Saturday, 18 May 2024
POLITICS

กองทัพอากาศ ยัน ! กรณีการจัดซื้อจัดจ้าง โปร่งใสตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) พล.อ.ท.ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการรายงานข้อมูลของสื่อมวลชนในประเด็นที่ บริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด ได้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีความกรณีการจัดซื้อเครื่องมือ GT-200 ซึ่งมีข้อพิพาทต่อสู้คดีกับหน่วยงานภาครัฐในชั้นศาล โดยมีการตั้งข้อคำถามว่าเพราะเหตุใดจึงยังมีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับกองทัพอากาศ มีข้อมูลสำคัญดังนี้

 

1.ในปี 2563 กองทัพอากาศได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับ บริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด จริง เพื่อดำรงขีดความสามารถในการป้องกันทางอากาศตามภารกิจของกองทัพอากาศ

 

2.การจัดซื้อจัดจ้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาพัสดุอะไหล่และจ้างเหมาการซ่อมบำรุง ระบบป้องกันทางอากาศ (ระบบ ACCS) ระบบเรดาร์เคลื่อนที่ แบบ Giraffe – 40 และ Giraffe – 180 

 

3.การดำเนินการจัดซื้อพัสดุอะไหล่และจ้างเหมาซ่อมบำรุงมีความจำเป็นต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง กับ บริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด เนื่องจากระบบเรดาร์และระบบบัญชาการและควบคุมการป้องกันทางอากาศถูกใช้มาเป็นระยะเวลายาวนาน ส่งผลให้อะไหล่บางส่วนหมดอายุและหยุดสายการผลิต ไม่สามารถจัดหาตามแหล่งจัดหาทั่วไปได้ 

 

ซึ่งบริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวในประเทศไทย ในการจัดหาพัสดุอะไหล่และการซ่อมบำรุงรักษาอุปกรณ์จากบริษัทผู้ผลิตที่กองทัพอากาศได้จัดซื้อซึ่งมีความจำเป็นในการดำเนินการ เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อภารกิจของทางราชการ 

 

4.ก่อนการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง กองทัพอากาศได้ดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานดำเนินการตรวจสอบ บริษัท เอวิเอ แซทคอม แล้ว ไม่พบหลักฐานว่าเป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีผู้ทิ้งงานตาม พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ  พ.ศ.2560 ประกอบระเบียบของกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 

 

“กองทัพอากาศ ขอยืนยันว่าการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพอากาศได้ดำเนินการด้วยความรอบคอบและผ่านการพิจารณาของ ผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และผู้เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความถูกต้อง รัดกุม ตามระเบียบของทางราชการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ” โฆษกกองทัพอากาศ กล่าว

"ตั๊น จิตภัสร์" นำทีม กมธ.ตำรวจฯ ลุยลงพื้นที่ชุมพร บุกตรวจเข้มด่านตรวจสกัดยาเสพติด เล็งประสานผู้ว่าฯ-อปท. เสริมเขี้ยวเล็บอุปกรณ์ไฮเทค พ่วงสวัสดิการเป็นขวัญกำลังใจ จนท.

วันที่ 23 มี.ค. 2564 นางสาวจิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร ส.ส. บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมนายสราวุธ อ่อนละมัย ส.ส.ชุมพร เและนายประมวล พงศ์ถาวราเดช ส.ส ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละ อ.ปะทิว จ.ชุมพร และด่านตรวจยายพาหนะ ชุมพร กก.2 บก.ปส.4 อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร  

 

พร้อมทั้งได้มอบถุงยังชีพและน้ำดื่มเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่ โดยมี พล.ต.ต.วิมล พิทักษ์บูรพา รอง ผบช.ภ.8  พล.ต.ต.ถาวร แสงฤทธิ์ ผบก.ภ. จ. ชุมพร  พ.ต.อ.ภาณุเดช ณ พัทลุง รอง ผบก.ภ.จ. ชุมพร  พล.ต.ต.วุฒิพงษ์ นาวิน ผบก.ปส.4 และ พ.ต.อ.ภวินทร์ ภานุมาส ผกก.2 บก.ปส.4 ร่วมตรวจลงพื้นที่ด้วย

