Monday, 9 June 2025
CRIMES

ตร.แปดริ้ว รวบแล้ว!! ‘มือปืนโหดยิงสาว 16 เสียชีวิต’ อ้างระบายเครียด หลังทะเลาะกับแฟนทางมือถือ

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 29 ต.ค. ที่บริเวณหน้า สภ.เมืองฉะเชิงเทรา พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 พร้อมด้วย พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.อ.นเรวิช สุคนธวิท พ.ต.อ.ชาตรี สุขศิริ รอง ผบก. พ.ต.อ.ณัฐจักร จันลา ผกก.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา พ.ต.ท.เตชทัต เนตรุวงศ์ รอง ผกก. ป.เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ร่วมกันแถลงข่าว การจับกุม นายวงศ์วรัณ หรือ เอิร์ท วิเขตกิจ อายุ24ปี อยู่บ้านเลขที่ 136/31 หมู่3 ต.ลาดใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิง น.ส.ประภาศร ฉวีวรรณ  หรือ อิ้ง อายุ 16 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36/63 ถ.มหาจักรพรรดิ์ ซ.3 ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ถึงแก่ความตายโดยเจตนา พร้อมด้วยของกลางที่ใช้ก่อเหตุ ของกลาง อาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ ซีแซด รุ่นรามี่ ขนาด 9 มม. จยย.ยามาฮ่า N-MAX สีดำแดง ทะเบียน 1กฒ-9418 พระนครศรีอยุธยา เหตุเกิดที่ หน้าร้านซ่อมรถ จยย. หน้าพิสิษฐ์แมนชั่น หมู่6 ต.โสธร 

สืบเนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์คนร้าย ขับขี่รถจยย. ยามาฮ่า N-MAX สีดำแดง ไม่ทราบทะเบียน ขึ้นไปจอดบนสะพานต่างระดับ บริเวณตรงข้ามธนาคาร ธอส. หน้าหอพักพิศิษฐ์แมนชั่น ถ.สิริโสธร ต.หน้าเมือง ใช้อาวุธปืนขนาด 9มม. ยิงสาดลงมาด้านล่าง ใส่กลุ่มคนที่นั่งคุยกันอยู่บริเวณหน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ จำนวน 6นัด ก่อนหลบหนีไป โดยกระสุนปืน 1นัดถูก น.ส.ประภาศร ฉวีวรรณ หรือ อิ้ง อายุ 16 ปี กระสุนถูกบริเวณลำตัว สีข้างด้านซ้าย เพื่อนนำตัวส่ง รพ.เกษมราษฏร์ ฉะเชิงเทรา แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 

ผบช.ภ.6 ลั่น!! ปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์เด็ดขาดร่วมทหาร ฝ่ายปกครอง ตม.ชี้!! มีตัวละครหลายกลุ่มโยงค้ามนุษย์  

(28 ต.ค.​ 64)​ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค​ 6 พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางไปยังอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก​ เพื่อตรวจสอบสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าวในอำเภอแม่สอด โดยจุดแรกที่ไปตรวจสอบคือ โรงงานทีเคการ์เม้นท์ เป็นสถานประกอบการเย็บผ้า บ้านแม่ตาว ตำบลแม่ตาว มีแรงงานต่างด้าว สัญชาติเมียนมา​ กว่า 2,000 คน โดยมีนายสมชาย ไตรทิพย์ชาติสกุล นายอำเภอแม่สอด นายอำเภอแม่สอด นายชัยวัฒน์ วิฑิตธรรมวงศ์ ฐานะผู้แทนสถานประกอบการ และประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก นายแพทย์ธวัชชัย เศรษฐศุภพนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด นายเฉลิม กล่อมเกลี้ยง สาธารณสุข​ อ.แม่สอด ผู้แทนหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14 อ.แม่สอด ผู้แทนพัฒนาสังคม และมนุษย์ จ.ตาก สวัสดิการแรงงาน และสังคมจังหวัดตาก รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ​ ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ จากนั้นได้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆ  

พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า จะทำการคิกออฟ (Kickoff) พร้อมสร้างโมเดลป้องปราม และปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ และแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล เพราะวันที่ 1 พ.ย.64 นี้ จะมีการเปิดประเทศ และส่วนที่เกี่ยวข้องกับ​ พรบ.ควบคุมโรคติดต่อด้วย

