Friday, 6 June 2025
POLITICS NEWS

‘วัชระ’ บอกชาวโลก ‘อัยการ’ ผู้พิจารณาคดี ม.112 ให้ 'ทักษิณ' เป็นคนเดียวกับอธิบดีที่ทำตัวเป็น ‘หมอ’ บอกทักษิณป่วยหนัก

(29 พ.ค. 67) นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหมายเลข 6650102668 ผู้ต้องหาคดี 112 ให้ทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนการฟังคำสั่งของอัยการสูงสุดว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องหา แต่ประเด็นที่น่าสังเกตคือพนักงานอัยการที่เป็นผู้บริหารคดีนี้คือ นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ ผู้เคยทำตัวเป็นหมอที่ยืนยันว่านายทักษิณป่วยจริงขั้นวิกฤต ขวัญใจชาวเน็ตนั่นเอง

ทั้งนี้เมื่อวันที่นายทักษิณไปรับทราบข้อกล่าวหา นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ แถลงกับสื่อมวลชนการันตีให้นายทักษิณว่า “จากสภาพที่เห็นนายทักษิณ ซึ่งนั่งวีลแชร์มาพบอัยการ ดูแล้วป่วยขั้นวิกฤติ เดินไม่ไหว และจากการพูดคุย นายทักษิณก็ไม่ค่อยมีเสียง” ซึ่งจากการที่อธิบดีอัยการทำตัวเป็นหมอถูกล้อเลียนจากสังคมชาวเน็ตไปทุกวงการสร้างความเสื่อมเสียให้กับสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นอย่างยิ่ง

ผมจึงส่งหนังสือร้องเรียนจริยธรรมของนายปรีชา สุดสงวน ไปที่อัยการสูงสุดและคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ว่านายปรีชา ประพฤติผิดจริยธรรมอัยการหรือไม่ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า เมื่อทนายของนายทักษิณส่งหนังสือมาขอเลื่อนนัดโดยอ้างว่าติดโรคโควิด-19 นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ สำนักคดีอาญาต้องตรวจสอบใบรับรองแพทย์ว่าเป็นโรคจริงตามที่ใบรับรองแพทย์ส่งมาหรือไม่ หรือว่าป่วยการเมือง เพราะเมื่อวันก่อนนายทักษิณยังสุขภาพแข็งแรงไปยกดาบต่อหน้าย่าโมที่เมืองโคราช เมื่อสายข่าวรายงานว่าอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง กลับป่วยการเมืองอ้างว่าเป็นโควิดอย่างกะทันหัน ไม่มีใครในประเทศนี้เชื่อนายทักษิณอีกแล้ว

ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ผมเชื่อว่านายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ จะอนุญาตให้นายทักษิณเลื่อนการฟังคำสั่งอย่างแน่นอน ในวันนี้อธิบดีอัยการจะทำตัวเป็นหมออีกครั้งหรือไม่ และ
จะมาแถลงด้วยตนเองหรือไม่ก็ต้องจับตาดู แต่นายปรีชาไม่ควรสั่งคดีอนุญาตให้เลื่อนนานเกินไปตามความต้องการของนายทักษิณ เพราะจะมีเสียงโห่ฮาจากพี่น้องที่รักความยุติธรรมทั้งประเทศ

‘ชัชชาติ’ โชว์ผลงาน 2 ปี หลังดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ชี้!! นโยบายสำเร็จไปแล้ว 90% สร้างความเปลี่ยนแปลงใน 6 มิติ

(28 พ.ค.67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รายงานประชาชน ครบรอบ 2 ปีการทำงาน ภายใต้ชื่องาน ‘2 ปี ทำงาน ‘เปลี่ยน ปรับ’ ยกระดับเมืองน่าอยู่’ พร้อมแสดงวิสัยทัศน์การทำงานในอีก 2 ปีข้างหน้า ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า เดิมกรุงเทพฯ เป็นเมืองเที่ยวสนุก แต่ประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งทำให้คนเหนื่อยกับการใช้ชีวิตและการเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ได้ทำตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงมีการเปลี่ยนแปลงและปรับหลายด้าน เพื่อให้การทำงานและการแก้ไขปัญหามีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คนเหนื่อยน้อยลง และมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น โดยได้ปรับเปลี่ยนด้านต่าง ๆ ดังนี้ เรื่องแรกปรับ Traffy Fondue ลดขั้นตอน เพิ่มโปร่งใส ตอบโจทย์ เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาของประชาชน เชื่อว่าสิ่งที่สะท้อนผ่านการร้องเรียน คือความเชื่อมั่นระหว่าง กทม.กับประชาชน ดังนั้น กทม.จึงมุ่งมั่นในการแก้ไขทุก ๆ ปัญหาที่ประชาชนแจ้งเข้ามาอย่างเต็มที่

เรื่องที่ 2 ปรับทางเท้ามาตรฐานใหม่ คงทน คุ้มค่า คิดถึงทุกคน กทม.มุ่งมั่นทำทางเท้าให้เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกเพศทุกวัย โดยยึดมาตรฐานทางเท้าที่แข็งแรง คงทน และสวยงาม 2 ปีได้ปรับปรุงไป 785 กม.