 

นางสาวจิตภัสร์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ทั้งสองแห่งได้ใช้ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งการตรวจค้นยาเสพติดผ่านเครื่องสแกนยาเสพติดในรถยนต์ การรับรู้หมายเลขทะเบียนอัตโนมัติ หรือ (License Plate Recogition) อีกทั้งในอนาคตจะมีระบบสแกนใบหน้าบุคคลมาใช้ตรวจร่วมด้วย  แต่ยังพบปัญหา คือ อาคารสถานที่ปฏิบัติงาน และที่พักเจ้าหน้าที่คับแคบและมีสภาพทรุดโทรม ทั้งยังขาดแคลนอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ  เสื้อสะท้อนแสง เครื่องหมายจราจร รวมถึงแบริเออร์ตั้งไหล่ทาง 

 

ซึ่งทางคณะกมธ. ตำรวจฯ จะร่วมกับส.ส.พื้นที่ประงานงานบูรณาการร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและส่วนท้องถิ่นในจัดหางบพัฒนาจังหวัดเพื่อแก้ปัญหานี้ นอกจากนี้ทางด่านตรวจยังมีการนำร่องโครงการโคกหนองนาโมเดลและเศรษฐกิจพอเพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายของกำลังพลอีกด้วย ซึ่งการลงพื้นที่จริง ทำให้รับทราบถึงปัญหา อุปสรรคและภาพรวมของการปฏิบัติงาน เพื่อที่จะดูแลด้านงบประมาณ สวัสดิการ กำลังพลและด้านอื่นๆ ที่มีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่  เมื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ห่างไกล ที่ตั้งด่านสกัดกั้นเพื่อป้องกันปราบปรามปัญหายาเสพติดของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ด้วยการสนับสนุนเทคโนโลยี เครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาทักษะและทบทวนยุทธวิธีให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการประจำด่านตรวจต่อไป

 

“คณะ กมธ. การตำรวจ สภาผู้แทนฯ ได้ให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การสกัดกั้นของด่านตรวจอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติด เข้าไปในพื้นที่ต่างๆโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ซึ่ง กมธ.ตำรวจ  สภาฯจะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับไปประกอบการพิจารณาศึกษา รวมทั้งนำเสนอความคิดเห็นของข้าราชการตำรวจในพื้นที่ และไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ ผลักดัน และสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาต่อไป” รองประธาน กมธ.ตำรวจ สภาฯ กล่าว

“ธนาธร” บุก “เมืองกาญจน์” ปลุกเลือก “อัธยาศัย ประเสริฐผล” ชูนโยบายพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก - ศูนย์กีฬาเยาวชน แห่รอบเมืองคนต้อนรับเพียบ

วันที่ 23 มีนาคม ที่จังหวัดกาญจนบุรี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางพบปะ ผู้สมัครนายกเทศมนตรี และทีมผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล (สท.) ในนามคณะก้าวหน้า โดยในส่วนของเทศบาลเมืองกาญจนบุรี คณะก้าวหน้าส่ง นายอัธยาศัยประเสริฐผล ลงสมัครในตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองกาญจนบุรี เบอร์ 3 พร้อมส่งผู้สมัคร สท.ครบทั้งสามเขต โดยหลังการพูดคุย ได้เดินทางไปดูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (เตาปูน 3 ) ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนแออัด มีครู 1 คน ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนถึง 18 คน ซึ่งผู้สมัครคณะก้าวหน้ามีนโยบายที่จะพัฒนาศูนย์แห่งนี้ 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น นายธนาธรและนายอัธยาศัย เดินทางไปที่ บ.ข.ส.เพื่อดู แนวทางการพัฒนาพื้นที่ ก่อนที่จะขึ้นรถแห่ไปยังศูนย์กีฬาเยาวชนของเทศบาล ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสภาพรกร้าง ต้องปรับปรุงพัฒนาอีกมากเพื่อให้อำนวยความสะดวกประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพ ก่อนที่จะขึ้นรถแห่อีกครั้งไปตามถนนแม่น้ำแคว โดยมีประชาชนตลอดสองข้างทางโบกไม้โบกมือให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก และปิดท้ายที่การเดินพบปะพ่อค้าแม่ค้าบริเวณตลาดสะพานข้ามแม่น้ำแคว

