Monday, 9 June 2025
CRIMES

'ผู้ช่วย ผบ.ตร.' เปิดการอบรมโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่

ผู้ช่วย ผบ.ตร.เปิดการอบรมโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่​ เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน​(Stronger Together)

ตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของรัฐบาล (Stronger Together) ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกรูปแบบ โดยบูรณาการการดำเนินการจากทุกภาคส่วน ผนึกกำลังกับเครือข่ายภาคประชาชน ร่วมกันพัฒนา และแก้ไขปัญหาในชุมชน สังคม และท้องถิ่น ตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกๆ มิติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ ในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยได้จัดทำโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” ให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล โดยมอบหมายให้ม​ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมี พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรองหัวหน้าคณะทำงาน ตาม คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 36/2565 ลงวันที่ 31 มกราคม 2565 โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ชุมชน สังคมมีความสุขสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพมีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว” 

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำการคัดเลือกและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสถานีตำรวจ และระดับกองบังคับการทั่วประเทศ จำนวนกว่า 9,000 นาย เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับเครือข่ายภาคประชาชน

หลังจากนั้นได้ทำการคัดเลือกและฝึกอบรมเครือข่ายภาคประชาชนจากทุกสาขาอาชีพที่มีบทบาทในสังคมหรือชุมชนนั้นๆ เช่น ผู้นำตามธรรมชาติ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น หรืออื่นๆ สถานีตำรวจละ 50 คนทั่วประเทศ รวมกว่า 74,200 คน เพื่อทำหน้าที่ในการสะท้อนปัญหาและความต้องการของชุมชน มายังคณะกรรมการระดับสถานีตำรวจ พิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหา

หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หรือเกินขีดความสามารถ จะเสนอไปยังคณะกรรมการระดับอำเภอ คณะกรรมการระดับกองบังคับการ คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด คณะกรรมการระดับกองบัญชาการ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา ความต้องการของประชาชน

แต่หากยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำการรวบรวมปัญหาและความต้องการจากทุกพื้นที่ แล้วรายงานไปยังรัฐบาล เพื่อหาแนวทาง การแก้ไขในระดับประเทศต่อไป การอบรมเครือข่ายภาคประชาชนตามโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล ของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่

ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) มีผู้แทนภาคประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจในสังกัด เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 1,900 คน จาก 38 สถานีตำรวจในสังกัด สถานีตำรวจละ 50 คน จำนวน 5 รุ่น

ในวันนี้เป็นการอบรมในรุ่นที่ 3 ณ อาคารศูนย์กีฬากาญจนาภิเษก รัชกาลที่ 9 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญตามสาระวิชาที่กำหนด เช่น การสร้างเครือข่ายพลังแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของบ้านเมืองและการมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ สถานการณ์ของประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน การสื่อสารเพื่อแสวงหาความร่วมมือและการบริหารเครือข่ายประชาชนความรู้เกี่ยวกับโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ การสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การปฏิบัติงานของตำรวจในยุคปัจจุบัน ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกร่วมกันลดอุบัติเหตุ กฎหมายจราจร ขับขี่ปลอดภัย​ การรณรงค์สร้างอาสาจราจร และช่องทางการแจ้งข้อมูลการกระทำผิด เป็นต้น 

'ตร. เตือน' แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไฮเทค ใช้ Deep Fake ตัดต่อคลิปตำรวจ หลอกเอาเงิน 

วันที่ 11 มี.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตรวจสอบพบว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมที่นำคลิปวิดีโอจากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสวมใส่หน้ากากอนามัย มาตัดต่อใส่เสียงของคนร้าย เพื่อทำการข่มขู่ผู้เสียหาย จนผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง และโอนเงินจำนวนมากให้กับคนร้าย นั้น

ปัจจุบัน ได้มีการพัฒนารูปแบบในการหลอกลวงพี่น้องประชาชน โดยการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้นที่เรียกว่า Deepfake ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยี Deep Learning ในการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ ให้สามารถตัดต่อคลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายของบุคคลหนึ่ง ให้สามารถขยับปากตามเสียงของบุคคลอื่นได้ ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าว มาตัดต่อคลิปหรือภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้พูดตามสิ่งที่คนร้ายพูด เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงทรัพย์สินจากพี่น้องประชาชน 

