Tuesday, 3 June 2025
POLITICS NEWS

‘สว.วันชัย’ จี้ ‘รัฐบาล’ ควรเร่งออก กฎหมายนิรโทษกรรม ชี้!! ควรอภัยให้ ‘ทุกสี-ทุกฝ่าย’ ให้ถือว่าเป็น เพื่อนร่วมชาติ

(8 มิ.ย.67) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง นิรโทษกรรม….ควรทำโดยเร็ว โดยระบุว่า 

การให้อภัยต่อกันเป็นการดีที่สุด จบได้ควรจบ เลิกได้ควรเลิก บ้านเมืองจะได้เดินต่อไปได้ ด้วยความปรองดองสมานฉันท์ เกือบ 20 ปี เราทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน แล้วได้อะไร มีแต่ความย่อยยับเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นแสนล้าน คนบาดเจ็บล้มตายพิกลพิการเป็นจำนวนมาก เข่นฆ่าทุบตีทำร้ายกันทั้งเผาทำลายอาคารสถานที่ มีการชุมนุมประท้วงเดินขบวนปฏิวัติรัฐประหารผ่านกันมาหมดแล้ว เสียหายก็เสียไปแล้ว คนเจ็บก็เจ็บไปแล้ว คนตายก็ตายไปแล้ว คนติดคุกก็ติดไปแล้ว ปฏิวัติก็ปฏิวัติไปแล้ว ทั้งหมดมาจากการเมืองทั้งสิ้น แล้วเราจะปล่อยให้ความขัดแย้งนี้มีอยู่ทำไม ดีที่สุดก็คือ เลิกแล้วต่อกัน เริ่มต้นกันใหม่ไม่ดีกว่าหรือ

1. รัฐบาลเศรษฐาควรรีบออกกฎหมายนิรโทษกรรม กรณีที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองโดยเร็ว ไม่ต้องไปรออะไร สถานการณ์นี้เหมาะสมที่สุดแล้ว

2. การนิรโทษกรรมคือการให้อภัยกันทุกฝ่าย ทุกสี ทุกกลุ่ม ทุกเหตุการณ์ และควรเปิดกว้างอย่าไปมองว่าใครได้ใครเสีย ใครเป็นกลุ่มของใคร ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ใหญ่เยาวชนหนุ่มสาว ให้ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติ

3. ควรมีคณะกรรมการซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ทำหน้าที่พิจารณาว่ากรณีใด ควรได้รับการนิรโทษหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะ ม.112 กรรมการชุดนี้และผู้มีอำนาจก็ควรจะรู้ได้ว่า ควรจะทำด้วยประการใดอย่างไรหรือไม่ จึงจะมีความเหมาะสมและสมควร

4. ควรมีการออกกฎหมายล้างมลทินประกอบไปด้วยก็จะดี

ผมเห็นตั้งท่ากันมานานแล้วแต่ก็ไปไม่ถึงไหน รัฐบาลเศรษฐารีบทำเสียเถอะ จะเป็นมหากุศลกับทุกฝ่าย และที่สำคัญจะเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่กับประเทศไทย….แล้วมาทำบุญที่วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน กันนะครับ

'รศ.ดร.สุวินัย' มองปรากฏการณ์!! 'อำนาจ-ศรัทธา-อนาคต' ที่บางตา เกม 'ตัดวงจรอำนาจสังคมไทย' ที่ก๊วนส้มเชื่อมไม่ถึงใจด้อมอีกต่อไป

(8 มิ.ย.67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ :วาทกรรม 'ตัดวงจรอำนาจของสังคมไทย' (Breaking the Cycle) กับปฏิทรรศน์ (Paradox) เรื่องการเปลี่ยนแปลงโลกกับการเปลี่ยนแปลงตนเอง' ระบุว่า...

>> การที่มี 'มวลชนส้ม' เข้าไปโรงหนังเพื่อดูหนังสารคดีที่เกี่ยวกับบทบาททางประวัติศาสตร์ของธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ภายใต้ชื่อ 'อำนาจ ศรัทธา อนาคต : Breaking the Cycle' ค่อนข้างบางตาอย่างผิดคาด จนถูกอีกฝ่ายเอามาแซะหรือล้อเลียนในโซเชียลนั้น ... มันบ่งชี้ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์เชิงจัดตั้งและเชิงปฏิบัติการมวลชน (Mass Action) ระหว่างพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นทายาทของพรรคอนาคตใหม่กับมวลชนส้มของพรรคนั้น ... มันบอบบาง ชั่วคราว ไม่ถาวร และเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง

>> ปรากฏการณ์จุดกระแสไม่ติดครั้งนี้ อาจทำให้มองได้ด้วยซ้ำว่าคะแนนเลือกตั้ง 14 ล้านเสียงที่พรรคก้าวไกลได้มานั้น กว่าครึ่งคงมาจากนโยบายอภิมหาประชานิยม 'แจกเงินคนชราเดือนละ 3,000 บาท' ที่พรรคก้าวไกลออกมาในช่วงเจ็ดวันสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง มากกว่าศรัทธาในแนวทางและอุดมการณ์ปฏิกษัตริย์นิยมของพรรคก้าวไกลเป็นหลัก ... จะว่าไปแล้วนี่คือ 'คุณภาพ' ของคนที่ไปเลือกตั้งจำนวนมากที่ตัดสินใจลงคะแนนตามสิ่งล่อใจจำพวกนโยบายอภิมหาประชานิยมที่พวกนักการเมืองเอามาล่อ มากกว่าจะลงคะแนนตามหลักเหตุผลเพื่อ 'ส่วนรวม' ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริงของประชาธิปไตย

>> ถ้าธนาธรหรือพรรคก้าวไกลชูธงว่า 'จะตัดวงจรอำนาจของพวกนักการเมืองที่กินเมืองให้สิ้นซาก' แทนที่จะชูนโยบายปฏิกษัตริย์นิยมที่ตั้งอยู่บนความเชื่อผิด ๆ ของพวกตนว่า "สถาบันกษัตริย์คือต้นเหตุของปัญหาอำนาจทั้งปวงของประเทศนี้ที่จำเป็นต้องตัดวงจรอำนาจนี้ให้ขาดสะบั้น" ... ผู้เขียนคิดว่าพวกเขาคงจะประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนกว่าในปัจจุบัน