 

นายอัธยาศัย กล่าวว่า ตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ตนและทีมงานเดินพบปะประชาชนในพื้นที่ เคาะประตูบ้าน และมั่นใจว่าครบทุกหลังคาเรือนแล้วขณะนี้กำลังจะเดินเป็นรอบที่สอง ซึ่งแต่ละบ้านที่เราไปนั้น ใช้เวลาพูดคุยค่อนข้างนาน เพราะเราต้องการแนะนำตัวและแนะนำนโยบายให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งนี้  

.

เนื่องจากเราไม่ซื้อสิทธิ์ ไม่ซื้อเสียง จุดแข็งที่เรามี คือ นโยบายและความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ ที่จะนำนโยบายนี้ไปทำให้เกิดขึ้นจริง เพื่อจะเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองกาญจนบุรีให้ดีขึ้น อย่างเช่นวันนี้ที่พาคุณธนาธรไปดูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และศูนย์กีฬาเยาวชน ก็เพื่อจะยืนยันว่าเราต้องการเข้ามาปรับปรุงที่แห่งนี้ให้ดีขึ้น ให้เกิดประโยชน์กับชาวเมืองกาญจน์ให้มากที่สุด

 

‘ราชกิจจานุเบกษา ประกาศแต่งตั้ง 4 รัฐมนตรีใหม่ในรัฐบาลประยุทธ์ 2/4 อย่างเป็นทางการ 3 รมต.ป้ายแดง ‘ชัยวุฒิ’ นั่ง รมว.ดีอีเอส ‘สินิตย์’ นั่งรมช.พาณิชย์ ส่วน ‘ตรีนุช’ นั่งรมว.ศึกษา ตามโผ ส่วน ‘วีรศักดิ์’ ย้ายจาก รมช.พาณิชย์ไป รมช.คมนาคม

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 9 มิถุนายน 2562 แล้ว และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 และประกาศครั้งสุดท้าย ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2563 นั้น

บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรี 3 ตำแหน่ง ประกอบด้วย 1. นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 2. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 3.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ สมควรแต่งตั้งรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างและปรับปรุงรัฐมนตรีบางตำแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

1.ให้นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

2.ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสินิตย์ เลิศไกร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 22 มี.ค. 2562 เป็นปีที่ 6 ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

กองทัพเรือแจ้ง! ซื้อระบบเรดาร์จากบริษัทคู่สัญญา จัดซื้อโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (บก.ทร.) พล.ร.ท.เชษฐา  ใจเปี่ยม  โฆษกกองทัพเรือ  เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด ปรากฏเป็นคู่สัญญากับกองทัพเรือซื้ออะไหล่และพัสดุ ในปีงบประมาณ 2563 - 2564  ทั้งที่ บริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด เคยถูกตัดสินให้แพ้คดีร่วมกันฉ้อโกงขายเครื่องตรวจจับสารเสพติดอาวุธและวัตถุระเบิด GT200  และ ALPHA6 คดีดำเลขที่ อ284/62 คดีแดงที่ 931/62 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 นั้น

 

โดยระบุว่า กรณีการทำสัญญาจัดซื้ออะไหล่และพัสดุตามการรายงานข่าวนั้น เป็นการจัดซื้ออะไหล่สำหรับระบบเรดาร์ ระบบสื่อสารและระบบควบคุมการยิง ตราอักษร SAAB จากบริษัท SAAB ประเทศสวีเดน ที่กองทัพเรือได้ดำเนินการจัดซื้อในปีงบประมาณ 2563 โดยระบบเรดาร์ ระบบสื่อสารและระบบควบคุมการยิงนี้ กองทัพเรือได้จัดหามาจากบริษัท SAAB และติดตั้งไว้ใช้ในราชการในเรือรบอยู่แล้ว 

.

