Monday, 9 June 2025
POLITICS NEWS

‘ดร.เอ้’ เห็นต่าง ‘กาสิโนเสรี’ ชี้ ประเทศไทยยังไม่พร้อม ย้ำ!! ต้องศึกษาให้ละเอียด ‘ไม่ฉาบฉวย-ไม่เร่งร้อน’ เกรงกระทบต่อสังคม

(31 มี.ค.67) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความเห็นในฐานะ พลเมืองไทยและพ่อคนหนึ่ง ที่ในขณะนี้นายกรัฐมนตรี พูดเรื่อง "กาสิโนเสรี" 

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวว่า ไทยเรายังไม่พร้อม ทั้งเรื่องโครงสร้างกฎหมาย และการบังคับใช้จากเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งเรายังไม่มีภูมิคุ้มกันให้แก่เยาวชน สุดท้ายจะกลายเป็น "ปัญหาร้ายแรง" ที่แก้ไขยาก เช่นเดียวกับ "กัญชาเสรี" และอาจรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ! 

อีกทั้งไม่ได้การันตีว่า "บ่อนออนไลน์" และ "บ่อนเถื่อน" จะหมดไปแต่อย่างใด อาจเฟื่องฟูกว่าเดิมก็เป็นไปได้ โดยสุดท้าย ส่งผลให้ "คุมผลกระทบไม่ได้" เกิดการบานปลาย และสังคมพัง

ขณะเดียวกัน ยกตัวอย่างจาก “ผู้นำสิงคโปร์” เตรียมความพร้อม "ด้านการศึกษา" มาเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่พลเมือง และ มุ่งสร้างรายได้ประชาชาติจาก "เศรษฐกิจมูลค่าเพิ่ม" ที่แท้จริง ก่อนจะทำเรื่องอื่น

หากจะเลียนแบบสิงคโปร์ ที่มีกาสิโน ก็ควร "ศึกษาปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน" ไม่ฉาบฉวย ไม่เร่งร้อน รับฟังประชาชนรอบด้าน ทั้งสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก พลเมืองน้อย เจ้าหน้าที่รัฐเข้มแข็ง ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ปกป้องลูกหลาน ได้อย่างเต็มที่ เราทำแบบเขาได้ไหม? 

ซึ่งให้ความคิดเห็นต่อ “นายกรัฐมนตรีไทย”  ที่เน้นแต่จะสร้าง "รายได้เฉพาะหน้า" โดยไม่คำนึงถึง “การพัฒนาคน” และจะส่งผลกระทบ ต่อเด็ก ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ซึ่งจุดนี้ตนอดห่วงในลูกหลานเสียไม่ได้

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ขอพูดในฐานะ พลเมืองไทยและพ่อคนหนึ่ง ที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทย เดินทางแบบมั่วซั่ว ลองผิดลองถูก สุดท้ายลูกๆหลานๆ ต้องมาเสียคน อะไรก็ทดแทนกันไม่ได้

อดีตผู้สมัคร สส.รทสช. โพสต์ ถ้าจะแก้ รธน. ให้แก้เป็นรายมาตรา ชี้ ร่างใหม่ทั้งฉบับ สิ้นเปลือง ชวนปชช. จับตา อย่าให้ใครเข้ามา หาประโยชน์

เมื่อวานนี้ (30 มี.ค.67) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ทนายบอน อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า …

"รัฐธรรมนูญถ้าจะแก้เพื่อประชาชน แก้เป็นรายมาตราครับ เอาให้ชัดเลยจะแก้ตรงไหน เพื่ออะไร

ร่างใหม่ทั้งฉบับสิ้นเปลือง และไม่เห็นความจำเป็นอะไร นอกจากเพื่อหา สสร. เป็นพวกตัวเอง หาเสียงให้ตัวเอง หรือเพื่อหาช่องทางแสวงหาอำนาจให้ตัวเอง ... โดยอ้างประชาชน

จะแก้อะไรว่ากันให้ชัด ๆ เป็นจุด ๆ ประชาชนจะได้จับตาดู อย่าอาศัยลูกชุลมุนแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองครับ"

‘ธนกร’ ย้ำ รธน. มาจากเสียงส่วนใหญ่ หากจะยกร่าง ต้องถามปชช. ยืนยัน ไม่แก้ ‘หมวดความมั่นคง-พระมหากษัตริย์’

(30 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังรัฐสภาร่วมลงมติเห็นชอบให้รัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ ว่า ตนเห็นด้วยที่ให้รัฐสภาสอบถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ จะได้ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4 / 2564 ถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ว่าสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หรือมีอำนาจแค่แก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น ตามมาตรา 256 หรือไม่ ซึ่งตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพราะมีผลผูกพันทุกองค์กร

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า ปัญหาของประชาชนขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและรายได้ไม่เพียงพอ หนี้สินล้นพ้นตัว สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรัฐบาล ควรมุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในเรื่องนี้ก่อน ตามที่นายกฯและรัฐบาลกำลังหาแนวทางดำเนินการแก้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยมาตรการลดภาระค่าครองชีพในด้านต่าง ๆ และเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หากมีการผลักดันให้มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งจำเป็นจะต้องทำประชามติในช่วงปีนี้ อาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล เพราะการทำประชามติ 1 ครั้งใช้งบฯ กว่า 3,200 ล้านบาทแล้ว หากต้องทำ 2-3 ครั้ง จะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากกว่า 9,600 ล้านบาท มองว่าควรเอางบประมาณในส่วนนี้ ลงไปอุดหนุนอุ้มค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการภายหลังได้

“การจะยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จำเป็นต้องถามประชาชนก่อน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพ.ศ.2560 มาจากความเห็นชอบเสียงส่วนใหญ่กว่า 15 ล้านเสียง ที่ประชาชนไปออกเสียงประชามติมา

หากจำเป็นต้องยกร่างรัฐธรรมนูญทำประชามติกันจริง ๆ ตนและสส.รทสช. ก็ขอย้ำชัดในจุดยืนเดิม ว่า ต้องเขียนคำถามพ่วงให้ชัดเจน ว่าจะไม่มีการแก้ไข ไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในเนื้อหา ต้องไม่แก้ไขกฎหมายเกี่ยวการทุจริต ประพฤติมิชอบ ที่เขียนไว้อย่างดีรอบคอบแล้ว“ นายธนกร ย้ำ

'รองโฆษก รทสช.' ซัด 'ก้าวไกล' ทำตัวเหมือนผี ชอบเล่นเกม นับองค์ประชุม อยากเอาชนะ หวังให้สภาล่ม หวังทำคอนเทนต์ เพื่อเล่นงานฝั่งตรงข้าม

(30 มี.ค.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชี้ให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคก้าวไกลมีเนื้อหาระบุว่า...

