Thursday, 22 May 2025
ECONBIZ NEWS

‘รมว.อุตฯ’ ชงปั้น ‘อาหารฮาลาล’ เป็นอุตสาหกรรมมุ่งเป้า ปั้นระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เป็นฐานส่งตลาดตะวันออกกลาง

(19 ก.ย.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตนได้ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ชี้พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor หรือ SEC) มีศักยภาพสามารถส่งเสริมสู่การเป็น ศูนย์กลางอาหารฮาลาลในภูมิภาค (Halal Hub) เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ทั้งยังมีอาณาเขตติดกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีตลาดรองรับทั้งกลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ และยังสามารถส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ

และสั่งการให้เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีทิศทางและสอดรับกับศักยภาพในแต่พื้นที่ เร่งชี้เป้าอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ รวมทั้งกระตุ้นการดึงการลงทุนเข้าสู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาคตามที่ได้มีการกำหนดสิทธิประโยชน์และมาตรการลงทุนในพื้นที่ไว้แล้ว

พร้อมกันนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ สศอ. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานสะอาด การหาแนวทางเพื่อการส่งเสริม Soft Power ไทยในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการยกระดับการบริการผู้ประกอบการและประชาชนผู้อย่างเต็มที่ อำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนการดำเนินงาน ปรับภาพลักษณ์ใหม่ ให้มีรอยยิ้มจากการใช้บริการ

ด้าน นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการ สศอ. กล่าวว่า สศอ. ขานรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สร้างเศรษฐกิจนำอุตสาหกรรม โดยจะเร่งชี้เป้าอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ให้เกิดการผลักดันอย่างต่อเนื่อง การยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรให้มีศักยภาพ รวมทั้งการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและพลังงานหมุนเวียน

ทั้งนี้สำหรับการพัฒนาการดำเนินงาน สศอ. จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้การกระบวนการทำงาน โดยใช้ระบบ iSingleForm เป็นระบบการรายงานเดียว ทั้งการให้บริการ Eco Sticker สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงมุ่งเน้นการสื่อสารผ่านช่องทาง Platform ต่างๆ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจสำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมให้สามารถนำข้อมูล ข่าวสาร มาใช้ในการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรม พร้อมเตรียมยกระดับการดำเนินงานทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อนำพาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมสำคัญระดับสากล ภายใน 4 ปี

'แกร็บฟู้ด' เปิดตัวบริการใหม่ 'DINE-IN' ชูคอนเซ็ปต์ 'อิ่ม คุ้ม ครบ' จบทุกเรื่องกินที่ร้าน

(19 ก.ย.66) จิรกิตต์ กว้างสุขสถิตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเดลิเวอรี และพนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด แกร็บประเทศไทย เปิดตัวบริการใหม่ ‘DINE-IN’ (กินที่ร้าน) ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อิ่ม คุ้ม ครบ จบทุกเรื่องกินที่ร้าน’ ครอบคลุมตั้งแต่บริการค้นหาและรีวิวร้านอาหาร นำเสนอดีลส่วนลดสูงสุดถึง 40% พร้อมพ่วงบริการเรียกรถจากแกร็บ เล็งเจาะไลฟ์สไตล์คนเมืองทั้งกลุ่มครอบครัว คู่รัก และกลุ่มเพื่อน

แกร็บฟู้ด แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรียอดนิยม รับเทรนด์ผู้บริโภคหันกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น เปิดตัวบริการใหม่ ‘DINE-IN’ (กินที่ร้าน) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารที่ร้านแบบครบวงจรได้เพียงปลายนิ้ว ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อิ่ม คุ้ม ครบ จบทุกเรื่องกินที่ร้าน’ ครอบคลุมตั้งแต่บริการค้นหาและรีวิวร้านอาหาร นำเสนอดีลส่วนลดสุดคุ้มสูงสุดถึง 40% จากร้านอาหารชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ รวมถึง #GrabThumbsUp หรือร้านอร่อยยกนิ้ว พร้อมพ่วงบริการเรียกรถจากแกร็บที่มอบส่วนลดสูงสุดถึง 25% เล็งเจาะไลฟ์สไตล์คนเมืองทั้งกลุ่มครอบครัว คู่รัก และกลุ่มเพื่อนที่ชอบใช้เวลาร่วมกันในมื้อพิเศษ

