Monday, 23 June 2025
POLITICS NEWS

ราเมศ ย้ำ ส.ส.ปชป. ในพื้นที่ลุยช่วย พี่น้องชาวสวนมังคุด เต็มที่ ระดมทุกภาคส่วนร่วมแก้ปัญหา

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดของพี่น้องชาวสวนมังคุดในหลายพื้นที่ว่า ในส่วนของพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนของพรรคร่วมขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหามังคุด เช่น นครศรีธรรมราช ชุมพร สุราษฎร์ธานี และจังหวัดอื่นในภาคใต้ โดยร่วมมือกับหลายภาคส่วน รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคในทุกพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว 

ขณะนี้ ส.ส.ช่วยกันระบายมังคุดให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ผ่านสถานการณ์ช่วงที่มีผลผลิตออกมากในช่วงนี้ และประสานกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อแก้ปัญหา โดยมีมาตรการเชิงรุกช่วยงบประมาณจำนวน 50,850,000 บาท เพื่อกระจายมังคุดจำนวน 16,950 ตัน  สนับสนุนค่าขนส่ง สำหรับผลไม้ที่ส่งขายผ่านไปรษณีย์ จำนวน 200,000 กล่องๆ ละ 10 กก. เพื่อช่วยกระจายผลไม้ 2,000 ตัน โดยได้จัดส่งกล่องพร้อมสติ๊กเกอร์ให้จังหวัดต่างๆ เชื่อมโยงผู้รับซื้อของกรมการค้าภายในช่วยเร่งระบายมังคุด และได้มีการประสานงานกับโมเดิร์นเทรดเพื่อให้มีการจัดพื้นที่ขายมังคุดเป็นพิเศษ

สิ่งสำคัญอีกประการที่ ส.ส.ของพรรคและสำนักงานใหญ่ทำและประสบผลสำเร็จคือการช่วยกันระบายมังคุดพร้อมรณรงค์ให้ประชาชนบริโภคมังคุดมากขึ้น นายราเมศ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรค ได้ดูแลปัญหาของพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด ส.ส.ของพรรคในพื้นที่ เช่นนายชินวรณ์ บุญยเกียรติ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล นายชัยชนะ เดชเดโช นายสราวุธ อ่อนละมัย เป็นต้น

“หมอทศ” จี้ ว่าที่ปลัด มท.ใช้ชุด พีพีอี ลงพื้นที่ช่วยประชาชน

 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีต ส.ส.แพร่ พรรคไทยรักไทย พญ.ของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ เจ้าของคลินิกความงาม ของขวัญคลีนิก พร้อมด้วย นักศึกษาแพทย์ และ ประชาชน จำนวนหนึ่ง ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เกี่ยวกับการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับมาจากสหรัฐ 

พญ.ของขวัญ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด ที่รุนแรงในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ด่านหน้าทั้งในและนอกระบบ รวมถึงคนในครอบครัวทุกคน ล้วนทุ่มเททำงานอย่างหนัก แต่การป้องกันยังบอบบาง จึงเรียกร้องให้ยกเลิกกฎเกณฑ์ต่างๆกับบุคคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ในการได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ขอนับรวมบุคลากรด่านหน้า ผู้ที่เข้าเกณฑ์ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งในและนอกระบบ เปิดเผยรายชื่อผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์อย่างโปร่งใสทุกคน  เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาในสังคม และนำเข้าวัคซีน mRNA เข้ามาฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุด 

ด้าน นพ. ทศพร กล่าวว่า ขณะนี้มีข้าราชการทั้งประเทศกว่า 2 ล้านคน แต่เห็นมีเพียงอาสาสมัครที่ออกไปช่วยเหลือคนตามท้องถนน จึงเป็นคำถามว่าข้าราชการไปไหนหมด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  หรือกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หายไปไหน อยากให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยที่เพิ่งรับตำแหน่ง ขอให้ใส่ชุด พีพีอี แล้วออกไปช่วยประชาชนตามท้องถนนด้วย รวมถึงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง และอธิบดีทั้งหลายก็ขอให้ออกไปช่วยประชาชนที่นอนอยู่ตามท้องถนนอย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอาสาสมัครอย่างเดียว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อให้สัมภาษณ์เสร็จแล้วทางกลุ่มได้ยื่นหนังสือถึงนายกฯผ่าน ตู้ไปรษณีย์ 1111 ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล 

