นนำระดับโลก ที่พร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ สังคม และประเทศชาติในทุกมิติ ทั้งนี้ บทบาทและความรับผิดชอบของนายซิกเว่ในตำแหน่งสำคัญนี้ จะครอบคลุมถึงการดูแลรับผิดชอบธุรกิจที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปลงทุน เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคม ธุรกิจดิจิทัล และธุรกิจด้านการเงินดิจิทัล เป็นต้น

“ซีพีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า คุณซิกเว่ เบรกเก้ จะเข้ามาเป็นผู้นำคนสำคัญของเรา โดยดูแลรับผิดชอบด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล ผมรู้จักคุณซิกเว่มาหลายปีแล้ว มั่นใจว่าคุณซิกเว่มีประสบการณ์ระดับโลกในด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล” ซีอีโอ เครือซีพี กล่าว

ทั้งนี้ เครือซีพีมีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่กว้างขวางในวงการเทคโนโลยีดิจิทัล และการสื่อสารระดับโลกของนายซิกเว่ รวมถึงการเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนองค์กรใหญ่ด้วยนวัตกรรมและกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นอนาคต โดยตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมานายซิกเว่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง การบริหารโครงการระดับโลก และการสร้างพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนส่งเสริมความก้าวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลในหลายประเทศ

ด้าน นายซิกเว่ เบรกเก้ กล่าวว่า “เครือซีพีได้สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้นำระดับภูมิภาคด้านการเชื่อมต่อ โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรมดิจิทัล และบริการทางการเงินมายาวนานกว่า 20 ปี ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่คุณศุภชัยเชิญให้มาร่วมพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัลในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญต่อผู้บริโภค องค์กร และสังคม ผมตั้งตารอที่จะได้กลับมาทำงานในประเทศไทยและร่วมเดินหน้ากับทีมงานของเครือซีพี”

นอกจากนี้ นายซิกเว่ ได้กล่าวย้ำต่อไปว่า “เครือซีพี ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผมเชื่อว่าด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ ผนวกกับศักยภาพของบุคลากรในเครือซีพี เราจะสามารถผลักดันประเทศไทยให้เป็น ศูนย์กลางดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคได้อย่างแน่นอน”

อนึ่ง นายซิกเว่ เบรกเก้ เคยดำรงตำแหน่งประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทเลนอร์กรุ๊ปเป็นเวลา 9 ปี จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2024 ก่อนหน้านี้ เขาเคยดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารและหัวหน้าภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดีแทคในประเทศไทย และเคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทต่าง ๆ หลายแห่งในกลุ่มเทเลนอร์ ทั้งยังเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการของ GSMA ตั้งแต่ปี 2017 ถึงปี 2024 การเข้ามาของนายซิกเว่ในเครือซีพีถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์ของเครือซีพีในการลงทุนด้านโทรคมนาคม และการสร้างระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่ครบวงจร ครอบคลุมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมนวัตกรรม และการยกระดับทักษะดิจิทัลของคนไทย ที่พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่อนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top