เรื่องที่ 3 จัดระเบียบหาบเร่ - แผงลอย ให้ประชาชนเข้าถึงอาหารราคาถูกได้โดยไม่เบียดเบียนทางเดินเท้า ทำไปแล้ว 257 จุด พร้อมจัดระเบียบสายสื่อสารรกรุงรัง รวมระยะทาง 627 กม.รวมทั้งเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าแสงสว่างเป็นหลอด LED เชื่อมระบบ IOT ตรวจสอบหลอดไฟดวงเสียได้อัตโนมัติและแก้ไขได้รวดเร็ว ให้คนกรุงเทพฯ เดินเท้ากลับบ้านอย่างสบายใจ

เรื่องที่ 4 น้ำลดไว สัญจรทันใจ เศรษฐกิจไม่ติดขัด ตั้งแต่ถอดบทเรียนและรวบรวมข้อมูลจุดน้ำท่วมทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2565 พบจุดที่ต้องแก้ไข 737 จุด ขณะนี้แก้ไขแล้ว 370 จุด และจะแก้ไขได้ทันในปี 67 อีก 190 จุด และเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมก่อนที่จะเกิดฝน

เรื่องที่ 5 เพิ่มพื้นที่สาธารณะ ให้เมืองมีชีวิตเมืองที่ดี คือ เมืองที่มีพื้นที่สาธารณะ จะช่วยลดต้นทุนในการใช้ชีวิตให้กับประชาชน ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเพื่อจะเข้าถึงบริการต่างๆ และเพิ่มพื้นที่แห่งความสร้างสรรค์ มีการปรับปรุงอาคารลุมพินีสถานสู่ Performance Art Hub ของคนกรุงเทพฯ เสร็จในปี 68 และการเพิ่มสวนขนาดใหญ่ให้เป็นปอดฟอกอากาศ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนกรุงเทพฯ เช่น โครงการเชื่อมบึงหนองบอน-สวนหลวง ร.9 สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และ สวนกีฬาทางน้ำแห่งใหม่ที่บ่อฝรั่ง (ริมบึงบางซื่อ) และสวนป่าชุ่มน้ำบางกอก (เสรีไทย) ส่วนสวน 15 นาที สวนขนาดเล็กใกล้ชิดชุมชนระยะเดินไม่เกิน 15 นาที ล่าสุดเกิดขึ้นแล้วกว่า 100 แห่ง คาดว่าจะครบ 500 แห่ง ภายใน 4 ปี

เรื่องที่ 6 ปรับบริการสุขภาพ ปูพรมตรวจรักษาโรค สร้างพื้นฐานคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลดข้อจำกัดการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของคนกรุงเทพฯ ปัญหาหมออยู่ไกล เข้าถึงยาก ไม่สะดวก เสียเวลา มีโครงการตรวจสุขภาพฟรี 1,000,000 คน ขยายการบริการของศูนย์บริการสาธารณะ รับตรวจรักษานอกเวลาจนถึง 2 ทุ่ม หรือเสาร์ - อาทิตย์

เรื่องที่ 7 โปร่งใสด้วยเทคโนโลยี คุ้มค่าเงินภาษี ตลอด 2 ปี ดำเนินการป้องกันและต่อต้านการทุจริตอย่างเข้มข้น มีการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 781 เรื่อง มีมูลทุจริต 56 เรื่อง ถึงขั้นสอบสวนทางวินัย 44 เรื่อง ให้ออกจากราชการ 29 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณา 12 เรื่อง ส่งต่อให้ ป.ป.ช.หรือ ป.ป.ท. 5 เรื่อง และรวมศูนย์การขอใบอนุญาตไว้บนออนไลน์ ประชาชนสามารถติดตามทุกคำขออนุญาตทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้จาก Line OA กรุงเทพมหานคร (@bangkokofficial) รวมถึงมีการเปิดฐานข้อมูล (Open Data) ด้านนโยบาย งบประมาณ สัญญาจ้าง ภาษี ไปแล้วมากกว่า 1,000 ชุดข้อมูล มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 ล้านครั้ง/ปี ด้านการเปิดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ได้มุ่งให้เกิดความโปร่งใสตั้งแต่การประกวดราคาจนถึงการบริหารสัญญา และการบริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ได้พยายามแก้ไขปัญหาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า BTS ที่มีมาต่อเนื่อง ได้ลุล่วงไปในก้าวแรก โดยสามารถชำระหนี้งานระบบของส่วนต่อขยาย 23,000 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของ กทม. เรียบร้อยแล้ว ที่จะทำต่อไปคือการลดการผูกขาด โดยเสนอรัฐบาลให้ยกเลิกคำสั่ง ม.44 นำระบบรถไฟฟ้ากลับสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและร่วมทุนตามกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนต่อไป