นายจิรกิตต์ กว้างสุขสถิตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเดลิเวอรี แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “เทรนด์ของธุรกิจร้านอาหารในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเป็นไปในทิศทางบวก โดยเป็นที่คาดการณ์ว่าในปี 2566 ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 4.35 แสนล้านบาท และจะมีอัตราการเติบโตตลอดทั้งปีราว 7.1%1 อันเป็นผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ผนวกกับปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งนี้ แกร็บมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการปรับตัวของผู้บริโภค โดยเฉพาะพฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้านที่กลับมาทวีความนิยมมากขึ้นหลังสถานการณ์โควิดได้คลี่คลายลง ล่าสุดแกร็บจึงได้เปิดตัวบริการใหม่ที่ชื่อ DINE-IN (กินที่ร้าน) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งบริการดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารนอกบ้านได้อย่างสะดวกสบายและคุ้มค่าผ่านแอปพลิเคชัน Grab โดยอาศัยจุดแข็งของการเป็นซูเปอร์แอปซึ่งมีบริการที่หลากหลาย ทั้งเดลิเวอรี การเดินทางและการเงิน เพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับผู้ใช้บริการสายกินได้ภายในแอปพลิเคชันเดียว”

แกร็บเริ่มทดลองให้บริการ DINE-IN ครั้งแรกในประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการทั้งในด้านความสะดวกสบายและความคุ้มค่า โดยปัจจุบันแกร็บได้ขยายบริการดังกล่าวไปในประเทศต่างๆ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม สำหรับในประเทศไทย แกร็บได้ผนึกพันธมิตรกับพาร์ตเนอร์ร้านอาหารชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ เพื่อเปิดตัวบริการ DINE-IN ในเฟสแรกครอบคลุมร้านอาหารประเภทต่างๆ ทั้งร้านไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) พรีเมียมไดนิ่ง (Premium Dining) แคชชวลไดนิ่ง (Casual Dining) ร้านอาหารในโรงแรม ร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ ไปจนถึงร้านสตรีทฟู้ดชื่อดัง ที่มาพร้อมดีลส่วนลดสุดพิเศษในรูปแบบของ E-Voucher ภายในแอปพลิเคชัน Grab

บริการ DINE-IN เปิดตัวภายใต้คอนเซปต์ ‘อิ่ม คุ้ม ครบ จบทุกเรื่องกินที่ร้าน’ โดยมี 3 ไฮไลต์สำคัญ คืออิ่ม (Enjoyable) : อิ่มอร่อยเต็มๆ ไปกับร้านอาหารชื่อดัง รวมถึง #GrabThumbsUp หรือร้านอร่อยยกนิ้วที่คัดสรรโดยแกร็บ อาทิ Vaso - Spanish Tapas Bar, Petits Plats Bangkok - French Mediterranean Cuisine, Burger & Lobster, OJI Omakase, Indus, 100 Mahaseth, CQK MALA Hotpot, HOLIDAY PASTRY, อบอร่อย, 26BraisedBeef (26 ยี่ สับ หลก) เป็นต้น

คุ้ม (Affordable): คุ้มค่าไปกับส่วนลดสุดพิเศษจากร้านอาหารพันธมิตรสูงสุดถึง 40% พร้อมด้วยส่วนลดค่าบริการเรียกรถจากแกร็บสูงสุดถึง 25% เมื่อเดินทางไปยังร้านอาหารที่ร่วมรายการ (ทั้งไปและกลับ) เพียงกรอกโค้ด ‘DINE-IN’ ตั้งแต่วันนี้จนถึงเดือนธันวาคม 2566

ครบ (Comprehensive): ครบวงจรของบริการที่รองรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้านผ่านแพลตฟอร์มแกร็บที่ใช้ง่ายและสะดวก ครอบคลุมตั้งแต่การค้นหาและเช็ครีวิวร้านอาหาร การซื้อดีลส่วนลดในรูปแบบ E-Voucher ไปจนถึงการนำเสนอบริการเรียกรถเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง

“สำหรับในช่วงเปิดตัว แกร็บจะเน้นทำการตลาดไปกับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ในเมืองเป็นหลัก โดยจะโฟกัสไปที่กลุ่มครอบครัว คู่รัก รวมถึงกลุ่มเพื่อน ซึ่งมักใช้เวลาร่วมกันในการไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ทั้งนี้ แกร็บเชื่อมั่นว่าบริการ DINE-IN จะได้รับความนิยมและกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ในการรับประทานอาหารนอกบ้านให้กับผู้ใช้บริการของเรา” นายจิรกิ

'รฟม.' ปลื้ม 2 ต่อ!! แคมเปญ 'ชวนใช้รถไฟฟ้า MRT' เข้าถึงผู้คนมหาศาล ใต้คอนเทนต์ 'สร้างสรรค์-โดนใจ' จนคว้ารางวัลใหญ่ Thailand Influencer Awards 2023