ทำให้การจัดหาอะไหล่เพื่อการซ่อมบำรุงจำเป็นต้องจัดหาจากบริษัทผู้ผลิตที่เป็นเจ้าของระบบหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์เท่านั้น ไม่สามารถจัดซื้อจากบริษัทผู้ผลิตรายอื่นได้ ซึ่งบริษัท SAAB ได้แต่งตั้งบริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายอะไหล่ประเภทดังกล่าวให้กับหน่วยงานภาครัฐเพียงรายเดียวภายในประเทศไทย การจัดซื้ออะไหล่นี้ทำโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เนื่องจากเป็นการจัดซื้อผ่านตัวแทน

 

นอกจากนี้ ในขณะที่ทำสัญญานั้น บริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด ยังไม่ได้ถูกระบุชื่อให้เป็นผู้ทิ้งงานในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง กองทัพเรือจึงสามารถทำสัญญากับบริษัทตามพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ได้

 

“ยืนยันว่า กองทัพเรือ มุ่งมั่นในการเป็นกองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ เป็นที่พึ่งของประชาชนและบริหารจัดการด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งกระบวนการจัดหายุทโธปกรณ์เป็นไประเบียบราชการทุกประการ” พล.ร.ท.เชษฐา กล่าว 

ครม.ไฟเขียว ข้อเสนอ ป.ป.ช. สกัดทุจริต กรณีศึกษาโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ชี้! ให้ศึกษาอีไอเอ-สร้างอาคารฝั่งตะวันออก และตะวันตกก่อน

วันที่ 23 มี.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม

ครม.ว่า ครม.เห็นชอบข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริตกรณีศึกษาโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

 

ซึ่งเรื่องนี้นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นเบื้องต้น คัดค้านการต่อขยาย โดยมีข้อสังเกตว่า ส่วนต่อขยายดังกล่าว ยังไม่ได้รับการออกแบบและจัดทำอีไอเอ ที่มีงบประมาณค่อนข้างสูง และผู้โดยสารต้องนั่งรถไฟภายในอาคาร 3-4 ต่อ และอาจทำให้การสัญจรหรือการเดินรถบนมอเตอร์เวย์ติดขัดได้ เพราะอาคารผู้โดยสารตั้งรวมกันอยู่ด้านเดียว 

 

เรื่องนี้คณะกรรมการป.ป.ช.ได้มีการศึกษาข้อมูลต่างๆ และได้มีข้อสรุปว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ควรเร่งก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก ตามมติครม. เมื่อเดือนส.ค.2553 โดยเร็ว และควรดำเนินการโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันตกในคราวเดียวกัน เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 75 ล้านคนต่อปี 

 

นอกจากนี้การท่าอาอาศยานควรพัฒนาให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทำตามแนะนำของสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารทิศตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ด้วย เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 120 ล้านคนต่อปีเป็นลำดับแรกก่อน แล้วจึงนำโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือมาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง

ครม.ไฟเขียว! ถอดเงินสนับสนุนค่าใช้จ่าย อสม. ออกจาก อบจ. โยกกลับมาให้ สธ.

วันที่ 23 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวไตรศุลี  ไตรสรณกุล  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นชอบถอดรายการเงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านออกจากรายการเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด

 

โดยให้นำเงินงบประมาณเงินอุดหนุนสำหรับจ่ายค่าป่วยการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข และให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอตั้งงบประมาณรายการดังกล่าว ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไป เนื่องจากภารกิจการจ่ายเงินค่าป่วยการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ไม่ใช่ภารกิจถ่ายโอนตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ทั้งนี้ ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 เห็นชอบให้เพิ่มค่าป่วยการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านจากเดิมเดือนละ 600 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 บาทต่อคน ทำให้ในปีงบประมาณ 2563 รายการเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านคิดเป็นร้อยละ 44.64 ของเงินอุดหนุนที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้รับจัดสรร และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมีงบประมาณเงินอุดหนุนสำหรับจัดการบริการสาธารณะที่มีความสำคัญและจำเป็นด้านอื่นๆในสัดส่วนที่ลดลง