สส.ก้าวไกลเหมือนผี...รู้ว่ามีแต่ไม่แสดงตน 

หวังทำ 'สภาล่ม' แต่ล้มไม่เป็นท่า

คืนที่ผ่านมาถือว่า น่าตื่นตาทีเดียวกับบรรยากาศประชุมสภาเรื่องพิจารณาเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ฝ่ายค้านดิ้นสุดฤทธิ์ที่จะดึงเกมให้สภาล่ม และสุดท้ายฝ่ายรัฐบาลก็รวมใจกันชนะโหวต ด้วยการแสดงตนในสภา ด้วยวาจา '253 ต่อ 0 เสียง' งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 2

ขณะที่พรรคก้าวไกล ผู้ประกาศก้องว่าพรรครุ่นใหม่ รักและศรัทธาประชาธิปไตย แต่พร้อมใจหายตัวเป็นวิญญาณ ไม่เหลือสักตัวยามแสดงตน

"ว้ายมา 2 ก็เคยแล้ว"... รอบนี้เหลือศูนย์จะเป็นไรไป ไม่แสดงตนไปเลยแบบเมื่อคืนจบๆ พรรครุ่นใหม่เล่นเกมได้ทุกองศา หากต้องการเอาชนะ ตอนหลังแถลงข่าวเสียงอ่อยว่า เห็นด้วยกับคาสิโน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย..คืออะไร?

สรุปแล้ว:

- ยอมหักดิบยอมผิดคำพูด ข้อตกลงวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน
- ยอมถ่วงความเจริญ ปัดตกญัตติเปลี่ยนส่วยคาสิโน เป็นภาษี
- ยอมทำสภาล่ม หวังทำคอนเทนต์เล่นงานฝั่งตรงข้าม

ทุกความพยายามในการทำ 'สภาล่ม' จากสภาสมัยที่แล้ว จนถึงสมัยนี้ ด้วยวิธีเดิมๆ ขอนับองค์ประชุมแบบเด็กอยากเอาชนะ ไม่ต่ำกว่า 30-40 ครั้ง เสียหายครั้ง 4.1 ล้านบาท โดยไม่สนว่าจะเป็นการลงมติที่มีประโยชน์กับบ้านเมือง หรือกำลังแก้ปัญหาปชช.แต่อย่างใด

ไร้ซึ่งเจตจำนงทำงานเพื่อประชาชน

ไร้ซึ่งเกียรติในการทำงานประสานความร่วมมือ

จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม 'ว่าว' นายกฯ

เพราะขนาดอยากทำ 'สภาล่ม' ยังว่าวไม่เป็นท่า

'เอกนัฏ' ลั่น!! 'รทสช.' พร้อมหนุนแก้ รธน.หากไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 แนะ!! ไม่ต้องแก้ทั้งฉบับ เลือกแก้แค่หมวดที่ 'สร้างสุข-ปลดทุกข์' ให้ปชช.

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ร่วมอภิปรายระหว่างการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 31 ให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นผู้เสนอว่า ญัตติที่เสนอโดยนายชูศักดิ์เพื่อขอมติที่ประชุมร่วมรัฐสภายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องมีการทำประชามติหรือไม่ พวกตนเห็นด้วยจะได้สิ้นสงสัยว่ากระบวนการจะต้องทำอย่างไร ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไร ทำประชามติก่อนหรือไม่จำเป็นต้องทำประชามติ พวกตนไม่ติดใจ น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องอภิปราย เพราะหัวใจสำคัญเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ว่า จะต้องทำประชามติหรือไม่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญและวิธีแก้รัฐธรรมนูญ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติถ้าให้เลือกได้ เราเห็นความสำคัญของการเดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชน รวมถึงการแก้กฎหมาย แก้ระเบียบ กติกาที่เป็นอุปสรรคมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่ายังมีกฎระเบียบอีกหลายตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ถ้าสามารถได้จะคลายความทุกข์ให้ประชาชนสร้างความสุขให้ประชาชนมากกว่า

นายเอกนัฏ กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสมาชิกหลายคนหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้งเราไม่ติดใจ แต่ขออนุญาตเตือนสติพวกเราว่า ถ้าเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเกือบทั้งฉบับ นอกจากจะใช้เวลานานแล้ว มีความเสี่ยง จะสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมาก มีการสรุปไว้ทุกครั้งที่มีการทำประชามติต้องใช้งบประมาณกว่า 3,200 ล้านบาท ถ้าทำประชามติ 3 ครั้งใช้งบเกือบหมื่นล้านบาท

“แต่ถ้าเราถอยกลับมาทบทวนว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องยกร่างใหม่ทั้งฉบับ เพราะในร่างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มีสิ่งดีๆ ที่เราควรรักษาไว้ ถ้ามีปัญหาอยากแก้ตรงไหนควรแก้ไขได้ทันทีไม่จำเป็นต้องทำประชามติให้เสียเวลา เสียงบประมาณ ผมเข้าใจมีเพื่อนสมาชิกหลายคนติดใจกังวลอยู่กับวาทกรรมเรื่องเผด็จการประชาธิปไตย และติดใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลพวงจากการทำรัฐประหาร ผมขออนุญาตย้อนข้อเท็จจริคือ รัฐธรรมนูญปี 2560 ผ่านความเห็นชอบตามระบอบประชาธิปไตย”นายเอกนัฏกล่าว