>> จะว่าไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย หรือการตัดวงจรอำนาจในสังคมไทย มันเป็นงานใหญ่ระดับพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินก็ว่าได้ ... จริงอยู่มันมิใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ประวัติศาสตร์ของทุกประเทศทั่วโลกมันสอนเราว่ามันเป็นเรื่องยากมาก ๆ ระดับร้อยปีหรือหลายร้อยปีถึงจะเกิดสักครั้ง และกว่าจะเกิดขึ้นมาจริง มันจะต้องผ่านสงคราม ผ่านการนองเลือดสละชีวิตผู้คนนับล้าน ๆ คนก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้ดังใจหวัง มิหนำซ้ำ 'ความจริงใหม่' ที่เกิดขึ้นอาจเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ ... คนส่วนใหญ่แน่ใจจริง ๆ หรือว่าอยากได้เส้นทางอนาคตที่ 'พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน' ภายใต้การนำของพรรคนี้

>> ก็เหมือนอย่างมายาคติ หรือวาทกรรมที่สร้างขึ้นมาว่า "ถ้าปิดสวิตซ์ 3 ป. คือตัดวงจรอำนาจของทหารและการรัฐประหารได้ แล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้น คนไทยจะรวยขึ้นอย่างแน่นอน" ... ความจริงใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ปิดสวิตซ์ 3 ป. ได้แล้วเป็นยังไง ก็จงเบิกตาดูความเป็นจริงตรงหน้าตอนนี้ให้ดีเถิด

>> ผู้เขียนซึ่งผ่านวัยหนุ่มวัยสาวที่มีอุดมคติอุดมการณ์ที่ร้อนแรงมาก่อนย่อมตระหนักดีว่า 'การเปลี่ยนแปลงโลก' กับ 'การเปลี่ยนแปลงตนเอง' เป็นสองสิ่งที่ต้องทำไปพร้อม ๆ กัน จะมุ่งแต่การเปลี่ยนแปลงโลกโดยไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน หาใช่เรื่องที่ควรกระทำไม่ เพราะมันจะนำมาซึ่งความผิดหวังและความสิ้นหวังอย่างแน่นอน

>> พรรคก้าวไกลคงจะถูกยุบค่อนข้างแน่ พรรคใหม่ของคนรุ่นใหม่ที่จะมาสืบทอดแทนพรรคก้าวไกลควรเก็บบทเรียนที่ผิดพลาดและพลาดพลั้งในอดีต เพื่อเติบใหญ่เป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่สามารถตัดวงจรอำนาจของพวกนักการเมืองที่กินเมืองให้สิ้นซากได้จริง

- พรรคใหม่ของคนรุ่นใหม่ ควรชู 'นโยบายปฏิรูปตำรวจ' แบบผ่าตัดใหญ่ เพื่อตัดวงจรอำนาจในวงการตำรวจ เป็นนโยบายหลักของพรรคแทนที่จะชู 'นโยบายปฏิรูปสถาบันกษัตริย์' จากจุดยืนปฏิกษัตริย์นิยม เหมือนอย่างในอดีต

- พรรคใหม่ของคนรุ่นใหม่ ควรชูนโยบายดึง 'เศรษฐกิจใต้ดิน' ที่มีขนาดใหญ่ราว ๆ 60% ของ GDP ไทย ขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจบนดินอย่างเป็นทางการ จะได้ 'ปฏิรูปการเก็บภาษี' เพื่อขยายฐานการจัดเก็บภาษีเงินได้ในระบบอย่างทั่วถึง โดยเอาเงินภาษีจำนวนมหาศาลที่รัฐเก็บเพิ่มได้ มาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการทั้งระบบ รวมทั้งพัฒนาทักษะดิจิทัลให้คนไทยทั้งประเทศ

3 นักการเมืองหญิง 'รวมไทยสร้างชาติ' ร่วมรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบาย 'สตรี-เด็ก-คนพิการ' ขยายสิทธิลาคลอด จัดเงินอุดหนุนเด็กเล็ก

(8 มิ.ย.67) พรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้ความยึดมั่นในหลักการ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ได้มอบหมายตัวแทนพรรคที่เป็นผู้ดูแลเรื่องสิทธิสตรีและเยาวชน ประกอบด้วย...

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี หรือ เนเน่ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยอดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ ประกอบด้วย ดร.ณัฐวรินธร บวรภัควุฒิสิริ หรือ อิ๊กคิว และ ดร.กาญจนา ภวัครานนท์ หรือ ฟลุค เข้าร่วมรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากตัวแทนคณะนักเคลื่อนไหวและนักวิจัย นำทัพโดย นางเรืองรวี พิชัยกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา (Gender and Development Research Institue หรือ GDRI) ที่มาร่วมกับตัวแทนจาก มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย และ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก

ทั้งนี้ ผู้นำเสนอ ได้นำรายงานวิจัยและข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 ฉบับมายื่น ได้แก่ 1) รายงานวิจัยเศรษฐศาสตร์ของความเป็นมารดาในประเทศไทย  2) รายงานข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อยุติความรุนแรงในครอบครัวที่มีต่อผู้หญิงและเด็ก และ 3) รายงานผลการสำรวจสถานการณ์คนพิการที่ถูกกระทำความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งรายงาน 2 ฉบับแรกเป็นการทำวิจัยภายในโครงการ 'เสียงของผู้หญิงต่อการทำนโยบายทางสังคมต่อรัฐบาลและพรรคการเมือง' อีกด้วย 

นางรัดเกล้า กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายที่คณะที่มาเยือนได้นำเสนอนั้น มีข้อเสนอที่น่าสนใจอยู่ในหลายส่วน ซึ่งมีการคละระหว่างการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค ทั้งนี้อยู่ภายใต้ประเด็นหลัก 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การเล็งเห็นว่าสตรีเป็นส่วนสำคัญในกลไกของเศรษฐศาสตร์ และความเป็นมารดาไม่ควรเป็นอุปสรรคในการทำงาน 2) การเปลี่ยนแปลงเชิงกฎหมายและโครงสร้าง เพื่อยุติความรุนแรงในครอบครัวที่มีต่อผู้หญิงและเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ และ 3) การขยายกรอบนโยบายเดิม เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับเด็กวัย 0-6 ขวบ

ในรายละเอียดของข้อเสนอแนะ ประกอบเนื้อหาบางส่วนดังนี้...

1. การรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิความเป็นมารดา รวมถึงกำหนดให้ผู้เป็นมารดามีสิทธิลาคลอด 180 วัน และให้ผู้เป็นบิดาสามารถลาเพื่อดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วัน โดยได้รับค่าจ้างตาม จ่ายจริง 100% รวมถึงการผลักดันนโยบายที่จะอำนวยให้มารดาสามารถทำงานควบคู่กับการเป็นแม่ได้ เช่น การมีมุมนมแม่ในที่ทำงาน และมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐ ที่ครอบคลุมการรับเลี้ยงเด็ก 0-6 ปี มีเวลาเปิดปิดที่สอดคล้องกับเวลางานของบิดา-มารดา และมีการตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงที่ทำงาน โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ

2. การรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงานโดยเฉพาะการเลิกจ้างหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงการแก้ไข พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ให้มีความเข้มแข็งมาขึ้น ให้ครอบคลุมว่าการล่วงละเมิดทางเพศให้เป็นคดีอาญาที่ยอมความไม่ได้

4. เพิ่มความเท่าเทียมและถ้วนหน้าให้กับเด็ก ด้วยนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6 ปี อ้างอิงสถิติปี 2565 ที่มีเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพียงจำนวน 2.3 ล้านคน ในขณะที่ประชากรเด็กไทยมีอยู่ที่ 4.3 ล้านคน หากรับมอบเงินอุดหนุนถ้วนหน้า จะเป็นการเพิ่มงบประมาณอีกเพียง 14,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ความเท่าเทียมกับเด็กอีก 2 ล้านคนที่ปัจจุบันนี้ไม่ได้รับเงินสนับสนุน 

“การรับฟังผลวิจัย ข้อเสนอแนะ และมีโอกาสหารือร่วมกันในครั้งนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ได้รับมาวันนี้ไม่ใช่การคิดขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็นแนวคิดที่กลั่นกรองมาจากสถิติและผลการวิจัย ด้วยเป้าประสงค์ที่อยากผลักดันให้เกิดประโยชน์ต่อสตรี เด็ก และคนพิการในประเทศไทย  ในฐานะตัวแทนพรรค พวกเรา 3 คน ขอสร้างความมั่นใจว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ ตรงกับนโยบายและความสนใจของพรรครวมไทยสร้างชาติที่ยึดมั่นในหลักการ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' อยู่แล้ว นอกจากนี้ หนึ่งในปัญหาที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญมาก คือเรื่องของสังคมสูงวัยและจำนวนประชากรที่ลดลงของประเทศไทย นโยบายที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงสามารถทำงานควบคู่กับการเป็นแม่ได้ และนโยบายที่ส่งเสริมการดึงศักยภาพด้วยการเลี้ยงดูเด็กอย่างมีคุณภาพ เหล่านี้เป็นนโยบายสำคัญที่ต้องได้รับการผลักดันอย่างเร่งด่วน” นางรัดเกล้า กล่าวเสริม

ถึงเวลา 'คุณหญิงอ้อ' ลงบัญชาเกม ‘ปรับดีล’ ประคองทรง ‘เศรษฐา’ ปลดสลักให้ ‘โทนี่’

วันที่ 7 มิ.ย. 2567 นักข่าวจำนวนหนึ่งแอบไปสังเกตการณ์ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พบว่ามีรถตู้วิ่งเข้าออกจำนวนหนึ่ง ตอกย้ำให้ข่าวที่ว่า ‘คุณหญิงอ้อ’ คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ภริยา (หย่า) ของคุณทักษิณ  ชินวัตร ได้นัดหมายบุคคลในครอบครัวเพื่อพบปะพูดคุย...เป็นจริง

ยากที่จะหาข่าวอินไซด์จากวงพูดคุยได้...แต่พอที่จะไล่เรียงข่าว-ข้อมูลเบื้องต้นให้รับฟังได้ว่า...เบื้องหลังการเชิญ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในหนนี้ได้

ผู้ที่ทำให้ ดร.วิษณุ ปฏิเสธได้ยากที่สุดคือ ‘นายหญิง’ ท่านนี้...

ภารกิจของดร.วิษณุนาทีนี้คือแก้ไขคำชี้แจงข้อกล่าวหาถอดถอนนายเศรษฐา...ก่อนจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 10 มิ.ย. หรือหากจำเป็นก็สามารถขอขยายเวลาได้...

กรณีเศรษฐาคือความเป็นความตายของพรรคเพื่อไทย...ว่ากันว่า ‘นายหญิง’ ก็มีส่วนสำคัญขอให้นายเศรษฐารับตำแหน่งนายกฯ แทน ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งผู้เป็นแม่รู้ดีว่าลูกสาวยังไม่พร้อม ไม่อยากเป็นแม่รังแกลูก...ดังนั้นงานนี้ต้องใช้บริการเนติบริกรผู้มีอภินิหาริย์ทางกฎหมาย…มาช่วยประคับประคองเศรษฐา..

ไม่แต่เท่านั้น…กรณีทักษิณเผชิญหน้าคดีมาตรา 112 ต้องลุ้นกันทีละช็อต ทีละศาล...ก็เป็นวิบากกรรม เป็นงานหนัก…ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้บริการจาก ดร.วิษณุ เช่นกัน รวมทั้งงานยากสุดคือการกลับบ้านอย่างเท่ ๆ ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร   

วิบากกรรมของครอบครัวชินวัตรรอบนี้ใหญ่หลวงไม่ใช่น้อย คดีมาตรา 112 ของทักษิณแม้วันที่ 18 มิ.ย.แนวโน้มจะได้รับประกันตัวแต่ชีวิตก็เหมือนถูกล่ามโซ่...การจะใช้บริการนิรโทษกรรมสุดซอย รวมคดี 112 เข้าไปด้วย ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการล้มกระดานการเมือง...ห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยต้องยืดหยุ่น...และหนีไม่พ้น ‘คุณหญิงอ้อ’ ต้องเทคแอ็กชันในช็อตสำคัญ

สรุปทุบโต๊ะ…ตอนนี้มีเพียง ‘นายหญิง’ เท่านั้นที่ทรงอิทธิพลและน่าเชื่อถือมากที่สุด ที่จะช่วย ‘ปรับดีล’ การอยู่ร่วมกันกับอีกฝ่ายให้ราบรื่นได้...ภายใต้การปล่อยข่าวรัว ๆ จากมุมมืดว่า 18 มิ.ย. ทักษิณจะวืดประกันตัว, วันที่ 3 ก.ค. ดาบแรกศาลรธน. จะยุบพรรคก้าวไกล ดาบต่อไป 10 หรือ 17 ก.ค. จะลงดาบเศรษฐา...