“สงคราม”อัด“บิ๊กตู่”อำมหิตกล่าวหาประชาชนแกล้งตาย ชี้ รัฐตั้งเงื่อนไขหวังลดจำนวนวัคซีนให้แพทย์ จี้แจงเก็บที่เหลือเพื่อใคร

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพดี จากสหรัฐอเมริกาจำนวน 1.5 ล้านโดส โดยในขั้นต้นรัฐบาล ประกาศว่าต้องการให้นำมาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบสาธารณสุขของไทย รวมทั้งกระจายไปสู่ประชาชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

หลังจากรับการบริจาคมาแล้ว รัฐบาลกลับไม่ทำตามเจตนารมย์ ที่เคยประกาศไว้ มีการตั้งเงื่อนไขว่าบุคลากรทางการแพทย์ต้องเข้าเกณฑ์ที่รัฐกำหนดจึงสามารถฉีดวัคซีนไฟเซอร์ได้มองว่ารัฐบาลพยายามที่จะลดจำนวนวัคซีนทีจะฉีดให้กลุ่มนักรบด่านหน้า จากเดิมบอกว่าจะฉีดให้ 700,000 โดสสุดท้ายจะเหลือเพียงไม่ถึง 400,000 โดส เพราะเงื่อนไขที่ตั้งขึ้นเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลมีวาระซ่อนเร้นและต้องการนำวัคซีนที่เหลือไปทำอะไร

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า รัฐบาลมีแผนในการเก็บวัคซีนจำนวน 5,000 โดส อ้างว่าเพื่อการวิจัย เป็นเรื่องทีน่าประหลาดใจมาก เพราะวัคซีนที่ได้รับมา ผ่านการวิจัยมาจากนานาชาติแล้ว รัฐบาลต้องการรัฐบาลเก็บวัคซีน 5,000 โดสนี้ให้กลุ่มไหน ทั้งนี้มีกระแสข่าวว่า ทั้งเจ้าสัวใกล้ชิดรัฐบาล นายทหารใหญ่ อาจจะได้ประโยชน์จากวัคซีนที่ได้รับบริจาคมาก

“การที่คนในรัฐบาลออกมากล่าวหาว่า ประชาชนที่เสียชีวิตมีการจัดฉากแกล้งตาย การออกมากล่าวหาประชาชนว่าแกล้งป่วยแกล้งตาย น่าสลดใจในความคิดของคนในรัฐบาลนี้มากและเป็นความคิดที่อำมหิตมาก ทั้งๆที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เชื่อว่าหากมีการตรวจเชิงรุกจริงตัวเลขผู้ติดเชื้อจะสูงกว่านี้ มาตรการล็อคดาวน์ที่ออกมาล้มเหลวไม่เป็นท่า รัฐบาลยิ่งล็อคดาวน์ประชาชนยิ่งติดเชื้อเพิ่ม แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแก้โควิดล้มเหลว ทำได้เพียงดีแต่พูดไปวันๆ ”นายสงครามกล่าว

สน.ทุ่งสองห้องยื่นฝากขัง 2 สำนวน 31 ม็อบชุมนุมหน้า บช.ปส. ผ่านจอภาพค้านประกัน ไผ่ ดาวดิน คนเดียว อ้างป้องกันก่อเหตุซ้ำ

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ซอยสีคาม ถนนนครไชยศรี พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้องยื่นคำร้องฝากขังผ่านจอภาพครั้งเเรก นายจิตริน พลาก้าน กับพวกรวม 29  คน(มีนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ผู้ต้องหาที่ 27) ในความผิดฐาน ร่วมกันพยายามข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เป็นเวลา 12 วันนับตั้งเเต่วันที่ 3 -14 ส.ค.64 เนื่องจากยังต้องสอบพยาน6ปากเเละรอผลตรวจสอบรายนิ้วมือประวัติต้องโทษผู้ต้องหา จึงขออำนาจศาลฝากขัง

โดยคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่าเมื่อวันที่ 1 ส.ค.64จ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ตัวผู้ต้องหาที่เข้าร่วมชุมนุมคาร์ม็อบซึ่งมาร่วมชุมนุมเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและได้นำมาควบคุมไว้ที่ บช.ปส. ต่อมาวันที่ 2 ส.ค.64 ได้มีกลุ่มของผู้ต้องหาได้นัดรวมตัวกันที่หน้าบช. ปส. เพื่อมาชุมนุมและข่มขู่กดดันพนักงานสอบสวน สน. สำราญราษฎร์ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ บช.ปส. ซึ่งต่อมาผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่บช. ปส. นั้นพนักงานสอบสวนได้นำตัวผู้ต้องหาไปยื่นคำร้องขอผัดฟ้องฝากขังต่อศาลจากนั้นศาลได้มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกันไปแล้ว  แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังคงชุมนุมกดดันพนักงานสอบสวน สน. สำราญราษฎร์ให้คืนรถบรรทุก 6 ล้อและเครื่องขยายเสียงซึ่งเป็นของกลางในคดี

จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้พยายามที่จะเข้าไปใน บช.ปส. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประกาศและสั่งให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยุติการชุมนุมจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำสีที่ได้เตรียมมาสาดใส่รั้วประตูของ บช.ปส. และจะเข้าไปใน บช. ปส. เพื่อจะเข้าไปเอารถบรรทุก 6 ล้อและเครื่องขยายเสียงของกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุมตัวเพื่อส่งสน. ทุ่งสองห้องดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่เนื่องจากได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวน สน. ทุ่งสองห้องว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนเดินทางเข้าไปยังที่สน. ทุ่งสองห้องเกรงว่าจะมีการปิดล้อมและกดดันให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาและอาจมีการก่อเหตุร้ายขึ้นจึงขอให้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปส่งที่ บก. ตชด. ภาค 1 จังหวัดปทุมธานีซึ่งได้ขอไว้เป็นที่ทำการของพนักงานสอบสวนจึงแจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาให้ทราบ โดยผู้ต้องหาทั้ง 29 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

เหตุเกิดที่บริเวณ หน้ากองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 2 ส.ค. เวลาประมาณ12.00 น. โดยท้ายคำร้องระบุว่า หาก นายจตุภัทร์หรือไผ่ดาวดินบุญภัทรรักษ์ ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108 เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับมีพฤติการณ์ที่จะกระทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอีกทั้งผู้ต้องหามีแนวโน้มที่จะกระทำความผิดในลักษณะเติมต่อไปอีกซึ่งการกระทำผู้ต้องหาเป็นการกระทำซ้ำ ๆ ต่างกรรมต่างวาระตามข้อกล่าวหาเดิมและหลายครั้งหลายครา กรณีมีเหตุอื่นอันเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก ซึ่งมีคดีที่นายจตุภัทร์ หรือไผ่ ดาวดิน บุญภัทรรักษ์ผู้ต้องหาก่อเหตุก่อนหน้าจํานวน 12คดีในพื้นที่ สน.ต่างๆ

นอกจากนี้วันเดียวกันยังมีสำนวนที่พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้องยื่นฝากขังผ่านจอภาพผู้ต้องหาหญิงอีก2 คน คือ น.ส.ชนาภา สิทธินววิชอายุ 24 ปีเเละ น.ส.รุ่งฤดี แก่งดาภาอายุ 20ปีในความผิด ร่วมกันพยายามข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จากการชุมนุมวันเดียวกัน

ครม .เคาะแล้ว ตั้ง 'สุทธิพงษ์ จุลเจริญ' อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ที่มีความอาวุโสสูงสุด เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ โยกผู้ว่าฯหมูป่า มาปทุมฯ

การประชุมครม. ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นานกรัฐมนตรี เป็นประธานการประขุม ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แต่งตั้งให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ที่มีความอาวุโสสูงสุด เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ แทนนายฉัตรชัย พรมเลิศ  ปลัดกระทรวงที่จะเกษียนอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้  และแต่งตั้งนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เข้ากระทรวงดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย  และแต่งตั้งผู้ว่าฯหมูป่า นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีแทน

 

“แรมโบ้”สวน “บรรยง” ยัน ”บิ๊กตู่” อยู่ครบเทอม ซัดกลับ ไม่คิดทิ้งปัญหาเหมือนคนวิจารณ์ ซัดเป็นผู้ใหญ่ ควรแก้ปัญหามาก กว่าเล่นการเมือง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตบอร์ดการบินไทย โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายก นายกรัฐมนตรี ลงจากตำแหน่ง และให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา โดยไม่ต้องรักษาการณ์ เพื่อรักษาเกียรติของชายชาติทหาร ว่า นายกฯมาตามกฎหมาย การจะยุติปฏิบัติหน้าที่ต้องเป็นไปตามกฎหมายเช่นกัน คือต้องบริหารงานจนครบเทอม และการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใล่เรื่องง่าย จึงเป็นธรรมดาที่คนที่ไม่ชอบนายกฯต้องเคลื่อนไหวกดดันให้ลาออก เพราะต้องการกลับมามีอำนาจรัฐ หากนายบรรยง คิดแบบไม่มีอคติกับนายกฯหรือรัฐบาล ขอให้มองรอบด้านว่าที่ผ่านมานายกฯและรัฐบาล ทำงานอย่างไร โดยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้ได้  