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 2560 เกิดขึ้นมี 2 ตอน หนังตอนแรก รัฐธรรมนูญทำจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี มาจากคสช. ทั้ง 4 ส่วนรวมกัน ตนไม่ปฏิเสธว่าทั้ง 4 ส่วนถ้าจะบอกว่ามาจากการแต่งตั้งของคสช. แต่หนังเรื่องนี้ถูกพับไปแล้วเพราะรัฐธรรมนูญที่ร่างมาถูกคว่ำ โดย สภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้เกิดจากการร่างรัฐธรรมนูญโดยผู้มีความรู้ความสามารถปราศจากการเมือง ได้รับความเห็นชอบจากการทำประชามติโดยประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ได้รับเสียงเห็นชอบกว่า 15 ล้านเสียง มากกว่า 58 % มากกว่าครึ่งหนึ่งและเป็นเสียงส่วนมาก

เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตนบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้หลายคนยังจมอยู่กับวาทกรรมเผด็จการ และการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่เป็นความจริง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างจากคนมีความรู้ความสามารถ ผ่านการทำประชามติและประชาชนส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นชอบ เป็นผลพวงจากการทำประชามติไม่ใช่รัฐประหาร หากเราจะเดินหน้าประเทศอย่าจมอยู่กับวาทกรรมการทำรัฐประหาร และสามารถเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้ แก้โดยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นหากจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญอย่าเสียงบประมาณ และเสียเวลา ยังมีทางเลือกที่จะเดินหน้าไปได้ด้วยกระบวนการประชาธิปไตย

“ผมไม่ติดใจหากเพื่อนสมาชิกคิดว่าจะต้องเดินหน้า ต้องไปแก้ไขเกือบทั้งฉบับ จนนำไปสู่การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าสมควรทำประชามติหรือไม่ และหากมีการแก้ทั้งฉบับจริง จะต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 สถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่กระทบต่อการปราบปรามทุจริต สิ่งนี้คือจุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยนำเสียงสส. 36 เสียงไปเป็นหลักประกันไว้ตอนจัดตั้งรัฐบาลถือเป็นการแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผยกับรัฐบาลนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติยินดีโหวตให้ แต่ขอฝากผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้ายังจะเดินหน้าแก้ทั้งฉบับ ต้องระบุคำถามเป็นหลักประกันให้พวกเรา ไว้วางใจ ใส่ไว้ในคำถามว่า ไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามทุจริต ถ้าทำแบบนี้ได้พวกผมไว้วางใจทุกเสียงยินดีสนับสนุนมีมติให้รัฐสภายื่นญัตตินี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการในโอกาสต่อไป”นายเอกนัฏกล่าว

สัญญาณจาก ‘จ.จักรภพ’ ถึง ‘จ.จารุพงศ์’ ได้เวลากลับบ้าน เติมสีสัน ‘จันทร์ส่องหล้า’

“ผมได้คิดหลังจากเวลาผ่านไป ได้คิดว่าคนไทยจะมัวขัดแย้งกันอีกทำไม โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว...”

“ผมอยู่ข้างนอกนานพอแล้ว ครับ ขออนุญาตกลับบ้าน...” 

จักรภพ เพ็ญแข กล่าวผ่านติ๊กต็อก ขณะนั่งรถไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน เดินทางกลับจากดูไบสู่มาตุภูมิที่จากไปนาน 15 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ไปรายงานตัวที่กองปราบปรามในฐานะผู้ต้องหาคดีข้อหาอั้งยี่ อาวุธปืน อะไรประมาณนั้น ภาพประทับใจของใครหลายคนก็คือ ภาพที่จักรภพก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ 10…

ขณะนี้จักรภพมีคดีติดตัวแค่ 2 คดีคือ ไม่ไปรายงานตัวกับ คสช. และ อั้งยี่/อาวุธปืน ส่วนคดีมาตรา 112 นั้นยกฟ้องไปนานแล้ว

จักรภพมั่นใจ เขาน่าจะต่อสู้คดีความ กลับมาเป็นอิสระและทำงานการเมืองและรับใช้ชาติได้ แต่จะไม่ให้กระทบกับพรรค (เพื่อไทย) และรัฐบาล หากกระทบก็จะอยู่เบื้องหลัง…

นับเป็นท่าทีท่วงทำนองที่ต้องยอมรับว่า...รู้ตัวตน รู้ประมาณ ลดอีโก้ที่ในอดีตเราเคยพบว่าจักรภพมีอยู่พอประมาณ และแน่นอนว่าถ้ามีโอกาสจักรภพก็น่าจะเป็นทรัพยากรคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยหรือบ้านจันทร์ส่องหล้าได้…

จักรภพยังประกาศที่จะเป็นผู้ประสานให้เพื่อนพ้องน้องพี่ (คนเสื้อแดง) ที่มีคดีความอยู่ต่างประเทศเดินทางกลับบ้าน…ซึ่งตนเปรียบเสมือน ‘หนูลองยา’ ที่อาจทำให้หลายคนมีความมั่นใจที่จะกลับมา…

ก็นับว่าเป็นเจตนาดีของจักรภพ…แต่ก็ต้องกล่าวให้สิ้นกระแสความว่า จักรภพซึ่งมี ‘นายใหญ่’ จันทร์ส่องหล้าอุปการะอยู่นั้น คดีความไม่ได้หนักหนาสาหัสเหมือนอีกหลายคนที่ติดบ่วงคดีมาตรา 112 รวมอยู่ด้วย..ซึ่งนั่นดูเหมือนประตูโอกาสจะปิดเพราะยากที่จะชนะ…

ดังนั้นคนที่จะกลับบ้านได้แบบมีโอกาสหลุดรอดคดีได้ ต้องไม่มีคดี 112 เช่น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และจารุวงศ์ ผู้เป็นลูกชาย 

โดยจารุพงศ์นั้นเคยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรมว.มหาดไทย...ที่เคยตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย รับบทเลขาธิการ จักรภพรับบทผู้ประสานงาน ต่อสู้กับรัฐบาล คสช.