ตำรวจเตือน!! ระวังมิจฉาชีพหลอกรับบริจาค อ้างช่วยสงครามและงานศพดาราดัง

(10 มี..65) ...ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล...สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ด้วยในขณะนี้ ได้มีแก๊งมิจฉาชีพฉวยโอกาสโดยใช้เหตุการณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตของนักแสดงชื่อดัง น..ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม และเหตุการณ์สู้รบระหว่าง สหพันธรัฐรัสเซีย กับ ยูเครน โดยหลอกลวงพี่น้องประชาชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ให้โอนเงินบริจาคโดยอ้างว่าจะนำไปช่วยเหลือในการจัดงานศพ หรืออ้างว่าจะนำไปช่วยเหลือผู้อพยพที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยสงคราม หรือการหลอกรับเงินอ้างว่าต้องการเงินมาช่วยเหลือในการขนย้ายทรัพย์สินออกจากพื้นที่สงครามแล้วจะแบ่งทรัพย์สินให้ เป็นต้น

"ผู้ช่วยฯต่อ ควง ผู้ช่วยฯโจ๊ก" นำทีม ศพดส.ตร. ลง พื้นที่ ภ.5 แถลงผลงาน ลุยจับขบวนการค้ามนุษย์ 3 เคสรวด 

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 ที่กองบัญชาตำรวจภูธร ภาค 5 จว.เชียงใหม่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์  หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร.,รอง ผอ.ศพดส.ตร.พล.ต.ท.ต่อศักดิ์  สุขวิมล  ผู้ช่วย ผบ.ตร.,รอง ผอ.ศพดส.ตร ได้ร่วมกันแถลงว่า จากนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ให้ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เพื่อยกระดับการจัดลำดับสถานการณ์การแก้ไขการค้ามนุษย์ในประเทศจาก Tier 2 watchlist เป็น Tier 1 นั้น    พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และพล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.,ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนจับกุมขบวนการ กลุ่มบุคคล หรือผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ  โดยมีการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน คือ ฝ่ายปกครอง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อย่างใกล้ชิด  ซึ่งในห้วงที่ผ่านนี้ สามารถดำเนินการเข้าจับกุมกลุ่มผู้กระทำผิดได้จำนวน 4 คดี ดังนี้


 
คดีที่ 1  พื้นที่ อ.เมือง  จ.ลำปาง ก่อนจับกุม ชุดปฏิบัติการ TICAC ร่วมกับ มูลนิธิ HUG PROJECT และสภ.เมืองลำปาง  ร่วมกันสืบสวนจนกระทั่งทราบว่า มีผู้ใช้ทวิตเตอร์โพสต์โฆษณาขายบริการทางเพศ  โดยให้ผู้สนใจแอดไลน์สอบถามผ่านทางคิวอาร์โค้ดไลน์  และมีการโพสต์ภาพหญิงที่ขายบริการทางเพศ พร้อมให้ไอดีไลน์ติดต่อตรง  ซึ่งต่อมาชุดปฏิบัติการได้ทำการสืบสวนจนกระทั่งทราบว่ามีรูปแบบพฤติการณ์ในการกระทำความผิดคือ พ่อเล้าจะทำการโพสต์โฆษณาว่าสามารถจัดหาหญิงมาค้าประเวณีได้  แจ้งประกาศลงในทวิตเตอร์ เมื่อมีลูกค้าสนใจติดต่อเข้ามาผ่านไอดีไลน์ตามที่แจ้งไว้  พ่อเล้าจะส่งข้อมูลของหญิงที่จะมาให้บริการทางเพศให้ลูกค้าทราบ  โดยคิดค่าบริการทางเพศ ราคาประมาณครั้งละ 1,500 - 2,000 บาท ซึ่งลูกค้าจะโอนเงินเข้าบัญชีพ่อเล้า  หรือใช้วิธีจ่ายเป็นเงินสดให้กับเด็กหญิงที่ไปให้บริการ  จากนั้นพ่อเล้าจะทำการหักหัวคิว ไว้ประมาณ ครั้งละ 500 บาท  ซึ่งภายหลังสามารถพิสูจน์ทราบว่า  พ่อเล้า คือ เยาวชนชาย อายุ 16 ปีเศษ เป็นแอดมินของทวิตเตอร์ดังกล่าว ทำหน้าที่คอยชักชวนติดต่อหาลูกค้า พร้อมนำเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จำนวน 2 คน  มาส่งให้กับลูกค้า ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ลำปาง ภายหลังสามารถทำการเข้าจับกุมพ่อเล้า  และเข้าช่วยเหลือคุ้มครองเด็กหญิง ได้จำนวน 2 คน  พร้อมขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ซื้อประเวณีได้อีก จำนวน 12 คน โดยกลุ่มผู้ซื้อประเวณีมีทั้งข้าราชการ นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไปในพื้นที่ใกล้เคียง  ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  