ส่วนการปฏิบัติต่อจากนี้​ จะดำเนินการใน 4 มิติ คือ​ 1.​การป้องปรามการเชิงรุกโดยบูรณากับทุกหน่วยงานรวมทั้งภาคเอกชนด้วย ในการตรวจสอบ เป็นหูเป็นตา อย่างจริงจัง จริงใจ 2.มีการตั้งทีมสอบสวนร่วมฝ่ายปกครองดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ 3.​สืบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งมีข้อมูลตัวละครหลายกลุ่ม และจะพยายามขยายผลติดตามจับกุมผู้ที่ยังฝ่าฝืนหรือมีพฤติกรรมอยู่ โดยจะสาวไปให้ถึงต้นตอรายใหญ่ และ​ 4.มีการปลอบขวัญ เยียวยาเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ด้วย

ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 แถลงข่าว! ‘จับผู้ใหญ่บ้าน ฆ่า 2 ศพ’ ในพื้นที่ จ.ตรัง

บ่ายวันนี้ 28 ตุลาคม 2564 ที่ห้องประชุม กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9,พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9,พล.ต.ต.นิตินัย หลังยาหน่าย รอง ผบช.ภ.9 ,พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส.ภ.9,พ.ต.อ.รัฐกร ภักดีวานิช ผกก.สส.ภ.จว.ตรัง  ,พ.ต.อ.ดุสิต พรหมสิน ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.9 ,พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก.สส.ภ.จ.สงขลา,ได้ร่วมกัยแถลงข่าวการจับกุมตัวนายชำนิ ชำนาญกิจ อายุ 45 ปี (ผู้ใหญ่บ้าน)อายุ 45 ปี หมู่ 2 บ้านเลขที่ 31/1 ต.แก้วแสน อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช โดยมีหมายจับของศาลจังหวัดตรัง จ.264/64 ลงวันที่ 27 ต.ค.64 ในชั้นนี้ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา 

โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวได้ที่ปั้มน้ำมัน ปตท.สาขาทุ่งสง ถนนเพชรเกษม ต.ชะมาย อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 27 ต.ค.64 ที่ผ่านมา โดยการนำของ พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส.ภ.9 ,กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค 9 และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ

โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 ก.ย.2564 เวลาประมาณ 17.03 น. ได้มีคนร้ายใช้รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ รุ่น ดีแมคไฮแลนเดอร์ แบบตอนครึ่ง สีเทาดำ ติดแผ่นป้ายทะเบียน กธ 5263 (ป้ายรถยนต์คันอื่น) ขับประกบแล้วใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีบรอนด์เงิน  ทะเบียน ขก -720 สุราษฎร์ธานี เป็นเหตุให้นายวีระยุทธ  ขุนอินทร์ (คนขับ)  และ น.ส.วราภรณ์  เพียรดี ภรรยา(นั่งเบาะหลัง)  เสียชีวิตภายในรถยนต์ และ ด.ช.วสิษฐ์พล  ขุนอินทร์ บุตรชาย(นั่งหน้ารถ)ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดถนนเพชรเกษม 403  สายตรัง - ทุ่งสง  ม.2 ต.ควนเมา อ.รัษฎา จว.ตรัง หลังจากก่อเหตุคนร้ายได้ขับรถยนต์กระบะหลบหนีไป     

เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ คนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม M16 ก่อเหตุบนถนนหลวง ในเวลากลางวันอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมาย อีกทั้งยังมีเด็กซึ่งนั่งมาในรถถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย  และคดีเป็นที่สนใจของประชาชนและผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร.และ ภ.9 โดย พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ได้มาประชุมติดตามความคืบหน้าคดี ร่วมกับ ผบช.ภ.9 ,ผบก.ภ.จว.ตรัง,ผบก.สส.ภ.9  และชุดสืบสวนที่รับผิดชอบในการสืบสวนคดีนี้ ให้สืบสวนคลี่คลายคดีนี้ให้จงได้ 

ซึ่งต่อมา พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.ฯและชุดสืบสวนได้ร่วมกันตรวจสอบกล้องวงจรบริเวณสถานที่เกิดเหตุ และเส้นทางที่คนร้ายใช้ก่อเหตุคดีนี้ จนกระทั่งทราบว่า คนร้ายใช้รถยนต์กรบะ ยี่ห้ออีซูซู รุ่นดีแมคไฮแลนเดอร์ แบบตอนครึ่ง สีเทาดำ ติดแผ่นป้ายทะเบียน กธ-5263 นครศรีธรรมราช  (สวมป้ายรถยนต์เก๋งคันอื่น) เป็นรถคนร้ายคันที่ใช้ยิงผู้ตาย