(19 ก.ย.66) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รับรางวัล Best Automotive and Transportation Influencer Campaign ในสาขา Brand and agency awards จากเวทีประกาศรางวัล Thailand Influencer Awards 2023 โดยมี นายยุทธศักดิ์ ชื่นใจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เป็นผู้แทน รฟม. เข้ารับรางวัล ณ ICONSIAM HALL

ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการตัดสินผู้ทรงคุณวุฒิด้านการโฆษณาและการจัดทำแบรนด์ทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ เช่น นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย), สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย, ตัวแทนผู้บริหารจาก Line และ Tiktok (Thailand) ซึ่งมอบให้แก่หน่วยงานและองค์กรที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์ ให้มีพลังจนเป็นที่ยอมรับในสังคม อีกทั้งยังมีการสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 

ทั้งนี้ ทาง รฟม. ได้นำกลยุทธ์ Influencer Marketing มาใช้ในการจัดทำแคมเปญ 'ชวนใช้รถไฟฟ้า MRT' ภายใต้โครงการเพิ่มจำนวนการใช้บริการรถไฟฟ้าของ รฟม. โดยสื่อสารสร้างการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์และบริการของ รฟม. ผ่าน Influencer กว่า 31 ราย และมีผลตอบรับที่ดีด้วยยอดเข้าถึงกว่า 1.1 ล้านครั้งเลยทีเดียว 

DITP ติดอาวุธผู้ประกอบการ ส่ง Podcast 'เจาะตลาดการค้า กับ DITP' องค์ความรู้จากภูมิภาคสำคัญในระดับโลก ที่ผู้ส่งออกควรฟัง

(19 ก.ย. 66) สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 2 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ OMD2 พร้อมเจาะลึกข้อมูลการค้าการลงทุนในตลาดต่างประเทศ กับ Podcast ‘เจาะตลาดการค้า กับ DITP’ ร่วมพูดคุยแบบข้ามทวีป กับทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) และผู้ประกอบการที่จะมาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์จากภูมิภาคสำคัญในตลาดการค้าโลก อย่างตลาดภูมิภาคอเมริกา ลาตินอเมริกา ยุโรป และ CIS แอฟริกาและตะวันออกกลาง ตลาดอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และเอเชียใต้ พร้อมการติดตามความเคลื่อนไหวทางการตลาดต่างประเทศ เจาะลึกสถานการณ์ตลาดการค้าของแต่ละประเทศ วิกฤตการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก รวมไปถึงส่องเทรนด์ความต้องการของตลาดใหม่ ๆ ที่น่าจับตามอง รวมถึงการให้ความสำคัญ กับกฎระเบียบ การนำเข้า การจัดจำหน่าย ใบอนุญาตการผลิต และใบรับรอง เป็นต้น

การฟัง Podcast ‘เจาะตลาดการค้า กับ DITP’ จะเป็นการเปิดประตูโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยที่มีความสนใจในตลาดต่างประเทศได้นำเอาสาระที่ได้ไปพัฒนาสินค้าและธุรกิจให้ได้มาตรฐานตรงกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย เสริมสร้างศักยภาพและเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่เวทีการค้าระดับโลก

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการค้า และกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกของทางกรมฯ รวมถึง Podcast ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยได้ที่เว็บไซต์ www.ditp-overseas.com หรือรับฟังผ่าน www.soundcloud.com/ditp-overseas

โตโยต้า ซุ่มพัฒนาแบตฯ อีวีใหม่วิ่งไกล 1,000 กม. คาดเริ่มใช้กับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในปี 2027

โตโยต้า ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแบตเตอรี่ขั้นสูงใหม่ที่จะจ่ายให้กับรถยนต์ Next-Gen EV โดยแบตเตอรี่ในเจเนอเรชั่นถัดไปจะมี 4 ประเภท โดย 3 ประเภทมีเทคโนโลยีแบตเตอรี่อิเล็กโทรไลต์เหลวแบบใหม่และอีก 1 ประเภทเป็นแบตเตอรี่โซลิดสเตต 

รายละเอียดแบตเตอรี่ทั้ง 4 ประเภทของโตโยต้า

📌แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประสิทธิภาพสูงที่จะมาในปี 2026 จะสามารถวิ่งได้ 800 กม./ชาร์จ 