คดีที่ 2  พื้นที่ อ.ห้างฉัตร  จ.ลำปางก่อนจับกุม ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ภ.5 ได้รับแจ้งจากผู้ปกครองของเด็กหญิงอายุประมาณ 14 ปีเศษ ว่าถูกชักชวนไปค้าประเวณี และอยากให้เข้ามาช่วยเหลือเด็ก จากนั้น ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ภ.๕ ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ    จ.ลำปาง และ สภ.ห้างฉัตร ได้ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือคุ้มครองเด็กหญิงดังกล่าว และทำการสืบสวนเรื่อยมาจนกระทั่งทราบว่า ยังมีเด็กหญิง อายุ 13 ปีเศษ อีก 1 คน ที่มีพฤติกรรมถูกชักชวนไปค้าประเวณีเช่นกัน  จึงรีบเข้าไปช่วยเหลือคุ้มครองอีก 1 คน  ภายหลังจากการฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กทั้ง 2 คน ทำให้ทราบรูปแบบพฤติการณ์ในการกระทำความผิด คือ พ่อเล้า ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันมาก่อน ของเด็กหญิงทั้ง 2 คน ได้เข้ามาชักชวนติดต่อให้ไปพักอาศัยอยู่ด้วยกัน  จากนั้นพ่อเล้าได้พูดจาโน้มน้าวเด็กหญิงว่า เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วต้องช่วยกันทำมาหากิน  พร้อมกับแจ้งว่าให้เด็กหญิงทั้ง 2 ไปรับงานค้าประเวณี กับลูกค้าในลักษณะเพศสัมพันธ์หมู่ ที่โรงแรมในเขต อ.ห้างฉัตร  จ.ลำปาง  โดยพ่อเล้าได้มีการโพสต์เสนอขายประเวณีเด็กทั้ง 2 คน ผ่านทวิตเตอร์ เมื่อมีลูกค้าสนใจและติดต่อมายังพ่อเล้า พ่อเล้าจึงได้พาเด็กหญิงทั้ง 2 คน ไปส่งที่โรงแรม  หลังจากที่ลูกค้าร่วมประเวณีกับเด็กหญิงทั้ง 2 คนแล้ว จึงโอนเงินเข้าบัญชีของพ่อเล้า เป็นจำนวน 3,500 บาท โดยพ่อเล้าได้แบ่งเงินให้เด็กหญิงทั้ง 2 เพียงคนละ 300 บาทเท่านั้น  ภายหลังสามารถทำการเข้าจับกุม พ่อเล้า ซึ่งเป็นชายไทย อายุ 23 ปี พร้อมขยายผลจับกุมผู้ซื้อประเวณี ซึ่งเป็น ชายไทย อายุ 44 ปี นักธุรกิจ ในพื้นที่ จ.ลำปาง ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 