นายกฯ สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฉีดวัคซีนให้ปชช. พร้อมสั่ง เร่งสร้างถนนสายใหม่ เลี่ยงผ่านพื้นที่ชุมชนแออัด หวังเพิ่มขีดความสามารถประเทศ

วันที่ 23 มี.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม.ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่าประเทศไทยเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ซึ่งนายกฯได้ให้นโยบายเรื่องการให้วัคซีนในแต่ละกลุ่ม 

 

เพื่อให้ประชาชนได้ทราบว่ามีความโปร่งใส และสั่งการให้เร่งรัดฉีดวัคซีนเมื่อได้รับวัคซีนมาจากต่างประเทศ และในอนาคตเมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับวัคซีนที่กระจายจากส่วนกลางแล้ว โดยให้ดูเรื่องของประสิทธิภาพของวัคซีนที่ได้ฉีดให้คนไทยด้วย

 

นอกจากนี้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังแถลงถึงผลประชุมครม.ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวในที่ประชุมถึงเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะการก่อสร้างถนนสายใหม่ ในเส้นทางหลัก 

 

ซึ่งมีความจำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และถือว่าเป็นการลดความแออัด และลดปัญหาการจราจรของเมืองหลักด้วย แต่การก่อสร้างถนนสายหลักจะต้องไม่ผ่านพื้นที่ที่มีชุมชนแออัด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาของพี่น้องประชาชน 

“บิ๊กป๊อก” ปัด ไม่รู้มีตั้งพรรคการเมือง ยัน ขรก.ทำงาน อยู่ ไปตั้งพรรคไม่ได้

วันที่23 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล .อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวหลังประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงกระแสข่าวตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่มีพล.อ.อนุพงษ์ เป็นคนกำกับดูแล ว่า “ ไม่มีหรอก ผมไม่รู้เรื่อง”

 

เมื่อถามย้ำว่ามีกระแสข่าวบิ๊กข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ รับทราบแล้วหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เห็นมีแต่คนเขาพูดกัน  จะทำได้อย่างไร ในเมื่อเป็นข้าราชการและยังทำงานอยู่ ไม่ได้ข่าว

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสังเกตการตั้งพรรคการเมือง หลังมีกระแสข่าวลือยุบสภา พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ ไม่ได้ข่าวเลย ”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยพัฒนาศักยภาพ อสร.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้นำบริการแรงงานสู่ประชาชน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแรงงาน มอบหมายให้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เพชรบุรี เปิดกิจกรรมอาสาสมัครแรงงานของ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้นำบริการถึงมือประชาชน ส่งเสริมศักยภาพเครือข่าย ป้องกันยาเสพติดในสถานประกอบการ และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

 

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมในภารกิจของอาสาสมัครแรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ปีงบประมาณ พ.ศ.2564  ณ นาน่า รีสอร์ท แก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

 

โดยนางธิวัลรัตน์ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนนโยบายด้านแรงงานไปสู่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ 

 

ในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้ดิฉันลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีเพื่อมาเปิดกิจกรรมในภารกิจของอาสาสมัครแรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2564 ซึ่งการขับเคลื่อนนโยบายด้านแรงงานนั้นจะต้องอาศัยกลไกของอาสาสมัครเป็นผู้ใกล้ชิดประชาชนในชุมชนท้องถิ่น อาสาสมัคร หมายถึง ผู้ที่สมัครใจทำงานเพื่อประโยชน์ให้แก่ประชาชนและสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงิน หรือสิ่งอื่นใด ด้วยความสมัครใจ เสียสละ 


คุณสมบัติที่สำคัญของอาสาสมัครมี 3 ประการ คือ ทำงานด้วยความสมัครใจไม่ใช่ด้วยการถูกบังคับหรือเป็นเพราะหน้าที่ เป็นงานเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมหรือสาธารณประโยชน์ และทำโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงิน หรือสิ่งของมีมูลค่าแทนเงิน

