Monday, 7 July 2025
POLITICS NEWS

'สมชัย' ยกคดี 'วัฒนา' เป็นบทเรียนการเมืองต้นทุนสูง ชี้!! นี่คือคำตอบว่าทำไมผู้มีอำนาจไม่อยากลงจากหลังเสือ!

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต. สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Somchai Srisutthiyakorn ระบุว่า... กรณีวัฒนา เมืองสุข คือ บทเรียนการเมืองต้นทุนสูง

4 มีนาคม 2565 วันที่ผมรับปากวัฒนา เพื่อนสมัยมัธยมที่รู้จักกันกว่า 50 ปี ว่าจะไปให้กำลังใจในวันตัดสินสุดท้ายของศาลฎีกา

ก่อนหน้าหนึ่งวัน ผมโทรหาเขาเพื่อขอรายละเอียด สถานที่และเวลา เขาบอกว่าศาลฎีกาสนามหลวง ให้มาถึงก่อนสักหนึ่ง ชม. เพื่อมีการตรวจ ATK ผมสะอึกเล็กน้อย เพราะไม่ชอบให้ใครมาแยงจมูก ทั้ง ๆ ก็เคยโดนมาหลายรอบ แต่ช่างมัน แยงก็แยง

บ่ายโมง หลังจากเสร็จภารกิจที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมข้ามฟากมาที่ศาลฎีกา เจอกับวัฒนา ที่บริเวณห้องอาหารของศาล เขายังดูสนุกสนานร่าเริง มั่นใจ และบอกว่าไม่หนีไม่ไหน ในขณะที่คนใกล้ชิดและญาติ สีหน้าดูกังวลไม่น้อย

บ่ายสอง เจ้าหน้าที่ศาลบอกให้คณะผู้ติดตามและผู้สื่อข่าวเข้าไปฟังคำพิพากษาได้ แต่ด้วยมาตรการป้องกันโควิด ให้แยกคนละห้องกับจำเลย มีทีวีวงจรปิดจอใหญ่หลายเครื่องถ่ายทอดมาให้เห็นบรรยากาศในห้องตัดสิน

14.45 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์ ใช้เวลาอ่านคลี่ทีละประเด็นอย่างยาวนานเกือบสองชั่วโมง จากคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวอะไร ค่อย ๆ เห็นตัวละครต่าง ๆ โผล่ขึ้นมามากมาย และ การเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกันในมุมมองของคณะผู้พิพากษาที่มีองค์คณะถึง 9 คน และ สรุปในตอนท้ายเกือบทุกประเด็นว่าความเห็นเป็นเอกฉันท์

ผมนั่งฟังอย่างมีสติและตั้งใจ คนอื่นคิดอย่างไรไม่ทราบ แต่ผมชมในใจว่า เขามีกระบวนการสอบสวน ไต่สวน และหาข้อยุติได้ดีกว่าศาลรัฐธรรมนูญในหลายกรณีที่ใช้ตรรกะในตัดสิน

สิ่งที่ทราบจากคำพิพากษา คือ โครงการบ้านเอื้ออาทร ของการเคหะนับแสนยูนิต มีนายหน้าคนหนึ่ง อ้างว่าเป็นที่ปรึกษา (จำเลยที่สี่) และผู้หญิงคนหนึ่งอ้างว่าเป็นเลขาของจำเลยที่สี่ (จำเลยที่ห้า) เรียกเงินทอนจากผู้รับเหมา ยูนิตละประมาณ 10,000 บาท และมีการจ่ายเงินจริงนับร้อยล้าน เพื่อให้ได้โครงการก่อสร้าง ส่วนการเชื่อมโยงถึงจำเลยที่หนึ่ง (วัฒนา) อาศัยคำบอกกล่าว และหลักฐานการส่งเอกสารต่างๆ ของการเคหะไปยังจำเลยที่สี่ ว่ามีสถานะเป็นที่ปรึกษาของจำเลยที่หนึ่ง แต่ไม่มีหลักฐานเส้นทางทางการเงินที่กลับมายังจำเลยที่หนึ่ง

คลังลดภาษีนำเข้าศุลกากร ทั้งไม้ ไม้แปรรูป และของทำด้วยไม้

นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร ได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 2) สำหรับไม้ ไม้แปรรูป และของทำด้วยไม้ ตามประเภท 5 ภาค 3 พิกัดอัตราอากรขาออก เพื่อส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ เพิ่มพื้นที่สีเขียว สนับสนุนการค้าและพัฒนาเศรษฐกิจการค้าไม้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศ 

ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ในการปรับปรุงอัตราอากรขาออกไม้ท่อนและไม้แปรรูป ซึ่งเดิมไม้ส่งออกมีอัตราอากร 5-40% ปัจจุบันได้ปรับปรุงให้ไม้ส่งออกทุกชนิดรวมถึงไม้ชิ้นที่ได้จากไม้กฤษณาไม่ต้องเสียอากร ยกเว้นไม้ท่อนที่จากเดิมมีอัตราอากร 40% ลดลงเหลือ 10% เพื่อเป็นการคุ้มครองอุตสาหกรรมโรงเลื่อยภายในประเทศ (เว้นแต่ไม้ท่อนซึ่งเป็นไม้ยูคาลิปตัส ไม้สนประดิพัทธ์ ไม้ไผ่ตง ไม้ไผ่เลี้ยง ไม้ไผ่สีสุก ไม้มะม่วงหิมพานต์ ไม้กระถินณรงค์ ไม้กระถินยักษ์ ไม้สนทะเล ไม้สะเดาช้าง ไม้สนคาริเบีย ไม้สนโอคาป้า ไม้ที่ได้จากต้นยางตระกูลฮีเวีย ไม้รวก และไม้มะพร้าว ไม่ต้องเสียอากร) 

 

“ดรุณวรรณ”รองโฆษก ปชป. ไม่รอด ติดโควิดจนได้  หลังมีอาการไข้สูง เจ็บคอรุนแรง เตรียมเข้ารับการรักษาใน รพ.

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งข่าว หลังได้ผลยืนยันจากการตรวจ RT-PCR ว่าติดโควิด ระบุว่า #Season นี้ คุณได้ไป (รพ.ต่อ) เราตรวจพบเชื้อโควิดนะคะ รพ.โทรมาแจ้งผลเมื่อครู่ หลังจากเจ็บคอมากเมื่อคืนนี้ เช้านี้ตรวจ ATK แต่ขึ้น 2 ขีดจางๆ เลยไปคอนเฟิร์มด้วย RT-PCR  ไม่ทราบจริง ๆ ว่าติดจากที่ไหน เพราะใส่หน้ากากตลอด ยกเว้นทานอาหาร และมีทานอาหารนอกบ้านช่วงนี้ 2-3 มื้อ ที่ถอดหน้ากากออก เราฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มแล้ว

“ตอนนี้อาการแย่กว่าที่คิด เจ็บคอมาก เหมือนมีหนามตำในลำคอตลอดเวลา เสียงแห้งมาก ไม่มีเสียงเลย ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน ไข้ตลอด หายใจเหนื่อยบางครั้ง พรุ่งนี้เช้า รพ.จะส่งรถมารับไปรักษาตัวใน รพ. เพราะไม่น่าทำ HI ได้ ขออภัยทุกท่านที่เจอกันในช่วง 2-3 วันนี้ด้วยค่ะ🙏🙏”

“นายกฯ”เชิญชวนปชช.บริโภคผลไม้ตามฤดูกาล อุดหนุนเกษตรกร-สร้างภูมิคุ้มกันธรรมชาติ ด้าน “โฆษกรัฐบาล” เผย ยอดใช้จ่ายรัฐ เกือบ 5.4 หมื่นล้านบาท ด้าน ก.คลัง เร่งสรุป 2.6 ล้านสิทธิ ที่ถูกตัดสิทธิโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้า มาตรการลดภาระค่าครองชีพของรัฐปี 2565 จำนวน 3 โครงการ ที่เปิดให้ใช้จ่ายไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง ระยะ 4 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะ 4 และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 ที่รัฐบาลเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการช่วยลดภาระการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของประชาชน กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ พบว่าถึงวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ใช้สิทธิสะสม รวม 40.72 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม รวม 53,889.99 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคนละครึ่งฯมีผู้ใช้สิทธิสะสม 26.23 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 49,420.9 ล้านบาท เป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 25,104.7 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 24,316.2 ล้านบาท ด้านโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.28 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 4,116.12 ล้านบาท และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.21 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 352.97 ล้านบาท