‘เล็ก เลียบด่วน’ ไล่เลียงดูแล้ว คนที่จะกลับมายกเว้นสองพ่อลูกเรืองสุวรรณแล้ว คนอื่น ๆ ที่อยู่ในสหรัฐฯ-ยุโรป ส่วนใหญ่ก็คงไม่กลับและกลับไม่ได้…เพราะส่วนใหญ่หนีคดีมาตรา 112

ขณะเดียวกันอย่างรายของ ‘จอม เพ็ชรประดับ’ อดีตสื่อมวลชนคนดัง แม้มีเพียงคดีเดียวคือไม่รายงานตัวต่อ คสช. แต่ก็เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้ว และไม่เอาทักษิณ ก็คงไม่กลับมา…รวมทั้ง ‘สุนัย จุลพงศธร’ ก็เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้วและหลายปีมานี้หาเลี้ยงชีพด้วยการ ‘ด่าเจ้า’ ก็คงไม่กลับมา…

หันมามองคนใกล้ตัวเพื่อไทยและทำมาหากินอยู่ใกล้ไทยคือ…กัมพูชา อย่าง กี้ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, วันชนะ เกิดดี และนิสิต สินธุไพร ที่โดนคดีจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา เมื่อปี 2552 ก็คงไม่กลับมาเช่นเดียวกัน...ยกเว้นมีการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและกฎหมายครอบคลุมถึง…

ก็เอาเหอะ...ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ‘หนูลองยา’ อย่างจักรภพ ก็หวังดีต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งวันนี้หลายคนได้ก้าวไกลไปไกลจนยากจะก้าวใหม่แล้ว เพราะ กู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี...เอวัง!!

'วิทยา-รทสช.' ไม่ขัดข้อง!! เปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แนะ!! แบ่งรายได้รายเดือนครึ่งหนึ่งให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศ

'วิทยา แก้วภราดัย' รทสช.ไม่ขัดข้องเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แต่กังวลพวกลักลอบเปิดเถื่อนแข่งกับรัฐจะแก้ปัญหาอย่างไร แฉทุกวันนี้มีรถตู้รับนักเล่นจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปเข้าบ่อนต่างประเทศทุกวัน พร้อมเสนอให้แบ่งรายได้เปิดกาสิโนรายเดือนครึ่งหนึ่งให้กับผู้สูงอายุทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ (28 มี.ค. 67) นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้อภิปรายระหว่างการพิจารณารายงานผลการศึกษาเปิดให้มีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีบ่อนกาสิโน หรือบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยว่า ได้ติดตามการศึกษาเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร การจะสร้างสถานบริการ สร้างโรงแรม กาสิโน ไนต์คลับ หอประชุมสรรพสินค้า หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ ไม่น่าจะมีปัญหา แต่พอมีเรื่องแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายก็พอมองออกว่า คือความตั้งใจที่จะมีกาสิโน หรือการพนันที่ถูกกฎหมาย

ทั้งนี้ การพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยมีอย่างเดียว คือสลากออมสิน กับสลากกินแบ่งรัฐบาล นอกนั้นที่เปิดอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองผิดกฎหมายทั้งหมด แถวบ้านตนในชนบททุกงานศพเวลามีการเล่นการพนัน มีคนมาเก็บรายวันและเหมาทุกจังหวัดระดับอำเภอ ระดับจังหวัดก็มีบ่อนการพนัน

ล่าสุดกลายเป็นความขัดแย้งในวงการตำรวจหน้าแตกกันทั้งประเทศ วันที่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สังคมวิจารณ์กันว่า ตำรวจขัดแย้งกันแต่ไม่ใช่ เมื่อตำรวจคนหนึ่ง ทำผิดกฎหมาย ตำรวจอีกคนหนึ่งจะไปซูเอี๋ยกอดคอเลิกรากันไปเป็นไปไม่ได้

คนที่ทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกคนมีอำนาจตามกฎหมายดำเนินคดี สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตนกำลังจะชี้ว่า พอพูดถึงสถานบันเทิงครบวงจร เราก็พูดถึงบ่อนเสรี

“วันนี้ไปอนุสาวรีย์ชัยฯ มีรถวิ่งออกทุกชั่วโมงรับผู้โดยสารไปเล่นบ่อนต่างประเทศด้วย ทำกันมาอย่างเปิดเผย แต่วันนี้พอเราพูดถึงการทำให้การพนันถูกกฎหมาย กลายเป็นพูดถึงเรื่องบ่อนเสรี ซึ่งคนละเรื่องกัน บ่อนเสรีคือใครมีอำนาจก็เปิดบ่อนกันทั่วประเทศรับส่วยกัน ถึงขั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปพัวพันกับหวย และบ่อนออนไลน์” นายวิทยา กล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ปัญหาที่ตนฝากกรรมาธิการฯ คือ เมื่อเราเปิดสถานบันเทิงแบบกาสิโนแล้ว มีคนไปลักลอบเปิดโดยไม่ได้ขออนุญาตใครจะเป็นคนจัดการ แก้อย่างไร นี่คือปัญหาเรื่องใหญ่ ถ้าเปิดถูกกฎหมายค่าธรรมเนียมก็แบ่งกับท้องถิ่นไป แบ่งกับหน่วยงานไหนก็ว่ากันไป

นายวิทยา กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่ตนฝากให้คิดต่อ ถ้าจะแบ่งจริง ๆ ขอครึ่งหนึ่งแบ่งเป็นรายเดือนให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศ จาก 600 บาทต่อเดือนอาจได้รับเป็น 5,000 บาทก็ได้ ตนไม่ขัดข้อง ถ้าทำให้ถูกกฎหมายและใช้ระบบควบคุมเอารายได้เข้ารัฐ แต่กังวลพวกที่จะเปิดเถื่อนแข่งกับรัฐจะแก้อย่างไร เหมือนทุกวันนี้ที่มีบ่อนทั่วประเทศ จนย้ายตำรวจแทบไม่ทัน

บริบทความเหมือนสไตล์ซุ้มส้ม 'ธิษะณา' ลืมชาติกำเนิด ด่ากราดบรรพบุรุษ ส่วน 'ก้าวไกล' ลืมว่า 'Leninism-Marxism' ไม่ใช่หมุดหมายที่ไทยเป็นอยู่