“นายบรรยง เป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงานใหญ่โต น่าจะคิดได้มากกว่านี้ เวลานี้ทุกคนในชาติต้องร่วมมือแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง ไม่ควรนำประเด็นทางการเมืองมาพูดเช่นเรื่องยุบสภา ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการดำเนินการในรัฐสภา และนายกฯมีภารกิจรับผิดชอบต่อประเทศชาติ ไม่เคยคิดทิ้งปัญหาเอาตัวรอด หายใจเข้าออกคือประชาชน ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวเหมือนนายบรรยง ที่คิดจะทิ้งปัญหาความทุกข์ของประชาชน เพื่อเอาตัวเองรอด เพราะไม่ใช่นิสัยของลูกผู้ชาย ชายชาติทหารที่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ช่วยเอาคำแนะนำของนายบรรยงไปใช้กับคนอื่นจะดีกว่า”นายเสกสกล กล่าว 

ทบ.ดูแลผู้เสียชีวิตโควิด-19 อย่างครบวงจรไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เคลื่อนย้าย ตลอดจนประกอบพิธีในศาสนสถาน ซึ่ง 3 เดือนที่ผ่านมา ฌาปนกิจแล้ว 640 ราย

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันที่พบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายวันเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จนในบางครั้งเกิดการเสียชีวิตแบบกะทันหันในเขตที่พักอาศัยหรือในพื้นที่สาธารณะต่างๆ และการจะนำร่างออกมาได้นั้น ต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรม ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่ง พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้รับทราบถึงข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายและการจัดพิธีศพของผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 รวมทั้งต้องการนำทรัพยากรที่มีอยู่ในทุกรูปแบบของกองทัพบก ทั้งกำลังพล, ยานพาหนะ ตลอดจนฌาปนสถานในความดูแล มาช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ในสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ กล่าวว่า ล่าสุด ผบ.ทบ.ได้สั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่ กทม. ประกอบด้วย กองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์, กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์, กองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน และมณฑลทหารบกที่ 11 สนับสนุนกำลังพลจากหมวดการศพ กองพลาธิการ จัดตั้ง”ชุดจัดการศพ” ดูแลเคลื่อนย้ายร่างของผู้วายชนม์ที่ได้รับการยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ออกจากเขตชุมชน เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาตามความประสงค์ของญาติหรือในฌาปนสถานของกองทัพบก ซึ่งกำลังพลทุกนายได้ผ่านการฝึกอบรมจากกรมแพทย์ทหารบก, กองการฌาปนกิจ กรมสวัสดิการทหารบก และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เพื่อให้มีความพร้อม สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างถูกต้องปลอดภัย ตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค และตามกระบวนการทางกฎหมายในการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิต โดยตั้งแต่ 23 ก.ค.64 ที่ผ่านมา ได้รับการประสานจากประชาชนหรือชุมชนต่างๆ เข้าให้การดูแลเคลื่อนย้ายแล้ว 20 ราย

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ กล่าวว่า ขณะที่ด้านการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อส่งร่างผู้วายชนม์สู่สุคตินั้น กองทัพบกได้อนุเคราะห์ศาสนสถานทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ วัดอาวุธวิกสิตาราม, วัดโสมมนัสวรวิหาร และวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต กทม. และวัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา ดูแลพิธีศพอย่างสมเกียรติให้กับผู้เสียชีวิตและครอบครัว ตั้งแต่ 4 พ.ค.64 ประกอบด้วย การสวดพระอภิธรรม บำเพ็ญกุศลและพิธีฌาปนกิจ ซึ่งดำเนินการไปแล้วรวม 640 ราย และจะให้การอนุเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลืออำนวยความสะดวกบรรเทาทุกข์และลดภาระให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต


ทั้งนี้ กองทัพบกขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกราย โดยพร้อมให้การช่วยเหลือแบ่งเบาภาระ และเติมกำลังใจให้ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างดีที่สุด ตลอดจนร่วมดูแลผู้เสียชีวิตในวาระสุดท้ายอย่างครบวงจรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายจนถึงฌาปนกิจ ซึ่งหากครอบครัวผู้เสียชีวิตต้องการขอรับการสนับสนุน หรือประชาชนพบเห็นผู้เสียชีวิตในพื้นที่ต่างๆ สามารถติดต่อได้ที่ “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด กองทัพบก” โทร. 02-2705685-9 และ 02-092-7766 ฟรีตลอด 24 ชม.