โดยแบตเตอรี่สมรรถนะสูงแบบลิเธียมไอออนมีแผนจะเปิดตัวในรถ BEV Next-Gen ของโตโยต้าตั้งแต่ปี 2026 ทำให้ระยะการวิ่งกว่า 800 กม./ชาร์จ โตโยต้าอ้างว่า แบตเตอรี่ใหม่นี้จะช่วยลดต้นทุนลง 20% เมื่อเทียบกับ Toyota bZ4X ในปัจจุบัน และเวลาในการชาร์จที่รวดเร็ว ชาร์จ 10 ถึง 80% ในเวลาต่ำกว่า 20 นาที

📌แบตเตอรี่ LFP ที่ให้ระยะทางมากกว่า bZ4X ถึง 20% 

สำหรับแบตเตอรี่ LFP จะเป็นตัวเลือกที่ต้นทุนต่ำกว่า สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีไบโพลาร์ที่โตโยต้าเป็นผู้บุกเบิกสำหรับแบตเตอรี่นิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ (NiMH) โดยคาดว่าแบตเตอรี่จะออกสู่ตลาดในปี 2026 – 2027 และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่จะให้ระยะการขับขี่เพิ่มขึ้น 20% และลดต้นทุนลง 40 % เมื่อเทียบกับ Toyota bZ4X และจะมีเวลาในการชาร์จ 10 ถึง 80 % ใน 30 นาทีหรือน้อยกว่า

📌แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประสิทธิภาพสูงระยะทาง 1,000 กม./ชาร์จ ในปี 2027 – 2028 

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประสิทธิภาพสูง ใช้เคมีลิเธียมไอออนร่วมกับแคโทดนิกเกิลสูงเพื่อทำให้ EV วิ่งได้ 1,000 กม./ชาร์จ เมื่อรวมกับการออกแบบ Next-Gen EV ที่จะมี Aerodynamic ที่ดีขึ้นและน้ำหนักที่ลดลง และเวลาในการชาร์จ DC 10 ถึง 80% ในเวลาต่ำกว่า 20 นาที

📌แบตเตอรี่โซลิดสเตทที่มีระยะทาง 1,000 กม./ชาร์จ ในปี 2027 – 2028 

โตโยต้าอ้างว่าลิเธียมไอออนโซลิดสเตต มีอิเล็กโทรไลต์แข็งที่ช่วยให้ไอออนเคลื่อนที่เร็วขึ้น และทนทานต่อแรงดันไฟฟ้าและอุณหภูมิสูงได้มากขึ้น แบตเตอรี่เหล่านี้เหมาะสำหรับการชาร์จ การคายประจุ และการจ่ายพลังงานอย่างรวดเร็วในขนาดที่เล็กลง แต่มีข้อเสียคืออายุการใช้งานของแบตจะสั้นลง แต่โตโยต้ายังเชื่อว่าจะสามารถเอาชนะข้อจำกัดนี้ได้ภายในปี 2027

ตอนนี้ทางฝั่งจีนไม่ว่าจะเป็น CATL หรือ BYD ต่างก็ทยอยปล่อยแบตเตอรี่เทคโนโลยีใหม่มาอยู่เรื่อย ๆ ทั้งในแง่ระยะทางที่เพิ่มขึ้น ระยะเวลาชาร์จที่ลดลง ก็ต้องมาดูกันแล้วหล่ะครับว่า Toyota จะทำตาม Roadmap ได้ไหมในปี 2026 แล้วมันจะช้าไปไหม จะแซงจีนได้หรือเปล่า อันนี้ก็น่าคิด🤩🤩

‘KBank’ จับมือ ‘ไปรษณีย์ไทย-HSEM’ นำร่องเปิด EV Bike ใช้ง่าย!! ‘จอง-จ่าย-จบ’ ในแอปฯเดียว หวังลดการปล่อยมลภาวะ

(19 ก.ย. 66) ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับไปรษณีย์ไทย และ เอช เซม มอเตอร์ (HSEM) นำร่องโครงการ ‘WATT’S UP’ แพลตฟอร์มให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหรือ ‘EV Bike’ แบบครบวงจร สามารถจอง และจ่ายเงินได้ภายในแอปพลิเคชันเดียว เริ่มใช้กับพนักงานไปรษณีย์ไทย 3 สาขา เพื่อสนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดมลภาวะจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้เกิด ‘Green Ecosystem’ อย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ธุรกิจ ตั้งเป้าเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้แพลตฟอร์ม WATT’S UP ภายในต้นปี 2567