และพบว่ามีรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีบรอนด์เงิน ทะเบียน กบ-1409 ตรัง  เป็นรถที่ขับนำทางรถกระบะมือปืน มาจาก ต.แก้วแสน อ.นาบอน จว.นครศรีฯ  เมื่อ 7 ก.ย.64 เพื่อมาเข้าที่พักรถที่ ม.10 ต.หนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด จว.ตรัง และนำทางพารถกระบะมือปืนออกจากที่พัก กลับ อ.นาบอน จว.นครศรีฯ เมื่อ 10 ก.ย.64  ต่อมา 27 ก.ย. 64  ทราบว่า สภ.นาบอน จว.นครศรีฯ รับแจ้งเหตุมีรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ แบบตอนครึ่งถูกเผา บนถนนในสวนยางพารา  ม.1 ต.แก้วแสน อ.นาบอนฯ จากการตรวจสอบแล้วเป็นรถคันเดียวกันกับรถยนต์กระบะของคนร้าย ที่ใช้ยิงผู้ตายในคดีนี้ เนื่องจากมีลักษณะเหมือนกัน มีตำหนิของรถตรงกันทุกประการ จึงตรวจยึดมาเป็นของกลางในคดีนี้ และได้สืบสวนเกี่ยวกับเจ้าของรถทราบว่า เจ้าของรถเป็นคนเกาะลันตา จว.กระบี่ ได้นำไปจำนำในพื้นที่ อ.เมืองกระบี่ แล้วรถหลุดจำนำ มีการขายต่อไปอีกรวม 7 ทอด โดยจากการสืบสวนสอบทราบว่าผู้ครอบครองรถมือปืนทอดสุดท้ายคือ นายชำนิฯผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม  ซึ่งทราบว่า จนท.ตร.มาตรวจสอบกล้องวงจรปิดแถวบ้านจึงนำรถไปเผาทำลายหลักฐานดังกล่าว 

นอกจากนี้ชุดตรวจสอบกล้องวงจรปิดยังตรวจสอบพบว่าหลังจากที่รถกระบะมือปืนที่พักรถที่ อ.ห้วยยอด จว.ตรัง แล้ว นำรถออกมาดูลาดเลาในวันที่ 8 ก.ย.64 และวันที่ 9 ก.ย.64 นำออกจากที่พัก อ.ห้วยยอด ไปก่อเหตุยังสถานที่เกิดเหตุ ที่ อ.รัษฎา ซึ่งห่างออกไปเพียง 10 กม. มีการไปวนผ่านบ้านของผู้ตายหลายรอบแล้วไปจอดรถดักรอผู้ตายบริเวณ จุดกลับรถแยกทางเข้า รร.บ้านหนองม่วง ซึ่งอยู่ก่อนถึงบ้านผู้ตายราว 1 กม. โดยผู้ตายเดินทางมาจากทำธุระที่ อ.ทุ่งสง จว.นครศรีฯ กับภรรยาและบุตรชาย แล้วมากลับรถที่บริเวณดังกล่าว ได้ถูกคนร้ายซึ่งดักรออยุ่แล้วประมาณ 33 นาที ได้ขับรถติดตามรถของผู้ตายและประกบยิงรถของผู้ตายทางด้านขวา ด้วยอาวุธปืน M16 จนรถเสียหลักตกข้างทาง ก่อนถึงบ้านของผู้ตายเล็กน้อย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบุตรชายได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังก่อเหตุคนร้ายได้ขับรถหลบหนีไปทางแยกควนเมา อ.รัษฎา แล้วเลี้ยวซ้ายไปทาง ต.วังหิน อ.บางขัน จว.นครศรี แล้วหลบหนีต่อไปอีก 30 นาที จึงขับรถกลับเข้าที่พักที่ อ.ห้วยยอด  ต่อมาวันที่ 10 ก.ย.64 ก่อนเที่ยงวัน จึงมีรถยนต์เก๋งโตโยต้า รุ่นวีออส มานำรถยนต์กรบะมือปืน พากลับไปยัง อ.นาบอน จว.นครศรีฯ          

 

ตร. เตือน! ‘ระวังแก๊งคอลเซ็นเตอร์’ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่หลอกให้ตกใจ สูญเงินในพริบตา!!