นายธนกร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มีนโยบายขับเคลื่อนทุกกลไกเพื่อช่วยเหลือประชาชน ในยุคที่ต้องเผชิญกับผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 โดยรัฐบาลมีมาตรการลดภาระค่าครองชีพของรัฐ เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชน เป็นการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีผู้ประกอบการบริการร้านค้า ร้านธงฟ้า OTOP กิจการขนส่งสาธารณะ ร่วมโครงการจำนวนมาก ซึ่งประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อย ที่ลงทะเบียนไว้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ทั้งนี้หลังจากให้สแกนใช้จ่ายสิทธิภายในวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา มีผู้ไม่ใช้สิทธิตามวันที่กำหนด ถูกตัดสิทธิจำนวน 2.6 ล้านสิทธิ ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทาง ในระดับนโยบายว่าจะดำเนินการกับสิทธิที่เหลืออย่างไรต่อไป

 

'เท่าพิภพ' สุดทน!! จี้ 'อัศวิน' ลาออกผู้ว่า กทม. ปูดถลุงงบกลาง-สร้างความนิยม ไม่สมชื่ออัศวินนักรบ

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2565 เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 22 บางกอกใหญ่ ธนบุรี คลองสาน พรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจส่วนตัว ถึงกรณีที่ตนได้รับร้องเรียนจากประชาชนและเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร ที่ให้เบาะแสถึงพฤติกรรมการใช้งบประมาณของพลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อย่างน่าสงสัยเพื่อเอื้อแก่การสร้างฐานนิยมให้ตนเองหรือไม่นั้น 

เท่าพิภพ กล่าวว่า พฤติกรรมการใช้งบประมาณของผู้ว่าอัศวิน ส่อไปในทางที่สงสัยได้ว่าเป็นไปเพื่อการสร้างความนิยมส่วนตัว โดยมีการให้งบประมาณไปกับโครงการในลักษณะที่ตัวเนื้อหาโครงการที่ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า ไม่มีประสิทธิภาพ โดยกลุ่มเป้าหมายในการใช้งบประมาณเฉพาะเจาะจงไปยังหัวคะแนนเพื่อสร้างฐานเสียงทางการเมืองของตัวเอง

"หลายโครงการที่มีชื่อหรูหราและดูดีแต่ข้างในเน่าเฟะ อย่างโครงการ งบช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิดหัวละ 5,000 บาท ซึ่งตั้งงบประมาณไว้คือเขตละ 200 คน รวมทั้งสิ้น 50 เขต รวม 50 ล้านบาท โครงการอ้างว่าจะช่วยให้เป็นเงินให้เปล่าเพื่อช่วยเหลือให้ไปประกอบธุรกิจ โดยให้ประชาชนทั่วไปเขียนโครงการมาคัดเลือก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้น การประชาสัมพันธ์โครงการทำด้วยวิธีการเลือกประธานชุมชนไปประชุมที่เขตเพื่อรับทราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจำกัดวงของผู้เข้าร่วมมากๆ ประธานชุมชนคนไหนดีก็จะมาแจ้งลูกบ้าน ประธานชุมชนที่ไหนเน้นผลประโยชน์ส่วนตนก็จะเก็บข่าวไว้กับพวกตัวเอง โครงการเหล่านี้พอยื่นไปแล้วยังพบว่ามีความไม่ยุติธรรมในการคัดเลือกจัดสรร ผู้ที่ได้รับเงินเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเป็น 'เครือข่ายของที่ปรึกษา' ผู้ว่าอัศวิน ซึ่งคนกรุงเทพฯ ทั่วไปก็จะรู้ว่าคนเหล่านี้คือว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ทีม #รักษ์กรุงเทพ ของผู้ว่าอัศวิน"

'พรรคกล้า' เปิดตัว 'โอฬาร ตั้งวงศ์กิจ' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ชัยนาท ชูนโยบายใช้ AI วิเคราะห์การผันน้ำเพื่อ ศก. - ก.เกษตร

5 มีนาคม 2565 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก เปิดตัวนายโอฬาร ตั้งวงศ์กิจ เป็นผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ชัยนาท โดยนายโอฬารเป็นนักกีฬาบีชเทนนิสทีมชาติไทยชาวชัยนาท เพิ่งได้แชมป์คู่ผสม Beach Tennis Championships 2022 และเป็นผู้บริหารบริษัทบ้านไทยโฮม ทำธุรกิจบ้านน็อกดาวน์ สั่งสมประสบการณ์การสร้างบ้านมากกว่า 1,000 หลัง จนก้าวมาสู่โหมดอายุน้อยร้อยล้าน และโมเดลธุรกิจของนายโอฬารสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านจังหวัดชัยนาทมากมาย 

นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า จากเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ที่ได้ความมีวินัย ความอดทนและมุ่งมั่นจากพื้นฐานของความเป็นนักกีฬาทีมชาติ จึงมั่นใจว่าผู้สมัครจาก ชัยนาทคนนี้เป็นเพชรชั้นดี เป็นอีกหนึ่งคนมีของที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชัยนาท รวมถึงช่วยตนดูแลเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของพี่น้องในภาคกลางได้อย่างแน่นอน 

ศาลพิพากษายืนจำคุก 'วัฒนา เมืองสุข' 50 ปี ปิดฉากคดีทุจริต ‘บ้านเอื้ออาทร’

ปิดฉากคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร ปิดฉากเส้นทางการเมือง วัฒนา เมืองสุข หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 99 ปี ส่งเข้าเรือนจำทันที

คำพิพากษาในครั้งนี้ถือเป็นที่สุด เพราะเป็นการตัดสินหลัง นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยื่นอุทธรณ์ จากการพิพากษาครั้งแรกให้จำคุก 99 ปี กรณีทุจริตเรียกรับสินบนจากบริษัท พาสทิญ่า จำกัด ผู้รับเหมาโครงการบ้านเอื้ออาทร ผ่านบริษัทและลูกจ้างบริษัท เพรซิเด้นท์เทรดดิ้ง จำกัด จำนวนเงิน 82.6 ล้านบาท มีฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ, ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น 11 กระทง กระทงละ 9 ปี แต่คงจำคุกจริง 50 ปี ส่วนพวกอีก 13 คน ถูกตัดสินจำคุกตามลำดับโทษที่แตกต่างกัน ในคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร อาทิ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง นักโทษในคดีทุจริตจำนำข้าว ก็มีเอี่ยวในการทุจริตครั้งนี้ด้วย รับโทษจำคุก 66 ปี แต่จำคุกจริง 50 ปี ส่วนนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง จำคุก 4 ปี

ศาลปกครองสูงสุด รับคำร้อง คมนาคม -รฟท. สั่งรื้อคดี ค่าโง่โฮปเวลล์ พิจารณาใหม่อีกครั้ง

4 มี.ค. 65 ศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งในคดีคำร้องที่ 394-396/2564 ระหว่าง กระทรวงคมนาคม ผู้ร้องที่ 1 และ การรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ร้องที่ 2 กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้คัดค้าน อันเป็นคดีที่กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย อุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลางที่ไม่รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ไว้พิจารณา โดยอ้างว่า การนับระยะเวลาหรืออายุความในการยื่นข้อเรียกร้องของบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ต่ออนุญาโตตุลาการในคดีนี้ ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี คือ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นวันที่หนังสือบอกเลิกสัญญาของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ไปถึงบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด มิใช่นับตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 อันเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ ซึ่งกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย เห็นว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่กล่าวอ้างเข้าหลักเกณฑ์และองค์ประกอบการพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 75 (1) (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. 2542

กรณีในคดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดง ที่ อ. 221-223/2562 ให้ยกคำร้องของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการและบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าตอบแทนตามสัญญาสัมปทาน จำนวน 2,850,000,000 บาท คืนหนังสือค้ำประกัน และค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน จำนวน 38,479,800 บาท กับเงินที่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้ในการก่อสร้างโครงการ จำนวน 9,000,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

ศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า แม้ว่าที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเคยมีมติในคราวประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ว่า “ในกรณีที่เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการ แต่ผู้ฟ้องคดีมิได้นำคดีไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในขณะนั้น ต่อมา หลังจากที่ศาลปกครองเปิดทำการ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 แล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง โดยขณะที่ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง อายุความฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมยังไม่ครบกำหนด แต่การนำคดีดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลปกครองนั้น จะเป็นการฟ้องคดีปกครองเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี ตามมาตรา 49 มาตรา 50 หรือมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แล้วแต่กรณี ในกรณีเช่นนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 

ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการเป็นต้นไป” ก็ตาม และต่อมา ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาคดีนี้ โดยวินิจฉัยว่า บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด รู้ว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2541 อันเป็นวันที่ได้รับหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม เมื่อสัญญาระหว่างคู่พิพาทไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้โดยเฉพาะ การเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ จึงกระทำได้ภายในอายุความการฟ้องคดีต่อศาล เมื่อข้อพิพาทได้เกิดขึ้นก่อนที่ศาลปกครองเปิดทำการ การนับอายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการ คือ วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 เมื่อบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 อันเป็นการยื่นภายในกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญา ข้อพิพาทนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่เสนอต่อคณะอนุญาโตตุลาการภายในระยะเวลาโดยชอบแล้ว

จากคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว เห็นได้ว่า เป็นกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาโดยอาศัยข้อกฎหมายกรณีการเริ่มนับระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ โดยไม่ได้เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่เริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 แม้ว่าคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวจะไม่ได้ระบุถึงมติที่ประชุมใหญ่ฯ ดังกล่าวโดยตรง แต่ก็เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการตามที่กำหนดในมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545

ต่อมา ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยว่า มติของที่ประชุมใหญ่ฯ ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติที่ประชุมใหญ่ฯ เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และโดยที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 211 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

“เสกสกล” ถกคกก.เฉพาะกิจฯ สางหวยแพง เผย ตร.เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบ ลั่น เอาผิดผู้ค้ารายใหญ่-นายทุน เอี่ยวขายเกินราคา

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล  อัตาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด ในสลากกินแบ่งรัฐบาล ครั้งที่1/2565 เป็นประธานประชุมคณะกรรมการฯ มีพล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผบ.ตร.ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ตัวแทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เข้าร่วม เป็นต้น ใช้เวลากว่า

นายเสกสกล กล่าวว่า กรรมการชุดนี้ เหมือนจับกุมโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับสำนักงานสลากฯจะเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่และดำเนินการกับผู้ขายสลากเกินราคา ซึ่งจะเน้นที่ผู้ขายรายใหญ่ ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จะนทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำ ว่าให้ดำเนินการไม่ว่าจะเป็น ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว หรืออดีตนักการเมือง นายทุนที่เกี่ยวกับนักการเมือง หากพบเข้าไปเกี่ยวข้องกับการขายเกินราคา ต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด  สำหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบผู้ฝ่าฝืน คงไม่สามารถบอกก่อนล่วงหน้า เนื่องจากคนที่กระทำผิดจะทราบและรู้ตัวก่อน

จากนั้นนายเสกสกล ให้สัมภาษณ์หลังประชุม ว่า คณะทำงานฯได้เร่งรัดการทำงานอย่างจริงจังและจะแก้ไขให้ตรงจุด  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยที่ประชุมมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงฯ  ซึ่งชุดปฏิบัติการแต่ละพื้นที่ จะดำเนินการทันทีที่ได้รับข้อมูลจากสำนักงานสลากฯ เพื่อดำเนินการทางกฎหมาย และมีมาตรการลงโทษอย่างจริงจัง

 

“บิ๊กป้อม” หารือคกก.อวกาศ ย้ำ เร่งแผนแม่บทอวกาศ-กฎหมาย เพื่อประโยชน์ปชช.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายกิจการอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/65 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ จากมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด

โดยที่ประชุมรับทราบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฯ จำนวน 9 คน และรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานตามแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สิน ภายหลังสิ้นสุดสัญญาการดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เมื่อ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา และรับความคืบหน้าการจัดทำ(ร่าง)แผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ พ.ศ.2566 - 2580 ที่อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น 6 กลุ่ม รวม 65 หน่วยงาน และการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในเรื่อง New Space Economy และรับทราบความคืบหน้าการจัดทำ(ร่าง)พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ… ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจหลักการด้านกฎหมาย  

นอกจากนั้นรับทราบโครงการศึกษาทิศทาง รูปแบบการให้บริการดาวเทียมในอนาคตและแนวทางกำกับดูแลการให้บริการดาวเทียมในประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมผลการศึกษาจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และการจัดประชุมเชิงวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ทิศทางอุตสาหกรรม รูปแบบการให้บริการ รวมทั้งแนวนโยบายและการกำกับดูแล

ทั้งนี้ที่ประชุมรับทราบนโยบายการดำเนินงานดาวเทียมแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง โดยแยกประเภทดาวเทียม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน โดยแยกเป็นดาวเทียมสื่อสาร ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ดาวเทียมระบุพิกัด ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาดาวเทียมเพื่อการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และทบทวนคำสั่งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เพื่อพัฒนากิจการอวกาศและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศให้มีประสิทธิภาพ เป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top