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าสร้าง ‘Green Ecosystem’ ผ่านโครงการ GO GREEN Together ซึ่งมีการสนับสนุนการใช้ EV Bike อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ธนาคารมีโครงการให้เช่า EV Bike หลากหลายแบรนด์ใน K PLUS Market ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มไรเดอร์กว่า 6,000 ราย เป็นการสะท้อนความต้องการใช้ EV Bike ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จึงต่อยอดพัฒนาโครงการ WATT’S UP ซึ่งเป็น e-Marketplace แพลตฟอร์มให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ‘จอง-จ่าย-จบ’ ครบในแอปพลิเคชันเดียว โดยมีรุ่นรถให้เช่าหลากหลาย ชำระเงินสะดวกหลากหลายช่องทางรวมถึง K PLUS และนำแบตเตอรี่มาสลับ ณ ตู้สลับแบตเตอรี่ที่รองรับแอปพลิเคชัน WATT’S UP ได้ตลอดระยะเวลาการเช่า ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 10 ตู้ และอยู่ระหว่างขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานหลังจากเปิดให้ประชาชนทั่วไป

สำหรับความร่วมมือแรกของโครงการ WATT’S UP กับพันธมิตรแถวหน้าระดับประเทศอย่างไปรษณีย์ไทย และ HSEM บริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย เพื่อร่วมกันผลักดันให้การเข้าถึงการใช้ EV Bike เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและนำไปสู่การใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากการใช้ EV Bike 1 คันต่อสัปดาห์เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1.5 ต้น และการใช้ EV Bike 1 ล้านคันเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 80 ล้านต้นต่อปี สามารถลด PM2.5 ได้มากกว่า 760 ตัน และลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 748,000 ตัน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ Net Zero ได้ตามเป้าหมาย และธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันลงได้ถึง 25%

นายนเรศ ไชยวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานระบบไปรษณีย์และปฏิบัติการนครหลวง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ไปรษณีย์ไทยในฐานะผู้ให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ มีการนำจ่ายถึงครัวเรือนโดยใช้ยานยนต์สันดาป ไปรษณีย์ไทยจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านระบบงานของไปรษณีย์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยและ HSEM ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนผ่านโดยมีแนวทางการนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้ในระบบ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของไปรษณีย์ไทยแล้ว ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG อีกด้วย

ด้านนายวันชัย ลี้นะวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด หรือ ‘HSEM’ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยหลักการทำงานภายใต้แนวคิด ESG เอช เซม มีความแน่วแน่และตั้งใจเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมสีเขียว โดยร่วมเป็นผู้ช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คืนอากาศบริสุทธิ์ให้สังคมและสิ่งแวดล้อม และมีความมั่นใจว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะกระตุ้นให้การใช้ EV Bike เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

สำหรับความร่วมมือภายใต้โครงการ WATT’S UP แพลตฟอร์มเช่า EV Bike จอง-จ่าย-จบครบในแอปเดียว จะนำร่องใช้งานที่ไปรษณีย์ไทย 3 สาขา ได้แก่ สาขาจตุจักร สาขาสามเสนใน และสาขานนทบุรี โดยพนักงานไปรษณีย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า HSEM และนำมาสลับแบตเตอรี่ได้ตลอดการใช้งาน โดยไม่ต้องชาร์จไฟเอง ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้การขับขี่มีความสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดมลภาวะ และลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ จะนำความเห็นจากกลุ่มผู้ใช้งานมาพัฒนาโครงการ ให้รองรับการเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปภายในต้นปี 2567

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 11 - 15 ก.ย. 66  จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้แนวโน้ม 18 - 22 ก.ย. 66

ราคาน้ำมันดิบทุกชนิด เฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ก.ย. 66 เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนคาดตลาดน้ำมันโลกจะตึงตัว และมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ หลังธนาคารกลางรายใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งสัญญาณใกล้สิ้นสุดช่วงนโยบายการเงินแบบตึงตัว อาจสนับสนุนอุปสงค์พลังงาน

อุปสงค์น้ำมันโลกยังคงเติบโต OPEC คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2566 เพิ่มขึ้น 2.44 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 102.06 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อน 0.05 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และในปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 104.31 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมองว่าเศรษฐกิจหลัก และตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย รวมถึงบราซิล และรัสเซีย แกร่งเกินคาด