วันที่ 28 ต.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ที่ผ่านมาพบว่าได้มีกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างตนเองเป็นเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์จากธนาคาร หรือแสดงตนเป็นข้าราชการระดับสูง หรือ นายตำรวจระดับสูง โทรศัพท์หาผู้เสียหาย อ้างว่า บัญชีธนาคารถูกอายัด หรือบัญชีธนาคารของผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เช่น พัวพันกับการจำหน่ายยาเสพติด การค้าของผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ ฯลฯ จากนั้นจะให้ผู้เสียหายแสดงความบริสุทธิ์ใจโดยโอนเงินในบัญชีธนาคารทั้งหมดมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ โดยข่มขู่ว่าหากไม่โอนเงินมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ จะถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินและความผิดอื่นที่มีอัตราโทษจำคุก ทำให้ผู้เสียหายตกใจหลงเชื่อและพยายามแสดงความบริสุทธิ์ โดยโอนเงินให้กับคนร้าย จากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ได้ ทำให้ได้รับความเสียหาย

ซึ่งเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ได้แถลงข่าวการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ได้กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว โดยได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 8 ราย สามารถจับกุมได้แล้ว 5 ราย ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ซึ่งกรณีดังกล่าวมีความเสียหายมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนกับพี่น้องประชาชนว่า หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้เจ้าของบัญชีธนาคารโอนเงินมาให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบ ซึ่งหากเป็นบัญชีธนาคารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่อาจใช้อำนาจตามกฎหมายทำการตรวจสอบข้อมูลกับธนาคารหรืออายัดเงินในบัญชีธนาคารดังกล่าว

 

ยุทธการ "พิฆาตทรชนคนค้ายาอีสานใต้" จับกุม 3 เครือข่าย ผู้ต้องหา 12 คน ของกลางยาบ้า 263,010 เม็ด ยึดทรัพย์ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ ทรัพย์สิน มูลค่าประมาณ 8,422,000 บาท

วันที่ 27 ตุลาคม 2564 ที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รอง ผบช.ภ.3 (หน.กม) /รับผิดชอบ ศอ.ปส.(ยาเสพติด) ร่วมกัน แถลงผลการจับกุมเครือข่ายคดียาเสพติดรายสำคัญ ร่วมกับ พล.ต.ต.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล ผบก.ภ.จว.สุรินทร์, พล.ต.วีระยุทธ  รักศิลป์ ผบ.กกล.สุรนารี/ผอ.กอ.รมน.ภาค2 สย.2 , พ.ต.อ.ธรรมนูญ ฉิมวงษ์ รอง ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ แถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญภายใต้ "ยุทธการ พิฆาตทรชนคนค้ายาอีสานใต้" ประกอบด้วย

1) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 08.30 น. ชุด ชป.ปส.ภ.จว.สุรินทร์ ได้สนธิกำลังประกอบด้วย ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และฝ่ายปกครอง ร่วมกันจับกุมตัว นายธนายุทธ หรือนา ขอสงวนนามสกุล และน.ส.ชุตินันท์ หรือเปิ้ล   ขอสงวนนามสกุล พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 71 เม็ด จึงได้ขยายผล ทำการติดต่อล่อซื้อยาบ้า จำนวน 4,000 เม็ด จากนั้น วันที่ 23 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 07.00 น. ได้จับกุมผู้ต้องหา 2 คน นายกิตติพงษ์ หรือโอ๊ต  ขอสงวนนามสกุล (คนขับรถ) และ นางสาวปิยธิดา หรือฟีฟ่า ขอสงวนนามสกุล (นั่งข้างคนขับ) ซึ่งขับรถยนต์ (กระบะแค็ป) ยี่ห้ออีซุซุ รุ่นดีแม็ค สีขาว หมายเลขทะเบียน ผษ 1293 อุบลราชธานี มาส่งยาบ้า 4,000 เม็ด และค้นรถ พบยาบ้า 208,000 เม็ด รวมยาบ้า 212,000 เม็ด รวมของกลางทั้งหมด ยาบ้า 212,071 เม็ด ผู้ต้องหา 4 คน ตรวจยึดทรัพย์สิน รถยนต์ 5 คันและเงินสด มูลค่าประมาณ 1,900,000 บาท เหตุเกิด บนถนนทางหลวง 24 บ้านตาคง ตำบลตาคง อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 

2) เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ชุด ชป.ปส.ภ.จว.สุรินทร์ สนธิกำลังร่วมกับ ชปข.กก.ตชด.21, ชปข.ร้อย ตชด.217, ชุดสืบสวน สภ.รัตนบุรี, เจ้าหน้าที่ชุด ขกท.ศปก.ทบ. (มว.ขกส.2 ขกท.กกล.สุรนารี) เจ้าพนักงาน ป.ป.ส.สังกัด ปปส.ก.3 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส. ร่วมกันจับกุมผู้กระทำผิด ตาม พรบ.ยาเสพติดให้โทษ จำนวน 4 ราย ผู้ต้องหา 4 คน คือ นายสหกล ขอสงวนนามสกุล จับตามหมายจับศาลจังหวัดรัตนบุรี ที่ 38/2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐานร่วมกันสมคบฯ และฟอกเงิน สถานที่จับกุม บ้านเลขที่ 92 หมู่ที่ 13 (บ้านโพธิ์ทอง) ตำบลนาตาล อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี น.ส.ทัศนีย์ ขอสงวนนามสกุล ตามหมายจับศาลจังหวัดรัตนบุรี ที่ 41/2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐานร่วมกันสมคบฯ และฟอกเงิน ณ บ้านเลขที่ 151 หมู่ที่ 13 ตำบลพะลาน อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี น.ส.นิตยา ขอสงวนนามสกุล จับตามหมายจับศาลจังหวัดรัตนบุรี ที่ 40/2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน ร่วมกันสมคบฯ และฟอกเงิน ณ บ้านเลขที่ 11 หมู่ที่ 14 ตำบลม่วงใหญ่ อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี และนายธวัชชัย ขอสงวนนามสกุล จับตามหมายจับศาลจังหวัดรัตนบุรี ที่ 39/2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน ร่วมกันสมคบฯ และฟอกเงิน ภายในห้องหมายเลข 6 หอพักไม่ทราบซื่อ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สิน บ้านพักอาศัย จำนวน 3 หลัง รถยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 6 คันรถแทรคเตอร์ พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบ 1 คัน เครื่องอัดฟาง 1 เครื่อง รถจักรยานยนตร์ 4 คัน วัตถุคล้ายทองรูปพรรณ 3 รายการ สมุดบัญชีธนาคาร และเอกสารที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ดินจำนวน 4 ไร่ มูลค่าประมาณ 500,000 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ ประมาณ 6,350,000 บาท 

3) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม2564 เวลาประมาณ 08.30 น. ชุด ชป.ปส.ภ.จว.สุรินทร์ ได้สนธิกำลังประกอบด้วย ชปข.กก.ตชด.21, ชุด ชปข.ร้อย ตชด.217 ร่วมกันจับกุมผู้กระทำผิด ตาม พรบ.ยาเสพติดให้โทษ จำนวน 1 ราย ผู้ต้องหา 4 คน ได้แก่ นายประครอง ขอสงวนนามสกุล น.ส.รัชนีกร ชอสงวนนามสกุล นายนครินทร์ ขอสงวนนามสกุล และนายธีรศักดิ์ ขอสงวยนามสกุล พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า จำนวน 20,934 เม็ด เหตุเกิด บนถนนทางหลวงสายรัตนบุรี - โพธิ์ศรีสุวรรณ พื้นที่ สภ.ดอนแรด อ.รัตนบุรี จว.สุรินทร์ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ ประมาณ 172,000 บาท การจับกุมฯ ครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้านการแก้ไขปัญหา ยาเสพติด เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังทั้งระบบ โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้ความสำคัญกับกระบวนการ มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ปราบปราม แหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ทั้งพื้นที่แนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน

 

ตำรวจ PCT จับกุม! ‘แก๊ง Romance Scam’ หลอกลงทุนผ่านแอปฯ Thai dairy เสียหายกว่า 20 ล้านบาท!!

วันนี้ (27 ต.ค.64) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พ.ต.อ.ชูศักดิ์ ขนาดนิด รอง ผบ.กต.8 จต./ หัวหน้าชุดวิเคราะห์ PCT ร่วมกันแถลงผลการจับกุมแก๊ง Roman Scam หลอกลงทุนแอปพลิเคชัน Thai dairy ผู้ต้องหา 2 คน ผู้เสียหายกว่า 50 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 20 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่าผู้เสียหายทั้ง 53 ราย ได้รับข้อความชักชวนร่วมลงทุนทำธุรกิจหารายได้เสริมที่บ้าน โดยเป็นลิงค์เข้าแอปพลิเคชันไลน์ Open chat ซึ่งในนั้นจะมีคนร้ายซึ่งเป็นแอดมินชวนให้ร่วมลงทุนต่าง ๆ เช่น การอ่านโฆษณาของแบรนด์สินค้า เช่น Lazada , Alibaba ฯลฯ ผ่านแอปพลิเคชัน Thai dairy และต้องโอนเงินตามแพ็คเกจที่คนร้ายให้มา จากนั้นภายใน 10 นาที จะให้ผลตอบแทนกลับไป 10-20% แล้วแต่แพ็คเกจ