คดีที่ 3  พื้นที่ อ.ฝาง  จ.เชียงใหม่ ก่อนจับกุม ชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครอง ร่วมกับ มูลนิธิ IMF ร่วมกันสืบสวนจนกระทั่งทราบว่า มีผู้ใช้ทวิตเตอร์โพสต์โฆษณาขายบริการทางเพศ  โดยหากมีผู้สนใจจะให้แอดไลน์ เพื่อส่งนัดหมายและส่งรายละเอียดของหญิงที่จะให้ไปค้าประเวณี  ซึ่งต่อมาชุดปฎิบัติการฝ่ายปกครอง ได้สืบสวนกระทั่งทราบว่ารูปแบบพฤติการณ์ในการกระทำความผิด คือ แม่เล้าจะทำการโพสต์โฆษณาว่าสามารถจัดหาหญิงมาค้าประเวณีได้  แจ้งลงในทวิตเตอร์ จากนั้นเมื่อมีลูกค้าสนใจจะติดต่อเข้ามาผ่านไอดีไลน์ตามที่แจ้งไว้  พร้อมมีการส่งข้อมูลของหญิงที่จะมาให้บริการทางเพศ  โดยคิดค่าบริการทางเพศ ราคาประมาณครั้งละ 2,000 - 3,000 บาท ซึ่งลูกค้าผู้ซื้อประเวณีจะโอนเงินเข้าบัญชีแม่เล้า  จากนั้นแม่เล้าจะทำการหักหัวคิว ไว้ประมาณ ครั้งละ 200 – 500 บาท แล้วโอนเงินต่อให้เด็กหญิงที่มาค้าประเวณี  ภายหลังชุดปฎิบัติการฝ่ายปกครอง , มูลนิธิ IMF และ สภ.ฝาง ได้ร่วมกันเข้าช่วยเหลือเด็กหญิง อายุ 16 ปีเศษ และ อายุ 14 ปีเศษ ที่มาค้าประเวณีตามคำสั่งของแม่เล้า  พร้อมกับสืบสวนจนพิสูจน์ทราบและทำการจับกุมแม่เล้า ซึ่งเป็น เยาวชนหญิง อายุ 15 ปีเศษ แอดมินของทวิตเตอร์ดังกล่าว ทำหน้าที่คอยชักชวน และติดต่อหาลูกค้า ได้ที่ จ.ปทุมธานี  และขณะนี้อยู่ในระหว่างการขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ซื้อประเวณี

ตร. เตือน! ระวังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างค้างชำระค่าปรับจราจร หลอกเอาเงิน

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ในช่วงที่ผ่านมาอาชญากรรมในรูปแบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นอกจากจะแอบอ้างเป็นตำรวจหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และอ้างว่าบัญชีธนาคารของท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดต้องโอนเงินมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หรืออ้างเอกสารราชการปลอมแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่าปัจจุบันได้พัฒนาการไปถึงการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรศัพท์หลอกว่าท่านค้างชำระค่าปรับจราจร หากไม่ชำระตอนนี้จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เป็นเหตุให้มีพี่น้องประชาชนหลงเชื่อได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อโอนเงินให้กับคนร้ายที่โทรศัพท์มาทวงถามให้ชำระค่าปรับจราจร เด็ดขาด ทั้งนี้ท่านสามารถตรวจสอบด้วยตนเองว่าท่านมีใบสั่งจราจรที่ค้างชำระค่าปรับหรือไม่  ผ่านทางเว็บไซต์ “ใบสั่งจราจรออนไลน์สำหรับประชาชน” https://ptm.police.go.th/ โดยท่านสามารถสมัครสมาชิกเพื่อ ตรวจสอบใบสั่ง โต้แย้งใบสั่ง และชำระค่าปรับ ได้โดยตรงผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าว

“บิ๊กโจ๊ก” แถลงยึดทรัพย์ขบวนการค้ามนุษย์ 4 จังหวัดกว่า 100 ล้านบาท

ที่ สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร รองผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ (ศพดส.) แถลงผลการจับกุมขบวนการค้ามนุษย์และฐานความผิดที่เกี่ยวข้องในคดีฟอกเงิน มี พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.วัฒนา ยี่จีน รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผบก.ภ.จ.ประจวบฯ ร่วมในการแถลงข่าว จากเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.62 ตำรวจ ภ.8 ได้จับกุมขบวนการขนแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาในพื้นที่ สภ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช และในวันที่ 6 ก.ย.64 สามารถจับกุมขบวนการขนแรงานต่างด้าวในพื้นที่ สภ.มาบอำมฤต จ.ชุมพร และ สภ.เขานิพันธ์ จ.สุราษฎร์ธานี และได้ดำเนินคดีในความผิดฐานค้ามนุษย์องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง