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (National Bureau of Statistics: NBS) รายงานโรงกลั่นนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Refinery Throughput) ในเดือน ส.ค. 66 เพิ่มขึ้น 2.4% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 15.23 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ธนาคารแห่งชาติของจีน (People’s Bank of China: PBOC) ประกาศลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ (Reserve Requirement Ratio: RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ลง 0.25% (ยกเว้นธนาคาร RRR ต่ำกว่า 5%) ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 66 คาดว่าจะทำให้ RRR เฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 7.4% และช่วยเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบประมาณ 5 แสนล้านหยวน (6.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทั้งนี้ RRR ตั้งแต่ปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 15% ก่อนที่ PBOC จะปรับลดลงต่อเนื่องกว่า 16 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 14 ก.ย. 66 ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ทำให้ Deposit Facility Rate, Main Refinancing Operations Rate และ Marginal Lending Facility Rate อยู่ที่ 4.0%, 4.5% และ 4.75% ตามลำดับ สูงสุดตั้งแต่ ECB ก่อตั้งในปี 2542 อย่างไรก็ตาม ประธาน ECB นาง Christine Lagarde ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ย ECB ใกล้ระดับสูงสุดแล้ว การประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 26 ต.ค. 66 จึงมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ย

จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 19-20 ก.ย. 66 โดยตลาดคาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25-5.50%

คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 85-95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

เปิดตัวเลขรัฐสูญรายได้ 136 ล้านบาทต่อปี หากหนุน 'แดง-ม่วง' 20 บาท แต่ช่วยดึงคนใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นปีละ 10% รายได้หวนคืนใน 2.8 ปี

(18 ก.ย.66) รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับการประชุมร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัทรถไฟฟ้ารฟท. จำกัด และกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงาน การแบ่งค่าโดยสารกรณีเดินทางข้ามสายสีแดงกับสายสีม่วง รวมถึงมาตรการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารและการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ

เบื้องต้นในที่ประชุมได้มีการหารือถึงข้อกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ..., พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ฯลฯ เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการดำเนินการ 

ขณะเดียวกันที่ประชุมได้มีข้อสั่งการให้รฟท.เตรียมเสนอการแบ่งค่าโดยสารกรณีเดินทางข้ามรถไฟสายสีแดง ช่วงรังสิต-ตลิ่งชันและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ ต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ภายในวันที่ 21 ก.ย.66 ขณะที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. ภายในวันที่ 28 ก.ย.66 หลังจากนั้นจะเสนอต่อกระทรวงคมนาคมภายในเดือน ก.ย.นี้ คาดว่าจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบได้ภายในเดือน ต.ค.66 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ปี 67 

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวต่อว่า ส่วนการแบ่งค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายของรถไฟสายสีแดง ช่วงรังสิต-ตลิ่งชันและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ มีเงื่อนไขว่า ระหว่างการเดินทาง หากประชาชนขึ้นรถไฟฟ้าสายใดเป็นสายแรก ผู้เป็นเจ้าของโครงการจะเป็นผู้เก็บค่าแรกเข้าค่าโดยสาร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนสถานีของผู้โดยสารที่ใช้บริการด้วย โดยจะเก็บค่าโดยสารสูงสุดอยู่ที่ 20 บาทตลอดสาย เช่น กรณีที่ประชาชนเดินทางขึ้นรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่สถานีเตาปูนเพื่อไปรถไฟสายสีแดงที่สถานีบางซื่อ จะถูกเก็บค่าแรกเข้าเพียง 16 บาท ซึ่งมีส่วนต่างอยู่ที่ 4 บาท ต่ำกว่าราคาค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ทำให้ประชาชนสามารถประหยัดค่าโดยสารจากการเดินทางได้ 

ทั้งนี้จากผลศึกษานโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พบว่าจะสูญเสียรายได้ และรัฐต้องสนับสนุนรวม 136 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น รถไฟฟ้าสายสีแดง 80 ล้านบาทต่อปี และรถไฟฟ้าสายสีม่วง 56 ล้านบาทต่อปี แต่การลดค่าโดยสารจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นและทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้นปีละ 10% คาดการณ์ว่าเมื่อดำเนินนโยบายถึง 2.8 ปี จะทำให้รถไฟฟ้าทั้ง 2 สายมีรายได้กลับมาเท่าเดิม โดยรัฐไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย   

นอกจากนี้การชดเชยรายได้ให้แก่รฟท.และรฟม.จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรถไฟสายสีแดง ช่วงรังสิต-ตลิ่งชันและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ นั้น พบว่า ปัจจุบันรฟท.มีหนี้ประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งรฟท.จะต้องขอเงินอุดหนุนจากภาครัฐ (PSO) จำนวน 80 ล้านบาทต่อปี ขณะที่รฟม.จะนำส่วนแบ่งรายได้จากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมาชดเชยเงินที่ขาดหายจากนโยบายดังกล่าว จำนวน 56 ล้านบาทต่อปี 