ปล.หากย้อนอดีต…บารมีบวกกับความอ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ ความเด็ดขาดและแน่นอนของ ‘นายหญิง’ เคยช่วยถอดสลักระเบิดเวลาให้ ‘นายใหญ่’ มาหลายต่อหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือความขัดแย้งของนายใหญ่กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์ อดีตประธานองคมนตรีผู้ล่วงลับ..

อย่างไรก็ตาม...ทั้งหลายทั้งปวง การ ‘ปรับดีล’ ให้สมดุล ต้องอยู่ที่ความอดทนของ ‘นายใหญ่’ ที่ฝ่ายความมั่นคงของฝั่งอนุรักษ์นิยมยังไม่สบายใจกับคำพูดคำจา การแสดงออกต่าง ๆ เช่น ที่โคราชเมื่อ 25 พ.ค. หรือแม้แต่วันที่ 8 มิ.ย. ที่ปทุมธานีที่อาจจะไปร่วมงานด้วยตัวเองหรือวิดีโอคอล..ที่จะต้องตามไปดู…

ถ้านายใหญ่พูดการเมืองเพียงว่า “ผมไม่รู้จักคนชื่อ(บิ๊ก)แจ๊ส” เพราะต้องช่วยชาญ พวงเพ็ชร์ ให้ชนะนายกอบจ.ในนามพรรคเพื่อไทยก็ไม่น่าจะเป็นไร...แต่เขาเกรงกันว่าจะพูดเรื่องอื่นที่มันชวนเสียวน่ะสิ..!!

‘สุริยะ’ รุกหนัก!! ปกป้องเด็กจาก ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เคาะ 5 มาตรการ ชง ครม. 'ปราบปราม-คุมระบาด'

(7 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2567 ซึ่งมีมติเห็นชอบ มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า โดยประกอบด้วย 5 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1. พัฒนาและจัดการองค์ความรู้ 2. สร้างการรับรู้ภยันตรายและการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็ก เยาวชน และสาธารณชน 3. เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า 4. พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายเพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกัน ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า 5. ยืนยันนโยบายและมาตรการป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า

ทั้งนี้ ที่ประชุม คสช. ยังได้เห็นชอบให้คงไว้ซึ่งนโยบายห้ามนำเข้าและห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจริงจัง และได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) นำมติสมัชชาฯ ดังกล่าว เสนอเข้าสู่วาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประกาศใช้เป็นกรอบนโยบายหลักของประเทศในการปกป้องเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป

นายสุริยะ เปิดเผยว่า ปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญ โดยที่ผ่านมาได้มีการกำชับสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวด จริงจัง เนื่องจากมีความเป็นห่วงเด็กและเยาวชนที่จะตกเป็นเหยื่อการตลาดของบริษัทบุหรี่ไฟฟ้าและกลายเป็นนักสูบหน้าใหม่ที่จะได้รับอันตรายต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

นายสุริยะ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้เดินหน้าปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น จนนำไปสู่การจับกุมและตรวจยึดของกลางได้ในหลายกรณี ซึ่งมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นฯ ที่ คสช. ได้เห็นชอบในวันนี้จะเป็นกรอบนโยบายสำคัญให้หน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวง กรม กอง สำนักงาน คณะกรรมการชุดต่าง ๆ นำไปขับเคลื่อน ซึ่งส่วนตัวต้องการเห็นรูปธรรม จึงได้สั่งการให้ สช. เกาะติดการขับเคลื่อนอย่างใกล้ชิด และรายงานผลการดำเนินการต่อ คสช. ให้รับทราบความก้าวหน้าไปจนกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงตามข้อมติ

“ต้องขอชมเชยคณะกรรมการพัฒนานโยบายฯ ที่ทำข้อเสนอลงรายละเอียดให้เราได้เห็นถึงเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างชัดเจน อย่างหนึ่งที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญคือการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อช่วยกระจายความรู้และความน่ากลัวจากผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าไปถึงเด็กและเยาวชนให้มากขึ้น นอกจากนี้ในเรื่องของตัวเลขสถิติที่เรามีการสำรวจกัน 5 ปีครั้ง ซึ่งมตินี้เสนอให้สำรวจบ่อยขึ้นเป็นทุก 2 ปี ผมมองว่าการสำรวจไม่ได้ใช้เวลาเยอะ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่จำนวนผู้สูบเพิ่มมากขึ้น ขณะที่เรากำลังมีมาตรการต่างๆ ออกมา จึงมองว่าควรจะมีการสำรวจสัก 6 เดือนครั้ง เพื่อประเมินได้ว่าหากมาตรการได้ผลจริง จำนวนตัวเลขเหล่านี้ก็จะต้องลดลง” นายสุริยะกล่าว

สำหรับมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น ‘การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า’ ผ่านความเห็นชอบจากผู้เข้าร่วม 264 หน่วยงาน/คน โดยทั้งหมดได้ให้ความเห็นชอบต่อกรอบทิศทางนโยบาย (Policy Statement) อย่างเป็นฉันทมติ พร้อมกันนี้ยังได้วางบทบาทหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้มีนโยบายรณรงค์ เฝ้าระวัง และให้ความรู้ถึงภยันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้กำหนดมาตรการมิให้นำเสนอประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าที่บิดเบือนผ่านสื่อ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมศุลกากร ให้บังคับใช้กฎหมายที่มีในปัจจุบันอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด เป็นต้น

ศ.เกียรติคุณ พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ประธานกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนนับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเด็กและเยาวชนถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ที่ต้องได้รับการสร้างเสริมและคุ้มครองสุขภาพอย่างสอดคล้องและเหมาะสม จึงเป็นที่มาของการพัฒนานโยบายสาธารณะเรื่องนี้

ศ.พญ.สุวรรณา กล่าวว่า ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิชาการมากมายยืนยันว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษ โดยมีสารนิโคตินปริมาณสูงซึ่งมีฤทธิ์เสพติดรุนแรง และอันตรายต่อทุกระบบของร่างกายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะต่อพัฒนาการสมองของเด็ก ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ย้ำด้วยว่าบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์อันตรายต่อสุขภาพของผู้สูบ รวมไปถึงผู้ที่ได้รับบุหรี่ไฟฟ้ามือสองและมือสาม เนื่องจากมีสารนิโคติน สารเสพติด สารแต่งกลิ่น สารเคมีอื่น ๆ มิได้เป็นสินค้าที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่ตามที่อุตสาหกรรมยาสูบหรือผู้สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้ากล่าวอ้าง