โดยในช่วงแรก ๆ ที่ลงทุนน้อย ๆ จะได้กำไรจริง แต่เมื่อลงเป็นจำนวนมากแล้ว ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ ซึ่งคนร้ายจะให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารต่าง ๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT สืบสวนจนทราบว่าคนร้ายรับซื้อบัญชีมาจากที่ต่าง ๆ กว่า 127 บัญชี หลายธนาคาร และรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับคนร้ายที่เป็นคนกดเงินจากบัญชีต่าง ๆ ได้จำนวน 2 ราย และยังขยายผลจนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มได้อีก 1 ราย ซึ่งพบว่ามีการกระทำในลักษณะนี้ในแอปพลิเคชันอื่นด้วย

 

 

ตำรวจ PCT จับผู้ต้องหา Hybrid scam หลอกซื้อขายทองคำ มูลค่าความเสียหาย 25 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ ,พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา Hybrid Scam เครือข่ายแก็งค์หลอกลงทุนซื้อขายทองคำ จำนวน 12 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 25 ล้านบาท 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า มีกลุ่มคนร้ายได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนซื้อขายทองคำผ่านแอพพลิเคชั่น MetaTrader5 และแพลทฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยคนร้ายได้ใช้โปรไฟล์เป็นชาวต่างชาติหน้าตาดีมาพูดจาจนผู้เสียหายหลงเชื่อร่วมลงทุนผ่านโบรกเกอร์ปลอม โดยใชเงินลงทุนต่ำและได้รับผลกำไรสูงในระยะเวลาอันสั้น มูลค่าความสียหายรวมกว่า 25 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ได้สืบสวนจนสามารถจับกุม น.ส.กมลทิพย์ (สงวนนามสกุล) กับพวกรวม 12 ราย ในข้อหา “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น , ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ” ซึ่งขณะนี้ได้ขยายผลจนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 11 ราย

ตำรวจ PCT รวบม้ากดเงิน!! แก๊งคอลเซนเตอร์ หลอกลวงสร้างความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท

วันที่ 26 ต.ค.64 เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.สถิตย์ พรหมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายแก๊ง Call center 5 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีผู้เสียหายจำนวนมากถูกคนร้ายโทรศัพท์เข้ามาหาผู้เสียหายโดยอ้างว่าเป็นข้าราชการระดับสูง หรือ นายตำรวจระดับสูง และแจ้งว่าผู้เสียหายมีส่วนร่วมกับคดีค้ายาเสพติดและฟอกเงิน ถ้าไม่อยากถูกดำเนินคดีให้โอนเงินมายังบัญชีธนาคารของคนร้าย ซึ่งมีผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไป  มูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 14 ล้านบาท จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการเทคนิคและสืบสวนที่ 1  PCT สืบสวนสอบสวนจนพบว่าเครือข่ายแก๊ง Call center แบ่งหน้าที่กันเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้

1. คนร้ายระดับสั่งการ จำนวน 2 ราย

2. คนร้ายทำหน้าที่เป็นม้าถอนเงิน จำนวน 2 ราย

3. คนร้ายทำหน้าที่จัดการทางการเงินหรือ โพยก๊วน จำนวน 1 ราย

4. คนร้ายทำหน้าที่จัดหาบัญชีและเปิดบัญชีธนาคาร จำนวน 4 ราย

5. คนร้ายที่ติดต่อหลอกลวงผู้เสียหาย อยู่ระหว่างสืบสวน น่าเชื่อว่าตั้งอยู่ต่างประเทศ

จากนั้นจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้ สน.พญาไท ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุรับคำร้องทุกข์ ดำเนินการขออนุมัติศาลออกหมายจับคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งศาลอาญา ได้อนุมัติหมายจับคนร้ายจำนวน 8 ราย จับกุมได้แล้ว 5 ราย ส่วนที่เหลือจะเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีโดยเร็ว จากการตรวจค้นพบ บัตรอิเลกทรอนิกส์ จำนวน 32 ใบ , เครื่องบันทึกข้อมูล Chip Card จำนวน 1 เครื่อง , คอมพิวเตอร์จำนวน 1 เครื่อง โดยผู้ต้องหาแต่ละคนรับว่าตนเองมีหน้าที่ตามคำสั่งของหัวหน้า เช่น ให้ไปถอนเงินจากบัญชี , ให้จัดหาบัญชี , ให้ฝากเงินไปยังบัญชีอื่นๆต่อ โดยผู้ต้องหาจะได้รับส่วนแบ่งจากเงินที่ถอนออกมา 2 – 3 % แล้วแต่หน้าที่ เจ้าหน้าที่ชุดเทคนิคและสืบสวนที่ 1 จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เตือนภัย!! มิจฉาชีพหลอกชักชวนให้ลงทุนแชร์ลูกโซ่ ออมเงินและปล่อยเงินกู้ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สร้างความเสียหาย