โดยมีการขนแรงงานชาวเมียนมาจากฝั่ง อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อไปส่งประเทศมาเลเซีย ต่อมาศาลจังหวัดทุ่งสงได้มีคำพิพากษาจำเลยที่ถูกจับกุมจำคุกผู้ต้องหา 6 ปี จากการสืบสวนพบเส้นทางการเงินที่เข้าข่ายคดีฟอกเงิน จึงรวบรวมหลักฐานขออนุมัติศาลอาญา  ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 9 คน หมายจับศาล จ.ชุมพร 1 คน ในความผิดอาญาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน และขอหมายค้นศาลอาญาเข้าค้นเพื่อจับและยึดอายัดทรัพย์ผู้ต้องหาในพื้นที่ 4 จังหวัด 20 เป้าหมาย ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ภูเก็ต และปัตตานี 

ผลการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา 5 คน ผู้ต้องหาชาวเมียนมา 3 คน หลบหนีออกนอกประเทศกำลังติดตามจับกุมตัว ปปง.ได้สั่งอายัดบัญชีธนาคารของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ 25 บัญชี มีเงินหมุนเวียนในบัญชีรวมกว่า 680 ล้านบาท ยึดบ้านพร้อมที่ดิน 6 หลัง รถยนต์ 6 คัน รถจักรยานยนต์ 5 คัน อายัดเรือประมงผู้ต้องหาและหุ้นส่วนเพื่อตรวจสอบ 12 ลำ รถบรรทุกห้องเย็น 1 คัน สะพานปลา 1 แห่ง ทองรูปพรรณหนัก 37 บาท สมุดบัญชี 31 เล่ม กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกาโรเล็กซ์ อาวุธปืน รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

โฆษก ตร. ยันคลี่คลายคดี 'แตงโม'​ ตรงไปตรงมา เตือน!! สร้างกระแสกุเรื่องเท็จ ทำสังคมสับสน ผิดกฎหมาย

(7 มี.ค.65)​ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำแถลงความคืบหน้า คดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา หรือ “ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ดาราสาว” พร้อมตอบคำถามสื่อมวลชน

โฆษก ตร. ระบุตอนหนึ่งว่า ยืนยันว่าตำรวจทำคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเตือนกลุ่มคนที่กุเรื่องสร้างข่าวเท็จ สร้างความเสียหาย ทำให้สังคมสับสน

“เวลานี้มันเกิดกระแสการสร้างเรื่อง ที่จริงบ้าง เท็จบ้าง หรือไม่จริงเอาเสียเลย เรื่องนี้ทำให้สังคมเกิดความสับสน บางคนฉกฉวยโอกาส กุเรื่อง สร้างกระแสขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองอยู่ในกระแสข่าวในขณะที่ทำอย่างนี้ ตัวเองได้ชื่อเสียง แต่สังคมเสียหาย เกิดความสับสน ที่สำคัญมันผิดกฎหมาย

แถลงข่าว จับกุมพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ พร้อมยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 150 ล้านบาท

กองทัพเรือโดย พล.ร.ท.ภิญโญ โตเลี้ยง รองเสนาธิการทหารเรือ ร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจนครบาลและสำนักงานป้องกันเเละปราบปรามยาเสพติด ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ในคดีจับนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ พร้อมเครือข่าย รวมมูลค่าทรัพย์สิน กว่า 150 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ณ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีการแถลงรายงาน ผลการปฏิบัติในการปิดล้อม ตรวจค้น และจับนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ คือ นายวรวัฒน์ วงศพ่าห์ พร้อมกับจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ในคดีสมคบ สนับสนุนช่วยเหลือในการค้ายาเสพติด อีกจำนวน 4 คน และสามารถตรวจยึดทรัพย์สิน ได้หลายรายการ ได้แก่ เงินสด เงินฝากในบัญชี ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โรงแรม รีสอร์ท ทองรูปพรรณ อาวุธปืน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือประเภทต่างๆ นกแก้ว ฯลฯ รวมมูลค่าทรัพย์สิน ประมาณ 150 ล้านบาท 

ทรภ.1 ส่งเรือหลวงฯ ช่วยเหลือ เรือประมง ลอยลำรอความช่วยเหลือกลางทะเลอ่าวไทย ห่างฝั่งกว่า 6 ไมล์ทะเล