ศ.พญ.สุวรรณา กล่าวอีกว่า ปัญหาขณะนี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยการตลาดล่าเหยื่อ ที่ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ามุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชน โดยออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เลียนแบบของเล่นเด็ก (Toy Pod) ของใช้หรือของกินที่เด็กและเยาวชนนิยมหรือคุ้นเคย รวมถึงการใส่สารปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติในบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อดึงดูดความสนใจให้อยากทดลองและใช้บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าคุกคามเด็กเล็กลงถึงระดับชั้นประถมศึกษาและส่งผลกระทบเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ทั้งมิติด้านสุขภาพ สังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ

“ความจริงแล้วสถานะของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย เป็นวัตถุที่มีความผิดตามกฎหมาย ครอบคลุมตั้งแต่การห้ามนำเข้า ห้ามขาย ห้ามบริการ ซึ่งดีอยู่แล้ว เราจึงขอให้รัฐบาลคงไว้ซึ่งมาตรการเหล่านี้ และสิ่งสำคัญคือการบังคับใช้กฎหมายที่มีอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงป้องกันการแทรกแซงจากกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบ ขณะที่การปกป้องเด็กและเยาวชนไทย เราก็สามารถทำได้ด้วยการสร้างการรับรู้เรื่องภยันตรายและการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้าควบคู่กันไป” ศ.พญ.สุวรรณา ระบุ

ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการ คสช. กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2553 ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ประเทศไทยเคยมีมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง มาตรการในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบ มาแล้ว โดยขณะนั้นเครือข่ายสมัชชาฯ ได้ร่วมกันขับเคลื่อนมติในการควบคุมการบริโภคยาสูบ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเราได้พบกับปัญหาใหม่จากการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่รุนแรง และจำเป็นที่จะต้องมีนโยบายเข้ามาหนุนเสริมการขับเคลื่อนให้มากขึ้น

นพ.สุเทพ กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยพบว่าคนในประเทศไหนจะมีสุขภาพดีและอายุยืนยาวแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ระบบบริการสุขภาพ 9% พันธุกรรม 16% พฤติกรรม 51% และ สิ่งแวดล้อม 24% ซึ่งจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมีน้ำหนักถึง 75% ดังนั้น การจะทำให้คนสุขภาพดี จึงต้องมาจัดการที่ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (social determinant of health) ซึ่งการสูบบุหรี่ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งที่ทำให้ชายไทยเจ็บป่วยหรือตายก่อนวัยอันควร บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งหลายชนิด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคถุงลมโป่งพอง โรคกระเพาะอาหาร โรคกระดูกพรุน ฯลฯ 

“ประเทศไทยดำเนินการควบคุมการบริโภคยาสูบได้ผลดี คนสูบบุหรี่มวนลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทผู้ผลิตจำหน่ายบุหรี่คิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มุ่งตลาดที่เด็กและเยาวชนเป็นธุรกิจที่กินยาว ในปัจจุบันจะเห็นการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก จะส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพของประชากรไทยในยุค ‘เด็กเกิดน้อย สังคมสูงวัย’ อย่างน่าเป็นห่วง จึงจำเป็นต้องมีนโยบายสาธารณะฯ เพื่อร่วมกันในการแก้ไขปัญหานี้กันอย่างจริงจัง” นพ.สุเทพ กล่าว

‘เทพไท’ เชื่อ!! หากการเมืองพลิกขั้ว 'ก้าวไกล' ไม่จับ ‘เพื่อไทย’ เพราะหวังแบ่งขั้วชัด และมั่นใจได้เปรียบในศึก ‘เลือกตั้ง’

(7 มิ.ย. 67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “ก้าวไกล” ประกาศไม่จับมือ “เพื่อไทย” เป็นรัฐบาล มีแต่ได้กับได้

การที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลประกาศชัดว่า ถ้านายเศรษฐา ทวีสิน หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีโอกาสพลิกขั้ว พรรคก้าวไกลจะไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทยร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นการประกาศท่าทีการเมืองที่ชัดเจนมาก เพราะการแสดงจุดยืนไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลดีต่อพรรคก้าวไกล หลายประการ คือ

1.เป็นการตอกย้ำจุดยืนที่ชัดเจน นับว่าเป็นจุดแข็งของพรรคก้าวไกล ที่ไม่เคยตระบัดสัตย์ ซึ่งเป็นการกระทบไปยังพรรคเพื่อไทย ที่ไม่รักษาสัญญาประชาคมตอนหาเสียง ที่ให้ไว้กับประชาชน

2.การประกาศไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทย ทำให้เกมต่อรองอำนาจระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมชัดเจนขึ้น โดยพรรคเพื่อไทยไม่สามารถนำไปต่อรองกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมได้ ถ้าดีลล่ม พรรคเพื่อไทยจะอ้างไปจับมือกับพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่ได้

3.การประกาศไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทย ถ้าหากการเมืองถึงทางตัน จำเป็นต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ พรรคก้าวไกลมีความพร้อม และได้เปรียบมากกว่าพรรคการเมืองทุกพรรค เพราะการเลือกตั้งทุกครั้ง พรรคก้าวไกลใช้เงินทุนในการหาเสียงน้อยที่สุด ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น ใช้เงินทุนมหาศาล ระดับหลัก 1,000 ล้านบาท ถึง10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อเสียง

4.กระแสทางการเมืองในตอนนี้ ถ้าประเมินจากผลโพลของสำนักต่างๆ พรรคก้าวไกลมีกระแสความนิยมสูงลิ่ว นำพรรคการเมืองอื่นหลายช่วงตัว ถ้าเลือกตั้งเร็วขึ้นเท่าไหร่ พรรคก้าวไกลได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น

5.ถ้าผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ มีมติยุบพรรคก้าวไกลจริง ถ้ามีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ขึ้นมา คะแนนสงสาร คะแนนความเห็นใจที่ถูกรังแกทางการเมือง จะเทให้พรรคการเมืองใหม่ ที่มาจากพรรคก้าวไกลแบบแลนด์สไลด์

6.เป็นการตอบข้อสงสัยของสังคมที่เข้าใจว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคฝ่ายค้าน ที่ค้านไม่จริง แต่เป็นพรรคฝ่ายคอย เพื่อรอร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย มีดีลฮ่องกงกับนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อประกาศชัดเช่นนี้ เป็นการตอบคำถามกับข้อสงสัยกับสังคมได้ชัดเจน