โฆษกรัฐบาล เผย รัฐบาลชวนคลินิกเอกชน ร่วมระบบดูแลผู้ป่วย รักษาตัวที่บ้าน-ชุมชน ชี้ ช่วยกระจายยารักษาได้เร็วขึ้น ยัน เผย ผู้ป่วยโควิด มีสิทธิเคลมประกันและจ่ายย้อนหลังได้

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลเพิ่มระบบการบริหารจัดการผู้ป่วยโควิด-19 แบบไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยให้เข้าสู่การดูแลที่บ้าน และการดูแลที่ชุมชน เพื่อให้รักษาตัวได้เร็วขึ้น ลดการครองเตียงในโรงพยาบาลสนาม ให้ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงกว่าได้รับการรักษาในโรงพยาบาล โดยมีหน่วยบริการสาธารณสุขทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่น ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)และศูนย์สาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ที่จะเป็นผู้ดูแลผู้ป่วย ในพื้นที่กทม.มีคลินิกเอกชน มากกว่า 3,000 แห่ง ที่ยังไม่ได้เป็นคู่สัญญากับทางสปสช. รัฐบาลอยากเชิญชวนให้เข้าร่วม เพราะจะช่วยเป็นหน่วยกระจายการดูแลผู้ป่วย และครอบคลุมอุปกรณ์ตรวจร่างกายปรอทวัดไข้และเครื่องวัดระดับอ๊อกซิเจน ยาฟ้าทะลายโจร ฟาวิพิราเวียร์ ให้ตามระดับอาการที่แพทย์วินิจฉัย อาหารสามมื้อ โดยคลินิกที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อลงทะเบียน โทร 089-969-6492  หรือสอบถามสปสช. หมายเลข 1330 และเมื่อเป็นคู่สัญญาแล้ว จะได้รับการสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยแบบเหมาจ่าย อัตรา 3,000 บาทต่อรายต่อสัปดาห์ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ในเดือนส.ค.นี้ ทางสปสช.จะเริ่มแจกชุดตรวจเร็ว Antigen Test Kit ซึ่งมีแผนจัดซื้อ 8.5 ล้านชุด ผ่านหน่วยบริการสาธารณสุข โรงพยาบาล คลินิก ศูนย์อนามัย ตามพื้นที่เป้าหมาย และเมื่อมีคลลินิกเอกชนร่วมเป็นภาคีการทำงานกับสปสช.เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้การคัดกรองและดูแลผู้ป่วยโควิด-19เบื้องต้น ครอบคลุมและรวดเร็วขึ้นอีก เป็นการลดการแพร่เชื้อในวงกว้างและจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการได้อย่างมาก

น.ส.รัชดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกตัวมาดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชน ทางคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนให้ผู้ป่วยที่ได้ซื้อกรมธรรม์ สามารถเคลมประกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกรมธรรม์คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล กรณีผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน เฉพาะค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น ส่วนกรณีกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองค่าชดเชยรายวันเมื่อต้องรักษาตัวเป็นผู้ป่วย จะได้ค่าชดเชยรายวันสูงสุด 14 วัน นับแต่วันที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ที่ต้องรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในสถานพยาบาล แต่ไม่มีสถานพยาบาลรองรับ โดยคลินิก โรงพยาบาลที่ดูแล จะเป็นผู้ออกใบรับรองแพทย์ให้หลังได้รับการรักษาครบกำหนด เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานในการเคลมประกันต่อไป มากไปกว่านั้น การคุ้มครองสิทธิในการเคลมประกันจะมีผลย้อนหลังก่อนวันออกประกาศนี้ด้วย ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้ลงทะเบียนแยกดูแลที่บ้าน หรือชุมชน ก่อน 29 ก.ค. สามารถเคลมประกันได้ 