"2 ปี ที่ผ่านมาเป็นช่วงของการทำงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกทม.ผ่านนโยบายและโครงการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของเมือง ใน 6 มิติ 1.ประชาชนเป็นศูนย์กลาง คือ Traffy Fondue 2.กระจายอำนาจสู่ประชาชน งบประมาณชุมชน 2 แสน 3.ทำงานอย่างโปร่งใส Open Bangkok, Open Data 4.ใช้เทคโนโลยีและข้อมูล บริการ BMA OSS, GPS รถขยะ 5.สร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชน รับฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ 6.เดินหน้าแก้ไขปัญหาที่ท้าทาย ยกระดับการศึกษา สาธารณสุข แก้หนี้ BTS ปัญหาหาบเร่-แผงลอย และเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.กทม.ใหม่ เพื่อนำไปสู่การยกระดับการบริหารราชการ กทม.รูปแบบใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ต่อไปแม้เราจะไม่อยู่บริหารแล้ว จะเกิดประโยชน์กับประชาชน" ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว

นายชัชชาติ กล่าวถึงการทำงานอีก 2 ปี ว่า 2 ปีต่อไป มุ่งบูรณาการข้ามหน่วยงาน สร้างกรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่แห่งอนาคต โดยมุ่งมั่นจะขับเคลื่อนกรุงเทพมหานครเป็นเมืองน่าอยู่ โดยทำงานประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน "ตั้งแต่ประกาศนโยบายและทำงานมา 2 ปี ทำได้ 90% ยังมีเรื่องที่ทำไม่ดี ยังมีปัญหาที่ต้องทำต่ออีกมาก ถ้าให้คะแนนการทำงาน ให้ 5 เต็ม 10 ส่วนคนกรุงเทพฯ จะพอใจ หรือวัดว่ามีความสุขเพิ่มขึ้นเท่าไร ต้องให้ประชาชนบอก"

นอกจากนี้ รองผู้ว่าฯ กทม.ทั้ง 4 ได้รายงานเมกะโปรเจกต์ที่จะทำในอีก 2 ปี

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ที่จะทำ 2 ปีข้างหน้า เพื่อให้กรุงเทพฯ มีอากาศสะอาด จะมีการเปลี่ยนรถบริการของ กทม.ไม่ว่าจะเป็น รถเก็บขยะ รถบรรทุกน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่ รถบรรทุก 6 ล้อ จากรถที่ใช้พลังงานดีเซลมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทน จากการคำนวณรถขยะขนาด 5 ตัน สามารถลดค่าเช่าลงเหลือ 2,240 บาท/คัน/วัน จาก 2,800 บาท/คัน/วัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 200 ตัน/ปี จาก 2,256 ตัน/ปี ลดการปล่อย PM2.5 เหลือเป็นศูนย์ จาก 22 กก./ปี และลดต้นทุนพลังงานเหลือ 455 บาท/เที่ยว จาก 1,300 บาท/เที่ยว โดยมีแผนรับมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในปี 67 จำนวน 615 คัน ปี 68 จำนวน 392 คัน และปี 69 อีก 657 คัน และยังเร่งรัดการก่อสร้างโรงเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าอ่อนนุช-หนองแขม เพื่อลดการฝังกลบ และลดต้นทุนการจัดการขยะ โดยคาดว่าจะเปิดในปี 69 ซึ่งจะประหยัดเงินค่าจัดการขยะได้ 172,462,500 บาท/ปี

ทั้งนี้ รองผู้ว่าฯ จักกพันธุ์ ได้ประกาศบนเวทีว่า จะลาออกจากตำแหน่งทันที หากมีใครมายืนชี้หน้าว่า ‘ตนทุจริต’ โครงการเช่ารถขยะไฟฟ้า ซึ่งมีข้อซักถามถึงประเด็นการเปลี่ยนรถขยะ กทม.จากดีเซล เป็นรถ EV ว่าให้ตรวจสอบไม่ให้มีการทุจริต

นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า 2 ปี จากนี้ คนกรุงเทพฯ จะเดินทางสะดวกขึ้น ด้วยบริการป้ายรถเมล์ดิจิทัล 500 ป้าย การปรับปรุงศาลารถเมล์ 300 หลัง และการติดตั้งจอดิจิทัลในศาลาที่พักผู้โดยสารอีก 200 หลัง เพิ่มตัวเลือกการเดินทาง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อ (Last Mile) ด้วยการเดินทางที่หลากหลาย เช่น รถตุ๊ก ๆ ไฟฟ้า จักรยาน Shuttle Bus และสกายวอล์ค ด้านการจราจรจะคล่องตัวขึ้น โดยการอัปเกรดสัญญาณไฟจราจรทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็น Adaptive Signaling ปรับสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณจราจร 541 ทางแยก พร้อมทั้งมอนิเตอร์เมือง สังเกต และสั่งการผ่าน Command Center

รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า 2 ปีหลังนี้ จะผลักดันโรงพยาบาลเดิม 3 แห่ง โดยเพิ่มเตียงโรงพยาบาลกลาง อีก 150 เตียง โรงพยาบาลบางนาเพิ่ม 324 เตียง โรงพยาบาลคลองสามวา เพิ่ม 268 เตียง และเพิ่มโรงพยาบาลใหม่ในสังกัด กทม.อีก 4 แห่ง โรงพยาบาลพระมงคลเทพมุนี ขนาด 150 เตียง เปิดแล้ว จะเปิดโรงพยาบาลดอนเมือง ขนาด 200 เตียง โรงพยาบาลสายไหม ขนาด 120 เตียง และโรงพยาบาลทุ่งครุ ขนาด 60 เตียง เพื่อขยายเตียงดูแลคนกรุงเทพฯ ให้ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น อีก 1,272 เตียง และพัฒนาศูนย์บริการสาธารณสุขให้เข้าถึงง่าย กระจายทั่วกรุงเทพฯ โดยก่อสร้างอาคารใหม่ 21 แห่ง และปรับปรุงใหม่อีก 31 แห่ง นอกจากนี้ ยังเตรียมปรับปรุงสถานีดับเพลิง 13 แห่ง และสร้างใหม่อีก 3 แห่ง พร้อมทั้งยกระดับ Command Center

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การพัฒนาคน คือการพัฒนาเมือง จะยกระดับจากการศึกษา สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) โดยการศึกษาปฐมวัย ปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและเริ่มรับเด็กเร็วขึ้น เพิ่มชั้นอนุบาลสำหรับเด็ก 3 ขวบ แผนขยายให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนในปี 69 ส่วนการศึกษาภาคบังคับ พัฒนาห้องเรียนดิจิทัล สร้าง Active Learning ห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ส่วนการพัฒนาเมืองเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งช่วยสอดส่อง แจ้งปัญหา ร่วมทำ ร่วมนำเสนอ ผ่านสภาเด็กและเยาวชน สภาเมืองคนรุ่นใหม่ ประชาคมคนพิการ ย่านสร้างสรรค์ เทศกาล อีเวนต์ กิจกรรมดนตรีในสวน และอาสาสมัครเทคโนโลยีประจำชุมชน มี e-participation แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถร่วมสร้างกรุงเทพฯ

‘รัดเกล้า’ เผย ครม.ไฟเขียว เพิ่มเงินประจำตำแหน่งตำรวจ ปรับมาตรฐานให้ทัดเทียมข้าราชการทหาร-พลเรือน

(28 พ.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกา การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอ โดยการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามที่พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ที่กำหนดให้ข้าราชการตำรวจให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งท้ายพ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ 2565 ในอัตราใดให้เป็นไปตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนด รวมทั้งเพื่อเป็นการปรับปรุงการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร และสอดคล้องกับการกำหนดลักษณะงานบริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นางรัดเกล้า กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างฯ 3 ข้อ ดังนี้

1. ให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ระดับปริญญา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการอีกประเภทหนึ่งอยู่ด้วยแล้ว ให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทบริหาร โดยไม่ตัดสิทธิการได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการของตนเองที่ครองอยู่

2. ข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ ‘พันตำรวจโท’ ขึ้นไป และดำรงตำแหน่งที่ปฏิบัติหน้าที่ในวิชาชีพเฉพาะได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ โดยเพิ่มสายงานที่ปฏิบัติวิชาชีพเฉพาะ ซึ่งเป็นงานที่ไม่อาจมอบหมายให้ผู้ทรงคุณวุฒิอย่างอื่นปฏิบัติงานแทนได้ เป็นงานมีผลกระทบกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งวิชาชีพเฉพาะ ซึ่งเพิ่มมา 5 สายงานจากเดิม 28 สายงาน ประกอบด้วยวิชาชีพเฉพาะกายบุคคล, วิชาชีพเฉพาะกิจกรรมบำบัด ,เทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก, แพทย์แผนไทย และเวชศาสตร์การสื่อความหมาย เพื่อรองรับและปรับปรุงภารกิจที่จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง และ

3. ข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับการ หรือเทียบเท่าขึ้นไป ที่ต้องปฏิบัติงานที่เป็นงานหลักของหน่วยงานและต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะ โดยมีการเพิ่มลักษณะงานความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 2 ด้าน คือ ด้านการสืบสวนสอบสวน และด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ โดยได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะด้วย

ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ได้ดำเนินการได้ตามมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ 2561 โดยรายงานว่าการตราพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จะไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ต่อรัฐหรือหน่วยงานของรัฐไม่ส่งผลกระทบต่องบประมาณหมวดเงินด่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘นพ.ตุลย์’ โต้ ‘อานันท์ ปันยารชุน’ ปมเยาวชนทำผิด ม.112

(28 พ.ค. 67) นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี ได้ออกมาตอบโต้กรณี นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาเปิดการเสวนา เรื่อง ‘ฉากทัศน์อนาคตสังคมไทย’ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 67 โดยบางช่วงบางตอนได้พูดฝากถึงผู้ใหญ่ในสังคมว่า “สนุกมากหรือที่เห็นเด็กเข้าคุก สนุกมากหรือที่เห็นเด็กทรมาน และไม่ได้ประกันตัว ทำได้อย่างไร ไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ จับเด็กเข้าคุกเป็นว่าเล่น” โดยระบุว่า…

"ถึงคุณอานันท์ ปันยารชุนที่ (ไม่) เคารพ (แล้ว) พวกเราไม่ได้ยินดีหรอก ที่เด็กๆ ต้องเข้าคุก และตายไป ท่านไม่ควรคิดตำหนิกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำหน้าที่ตามหน้าที่ดีแล้ว คนที่ทำผิดมาตรา 112 ศาลก็ให้ประกันตัวตามสิทธิ์ แต่มีเด็กบางคนที่ถูกปั่น (โดยใคร?) จนสุดโต่ง และจงใจทำผิดซ้ำอันเป็นการผิดเงื่อนไขประกัน จนศาลต้องถอนประกัน ท่านอานันท์ผ่านโลกมาจนแก่ป่านนี้ น่าจะสังเคราะห์ออก ถ้าสมองไม่เลอะเลือนจนเกินไป หวังว่าพูดครั้งหน้า จะเปลี่ยนเป้าไปต่อว่า 
พวกที่ชักจูงเด็กให้ทำผิด จะเหมาะสมกว่านะครับ

ขอแสดงความห่วงใย
ปล.เคยชื่นชมท่านมาก”

‘มาริษ’ จ่อไป ‘กัมพูชา’ ถกรื้อสันเขื่อนกินรวบ ‘เกาะกูด’  ชี้!! คงต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ใช่จะไปขอเขาอย่างเดียว 

(28 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายมาริษ​ เสงี่ยม​พงษ์​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ต่างประเทศ​ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่​ นายไพบูลย์​ นิติตะวัน​ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะนักกฎหมายอิสระ ทำหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย MOU 2544 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังพบไม่ได้มีการพิจารณาผ่านสภาฯ​ ว่า​ ยืนยันว่า MOU ไม่ได้มีบทบังคับอะไร หรือเป็นสนธิสัญญา และปัจจุบันเรายังไม่ได้ตกลงอะไรกันเลย ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด พร้อมยืนยันว่า MOU 2544 ไม่ได้ส่งผลต่อเขตแดนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา  

เมื่อถามว่าภายหลังที่นายฮุน​ มาเนต​ มาเยือนไทยได้มีการตั้งคณะกรรมการ​ร่วมเพื่อผลักดันเรื่องนี้หรือไม่​ นายมาริษ​ กล่าวว่า​ ยังไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการ​ เพราะท้ายที่สุดแล้วเราต้องพิจารณาให้ชัดเจน​ เรื่องผลประโยชน์​อยู่ตรงไหน​ และที่สำคัญตนกำลังหารือกันเป็นการภายในกระทรวงการต่างประเทศ​ เพื่อเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่าง​ โดยอยากให้กระทรวงการต่างประเ​ทศได้ชี้แจงและให้ความรู้กับ​ประชาชน​ ซึ่งตนขอเวลาให้ได้พูดคุยรายละเอียด​ให้เรียบร้อยก่อน​ ซึ่งตนตั้งใจที่จะให้ข้อมูลกับสารธารณะชนให้ได้มากที่สุด​ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสับสน​

เมื่อถามว่าทางกระทรวงกลาโหมเคยทำหนังสือมายังรัฐบาล​ ให้แบ่งผลประโยชน์​ทับซ้อนควบคู่กับการปักปันเขตแดน​ นายมาริษ​ กล่าวว่า​ ขอคุยรายละเอียด​ในกระทรวงการต่างประเทศก่อน​ เพราะตนก็ต้องดูทุกสิ่งทุกอย่าง​เป็นไปตาม​กฎหมายหรือไม่​ และต้องการให้ทุกคนเห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร​

ส่วนกรณี​จะต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญ​รับคำร้องของนายไพบูลย์​ หรือไม่นั้น​ นายมาริษกล่าวว่า​ ก็เป็นเรื่องของทางศาล​ แต่ในส่วนของการมานั่งพูดคุยกันของผู้ปฏิบัติงาน​ เพื่อให้เกิดความชัดเจน​ ก็สามารถดำเนินการไปได้​