“ผมคิดว่าแกนนำของพรรคก้าวไกล ได้คิดอย่างรอบคอบแล้วว่า การประกาศจุดยืนไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล มีแต่ได้กับได้ เป็นการตอกย้ำการแบ่งขั้วทางการเมืองที่ชัดเจน ได้ประกาศเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมือง ในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป” นายเทพไท ระบุ

'เพจดัง' ไขข้อกระจ่าง หลัง 'สส.ทวิวงศ์ ก้าวไกล' เข้าใจผิดเรื่องโฮปเวลล์ เกิดขึ้นในยุค 'พล.อ.ชาติชาย' ส่วนยุค 'ลุงตู่' ไล่เคลียร์จนหลุดค่าโง่

(7 มิ.ย.67) เพจ 'Bangkok I Love You' ได้โพสต์ข้อความชี้แจงเพื่อสร้างความกระจ่างแก่ นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ จากพรรคก้าวไกล ที่ได้ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนถึงโครงการ โฮปเวลล์ ไว้ว่า...

กราบเรียนท่าน สส. Tawiwong Totawiwong ท่านอาจจะเข้าใจผิด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ได้เป็นคนอนุมัติโครงการ โฮปเวลล์ และที่สำคัญ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เจรจา และสู้คดีในชั้นศาลจนกระทั่งประเทศไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่ ให้กับโฮปเวลล์ ถึง 24,000 กว่าล้าน

ปล. ปัจจุบันซากของโฮปเวลล์ได้เปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดง และอีกไม่นานก็คงจะมีการอนุมัติโดยรัฐบาลของนายกเศรษฐา ทวีสิน ไปถึง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของท่าน (สส.ทวิวงศ์)

ปล.2 เผื่อท่านไม่ทราบ โครงการโฮปเวลล์อนุมัติในรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ (คุณปู่ของ สส.ธิษะณา ชุณหะวัณ จากพรรคก้าวไกล) เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว

ปล.3 พัฒนาการที่เปลี่ยนไป จากแท่งปูนผุพัง อนุสาวรีย์ และมหากาพย์ค่าโง่โฮปเวลล์เกือบสามหมื่นล้าน (รัฐบาลไทย ชนะคดีไม่ต้องจ่ายค่าโง่) พลิกฟื้นมาเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดง หนึ่งในโครงสร้างหลักระบบขนส่งมวลชนทางรางที่มีความทันสมัยที่สุดของกรุงเทพมหานคร ก็ได้ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พาไทยชนะคดีนี้ สิ้นสุดมหากาพย์อภิมหาโครงการด้านคมนาคมยาวนานถึง 33 ปี 

'รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำจุดยืนชัด หนุนร่าง พ.ร.บ. เสริมสร้างสังคมสันติสุข เตือน!! ดันทุรังนิรโทษเหมาเข่ง ม.112 จะยิ่งซ้ำเติมความขัดแย้งรอบใหม่

(7 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีประชาชนหลายกลุ่มได้ยื่นข้อเรียกร้องคัดค้านการรวมคดีที่ทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมอยู่ใน 25 เงื่อนไขแรงจูงใจทางการเมืองในร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ว่า การจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อให้ประเทศออกจากความขัดแย้ง สร้างความปรองดองทุกฝ่ายถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการเสนอให้รวมผู้ทำผิดคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรมด้วย และย้ำจุดยืนมาโดยตลอด เพราะการชุมนุมทางการเมือง รวมถึง ความขัดแย้งความเห็นต่างทางการเมืองมีระหว่าง กลุ่มประชาชนและมวลชนเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด แต่การที่จะนำคดีมาตรา112 เข้ามารวมในคดีการเมืองด้วยนั้น เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแน่นอน มากกว่านั้น อาจส่งผลทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมขึ้นใหม่ด้วยซ้ำ 

ทั้งนี้ แม้ว่าคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร จะยังไม่ได้สรุปออกมา ว่าจะรวมคดีมาตรา 112 เข้าด้วยหรือไม่ก็ตาม ตนจึงขอเรียกร้องให้ถอดการกระทำความผิดในคดีนี้ออกจากการพิจารณาว่ามาจากแรงจูงใจทางการเมืองทันที ไม่จำเป็นต้องเสี่ยง หรือ ลังเลที่จะพิจารณากันหลายรอบ เพราะตามหลักการทางกฎหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว 

พร้อมกันนี้ สนับสนุนร่างพ.ร.บ.เสริมสร้างสังคมสันติสุขของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้เสนอกฎหมายแนวทางสร้างสันติสุขความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศ โดยไม่รวมคดีมาตรา 112 ที่ยื่นต่อสภาไว้แล้ว

"ผมในฐานะสส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ย้ำจุดยืนชัดเจนมาตลอด ว่า ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำมาตรา 112 เนื่องจากเป็นคดีความมั่นคงของชาติ เป็นกฎหมายที่มีไว้ปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ ใครจะละเมิดไม่ได้ ไม่ใช่ คดีการแสดงความเห็นทางการเมืองแต่อย่างใด  ซึ่งสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย สามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นายกฯ อดีตนายกฯ นักการเมืองโดยสุภาพสามารถทำได้ เพราะถือเป็นฝ่ายการเมืองโดยตรง แต่การอาฆาตมาดร้ายการแสดงออกที่ดูหมิ่นก้าวล่วง ทั้งด้วยวาจาและการกระทำต่างๆ ต่อสถาบันฯเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะสถาบันฯไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งยอมรับว่ามีขบวนการ บางพรรคการเมืองต้องการที่จะดึงให้มายุ่งเกี่ยวกัน และยังปลุกมวลชนออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้จนเกิดคดีถูกจับกุม  โดยปกติคนทั่วไปไม่ได้มีปัญหากับมาตรา 112 เลย จึงขอเรียกร้องกลุ่มคน พรรคการเมืองบางพรรค หยุดบิดเบือนข้อมูลโน้มน้าวทำให้ประชาชนสับสนเสียที" นายธนกร ย้ำ

ย้อนภารกิจปิดทองหลังพระ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ วีรบุรุษผู้ปิดฉากมหากาพย์ ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ ตัวจริง

(6 มิ.ย. 67) ‘โฮปเวลล์’ เป็นโครงการคมนาคมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2533 สมัยรัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี และ มนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โครงการนี้ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพฯ’ โดยรูปแบบโครงการเป็นโครงการก่อสร้างถนน ทางรถไฟ และรถไฟฟ้ายกระดับ บนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศประกอบด้วย โครงสร้างยกระดับทางรถไฟขึ้นไปเหนือผิวการจราจร เพื่อลดจุดตัดกับทางรถยนต์ (Grade Crossing) เพื่อลดปัญหาการใช้รถยนต์ต้องหยุดรอรถไฟ ก่อสร้างคร่อมทางรถไฟที่มีอยู่ ในระยะทางรวม 60.1 ก.ม. 