ภาคีนักกฎหมาย-สื่อมวลชน ยื่นร้องศาลเเพ่งเพิกถอนคำสั่ง นายกฯออกข้อกำหนดให้อำนาจ กสทช.ฟันเฟคนิวส์ ลุ้นศาลรับคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่

ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก กลุ่มทนายความภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และตัวแทนสื่อออนไลน์ ประกอบด้วย นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความจากภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน, น.ส.ฐปณีย์  เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสื่อออนไลน์ The Reporters, สื่อ Voice, The Standard, The Momentum, THE MATTER, ประชาไท, Dem All, The People, way magazine, PLUS SEVEN  จำนวน 12 คน ได้รวมตัวยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และในฐานะผอ.ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้ศาลแพ่งมีคำสั่งเพิกถอน ข้อกำหนดฉบับที่ 29 ที่ให้อำนาจ กสทช. ตัดเน็ตผู้โพสต์ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว

ซึ่งออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ไม่มีความจำเป็น ไม่ได้สัดส่วน และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560  นอกจากนี้ยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองชั่วคราวด้วยซึ่งการยื่นคำฟ้องใช้เวลาประมาณ 20 นาทีจึงเสร็จสิ้น จากนั้นจึงออกให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยนายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ตัวแทนสื่อและภาคประชาชน12 คน เป็นโจทก์ ยื่นให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนด ตาม พรก.ฉุกเฉินฯ ข้อที่ 29 ซึ่งออกโดยนายกรัฐมนตรี ในลักษณะที่ห้ามไม่ให้นำเข้า ข้อความที่อาจจะทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ซึ่งข้อกำหนดนี้ อาจทำให้ตีความได้ว่าแม้การนำเข้าความจริงหรือนำเสนอข่าวตามความจริง ก็อาจจะเป็นความผิดตามข้อกำหนดฉบับนี้ได้ จึงเห็นว่าขัดต่อหลักความชัดเจน หลักไม่มีความผิด ไม่มีกฎหมาย ไม่มีโทษตามกฎหมายอาญา และขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ประเด็นต่อมาสื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสาร เป็นเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 34,35,26 การจำกัดในลักษณะนี้เท่ากับเป็นการจำกัดเสรีภาพ ในการเสนอข่าว ด้วยความจริงอย่างตรงไปตรงมา และข้อกำหนดฉบับนี้ให้อำนาจคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สั่งให้ผู้ให้บริการทำการตรวจสอบ ข้อมูลว่าผู้ใดกระทำผิดและให้มีอำนาจ ระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ต การกำหนดลักษณะนี้มีความไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ คือในพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 ไม่ได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ การออกข้อกำหนดนี้จึงเกินกว่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ 

“การตัดอินเตอร์เน็ตเป็นการกระทำที่เกินไปกว่าแนวของศาลอาญาหรือเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เพื่อคุ้มครองเสรีภาพของสื่อและเสรีภาพทางการแสดงออก หากจะปิดกั้นหรือลบข้อความ ก็ควรลบเป็นรายข้อความที่เป็นความผิดต่อกฎหมายเท่านั้น แต่การระงับให้บริการอินเทอร์เน็ต จะทำให้ผู้ที่ถูกระงับไม่สามารถใช้งานได้ในทุกแพลตฟอร์ม และยังถือว่าเป็นการปิดกั้นการสื่อสารในอนาคต ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 30” นายนรเศรษฐ์ระบุ

นายนรเศรษฐ์ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่สังคมอาจจะมีคำถามว่า ถ้าไม่มีข้อกำหนดฉบับนี้ รัฐจะจัดการต่อข่าวปลอม หรือข่าวที่บิดเบือนอย่างไร ตนขอเรียนว่าเรื่องนี้รัฐบาลไม่มีความจำเป็นที่ต้องออกพระราชกำหนดเพราะว่ารัฐสามารถใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในการดำเนินคดีกับคนที่เผยแพร่ข่าวปลอม หรือข่าวบิดเบือนได้อยู่แล้ว ส่วนหากจำเป็นที่ต้องลบข้อความก็สามารถใช้อำนาจ ตามมาตรา 20 ในการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาให้ศาลสั่งลบข้อความได้ การออกข้อกำหนดลักษณะนี้จึงไม่มีความจำเป็น ที่สำคัญข้อกำหนดนี้ให้ กสทช.มีอำนาจเด็ดขาด โดยไม่ต้องผ่านศาลตรวจสอบ และไม่ให้คู่ความอีกฝ่ายคัดค้าน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันในวันนี้ก็ได้ขอให้ศาลแพ่งคุ้มครองชั่วคราวด้วย ดังนั้นถ้าศาลแพ่งรับฟ้อง พร้อมมีคำสั่งให้ไต่สวนฉุกเฉินและหากศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวนั่น ก็หมายความว่าข้อกำหนดดังกล่าวอาจจะยังไม่สามารถใช้บังคับได้