เมื่อถามถึงกรณีที่ทางกัมพูชาสร้างสันเขื่อนลงทะเลอ่าวไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศ​ต้องทำหนังสือ​ประท้วงไปอีกครั้งหรือไม่​ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคย ดำเนินการไปแล้วเมื่อปี 2564 นายมาริษ​ กล่าวว่า​ เรื่องนี้สามารถพูดคุยกันได้ และตนมีแผนที่จะไปเยือนกัมพูชาเร็ว ๆ นี้ ซึ่งขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศดีมาก เราต้องดูเวลาว่าควรเป็นช่วงใด ซึ่งในกรอบของอาเซียน ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ อยากเน้นให้ได้สบายใจว่า ประเทศไทยจะมีบทบาทนั้น ในเรื่องของการช่วยกันแก้ไขปัญหา ซึ่งถือเป็นคาแรคเตอร์สำคัญของประเทศไทย ที่เป็นผู้ประสานประโยชน์ ให้กับทุกกลุ่มทุกประเทศได้ถือเป็นจุดแข็ง ซึ่งตรงนี้จะเอามาเน้น เพื่อมีบทบาทนำ ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่เฉพาะในเวทีทวิภาคีเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงเวทีพหุภาคีด้วย ยืนยันว่าตรงนี้อยู่ที่ช่วงเวลาที่เหมาะสมทั้งหมด

เมื่อถามว่าเราจะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชาขอร้องให้รื้อสันเขื่อนดังกล่าวหรือไม่ นายมาริษ​ กล่าวว่า ขอดูระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะเรื่องความสัมพันธ์ไม่มีปัญหา เป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ว่าจะไปขอเขาอย่างเดียว ก็ต้องดูว่าเรามีอะไร ที่จะไปแลกเปลี่ยนเขาได้​ 

เมื่อถามว่า คนไทยไม่สบายใจ เพราะกัมพูชา สร้างสรรค์เขื่อนดังกล่าว โดยยึดหลักเขตที่ 73 ซึ่งกินพื้นที่เกาะกูด​ จังหวัดตราด นายมาริษ​ กล่าวว่า​ ตนเข้าใจ

อย่ากลัว!! 'กฎหมายอาญา' หากไม่ได้ทำความผิด แต่เมื่อทำผิด!! ไม่ว่าจะมาตราไหนย่อมต้องติดคุก

หลายคดี 112 ถูกตีฟันเข้ามาพร้อม ๆ กันในวันที่ 27 พ.ค. 67 โดยศาลได้ตัดสินจำคุก 2 ผู้กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้แก่...

(1) น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล กรณีการชุมนุมที่หน้าศาลจังหวัดธัญบุรี เมื่อ 11 กันยายน 2564 เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมือง แต่กลับปราศรัยเกี่ยวข้องพาดพิงกับการออก พ.ร.บ.ระเบียบราชการในพระองค์ 2560 และ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2561 จนเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายอาญาตามมาตรา 112  

เช่นเดียวกับ (2) นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์หรือ แอมมี่ เดอะ บอตทอม บลูส์ ศิลปิน-แกนนำม็อบป่วนเมือง และนายธนพัฒน์ หรือปูน กาเพ็ง ซึ่งเป็นจำเลย 1-2 ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 'มาตรา 217' ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 

(3) เมื่อคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้ง 2 ได้ร่วมกันวางเพลิง โดยใช้น้ำมันก๊าดราดใส่ และจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งประดิษฐานติดตั้งบริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมจนได้รับความเสียหาย

เช่นเดียวกับบรรดาตัวตึงเหล่านี้ ได้แก่ ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์ 25 คดี, อานนท์ นำภา 14 คดี, ‘รุ้ง’ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล 10 คดี, ‘ไมค์’ ภาณุพงศ์ จาดนอก 9 คดี, ‘แพรว’ เบนจา อะปัญ 8 คดี, ‘ไบร์ท’ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง 8 คดี, ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 6 คดี, พรหมศร วีระธรรมจารี 5 คดี, ชูเกียรติ แสงวงค์, วรรณวลี ธรรมสัตยา, เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี และ ‘มายด์’ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี 

แน่นอนว่าชีวิตของคนเหล่านี้จะต้องวนเวียนขึ้นศาลและเข้าคุก หรือไม่ก็ต้องหลบหนีการดำเนินคดีออกนอกประเทศไปอีกนาน

นับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 - 10 พฤษภาคม 2567 มีการดำเนินคดีมาตรา 112 ไปทั้งสิ้น 303 คดี มีผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีไปแล้วอย่างน้อย 272 คน 