‘โฮปเวลล์’ มาจากชื่อบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่จากฮ่องกงของ ‘กอร์ดอนวู’ ซึ่งเป็นผู้ยื่นขอสัมปทานเพียงรายเดียว รัฐบาลไทยได้เซ็นสัญญากับโฮปเวลล์เมื่อ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 โดยมีการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นคู่สัญญา สิ่งที่โฮปเวลล์ได้รับคือสัมปทานเดินรถและเก็บค่าผ่านทางพร้อมสิทธิ์ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ใต้ทางรถไฟยกระดับและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สองข้างทางเนื้อที่กว่า 600 ไร่ ระยะยาว 30 ปี โดยเสนอผลตอบแทนให้รัฐบาล 53,810 ล้านบาท

โครงการ ‘โฮปเวลล์’ ใช้วิธีการก่อสร้างแบบเทิร์นคีย์คือออกแบบไปและก่อสร้างไปด้วยพร้อมกัน โดยการรถไฟฯ สนับสนุนด้านการประสานกับหน่วยงานรัฐจัดหาพื้นที่ก่อสร้างและพัฒนา ส่วนโฮปเวลล์จะออกแบบรายละเอียดก่อสร้าง จัดหาเงินทุนโครงการ 6,000 ล้านบาท วางแผนการเงินจ่ายค่าตอบแทนรายปีและผลกำไรให้การรถไฟฯ ตลอดแนวเส้นทาง 60.1 ก.ม. ถูกตัดแบ่งการก่อสร้าง 5 ระยะ ช่วงที่ 1 ยมราช-ดอนเมือง 18.8 ก.ม. ช่วงที่ 2 ยมราช-หัวลำโพง-หัวหมาก และมักกะสัน-แม่น้ำเจ้าพระยา 18.5 ก.ม. ช่วงที่ 3 ดอนเมือง-รังสิต 7 ก.ม. ช่วงที่ 4 หัวลำโพง-วงเวียนใหญ่ และยมราช-บางกอกน้อย 6.7 ก.ม. และช่วงที่ 5 วงเวียนใหญ่-โพธิ์นิมิตร และ ตลิ่งชัน-บางกอกน้อย 9.1 ก.ม.

แต่การก่อสร้างตามโครงการฯ เป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากประสบปัญหาในการส่งมอบพื้นที่บริเวณริมทางรถไฟ กอปรกับเศรษฐกิจของไทยในระยะนั้นไม่เติบโตเหมือนในช่วงแรกของรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ทำให้แนวโน้มการลงทุนธุรกิจในอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลง ปัญหาเรื่องจุดตัดกับโครงการถนนยกระดับวิภาวดีรังสิต (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และการก่อสร้างล่าช้าจนอัตราคืบหน้าของงานไม่เป็นไปตามสัญญาที่ทำไว้กับรัฐบาล ซ้ำร้าย พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย (วิกฤตต้มยำกุ้ง) ทำให้บริษัทโฮปเวลล์หยุดการก่อสร้างอย่างสิ้นเชิง หลังดำเนินการก่อสร้างเป็นเวลา 7 ปี และมีความคืบหน้าเพียง 13.77 % ขณะที่ตามแผนงานกำหนดไว้ว่าควรจะมีความคืบหน้า 89.75% กระทรวงคมนาคมจึงได้บอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่างเป็นทางการเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ. 2541 ในสมัยรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ (ชวน 2) เป็นนายกรัฐมนตรี และ ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมี ‘สราวุธ ธรรมศิริ’ เป็นผู้ว่าการการรถไฟฯ 

อันเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ เมื่อ ‘โฮปเวลล์’ ยื่นเรื่องต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 เพื่อฟ้องกลับและเรียกร้องค่าเสียหายในการยกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นค่าใช้จากการเข้ามาลงทุนเป็นเงิน 56,000 ล้านบาท ในขณะที่การรถไฟฯ ก็เรียกร้องค่าเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากโครงการ เป็นเงินกว่า 200,000 ล้านบาท คณะอนุญาโตตุลาการประกอบด้วย นายสมศักดิ์ บุญทอง รองอัยการสูงสุด ในฐานะตัวแทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย, รองศาสตราจารย์วีระพงษ์ บุญโญภาส อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนจากโฮปเวลล์ฯ และนายถวิล อินทรักษา อดีตผู้พิพากษา เป็นประธานคณะอนุญาโตตุลาการ ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องคืนเงินชดเชยให้โฮปเวลล์โฮลดิงส์ เนื่องจากการบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม เป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท เงินค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัทชำระไปแล้ว 2,850 ล้านบาท และเงินค่าออกหนังสือค้ำประกัน 38,749,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาท ให้กับบริษัทฯ

ต่อมา เมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 สมัยรัฐบาล ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ซึ่งมี ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม มีคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการให้คมนาคมจ่ายค่าชดเชยให้โฮปเวลล์ 11,888 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่ข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญายังไม่จบ มีการนำคดีขึ้นศาลปกครองกลางเพื่อให้ศาลชี้ขาด ต่อมา 13 มีนาคม พ.ศ. 2557 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ 2 ฉบับ และให้ปฏิเสธการบังคับตามคำชี้ขาด ทำให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้โฮปเวลล์ ขณะที่ ‘โฮปเวลล์’ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดจนมามีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดเมื่อ 22 เมษายน พ.ศ. 2566 ให้รัฐจ่ายค่าชดเชยให้โฮปเวลล์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับคดีถึงที่สุด

แต่กลางปี พ.ศ. 2562 ‘ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้มอบหมายให้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ได้เข้าไปทำการ สะสาง ตรวจสอบ ตรวจทาน และเรียบเรียงเอกสารต่างๆ ที่หมักหมมมานานกว่าสามสิบปี เปลี่ยนมาหลายรัฐบาล จนขึ้นใจทุกขั้นตอน ซึ่งเรื่องนี้เอาจริงๆ แล้ว ต้องมีคนรับผิดอีกหลายคน ด้วยความร่วมมือของ ‘สุทธิรักษ์ ยิ้มยัง’ (ยิ้ม) เจ้าหน้าที่อนาบาล (นิติกร) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ที่อุทิศตน เสียสละ และทุ่มเท ในการรวบรวม อ่าน และเตรียมการข้อมูลเรื่องราวที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าไว้หมดเมื่อนานมาแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และทีมงานซึ่งทำภารกิจนี้ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่