ทันทีที่คลิปซึ่งปรากฏภาพ ‘ธิษะณา ชุณหะวัณ’ สส.กทม. พรรคก้าวไกล อ่านตัวเลข 768,601,800 บาท ผิด ๆ ถูก ๆ ขณะอภิปรายงบประมาณของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ระหว่างการอภิปรายงบประมาณในวาระ 2 ซึ่งมีการถ่ายทอดสด จนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์นั้น 

ตัวเธอก็ได้ออกโพสต์ข้อความในแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ระบุว่า “สำหรับเรื่องที่กำลังไวรัลอยู่ ณ ขณะนี้ที่ดิฉันอ่านตัวเลขผิดในการอภิปรายงบประมาณวาระที่สอง และลงชื่อผิดมาตรา ดิฉันต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนมา ณ ที่นี้ ที่ผ่านมาดิฉันไม่เคยผิดพลาดเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากดิฉันมีอาการที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พักผ่อนน้อย (นอนไม่หลับเพราะอาการซึมเศร้า) ช่วงหลังๆ มาเมื่อมีการสูญเสียผู้ช่วยดำเนินการ จึงอาจจะส่งผลให้ทำผิดพลาดระหว่างการอภิปรายงบที่ไม่น่าให้อภัยได้ ดิฉันขอยืนยันว่าจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด”

ธิษะณา ชุณหะวัณ เป็นลูกสาวของไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ หรืออาจารย์โต้ง อดีต สส. ระบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหลานปู่ของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี และหลานปู่ทวดของจอมพล ผิน ชุณหะวัณ ผู้นำการรัฐประหารในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2490 และอดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร

ทั้งนี้ เมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เธอได้เคยโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเมืองไว้ชิ้นหนึ่งบน Social Media ของเธอ โดยข้อความที่เธอโพสต์กระทบกับปู่และปู่ทวดผู้เป็นบรรพบุรุษของเธอไปแบบเต็ม ๆ 

จุดนี้ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาในสังคมไทยคือ การหลงลืม ละเลย 'รากเหง้า' อันเป็นที่มาของตัวตนที่ได้เกิดออกมาเป็นผู้เป็นคนได้จนทุกวันนี้ จะโดยตั้งใจ หรือพลั้งเผลอ คิดไม่ทัน หรือลืมไป แต่ด้วยความที่เธอเป็นนักการเมือง ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะนั้น เวลาทำอะไรลงไป แล้วกลายเป็นจุดสนใจ ผู้คนก็จะพากันขุดค้นเรื่องราวและประวัติส่วนตัวของเธอมาเผยแพร่ในโลก Social อย่างต่อเนื่อง

ตัวเธอเองได้พูดบนเวทีหนึ่งว่า เธอเองสมาทานความคิด (ยืนยัน/ยึดมั่นในแนวความคิด) Leninism และ Marxism และขณะเดียวกัน เธอก็พยายามบอกว่า ด้วยความคิดฝ่ายซ้ายของเธอ ทำให้เธอตัดสินใจเข้าร่วมพรรคก้าวไกลหลังจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เกิดความสงสัยในตัวตนของเธอว่า เข้าใจ Leninism และ Marxism หรือไม่ เพราะในโลกนี้เหลือประเทศที่มีระบอบการปกครองตามแนวคิด Communism (Communist state) เหลืออยู่เพียง 5 ประเทศ ได้แก่ จีน, คิวบา, เกาหลีเหนือ, เวียดนาม และลาว ซึ่งเป็น 5 ประเทศ Communist ที่ไม่ได้นำเอาแนวคิด Leninism และ Marxism มาใช้แล้วทั้งสิ้น แม้กระทั่งรัสเซียต้นกำเนิดแห่ง Leninism และนำ Marxism มาใช้เป็นประเทศแรกยังกลับกลายมาเป็นประเทศประชาธิปไตยไปแล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริงจึงไม่มีประเทศใดบนโลกใบนี้ที่สามารถนำมายกเป็นตัวอย่างหรือเอ่ยอ้างถึงความสำเร็จของแนวความคิด Leninism และ Marxism มาใช้จนประสบความสำเร็จได้เลย   

ยิ่งไปกว่านั้น แม้พรรคก้าวไกลที่ ธิษะณา สังกัดเอง ด้วยความเชื่อว่า น่าจะเป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย หากแต่แท้จริงแล้วกลับดำเนินงานทางการเมืองในลักษณะชิดแนบแอบอิงประเทศมหาอำนาจทุนนิยมตะวันตกมาโดยตลอด ซึ่งมีประจักษ์พยานอย่างชัดเจนมากมาย อาทิ การเข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย การใช้ NGO ในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนในเครือข่ายของพรรคก้าวไกล ความพยายามในการแทรกแซงประเทศเพื่อนบ้านอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อหลักการของ ASEAN กระทั่งการแทรกแซงการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงของประเทศ ฯลฯ 

หากเธอได้ทำการบ้าน ศึกษาเรียนรู้ถึงบริบทที่แท้จริงของสังคมไทยโดยรวมแล้ว ก็จะรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีทางที่จะแก้ไขได้สำเร็จด้วยแนวคิดตามความเชื่อของเธอ เพราะตัวอย่างที่เคยนำมาใช้ของประเทศ Communist ทั้งที่มีอยู่และกลายเป็นอดีต จะพบว่า ความพยายามในการนำแนวความคิด Leninism และ Marxism มาใช้ กลายเป็นเพียงการใช้กำลังปราบปรามและบังคับผู้เห็นต่างแค่นั้นเอง...