CPN ปั้น ‘GO Hotel’ ยึดหัวหาด Premium Budget Hotel ผุด 4 ทำเลปัง เจาะกลุ่มคลั่ง ‘Bleisure’ 990 บาทต่อคืน

(18 ก.ย.66) นางสาวสุรางค์ จิรัฐิติกาลโชติ Head of Hotel Development บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า จากความเชี่ยวชาญของเซ็นทรัลพัฒนา และการมี Ecosystem ที่ดีเชื่อมต่อกันอย่างลงตัวภายในเครือทำให้เรามีความมั่นใจในการขยายธุรกิจโรงแรมไปยังทำเลศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ติดหรือใกล้กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลหรือโรบินสัน รวมถึงการบุกเบิกพอร์ต Premium Budget Hotel ในชื่อ GO! Hotel โดยเรามุ่งมั่นยกระดับประสบการณ์การพักผ่อน สะท้อนได้จากการดีไซน์และการบริการที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพรองรับแนวโน้มความต้องการพักอาศัยใน Budget Hotel ที่เริ่มได้รับความนิยม

“เราได้เปิดบริการ GO! Hotel แห่งแรกที่บ่อวิน และขณะนี้ได้ขยายเพิ่มอีก 3 แห่งคือ GO! Hotel ชลบุรี, ศรีราชา ทั้งหมดอยู่ในจังหวัดชลบุรี และ GO! Hotel บ้านฉางในจังหวัดระยอง โดยทั้ง 4 โลเคชันเป็นการขยายแบบ Cluster Region ครอบคลุมภาคตะวันออก เจาะเขตเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อสร้างโรงแรม GO! Hotel ให้เป็น Strategic Hotel บน Strategic Location” นางสาวสุรางค์ กล่าว 

นายภูมิ จิราธิวัฒน์ Head of Hotel Investments and Operations บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เราตั้งใจปั้นให้ GO! Hotel เป็นโรงแรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบ ‘Bleisure’ เป็น Top of Mind ของการเดินทางทั้ง Business และ Leisure สำหรับนักเดินทางทั่วประเทศ GO! Hotel เปิดตัวที่แรกที่บ่อวิน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มี Occupancy Rate มากกว่า 80% ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญและการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจ Premium Budget Hotel และพร้อมตอบรับการเติบโตของธุรกิจและขยายโรงแรมไปทั่วประเทศ”

“GO! Hotel เป็นโรงแรมที่เหมาะสำหรับคนทุกรุ่น ทุกวัย และทุกจุดประสงค์ของการเดินทาง ด้วยการดีไซน์ห้องพักให้ตอบโจทย์ทั้งการพักผ่อน Relax และสะดวกสบายด้วยโลเคชั่นใกล้ศูนย์การค้า หรือนักเดินทางกลุ่ม Business ก็สามารถใช้โรงแรมของเราเป็นที่ทำงาน เพราะมีพื้นที่โต๊ะทำงานและปลั๊กพร้อมใช้งานได้ทั่วทุกมุมห้อง และยังมีจุดแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนร่วมงานบริเวณล็อบบี้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังสามารถรองรับ กลุ่มนักท่องเที่ยวตาม Music Festival รวมถึงกลุ่ม Corporate หรือหน่วยงานราชการ ต่างๆ ที่เข้ามาในพื้นที่อีกด้วย” นายภูมิ กล่าว 

สำหรับ 5 จุดเด่นของ GO! Hotel ที่มากกว่าการพักผ่อน ประกอบไปด้วย…

1. สัมผัสประสบการณ์นอนดี ด้วยเตียงนุ่ม ขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมเครื่องนอนระดับพรีเมียม รวมถึงม่านหน้าต่างแบบมืดสนิทไม่รบกวนการพักผ่อน และ ประสบการณ์ผ่อนคลายระดับสปา ด้วยผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำจากแบรนด์ Let’s Relax Lifestyle (LRL), ผ้าขนหนูผ้าฝ้าย 100%, พร้อมไดร์เป่าผมทุกห้อง

2. งานดีไซน์ทันสมัย สไตล์โก! ตัวอาคารมีเอกลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็น GO! Hotel ได้อย่างชัดเจน ผสานแนวคิดการออกแบบภายใน ด้วยการเลือกชุดสี ที่ให้ความรู้สึกสดใส มีพลัง และสนุกสนาน รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์เข้ากันอย่างลงตัว