จนสามารถสรุปข้อเท็จจริงแล้วนำเสนอต่อศาลปกครองสูงสุดได้ว่า เนื่องจาก ‘โฮปเวลล์’ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2541 จนกระทั่งวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ‘โฮปเวลล์’ ถึงได้ยื่นคำร้องต่ออนุญาโตตุลาการให้วินิจฉัยชี้ขาด ก่อนที่จะฟ้องร้องคดีจนถึงศาลปกครองในเวลาต่อมา ตามกฎหมายแล้วการจะยื่นคำร้องต่ออนุญาโตฯ หากไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้เฉพาะ จะต้องทำภายใน ‘5 ปี’ นับแต่วันที่มีการโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญา แต่ ‘โฮปเวลล์’ กลับยื่นคำร้องหลังได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาถึง 6 ปีกับ 10 เดือนเศษ ซึ่งน่าจะเลยกำหนดระยะเวลา หรือหมด ‘อายุความ’ ที่จะสามารถยื่นคำร้องได้ตามกฎหมาย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 5/2564 ตามคำร้องของกระทรวงคมนาคมและ ร.ฟ.ท. ที่ยื่นผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินว่า มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองสูงสุด โดยมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด เมื่อ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565 จึงมีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำร้องของกระทรวงคมนาคมและ ร.ฟ.ท. ที่ขอให้นำคดีนี้มารื้อฟื้นใหม่ไว้พิจารณา และที่สุดเมื่อ 18 กันยายน พ.ศ. 2566 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชดใช้คดีโฮปเวลล์ 2.7 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ได้พิจารณาคดีใหม่ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565 โดยศาลปกครองกลางเห็นว่า โฮปเวลล์ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการปิดฉากมหากาพย์ ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ ที่ยาวนานกว่า 33 ปีได้สำเร็จในที่สุด

'คลัง' เตรียมขาย 'หวยเกษียณ' ใบละ 50 บาท ลุ้นรางวัลใหญ่ทุกวันศุกร์ ส่วนสลากที่ไม่ถูก เก็บเป็นเงินออม ถอนออกมาใช้ได้ตอนอายุ 60 ปี

(6 มิ.ย. 67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยมีปัญหาประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณ แต่ไร้เงินเก็บ ปัญหานี้จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วของไทย และปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยการอัดงบประมาณในรูปแบบเบี้ยคนชราจำนวนสูง ๆ ซึ่งในที่สุดแล้วระบบงบประมาณไม่มีทางรับไหว

ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงการคลังกำลังพิจารณานโยบาย ‘สลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ’ หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า ‘สลากเกษียณ’ หรืออย่างไม่เป็นทางการว่า ‘หวยเกษียณ’ ซึ่งเป็นนวัตกรรมเชิงนโยบายที่รวมเอาลักษณะการชอบเสี่ยงดวงของคนไทยมาเป็นแรงจูงใจในการเก็บออมที่สามารถถอนเงินที่ซื้อสลากทั้งหมดออกมาได้ตอนเกษียณ (อายุ 60 ปี)

“ปัจจุบันการใช้งบประมาณสำหรับดูแลเบี้ยชราสูงถึงปีละหลายแสนล้านบาท แต่หวยเกษียณดังกล่าวใช้เงินงบประมาณมาดำเนินการ เฉลี่ยใช้งบเพียงสัปดาห์ละ 15 ล้านบาท คิดเป็นเดือนละ 60 ล้านบาท หรือปีละ 700 ล้านบาทเท่านั้น และขั้นตอนในการดำเนินการสามารถทำได้ด้วยการแก้ไขกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติเพิ่มเติม คาดว่าจะสามารถเริ่มได้ในปี 2568”

โดยหวยเกษียณมีรายละเอียดเบื้องต้น (สามารถเปลี่ยนได้ภายหลัง) ดังนี้

1. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ออกสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท เพื่อขายให้กับสมาชิก กอช. ผู้ประกันตน ม. 40 และแรงงานนอกระบบ (กลุ่มเป้าหมายจะเพิ่มเติมภายหลัง) ซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน

2. สามารถซื้อสลากได้ทุกวัน แต่ออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17.00 น. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันที โดยที่เงินค่าซื้อสลากถูกเก็บเป็นเงินออม แม้ว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ก็ตาม

3. รางวัลของ ‘ทุกวันศุกร์’ กำหนดดังนี้ (อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม)

- รางวัลที่ 1 จำนวน 1,000,000 บาท จำนวน 5 รางวัล
- รางวัลที่ 2 จำนวน 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล

4. ‘เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดจะเป็นเงินออมของผู้ซื้อสลาก’ (เงินสะสม) ซึ่งจะนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. โดย กอช. จะเป็นผู้บริหารจัดการเงินจำนวนดังกล่าว และเมื่อผู้ซื้อสลากอายุครบ 60 ปี จะสามารถถอนเงินทั้งหมดที่ซื้อสลากมาทั้งชีวิตออกมาได้

ทั้งนี้ ปัจจุบันสมาชิกกอช. มีอยู่ประมาณ 3 ล้านราย คาดว่าหากแก้ไขกฎหมายและออกผลิตภัณฑ์หวยเกษียณ จะสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามาออมเงินเพิ่มเติม คาดว่าจำนวนสมาชิกจะเพิ่มขึ้นเป็น 16-17 ล้านราย สำหรับการดำเนินการดังกล่าว ได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้ว ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาต่อระบบการจำหน่ายสลากในปัจจุบัน

“นโยบายนี้จะเข้าแก้ไขปัญหาคนไทยแก่แต่จน แก่แต่ไม่มีเงินเก็บ เพราะการออมภาคสมัครใจในปัจจุบันไม่ได้ผล ต้องอาศัยการออมที่ผูกกับแรงจูงใจซื้อสลาก ถูกกฎหมาย เงินไม่หาย กลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ไม่ถูกทุกบาททุกสตางค์จะถูกเก็บเป็นเงินออมยามเกษียณ ซื้อมาก ได้ลุ้นมาก มีเงินออมมาก”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top