 

นางธิวัลรัตน์ กล่าวต่อว่า ต้องขอชื่นชมในความเสียสละของอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้กับกระทรวงแรงงาน เนื่องจากเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเป็นกลไกสำคัญในระดับพื้นที่ในการเชื่อมประสานและนำบริการด้านแรงงานไปสู่ประชาชนในพื้นที่ทำงานทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพให้แก่อาสาสมัครแรงงานในด้านการประชาสัมพันธ์ การสื่อสาร รวมถึงเทคนิคการนำเสนออย่างมืออาชีพ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญในการปฏิบัติงานในพื้นที่ 

 

จึงขอให้ทุกท่านตั้งใจรับความรู้และประสบการณ์จากการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ นำไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน รวมถึงได้ร่วมกันทำความดีเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสาธารณะ อันจะเป็นการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย

“ราเมศ” ประณามคนคุกคามลูกสาวนายกรัฐมนตรี ผ่านทวิตเตอร์ ไม่ว่าลูกใครก็ไม่ควรทำ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีมีผู้ใช้ทวิตเตอร์โพสต์ข้อความข่มขู่ คุกคาม ลูกสาวนายกรัฐมนตรีว่า 

ขอประณามการกระทำดังกล่าว การคุกคาม ข่มขู่บุคคลอื่น ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่นผิดกฎหมาย ต้องเอาตัวมาดำเนินคดีเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเพราะบุคคลที่ใช้สังคมโซเชียลไปในทางที่ผิดจะได้ตระหนักเสียบ้างว่าหากนำไปใช้ในลักษณะคุกคามบุคคลอื่นไม่ถูกต้องและมีความผิดตามกฎหมาย ควรใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม

“กลุ่มที่เห็นต่าง ไม่ต้องโจมตีผมว่าออกมาปกป้องลูกสาวนายกรัฐมนตรี เพราะสิ่งที่ผมพูดคือหลักการความถูกต้อง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับลูกสาว หรือลูกชายใครก็ไม่ควรเกิด ให้ลองนึกถึงใจเขาใจเราบ้าง และผมต่อสู้กับเรื่องนี้มายาวนาน ในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน หลายเรื่องในสังคมเห็นต่างกันได้ แต่อย่าเอาความสะใจมาทำลายความถูกต้องในสังคม ไม่เช่นนั้นความเสียหายจะเกิดขึ้น” นายราเมศกล่าว

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า ในหลายเรื่องพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลที่มีประเด็นเกิดขึ้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลุดจาก ส.ส.แต่หลายคนบอกว่าไม่สามารถเป็นกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณได้ ตนก็ยืนยันว่าเป็นได้เพราะเป็น กมธ.วิสามัญ คนนอกที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ก็สามารถเป็นได้ นั่นคือหลักการความถูกต้องไม่จำเป็นว่าคนนั้นจะเป็นใคร 

กรณีพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แต่ กกต. ให้ใบแดงก่อนการประกาศผล ให้มีการเลือกตั้งใหม่ ต่อมาเขาชนะในศาลฎีกาแต่ไม่สามารถกลับมาเป็น ส.ส.ได้ อันนี้ก็ไม่ถูกต้องและให้สัมภาษณ์โดยไม่ได้คิดว่าใครคนนั้นจะอยู่พรรคไหน เป็นใคร ดังนั้นเรื่องลูกสาวนายกรัฐมนตรีก็เช่นกัน การคุมคามว่าจะไปทำร้ายกัน มันเกินเลยขอบเขตของคนดีๆ ที่จะทำกัน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับลูกใครก็ไม่ควรทำ ขอประณามและเรียกร้องให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

ครม.ไฟเขียวต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คุมโควิด ตั้งแต่ 1 เม.ย.- 31 พ.ค.นี้ ตามที่ศบค.เสนอ พร้อมเห็นชอบพ.ร.ฎ.เรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ 7 - 8 เม.ย.นี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่1เม.ย.-31 พ.ค.นี้ ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ให้ความเห็นชอบ

นอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.เรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พ.ศ. ... และร่าง พ.ร.ฎ.ปิดสมัยประชุมสภาสมัยวิสามัญ พ.ศ. ...ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่า การประชุมสมัยวิสามัญ ที่เพิ่งผ่านพ้นมาอาทิตย์ที่แล้วได้พิจารณาเรื่องที่สำคัญ คือ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ร่างพ.ร.บ.การเข้าชื่อกฎหมาย และพ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ ในวาระที่ 2 ซึ่งพิจารณาได้ในบางมาตราเท่านั้น และยังมีร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติดที่ต้องพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ

ดังนั้นที่ประชุมร่วมรัฐสภาจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียกประชุมสมัยวิสามัญอีกครั้งหนึ่ง คาดว่าจะเป็นวันที่ 7-8 เม.ย.นี้ โดยจะมีการประกาศแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการต่อไป โดยเรื่องนี้นายกฯให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีการทำประชามติเข้ามาเกี่ยวข้อง นายกฯมีความจริงใจที่จะให้กฎหมายต่างๆได้ดำเนินการผ่านรัฐสภาตามความเหมาะสม โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำประชามติ

นอกจากนี้นายกฯได้กำชับให้หัวหน้าพรรคแต่ละพรรคให้ความสำคัญกับกฎหมายต่าง ๆ เหล่านี้ ทั้งกฎหมายประชามติ และกฎหมายรัฐธรรมนูญด้วย

“ณฐพร โตประยูร” ยื่น ป.ป.ช. สอบสมาชิกรัฐสภา 208 คน ที่โหวตผ่านวาระ 3 จงใจทำหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งอัยการฟ้องศาล สั่งพ้นจากตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่สำนักงานป.ป.ช. นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นหนังสือให้ ป.ป.ช.ดำเนินการกับ 208 สมาชิกรัฐสภา ที่ลงมติเห็นชอบ วาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ  เนื่องจากเป็นการกระทำที่จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ป.ป.ช. และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีผลผูกพันทุกองค์กร   การที่สมาชิกรัฐสภายังบังอาจลงมติเห็นชอบในวาระที่ 3 จึงเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  จึงขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวนและมีความเห็นส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดำเนินการต่อไป   

นายณัฐพร กล่าวว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมามีความชัดเจนอยู่แล้วว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะทำไม่ได้  แต่หากจะทำก็ต้องไปขอประชามติจากประชาชนก่อนและการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1  เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญปี 2560 ทั้งฉบับ  โดยจะมีผลให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องถูกยกเลิกไปด้วย  ซึ่งจะกระทบกับโครงสร้างทางการเมืองการปกครองและยังส่งผลให้คดีความต่างๆ  โดยเฉพาะคดีความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกศาลลงโทษไปแล้ว  หรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดีต้องหลุดพ้นไปด้วย เหตุเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไป 

นายณัฐพร กล่าวว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ  เป็นการหาทางออกให้ประเทศ  เพราะเดิมการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำไม่ได้  แต่คำวินิจฉัยก็ออกมาบอกว่าแก้ไขได้  แต่ต้องไปทำประชามติถามประชาชนว่ายินยอมหรือไม่   ถ้ายินยอมก็แก้ไขได้   

“การที่ญัตติโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไปแต่การที่ ส.ส.และ  ส.ว. 208 คน ไปรับรองมติ  ถือเป็นการจงใจปฎิบัติหน้าที่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. ระว่า ป.ป.ช.มีอำนาจสอบสวน และส่งอัยการฟ้องร้องภายใน 108 วัน ให้ศาลสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง และตัดสิทธิ์ทางการเมือง  10 ปี”  นายณัฐพร กล่าว