ด้านน.ส.ฐปณีย์  ตัวแทนสื่อออนไลน์ กล่าวว่า ในนามองค์กรสื่อ และประชาชน เราร่วมกับภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนด ฉบับที่ 29 ซึ่งในทางกฎหมายอาจขัดรัฐธรรมนูญ ในแง่ของสื่อมวลชนหรือประชาชนที่ใช้อินเทอร์เน็ต ก็ได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดนี้ ทำให้สร้างความหวาดกลัวต่อสื่อมวลชน และประชาชน เป็นข้อกำหนดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

น.ส.ฐปณีย์ กล่าวอีกว่า การนำเสนอข่าวเรื่องผู้ป่วยเสียชีวิตในบ้าน หรือข้างถนน ข่าวเหล่านี้ สลดหดหู่ เศร้า และเป็นข่าวที่น่ากลัว แต่น่ากลัวโดยสถานการณ์และข้อเท็จจริง ในฐานะสื่อมวลชน เรามีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนรายงานข่าว และมีหน้าที่นำเสนอข่าวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้เขาได้เข้าถึงสิทธิการรักษา มองว่ารัฐไม่ควรใช้กฎหมายเหล่านี้เข้ามาปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และปิดกั้นการรายงานของสื่อมวลชนเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ ส่วนมองว่าจะมีการใช้กฎหมายกลั่นแกล้งสื่อมวลชนหรือไม่นั้น ตนมองว่า ข้อกฎหมายนี้ไม่ชัดเจนกำกวม ซ้ำเติมสถานการณ์ เราตระหนักเรื่องจรรยาบรรณในวิชาชีพอยู่แล้ว  ซึ่งแตกต่างจากประเด็นที่รัฐจะจัดการกับเฟคนิวส์ โดยเฟคนิวส์หรือข่าวปลอมนั้น มีกฎหมายที่จะดำเนินการอยู่แล้ว

 “ในสถานการณ์นี้รัฐควรเอื้อให้ประชาชนได้มีพื้นที่ร้องขอความช่วยเหลือและรักษาตัวเอง อย่างไรก็ตามเราไม่ได้หวาดกลัวข้อกำหนดนี้ เราออกมาเพื่อปกป้องสิทธิของทุกคนมากกว่า ความจริงแล้วการที่ประชาชนนำเสนอข่าวในการเรียกร้องว่ามีคนตาย ต้องการความช่วยเหลือ เราควรรีบเข้าไปตรวจสอบข้อมูล และช่วยเหลือเขามากกว่า แทนที่จะไปปิดกั้น” น.ส.ฐปณีย์ระบุ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากวันนี้ศาลแพ่งมีคำสั่งให้เพิกถอนข้อกำหนดดังกล่าว แล้วมีคำสั่งฉบับใหม่ออกมาชัดเจนขึ้น เช่น ยกเว้นสื่อมวลชน จะพอใจหรือไม่ น.ส.ฐปณีย์ กล่าวว่า  เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้จำกัดเฉพาะสื่อมวลชนเท่านั้น ตนคิดว่าประชาชนเองในบางครั้งก็มีการนำเสนอข่าวได้ค่อนข้างดี ก็ควรมีพื้นที่ดังกล่าวด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยภายหลังยื่นฟ้อง ศาลได้รับคำฟ้องไว้ในสารบบเป็นคดีหมายเลขดำ พ.3618/2564 เพื่อนัดชี้สองสถานต่อ ส่วนคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวขณะนี้ยังไม่มีการเเจ้งคำสั่งลงมา

ทร. แจง เรือรบอังกฤษเข้าร่วมฝึกในประเทศไทย

พล.ร.อ.เชษฐา  ใจเปี่ยม  โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่ มีการเผยแพร่ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ระบุว่าเรือรบสหรัฐอาณาจักร ร่วมฝึกกับ กองทัพเรือไทย ตามแผนร่วมสร้างเสรีภาพที่ดีและเปิดกว้าง โดยระบุว่าเรือหลวงริชมอนด์เข้ามาฝึกกับเรือรบ ซึ่งนับเป็นการเยือนไทยครั้งแรกของเรือสหราชอาณาจักรอังกฤษในรอบ 7 ปี  ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด19 ในประเทศไทย พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่าเป็นการแสดงกำลังเพื่อคัดค้านอิทธิพลของจีนที่กำลังมีอยู่ในภูมิภาค นั้น 