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงเมื่อมีอำนาจในกัมพูชา บรรดาผู้เห็นต่างถูกสังหารไปหลายล้านคน บางส่วนก็อพยพหลบหนีออกนอกประเทศ ที่สุดกัมพูชาก็ต้องกลับมากปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนกับบ้านเรา และเชื่อว่าด้วยพฤติการณ์และพฤติกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลเอง จะเห็นว่า ไม่มีใครเลยที่มีความเข้าใจในเรื่องของประชาธิปไตย ในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ในเรื่องของการใช้สิทธิและเสรีภาพ ซึ่งต้องเริ่มจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ถูกต้องและครบถ้วนก่อน 

หัดรู้จักการใช้สิทธิและเสรีภาพอย่างมีขอบเขต เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ใช้สิทธิและเสรีภาพของตนล่วงล้ำสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น เพราะหากเป็นเช่นที่เป็นอยู่เยี่ยงนี้แล้ว สังคมไทยที่ธิษะณาและพรรคก้าวไกลพยายามขับเคลื่อนอยู่นี้จะเป็นได้เพียงสังคม 'คณาธิปไตย' (Oligarchy) ที่อยู่ในมือพรรคก้าวไกลเพียงเท่านั้นเอง  

'ศาลอาญา' ยกฟ้องพันธมิตรฯ ชุด 2 คดีปิดสนามบิน เหตุทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นประโยชน์ต่อชาติ

(29 มี.ค. 67) ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบ พธม.บุกสนามบินดอนเมือง หมายเลขดำ อ.1087 /56 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด,นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์, นายการุณ ใสงาม, นายวีระ สมความคิด, พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์, น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรือจอย อดีตนักแสดงชื่อดัง ร่วมกับพวกรวม 67 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันชุมนุมปลุกปั่นยุยงก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 พ.ย.- 3 ธ.ค.2551 พวกจำเลยที่ 1-14 ได้ร่วมกันชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพี ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอยู่ในความดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือทอท. และนำจานรับสัญญาณโทรทัศน์ของจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรด้าร์ ของบริษัท วิทยุการบินฯ ปิดกั้นสะพานกลับรถ ตรวจค้นตัวจนท.บริษัท การบินไทย ร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน ทำลายทรัพย์สินของบริษัท ของท่าอากาศยานไทยฯ เสียหาย 627,080 บาทเพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

โดยก่อนฟังคำพิพากษา นายปานเทพ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลนัดจำเลยในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่สนามบินเมื่อปี 2551 ซึ่งใช้เวลาการพิจารณาคดีตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุรวมแล้วเป็นปีที่ 15 การต่อสู้ในคดีรอบที่ผ่านมาแบ่งเป็นสองกลุ่มโดยกลุ่มที่หนึ่งถูกพิพากษาไปแล้วในชั้นศาลอาญา แกนนำบางส่วนถูกปรับ 20,000 บาท ที่เหลือยกฟ้องในทุกข้อหา สำหรับชุดที่สองเป็นคดีที่ต่อเนื่องกันแต่เนื่องจากมีจำเลยเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุทำให้ศาลแบ่งออกเป็นสองคดี ทางเราก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลที่ เราต่อสู้มาในรอบหลายปีเพื่อมาสู่จุดนี้ว่าพวกเราทั้งหมดไม่เคยหนี ไม่เคยขอร้องอภิสิทธิ์ใด และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม แต่ในชั้นพิจารณาคดีจนถึงในชั้นการพิพากษาแม้กระทั่งการอยู่ในเรือนจำ

ส่วนคดีพันธมิตรไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ เพิ่งจะมีเมื่อวานนี้ที่อัยการไม่ฎีกาเป็นครั้งแรก ในกรณีของการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาศาลชั้นต้นอุทธรณ์ได้ยกฟ้องทั้งหมด ที่เหลืออุทธรณ์ฎีกาทั้งหมดไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ และมีหลายคนต้องถูกโทษจำคุกไปแล้วในคดีการชุมนุมที่หน้าสถานีโทรทัศน์ NBT รวมไปถึงการชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล และทั้งหมดก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเราทั้งหมดไม่ได้รับการอภิสิทธิ์ ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายตามกฎหมายทุกอย่าง

"อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ต้องการอภิสิทธิ์ให้กับใครแม้กระทั่งกับพวกเราเอง แต่ตนอยากเรียกร้องให้คนที่รับอภิสิทธิ์ทั้งหลายได้รับโทษตามกฎหมาย ที่มาวันนี้ไม่เคยเรียกร้องอภิสิทธิ์ใด เพียงแต่เรียกร้องให้ทุกคนเท่าเทียมกันในกระบวนการยุติธรรม และชุดนี้เป็นชุดสุดท้ายในคดีของสนามบิน ซึ่งบางส่วนมีการฟ้องร้องกันยังไม่สิ้นสุดระหว่างการบินไทยมีการฟ้องร้องในคดีความแพ่งกับผู้ชุมนุมสนามบิน ส่วนคดี เรื่องของท่าอากาศยาน ฟ้องไปแล้วสิ้นสุดไปแล้วยึดทรัพย์บางส่วน แต่คดีนี้รอผลลัพธ์ทางคดีอาญาให้จบสิ้นก่อนเพราะมีการเรียกร้องในคดี ทั้งนี้ตนได้กล่าวทิ้งท้ายว่าวันนี้ต้องฟังคำพิพากษาก่อนว่าศาลจะว่าอย่างไร ถ้ามีผลเป็นลบต่อทางจำเลยทางเราต้องใช้สิทธิ์อุทธรณ์ และถ้ามีผลเป็นบวกไม่มีใครถูกลงโทษจะต้องรอดูว่าอัยการจะอุทธรณ์หรือไม่ หากอัยการอุทธรณ์ทางเราก็จะยื่นคำร้องแก้อุทธรณ์เช่นเดียวกัน และคาดว่าไม่เกินกลางปีนี้จะรู้ผลทุกอย่าง" นายปานเทพ กล่าว

ด้าน นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีต รมว. อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำของกลุ่มพันธมิตร กล่าวว่า ก่อนเข้ารับฟังคำพิพากษาในวันนี้ว่า จากคำตัดสินของชุดแรกก็รู้มีความมั่นใจว่าวันนี้ศาลจะตัดสินยกฟ้องเหมือนชุดแรก เพราะกลุ่มที่ 2 มีจำเลยทั้งหมด 67 คน ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มแนวร่วม ไม่ใช่กลุ่มแกนนำหลัก คาดว่าศาลน่าจะพิจารณาไปในทิศทางเดียวกัน แต่ส่วนคดีทางอาญาก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานเฉพาะบุคคล

ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรได้เดินทางมาที่ศาลอาญาในวันนี้ด้วยเพื่อเป็นกำลังใจให้กับจำเลยชุดที่ 2 เนื่องจาก นายสนธิเป็นจำเลยในชุดแรก ที่ถูกพิจารณาคดีไปแล้วโดยการฟังคำพิพากษาวันนี้ศาลจะอ่านคำพิพากษาเมื่อจำเลยทั้ง 67 คนมาครบจำนวน ส่วนผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิ์โดยรายงานตัวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าพวกจำเลย เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมมาจากหลายอาชีพ ทั้งศิลปิน นักร้อง ดารา สื่อมวลชน อดีตเอกอัครราชทูตมาชุมนุม เพื่อคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องเขยของนายทักษิณ ชินวัตร มีการทุจริตเชิงนโยบาย และศาลฎีกาแผนกอาญาองผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาจำคุกนายทักษิณ ชินวัตรหลายคดี โดยเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ มาตรา 116 และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนใจผู้อื่น จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมดทุกข้อหา

จากนั้นเวลา 11.30 น. ภายหลังการเข้าฟังคำพิพากษาโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ ว่า ในวันนี้ศาลอาญาพิจารณาประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น ความยาว 51 หน้า มีข้อเท็จจริงยุติ 10 หน้า โดยสรุปแล้ว 

ข้อหาการฟ้องซ้ำ ศาลเห็นว่าด้วยพฤติการณ์ บุคคล ข้อหาคดีที่เคยมีการฟ้องร้องก่อนหน้านี้และจำเลยหนึ่งราย ร้องเป็นการฟ้องซ้ำการลงโทษจะซ้ำซ้อนหรือไม่ ศาลพิพากษาเห็นว่าพฤติการณ์ ข้อหา บุคคลที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาและสถานที่ เป็นคนละสถานที่ศาลจึงมีคำพิพากษาว่าไม่ได้เป็นการฟ้องซ้ำ และศาลมีสิทธิ์ที่จะพิจารณา

ส่วนพฤติการณ์ของรัฐบาล เป็นพฤติการณ์ที่เป็นสาเหตุของการชุมนุม โดยศาลวิเคราะห์จึงการวิเคราะห์ตั้งแค่การก่อตั้งของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเหตุในปี 2551 คือความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างความผิดคดียุพรรคพลังประชาชน ซึ่งทุจริตการเลือกตั้ง มีความพยายามแก้ไขมาตราใน กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การยกเลิกอำนาจการตรวจสอบของคตส. ในคดีทุจริตคอรัปชั่น โดยศาลเห็นว่าทั้งสองประเด็นนี้ เป็นประเด็นของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงการต่อต้านนำปราสาทเขาพระวิหารไปขึ้นเป็นมรดกโลกให้กับประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา นอกจากนั้นศาลยังได้พิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งหมด ว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้น เป็นการชุมนุมภายใต้กรอบที่มีเหตุผลตามรัฐธรรมนูญ เนื่องด้วยตลอดระยะเวลาการชุมนุมจำเลยทั้ง 67 ราย ไม่ได้มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ หรือมีอาวุธอยู่ในครอบครอง ศาลจึงเห็นว่าไม่เข้าข่ายการก่อการร้าย การก่อกบฏ หรือก่อความวุ่นวาย

ส่วนเรื่องท่าอากาศยาน ศาลได้มีการพิจารณาวิเคราะห์ จากหลักฐานทั้งหมดด้วยพยานฝ่ายโจทก์เอง พบว่าไม่สามารถยืนยันว่าจำเลยทั้ง 67 คน ทำความผิดอย่างไรที่ก่อให้เกิดการขัดขวางท่าอากาศยานได้จริงในทางปฏิบัติ แม้แต่ดาวเทียม ซึ่งเป็นทีวีการถ่ายทอดสด ก็ไม่สามารถกระทบต่อสัญญาณการบินได้ และพื้นที่การชุมนุมไม่ได้กระทบต่อการบิน ดังนั้นด้วย พยานฝ่ายโจทก์ประกอบกับการที่พันธมิตรยุติการชุมนุมแล้วไม่เกิดความเสียหายสามารถดำเนินการบินและให้บริการได้ทันทีสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีความเสียหาย ศาลเห็นว่าไม่มีความผิดในการขัดขวาง ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบินและพื้นที่ชุมนุมไม่กระทบ หรือความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้น

ส่วนการปะทะ ซึ่งอาจมีเกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม เช่น พยามเข้าพื้นที่บางส่วนของผู้ชุมนุม การขัดขวางของเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เป็นการสั่งการของจำเลย 67 คน แต่อาจการกระทบกระทั่งแต่เป็นวิถีของการเกิดขึ้นเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการสั่งการ การยั่วยุ ให้กระทำการรุนแรง ศาลพิจารณาจำเลยทั้ง 67 คน ล้วนมีเจตนาอย่างชัดเจน ว่าให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบปราศจากอาวุธ และยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรง ศาลจึงพิพากษาว่า การกระทำของภาครัฐในเวลานั้นทั้งการทุจริตการเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชั่นทั้งนายทักษิณ ชินวัตรและพวกเป็นเรื่องจริง และมีคำพิพากษาจำนวนมาก รวมถึงศาลพิจารณาการกลับมาของนายทักษิณ ที่หลบหนีไป 15 ปี และการกลับมาขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยข้อความว่าสำนึกผิด ยอมรับการกระทำความผิดแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ฯ มีมูลเหตุของการเจตนารมณ์เป็นเรื่องจริง ดังนั้นการชุมนุมจึงไม่ใช่เป็นไปด้วยประโยชน์ส่วนตัวแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