หากย้อนไปก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้ว คดีความผิดตามมาตรา 112 เกิดขึ้นในแต่ละปีน้อยรายมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการนำเอาสถาบันฯ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยบรรดานักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยที่ผู้มีอำนาจรัฐหรือรัฐบาลในเวลาต่อมาไม่ได้พยายามตั้งใจที่จะป้องปรามหรือป้องกันแก้ไขเรื่องราวที่ไม่ถูกต้อง แต่มีผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อชาติบ้านเมืองนำมากล่าวเท็จ ใส่ร้าย ยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความเข้าใจผิดในสถาบันฯ อยู่เรื่อยมา

ในเวลาต่อมา มีกลุ่มบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นคนรุ่นใหม่แต่มีพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่เป็นพวกปฏิกษัตริย์นิยม (Anti-Royalism) เข้ามามีบทบาทในสังคมและการเมือง คนพวกนี้ต่างยุยงให้ท้าย แต่ไม่ออกหน้า ทำตัวเป็นอีแอบหลังเด็ก ๆ และเยาวชนที่พวกตนหลอกล่อและล้างสมองให้เกิดความงมงายเพื่อต่อต้านสถาบันฯ อย่างไร้เหตุผล จากการชุมนุมโดยอ้างสิทธิเสรีภาพอย่างปราศจากขอบเขต ปราศรัยบนเวที และส่งต่อแนวคิดผ่านโซเชียลมีเดีย 

ซ้ำร้ายยัง 'ชักชวน-บีบบังคับ' ให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยได้บิดเบือนอ้างว่า กฎหมายนี้ทั่วโลกไม่มีใครนำมาใช้ และไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั่วโลกยังใช้กฎหมายมาตรานี้อยู่ ซ้ำยังบังคับใช้อย่างจริงจังและรุนแรงอีกด้วย

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเพียงกฎหมายป้องกันการหมิ่นประมาทหนึ่งในกฎหมายหมิ่นประมาท 3 จำพวกเช่นเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทของนานาประเทศได้แก่...

1) หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา (ม.326 ประมวลกฎหมายอาญาของไทย)

2) หมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ม.136ประมวลกฎหมายอาญา และหากหมิ่นประมาทศาลก็จะมีความเฉพาะเจาะจงลงไปอีก)

3) หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ (ม.112 ประมวลกฎหมายอาญาของไทย) ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”

ตัวอย่างของกฎหมายลักษณะเดียวกับมาตรา 112 ในประเทศต่าง ๆ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาทิ...

- สเปน มาตรา 490 และ 491 ของประมวลกฎหมายอาญาควบคุมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บุคคลใดที่หมิ่นประมาทหรือดูหมิ่น กษัตริย์ ราชินี บรรพบุรุษหรือทายาทมีโทษจำคุกได้สองปี 

- บรูไน การหมิ่นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนถือเป็นอาชญากรรม มีโทษจำคุกสามปี

- กัมพูชา กุมภาพันธ์ 2018 รัฐสภากัมพูชาได้ลงมติให้การกระทำอันเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์ใด ๆ ที่มีโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งถึงห้าปี และปรับ 2 ถึง 10 ล้านเรียล 

- มาเลเซีย มีกฎหมายที่เจ้าหน้าที่สามารถตั้งข้อหาผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันฯ ได้

- โมร็อกโก มีผู้ถูกดำเนินคดีจากข้อความที่ถือว่าเป็นการล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ โดยบทลงโทษขั้นต่ำสำหรับความผิดดังกล่าวคือ จำคุกหนึ่งปีหากคำแถลงดังกล่าวจัดทำขึ้นเป็นการส่วนตัว (เช่นไม่ออกอากาศ) และจำคุกสามปีหากเผยแพร่ในที่สาธารณะ ในทั้งสองกรณีสูงสุดคือ 5 ปี 

- ซาอุดีอาระเบีย การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ จะถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายที่มีผลบังคับใช้ในปี 2014 การกระทำที่ ‘คุกคามเอกภาพของซาอุดีอาระเบีย รบกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของรัฐหรือกษัตริย์’ ถือเป็นการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย ความผิดดังกล่าวอาจได้รับการลงโทษทางร่างกายอย่างรุนแรง รวมถึงการเฆี่ยนในที่สาธารณะ การจำคุกที่ยาวนาน และแม้กระทั่งการประหารชีวิต อาจมีการพิจารณาโทษเป็นรายกรณี เนื่องจากระบบกฎหมายของซาอุดีอาระเบียมีลักษณะตามอำเภอใจ (น่าแปลกที่บรรดานักเคลื่อนไหวและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ต่างก็ไม่เข้าไปยุ่งเลย)

ตัวอย่างของกฎหมายลักษณะเดียวกับมาตรา 112 ในประเทศต่าง ๆ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น...