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า เรือหลวงริชมอนด์ ของสหราชอาณาจักร เป็นเรือรบประเภทฟริเกต ซึ่งมีแผนเดินทางผ่านประเทศไทยด้านทะเลอันดามัน ช่วงระหว่างวันที่ 22 – 25 กรกฎาคม 2564 โดยไม่ได้แวะจอดเยี่ยมเมืองท่าประเทศไทย โดยในระหว่างการเดินเรือผ่านทะเลอันดามันนั้น มีความประสงค์จะขอทำการฝึก passex กับ กองทัพเรือไทย ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 ซึ่งการฝึกในลักษณะดังกล่าวเป็นการฝึกทั่วไปที่ปกติเรือรบต่างชาติสามารถประสานผ่านสถานฑูตอังกฤษในประเทศไทย เพื่อขอทำการฝึกกับประเทศที่เดินเรือผ่านเพื่อสร้างความคุ้นเคยและเพิ่มทักษะการปฏิบัติการทางเรือทั่วไป ไม่ได้มีเป็นการฝึกขนาดใหญ่ ที่มีรหัสการฝึก และต้องมีการวางแผนร่วมกันล่วงหน้าเป็นกิจลักษณะ  ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วเรือรบทุกชาติที่เดินเรือผ่านไปในน่านน้ำใดๆ มักจะนิยมขอทำการฝึก Passex  ซึ่งใช้เวลาไม่นานและมีหัวข้อการฝึกพื้นฐานในระหว่างเดินเรือผ่าน เพื่อฝึกความคุ้นเคยและทักทายกันแบบชาวเรือ ในการนี้ กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่ 3 ได้จัดเรือและอากาศยานเข้าร่วมฝึก โดยจัดกำลัง ประกอบด้วย เรือกระบุรี และ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบที่ 4  มีหัวข้อการฝึก ประกอบด้วย การแปรกระบวน  การชักธงประมวลสากล  การส่งไฟสากล และการจัดรูปกระบวนถ่ายภาพ ใช้เวลาการฝึกในห้วง 14.00 - 15.00 น.  พื้นที่ฝึกด้านใต้เกาะสิมิลัน ออกจากทับละมุไปประมาณ 40 ไมล์  การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเรือรบสหราชอาณาจักรไม่ได้เข้าจอดในพื้นที่ภูเก็ตแต่อย่างใด   
         
สำหรับการฝึก PASSEX นั้นย่อมาจาก Passing Exercise ซึ่งการฝึกในลักษณะนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะกระทำเมื่อมีเรือของกองทัพเรือมิตรประเทศ  เดินเรือเข้ามาจอดในน่านน้ำไทย โดยการฝึก PASSEX แม้ไม่มีการฝึกใช้อาวุธจริงเหมือนการฝึกใหญ่ๆ แต่ก็เป็นการฝึกที่ช่วยสร้างความเข้าใจและความคุ้นเคยในการปฏิบัติงานร่วม กันระหว่างกองทัพเรือของทั้งสองชาติ  ซึ่งที่ผ่านมากองทัพเรือ ได้จัดกำลังเข้าร่วมการฝึก PASSEX  กับกองทัพมิตรประเทศที่เดินเรือผ่านน่านน้ำไทยตามธรรมเนียมปฏิบัติ  ทั้ง อินเดีย ญี่ปุ่น จีน  รวมถึงรัสเซีย  เมื่อวันที่ 17 -​ 20 ตุลาคม 2562  ในโอกาสที่ หมู่เรือเดินทางของกองทัพเรือรัสเซีย ซึ่งประกอบด้วย  เรือตรวจการณ์  ADMIRAL​ VARYAG  เรือพิฆาต   ADMIRAL PANTELEYEV และเรือส่งกำลังบำรุง​ ADMIRAL​ PECHENGA เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และเข้าจอด ณ  ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยทัพเรือภาคที่ 1 ได้จัด เรือหลวงรัตนโกสินทร์ และเฮลิคอปเตอร์แบบ S-76 ร่วมฝึก PASSEX กับหมู่เรือ กองทัพเรือรัสเซีย ในครั้งนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top