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยกรณีที่มีเหล่ามิจฉาชีพหลอกชักชวนให้ลงทุนบนโลกออนไลน์ ในลักษณะตั้งวงแชร์ออนไลน์ กลุ่มออมเงิน และลงทุนปล่อยเงินกู้

เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำกิจกรรมหรือธุรกรรมต่าง ๆ โดยหันมาทำผ่านสื่อสังคมออนไลน์หรือแอพพลิเคชั่นมากขึ้น ผนวกกับการที่ประชาชนอยู่บ้านมากขึ้นและมีการหารายได้เสริมกันมากขึ้น จึงมีเหล่ามิจฉาชีพอาศัยช่องว่างดังกล่าวในการกระทำความผิด ด้วยการโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ หรือการชักชวน  ทั้งทางสื่อสังคมออนไลน์และการบอกกันปากต่อปากให้มาร่วมลงทุนแชร์ลูกโซ่ ซึ่งมักจะมีข้อเสนอในลักษณะที่ให้ผลตอบแทนสูง ง่าย ไม่ซับซ้อน ยิ่งโอนลงทุนมากยิ่งได้เงินมาก และมุ่งเน้นไปที่การชักชวนให้คนอื่นมาลงทุนต่อ โดยจะมีข้อเสนอพิเศษให้ สำหรับผู้ที่ชวนคนอื่นมาลงทุนเพิ่มได้ ก็จะได้เงินตอบแทน ทำให้มีผู้เสียหายหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก

ดังเช่นกรณีปรากฎบนสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เข้าควบคุมตัวท้าวแชร์ลูกโซ่หญิง วัย 20 ปี ตามหมายจับ หลังถูกแจ้งความดำเนินคดีว่ามีพฤติกรรตั้งวงแชร์ลูกโซ่ จัดตั้งกลุ่มออมเงิน และปล่อยเงินกู้ โดยเสนอผลตอบแทนสูง โดยผู้ต้องหาได้เปิดกลุ่มไลน์และเฟซบุ๊ค พร้อมมีข้อความชักชวนว่า “โอนไวจ่ายจริง” จนมีผู้หลงเชื่อเข้ามาร่วมลงทุนจำนวนมาก มีวงเงินตั้งแต่ 200-1,000,000 บาท มีผู้ร่วมลงทุนทั่วประเทศมากกว่า 1,400 คน รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 100 ล้านบาท

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยประชาชนและตระหนักถึงพิษภัยจากการหลอกลวงของมิจฉาชีพในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน จึงได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการและดำเนินการป้องกันปราบปรามตามขั้นตอนของกฎหมาย และเน้นย้ำว่าจะต้องดำเนินการเอาผิดและกวาดล้างกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเด็ดขาด

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล โดยสั่งการไปยังทุกหน่วยงานในสังกัด ให้ทำการสืบสวนสอบสวนปราบปรามจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพ เร่งทำการจับกุมบุคคลตามหมายจับ รวมถึงขยายผลไปถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจังต่อเนื่อง และให้สถานีตำรวจทั่วประเทศอำนวยความสะดวกในการรับแจ้งความจากประชาชน เพื่อให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

การกระทำลักษณะดังกล่าวนอกจากจะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน ยังเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีโทษจำคุก      ไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานฉ้อโกง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในฐานความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายจะต้องเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในท้องที่ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงเตรียมหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หลักฐานการโอนเงิน บันทึกการสนทนา รายการเดินบัญชีธนาคาร เป็นต้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดี

 

ตร.ปทุมฯ รวบ! สาวแสบหลอกขายมือถือออนไลน์ ก่อนเชิดเงินหนี พบเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 7 ล้านบาท