3. เป็นธุรกิจในเครือ Central Pattana ที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถืออันดับต้นของเมืองไทย และเป็นที่รู้จักในระดับสากล โลเคชันติดศูนย์การค้า และเป็นย่านธุรกิจ จะไปพักผ่อนหรือทำงานก็สะดวกสบาย ครบวงจร

4. Premium Budget ของ GO! ที่ไม่ใช่แค่โรงแรมราคาประหยัดทั่วไป ด้วยความใส่ใจทุกรายละเอียด เลือกใช้วัสดุพรีเมี่ยม เพื่อให้คุณพักสบาย ในราคาสุดคุ้มค่า รวมถึงโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมาย เพื่อให้คุณได้พักผ่อนแล้วรู้สึกพร้อม GO! ไปยังจุดหมายหรือกิจกรรมต่อไปด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม

5. ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนชอบเที่ยว ไปพักผ่อนทั้งแบบส่วนตัวหรือแบบกลุ่ม มี Co-Working Space และ ชุดโต๊ะทำงานภายในห้องพัก พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และจุดบริการอาหารและเครื่องดื่ม 24 ชั่วโมง (Grab & GO) ตอบโจทย์คนทำงาน รวมถึง คอนเซปต์ Pet Friendly ตอบโจทย์ คนมีสัตว์เลี้ยง ให้คุณพาเพื่อนรัก 4 ขา มาเช็อินด้วยกัน 

OR ส่งเสริมเกษตรกรปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพิ่มผลผลิตที่สม่ำเสมอ ควบคู่รักษ์สิ่งแวดล้อม

OR มุ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม พร้อมสนับสนุนโซลาร์เซลล์และพลาสติกคลุมโรงเรือนแก่เกษตรกรอำเภอแม่วางและอำเภอสะเมิงในการปลูกผักอินทรีย์

(18 ก.ย. 66) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย นายจินตพันธุ์ ทังสุบุตร ประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีเปิดโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน และเยี่ยมชมพื้นที่กลุ่มเกษตรกรปลูกกาแฟ อ.แม่แจ่ม ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ โดยมีนายเกรียงไกร ไชยพิเศษ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ให้การต้อนรับ

นายดิษทัต กล่าวว่า OR ได้พัฒนาโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายผลองค์ความรู้การทำงานพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟร่วมกับภาคีเครือข่ายในหลายพื้นที่เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ที่ยังขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะความรู้ได้มีองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน และเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกและผลิตกาแฟให้ได้ผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ควบคู่การอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยนำต้นแบบการปลูกกาแฟภายใต้ไม้ร่มเงา (ไม้เศรษฐกิจ) มาส่งเสริมในพื้นที่ ช่วยลดการเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ลดการใช้สารเคมียาฆ่าแมลง ทำให้ลดมลพิษต่าง ๆ ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น และยังเป็นช่องทางในการจำหน่ายเมล็ดกาแฟด้วยระบบราคาที่เป็นธรรม (Fair Trade) เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน

ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG ทั้งในด้าน ‘S’ หรือ ‘SMALL’ ที่มุ่งเน้นการให้โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ด้าน ‘D’ หรือ ‘DIVERSIFIED’ ที่มุ่งสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตทุกรูปแบบ และด้าน ‘G’ หรือ ‘GREEN’ ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของ OR 2030

ทั้งนี้ OR มีโรงแปรรูปและจัดเก็บเมล็ดกาแฟคาเฟ่ อเมซอน ตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองสันป่าตองหางดง ต.ทุ่งรวงทอง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดรับซื้อผลผลิตเมล็ดกาแฟกะลาอะราบิกาในพื้นที่ภาคเหนือจากเกษตรกรผู้ในราคาที่เป็นธรรม และเป็นสถานที่แปรรูปเป็นกาแฟที่มีคุณภาพ ก่อนที่จะจัดส่งให้โรงคั่วกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน เพื่อคั่วและจำหน่ายไปยังร้าน คาเฟ่ อเมซอน ทั่วประเทศ

ในโอกาสนี้ OR ยังได้มอบโซลาร์เซลล์จากโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ให้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ปลูกแปรรูปพืชผัก สมุนไพรอินทรีย์ ฮักแม่วาง และมอบพลาสติกคลุมโรงเรือนแก่เกษตรกรจากอำเภอแม่วางและอำเภอสะเมิง ซึ่งอยู่ในโครงการส่งเสริมการผลิตพืชอินทรีย์ ที่ OR ได้ร่วมกับ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ ‘โอ้กะจู๋’ ได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรไทยให้มีผลผลิตทางการเกษตรที่สม่ำเสมอ มีคุณภาพ รวมทั้งมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top