และประเด็นสุดท้าย หลังศาลพิจารณาว่าเป็นการชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธศาลยังได้พิจารณา เรื่องการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ศาลพิจารณาว่ารัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การออกพรก.ฉุกเฉิน ที่กระทำการลงไปเพื่อขัดขวาง งดเว้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะต้องเป็นไปด้วยความชอบธรรมโดยเฉพาะการชุมนุมของพันธมิตรฯ แม้กระทบต่อการบินบ้างแต่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นศาลจึงเห็นว่าการกระทำความผิดพรก. ฉุกเฉินจึงไม่เข้าข่าย เพราะว่าได้รับการยืนยันว่าในเวลาต่อมา มีการหลบหนีคำพิพากษาของนายทักษิณ และการยอมรับความผิด แม้จำเลยจะกระทบต่อประชาชน ผู้ใช้สนามบินอยู่บ้าง แต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ จึงไม่เป็นความผิดฐาน ศาลจึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด 67 คน

คำพิพากษาเป็นคดีประวัติศาสตร์ ซึ่งตนสรุปเพียงใจความสำคัญบางส่วนเท่านั้น แต่ความงดงามและความครบถ้วนของเนื้อหาไม่สามารถจะตัดทอนได้จากคำพิพากษาชุดนี้ จนอาจจะบอกว่าเป็นการเยียวยาความรู้สึกของพวกเราในฐานะผู้ที่ถูกกระทำมา 17 ปี ว่าพวกเราเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วยโทษที่รุนแรง โทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือการก่อการร้าย ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นแค่พิธีกรเป็นประชาชน เป็นศิลปิน แต่คนที่อ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพความเสมอภาค ไม่เคยออกมาเรียกร้องหรือเห็นใจของการชุมนุมของพวกเรา แต่คำพิพากษานี้ให้ความเป็นธรรมกับพวกเราที่ต่อสู้และเคารพขบวนการกระบวนการยุติธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนทำให้จำเลยจำนวนมากที่มาฟังคำพิพากษา น้ำตาซึม และน้ำตาไหลออกมา เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับความเป็นธรรมจากการพิสูจน์ตัวเองมายาวนาน 17 ปี

เมื่อถามว่าถูกริดรอนสิทธิ์มานานกว่า 10 ปี หากอัยการไม่ยื่นอุทธรณ์ จะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ตั้งแต่การประทับรับฟ้องจำเลยทั้งหมดใช้สิทธิ์ในการชุมนุมเท่านั้น แม้ไม่ใช่แกนนำแต่ถูกกวาดดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และพวกเขาเหล่านั้นสูญเสียอิสรภาพ ถูกตราหน้ามาตลอด 17 ปีว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ยึดสนามบินผู้ ก่อความไม่มั่นคงทำลายประเทศชาติ เมื่ออ่านคำพิพากษาและพิสูจน์ความจริง เราได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการสู้คดีและในคดีนี้แม้แต่ตนเองที่ไม่ใช่นักกฎหมายแต่ซักคัดค้านด้วยตนเองในสิ่งที่กระทบต่อตนเพื่อพิสูจน์ความจริง ดังนั้นพวกเราไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน เราต่อสู้ในทุกประเด็นที่เราสู้ได้ ซึ่งศาลพิพากษาในคดีนี้ นอกจากการตราหน้าแล้วเราสูญเสียการเดินทางไปต่างประเทศ ต้องเสียเงินหลายแสนบาทเพื่อที่จะเดินออกไป ทั้งถูกบันทึกตลอดว่าพวกเราเป็นอาชญากร ทั้งที่พวกเราเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนคำนึงถึงการต่อต้านการทุจริตการเลือกตั้ง และการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งถือว่าเป็นคำพิพากษาที่งดงามที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

‘นายกฯ’ หนุน ‘กาสิโนถูกกฎหมาย’ ยก ศก.สีเทาขึ้นบนพื้น หวัง ‘กำกับ-ควบคุม’ ดีกว่าปล่อยให้เป็นสังคมอีแอบ

(28 มี.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ....ซึ่งจะมีกาสิโนหรือบ่อนพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย กำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร มีความเห็นถึงข้อดีข้อเสียตรงนี้อย่างไร ว่า คิดว่าตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องกฎหมายกาสิโน แต่ให้มองเป็นเรื่องของเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ จะรวบรวมหลายส่วน และเราทราบกันดีต้องการจะยกเศรษฐกิจสีเทาขึ้นมาอยู่บนพื้นให้หมด จะได้ควบคุมกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัย ความเหมาะสม และเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเห็นด้วยเพราะเป็นเรื่องที่สำคัญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมีบางฝ่ายเห็นต่างจะชี้แจงอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็มีระบบสภาอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว ก็ไปชี้แจงกันในสภา

เมื่อถามว่า แต่การยกขึ้นมาให้ถูกกฎหมายก็เป็นช่องทางหนึ่งที่จะเก็บรายได้เข้าประเทศ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ถูกต้อง ซึ่งได้เรียนไปแล้ว ก็เป็นอย่างนั้น ใช่ครับ

ถามว่าจะสามารถขจัดปัญหาพวกที่เปิดบ่อนผิดกฎหมายได้ด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าอันนี้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะต้องทำได้ ถ้าหากทำให้ถูกกฎหมายได้ก็จะไปทำผิดกฎหมายทำไม ใช่หรือไม่ และกฎหมายก็ออกมาว่าใครสามารถเข้าได้อย่างไร

เมื่อถามว่า ส่วนหนึ่งก็มองว่าอาจจะกลายเป็นการมอมเมาให้เข้าสู่เรื่องดังกล่าวง่ายขึ้น ตรงนี้จะชี้แจงอย่างไรไม่ให้สังคมมองในแง่ลบอย่างเดียว นายเศรษฐา กล่าวว่า ถึงเวลาที่สังคมเราจะต้องมาดูกัน เรื่องของสังคมอีแอบ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีอยู่แล้ว เอามากำกับดูแลให้เหมาะสมเพื่อฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครองจะได้ดูแลให้ถูกต้อง

“มันมีอยู่แล้วทุกวันนี้ต้องยอมรับและเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเราก็ต้องบริหารจัดการไปในระหว่างทาง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ากฎหมายจะผ่านเมื่อไหร่ และจะมาเปิดได้เมื่อไหร่ ก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่ระหว่างนี้ยังไงก็ต้องจัดการกับที่ผิดกฎหมายไป“ นายเศรษฐา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top