สถานีตำรวจภูธรสามโคก จังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แถลงจับกุมตัว นางสาวรุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ อายุ 23 ปี  ที่อยู่ 390 ถนนคลองเรียน 1 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงชลา ตามหมายจับ จำนวน 2 หมาย ดังนี้ 1.หมายจับศาลจังหวัดปทุมธานี ที่ 133/2564 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” และ 2.หมายจับศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ 330/2564 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” โดยทางเจ้าหน้าที่ตามจับกุม นางสาวรุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ อายุ 23ปี  ได้ที่จับกุม หน้าบ้านเลขที่ 429/6 ถนนธรรมนูญวิถี ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และในวันที่ 22 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 14.30 น.ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวมาที่ สถานีตำรวจภูธรสามโคก จังหวัดปทุมธานี

ด้านพล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าว่า ตามนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ระดมกวาดล้างอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้านให้แก่ประชาชนและเป็นภัยต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีการหลอกลวงประชาชนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์(Social Media) เป็นจำนวนมาก ตำรวจภูธรภาค 1 ได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมชุดสืบสวน สภ.สามโคก ทำการสืบสวนจับกุม ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับ ผู้กระทำความผิด โดยการหลอกลวงประชาชน โดยใช้สื่อสังคมอนไลน์(Social Media )

กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.สามโคก ได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.รุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ อายุ 23 ปี  ที่อยู่ 390 ถนนคลองเรียน 1 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงชลา ตามหมายจับ จำนวน 2 หมาย ดังนี้

1.หมายจับศาลจังหวัดปทุมธานี ที่ 133/2564 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” และ

2.หมายจับศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ 330/2564 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”

โดยทางเจ้าหน้าที่ตามจับกุม นางสาวรุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ อายุ 23ปี จึงได้นำตัวมาที่ สถานีตำรวจภูธรสามโคก จังหวัดปทุมธานี พฤติการณ์ กล่าวคือ ก่อนเกิดเหตุ น.ส.รุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ (ผู้ต้องหา) ได้ประกาศหลอกขายสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อไอโฟน รุ่น เอ็กซ์อาร์ (Iphone XR) สีดำ ขนาด 64 Gb ในราคาประมาณ 11,000-12,000 บาท ในแอปพลิเคชั่นอินสตาแกรม(Instagram) ที่รับฝากขายสินค้าประเภทไอที ซึ่ง น.ส.รุ้งไพลินฯ ผู้ต้องหา ได้ลงรายละเอียดของข้อมูลสินค้าพร้อมข้อมูลการ ติดต่อซื้อ-ขายสินค้าระหว่างกัน

โดยเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและสนใจซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ฯที่น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) ที่ประกาศเอกสารประชาสัมพันธ์หลอกขาย ผู้เสียหายจะไปติดต่อซื้อโทรศัพท์ฯกับน.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหาผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์(Line)กับตัวน.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหา โดยระหว่างที่พูดคุยซื้อ-ขายกันอยู่นั้น น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) จะใช้กลอุบายสร้างความน่าเชื่อถือ ว่ามีสินค้าฯจริง และจะแถมอุปกรณ์เสริมจำนวนหลายรายการให้ ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือ และแรงจูงใจ ในการซื้อโทรศัพท์ฯให้กับผู้เสียหาย และเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ ได้ตกลงราคาซื้อ-ขายแล้วเรียบร้อยแล้ว น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) จะส่งบัญชีธนาคารของน.ส.รุ้งไพลินฯ ให้กับผู้เสียหายไว้สำหรับโอนเงินชำระค้าโทรศัพท์ฯ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงโอนเงินให้กับน.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหาไป น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา)ไม่ยอมส่งสินค้าโทรศัพท์ฯ ให้กับผู้เสียหาย และเมื่อผู้เสียหายได้ทวงถามน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) ก็ได้บ่ายเบี่ยงที่จะส่งสินค้า และจะบล็อกผู้เสียหายทันที จนไม่สามารถติดต่อตัวน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา)ได้ ต่อมาผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ดำเนินคดีกับน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติหมายจับต่อศาลฯ ตามรายละเอียดข้างต้น เพื่อสืบสวนติดตามตัวน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) มาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 14.30 น. จากการสืบสวนจนทราบว่า น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับฯ ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 469/6 ถนนธรรมนูญวิถี ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึง และพบน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าว ทางเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม จึงได้เข้าไปแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ โดย น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) รับเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และยังไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับในคดีนี้มาก่อน จากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม จึงได้แจ้สิทธิ์และข้อกล่าวหา ตามหมายจับ ให้น.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหาทราบ ว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” ทางด้าน น.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหาทราบและเข้าใจดีแล้ว ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top