เมื่อถามว่าที่ฝ่ายการเมืองอ้างว่ามติดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ไขรายมาตรา  เพราะแก้มาตรา  256/1  เท่านั้น  นายณฐพร กล่าวว่าการแก้มาตรา 256/1  เพื่อตั้ง สสร.ก็เหมือนการยกเลิกรัฐธรรมนูญญปี  2560  ซึ่งศาลระบุไว้ชัดเจน ว่าการแก้ให้มี สสร. ไปร่างรัฐธรรมนูญใหม่  เพราะเป็นสิทธิของ ส.ส.ร.ที่จะทำ  เพราะฉะนั้นเรื่องนี้กระทบต่อโครงสร้างของประเทศ กระทบต่อการบริหารงาน รัฐบาล  กระทบต่อทุกภาคส่วน แต่เรามองไม่เห็นกันว่าการแก้แบบนี้ก่อให้เกิดผลอะไรตามม

รมว.แรงงาน ปลื้ม คนแห่ใช้ ม.33 เรารักกัน ทำเงินหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจ 5,700 ล้าน

วันที่ 23 มี.ค.64 นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะมนตรี (ครม.) ถึงการใช้จ่ายโครงการ ม.33 เรารักกัน ในวันที่22 มี.ค. เป็นวันแรก ว่า การโอนเงินวันแรกให้กับผู้ประกันตนคนละ1,000 บาท มีจำนวน 5.7 ล้านคน ทำให้มีเงินหมุนเวียนถึง 5,700 ล้านบาท และขณะนี้มีผู้ยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชันเป๋าตัง เกือบ 96% มีผู้ทบทวนสิทธิ์ประมาณ 7 แสนคน โดยส่วนนี้พยายามจะดำเนินการให้เร็วและผู้ประกันตนจะได้รับเงินไปในครั้งเดียว 4 พันบาท ในวันที่ 12 เม.ย.นี้และสามารถใช้ได้ไปถึงวันที่ 31 พ.ค.นี้

รมว.แรงงาน กล่าวว่า และจากการลงพื้นที่ลงไปสำรวจผู้ใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง ทั้งในตลาดและผู้ประกันตน พบว่าราบรื่นดี มีระบบบริหารจัดการลงตัวถือว่าน่าพอใจ เพราะไม่มีอะไรที่ผิดพลาดในทุกขั้นตอน พ่อค้าแม่ค้าได้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น3-4 เท่าตัว สร้างบรรยากาศที่ดีทั้งผู้ใช้จ่ายและผู้ขาย เหมือนกับชื่อโครงการ เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวถามถึงเสียงตัดพ้อของผู้ประกันตน มาตรา 33 บางคน ได้รับเงินเดือนไม่ถึง 2 หมื่นบาท แต่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 5 แสนบาท จะมีการทบทวนสิทธิ์ของกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เท่าที่ดูจากข้อมูลผู้ที่มีเงินฝากเกินจำนวน ที่มาลงทะเบียนใช้สิทธิ์มีแค่ 168,000 คน ส่วนในจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 9 ล้านคน ที่ไม่มาใช้สิทธิ์เพราะรู้ตัวเองอยู่แล้ว เราไม่สามารถเช็คจำนวนได้ ทั้งนี้เงินจำนวน 4 พันบาท ที่รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยาเป็นการช่วยเดือนเดียว เพราะกลัวว่าเงินที่มีอยู่จะไม่พอสำหรับผู้ประกันตนทั้งหมด เนื่องจากเป็นในส่วนของเงินกู้ จึงต้องใช้หลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีรายงานเรื่องการทุจริตในโครงการดังกล่าวที่ขายสิทธิ์เพื่อแลกกับเงินสด หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ตนได้ประสานไปถึงผู้นำสหภาพแรงงานทุกกลุ่ม ให้แนะนำทำความเข้าใจถึงการบริหารจัดการเงิน โดยเงินจากแอพพลิเคชันให้ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องอาหารการกิน และเก็บเงินสดไว้ในส่วนที่จำเป็นอื่น เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถฯ และขอให้ใช้เงินด้วยความรอบคอบในสิ่งที่จำเป็นยืนยันว่ารัฐบาลพยายามแก้ปัญหาให้ครบทุกกลุ่ม ทั้งนี้ได้รายงานความคืบหน้าของโครงการ ให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้รับทราบแล้ว

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2564


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top