จากในกลุ่ม แอปพลิเคชัน ไลน์ ชื่อ วิทยุมดดำนาวี ทรภ.1 (ทัพเรือภาคที่ 1) แจ้งข่าว ได้มีข้อความขอความช่วยเหลือ จาก สมาชิกในกลุ่มท่านหนึ่ง ว่า [ " สวัสดีครับขอความช่วยเหลือด้วย พอดีเรือประมงพื้นบ้าน ชื่อ นำชัยรุ่งเรือง ได้เกิดเหตุเครื่องยนต์เสีย ตอนนี้ลอยลำอยู่  12° 34 N   100° 52 E    เรือวิ่งออกมาจากท่าเรือ ต.สัตหีบ ครับ ขอความช่วยเหลือด้วยนะครับ " T.0823197747 เบอร์ไต๋เรือครับ ] 

ศูนย์ปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้เห็นข้อความดังกล่าว และได้ ประสาน กองเรือปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 1 ส่ง เรือหลวงแสมสาร เข้าให้ความช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วน

หลังรับแจ้ง เรือหลวงแสมสาร ได้ออกเรือทันที เพื่อให้ความช่วยเหลือ เรือประมงพื้นบ้าน ชื่อ นำชัยรุ่งเรือง ดังกล่าวและ ได้นำมาส่งในพื้นที่อย่างปลอดภัย ณ บริเวณอ่าวแสมสาร ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อรอเรือในเครือข่ายนำกลับเข้าท่าเรือ ต่อไป 

รอง ผบ.ตร.ร่วมกับ ตำรวจ ภ.2 แถลงข่าวจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ยึดทรัพย์สินได้มูลค่ากว่า 70 ล้านบาท โดยมีภาพตอนบุกจับกุมด้วย

เมื่อ 1 มี..65 ที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 2 ‘พล... รอย อิงคไพโรจน์’ รอง ผบ.ตร.และ ผอ.ศอ.ปส.ตร. ร่วมกับ พล...ธิติ แสงสว่าง ผบช..2, พล...อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช..2, พล...ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส..2, พล...อรรถสิทธิ์ กิจจาหาญ ผบก..จว.ชลบุรี และ นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รอง เลขาธิการ ปปส. แถลงข่าวการจับเครือข่ายยาเสพติด “ต้อล เมืองชล แก๊งค์ เหลือเชื่อ”

รอง ผบ.ตร.แถลงว่า ชุดจับกุมโดย พ...วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส..2, ...กฤตยา เลาประสพวัฒนา รอง ผบก.สส..2 และ พ...สหัส ใจเย็น รอง ผบก.สส..2, เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ บก.สส..2 และ ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จำนวน 79 นาย ปปส.ภาค 2 จำนวน 16 นาย รวมจำนวนทั้งสิ้น 95 นาย เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น เป้าหมาย เครือข่ายยาเสพติดกลุ่มสิทธิชัย หรือ ต้อล มานะดี จำนวน 16 เป้าหมาย ในเขตพื้นที่ จังหวัดชลบุรี 13 เป้าหมาย, นครปฐม 1 เป้าหมาย และ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1 เป้าหมาย ยึดทรัพย์ เช่นอสังหาริมทรัพย์พร้อม ยานพาหนะ และสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ชลบุรี, .ศรีราชา จ.ชลบุรี จำนวน 8 หลัง มูลค่ารวมประมาณ 52,314,098 บาท อสังหาริมทรัพย์พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม มูลค่ารวมประมาณ 620,000 บาท อสังหาริมทรัพย์พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่ อ.หัวหิน จว.ประจวบคืรีขันธ์ มูลค่ารวมประมาณ 18,790,000 บาท เงินสด จำนวน 612,800 บาท อาวุธปืนพกสั้น ขนาด 38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน รวม 83 นัด รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 72,586,898 บาท

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 เม..63 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองขาม จับกุมนายวีรยุทธ หรือวัต ประชุมสาย พร้อมของกลางยาไอซ์ จำนวน 10.6 กก. , ยาบ้า จำนวน 51,800 เม็ด , คีตามีน จำนวน 1 กก. และสามารถขยายผลออกหมายจับนายภาณุพงศ์ หรือตุ๊ อุ่นประดิษฐ์ กับพวกรวม 4 นาย ผู้ร่วมขบวนการ ในข้อหา “สมคบฯ และ สนับสนุนตาม พรบ. มาตรการฯ” ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ..64 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจค้นยึดทรัพย์เครือข่าย “แก็งค์เหลือเชื่อ” ได้เพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนเงินกว่า 15 ล้านบาท ระหว่างการสืบสวนจับกุม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top