- เยอรมนี การดูหมิ่นประธานาธิบดีผิดกฎหมาย แต่การฟ้องร้องต้องได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดี

- ไอซ์แลนด์ การดูหมิ่น ประธานาธิบดี ประมุขของรัฐต่างประเทศ ผู้แทน หรือธงชาติ อาจถูกลงโทษโดยจำคุกไม่เกินสองปี สำหรับการละเมิดที่ร้ายแรงมากโทษสูงสุดสามารถขยายได้ถึงหกปี

- โปแลนด์ การดูหมิ่นประมุขต่างประเทศในที่สาธารณะถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย 

- รัสเซีย มีนาคม 2019 สภานิติบัญญัติของรัสเซียได้ผ่านกฎหมายว่าด้วยข่าวปลอมหรือดูหมิ่นประธานาธิบดีรัสเซีย นายกรัฐมนตรี และประมุขต่างประเทศจากนั้นต้องโทษจำคุกสูงสุด 15 วัน และปรับไม่เกิน 30,000 รูเบิล

- สวิตเซอร์แลนด์ ดูหมิ่นประมุขต่างประเทศต่อหน้าสาธารณชนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย บุคคลใดที่ดูหมิ่นอย่างเปิดเผยต่อบุคคลที่เป็นประมุขของรัฐ สมาชิกของรัฐบาล ผู้แทนทางการทูต ผู้แทนอย่างเป็นทางการในการประชุมทางการทูตที่จัดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์หรือผู้แทนอย่างเป็นทางการคนใดคนหนึ่งขององค์กรระหว่างประเทศ หรือแผนกที่ประจำอยู่หรือนั่งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือต้องโทษปรับ

- สหรัฐอเมริกา Craig Robertson ชายผู้ที่โพสต์ข้อความข่มขู่ต่อประธานาธิบดี Joe Biden ทางออนไลน์ ถูก FBI บุกเข้าจับกุมและยิงจนเสียชีวิตภายในบ้านพักของเขาเอง

ข้อมูลต่างประเทศเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้ที่ปลุกปั่นและผู้ที่ถูกหลอกให้เคลื่อนไหวให้ยกเลิกมาตรา 112 ไม่ได้แตกฉานในข้อเท็จจริงและเจตนาของกฎหมาย แต่กล่าวอ้างด้วยความจงใจที่จะให้เกิดความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม และในทางกลับกันหากมีใครไปด่าว่าบุพการีของคนเหล่านั้นแล้ว คนเหล่านั้นเองยินยอมที่จะไม่แจ้งความดำเนินคดีจับผู้ที่ด่าว่าบุพการีของพวกตนตามประมวลกฎหมายมาตรา 326 หรือไม่? 

แต่ที่แน่ ๆ ก็คือหนึ่งในแกนนำของพวกปฏิกษัตริย์นิยมเอง กลับนำมาตรา 326 ฟ้องร้องดำเนินคดีกับบรรดาผู้ที่โพสต์พาดพิงตัวเองในโซเชียลมีเดียมากมายหลายคดี 

ฉะนั้นแล้วกฎหมายอาญาทุกมาตรา หากไม่ได้ทำความผิดก็ย่อมที่จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย และเมื่อไม่ได้ทำความผิดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลัวการถูกดำเนินคดี แต่เมื่อทำผิดกฎหมายในคดีอาญาแล้ว...ไม่ว่ามาตราไหนก็ตาม ย่อมต้องถูกลงโทษ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เหมือนกันกับทุกประเทศบนโลกใบนี้

‘ดร.อานนท์’ ชี้!! คนที่เกี่ยวกับ ม.112 ล้วนมีความทุกข์ ส่วนคนยุยงเด็กทำผิด ม.112 ไม่ทุกข์!! และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’

(27 พ.ค. 67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

“ผมอดทนไม่พูดอะไรเลยมานาน แต่วันนี้ขอพูดนะครับ 

พออ่านสิ่งที่นายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีพูดแล้ว ก็ขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำให้ไม่อาจจะเห็นด้วยกับนายอานันท์ ปันยารชุนแล้วกันนะครับ

ผมคิดว่าคนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ในกรณีมาตรา 112 ล้วนมีความทุกข์หมด คนที่ไม่มีความทุกข์คือคนที่ยุแหย่ยุยงอยู่เบื้องหลังเด็กให้เด็กออกมากระทำความผิดฝ่าฝืนกฎหมายนี่แหละครับ

1. จำเลยผู้กระทำความผิดก็มีทุกข์

2. พนักงานสอบสวนที่ต้องทำคดีก็มีทุกข์ เพราะเป็นเรื่องยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยมาในการทำสำนวนคดี

3. คณะกรรมการกลั่นกรองคดีความมั่นคง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีความทุกข์ ต้องอ่านและตัดสินใจอย่างละเอียดในการทำคดี

4. พนักงานอัยการก็มีทุกข์ที่ต้องทำความเห็นสั่งฟ้อง ต้องเรียกขอหลักฐานเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวน

5. ผู้พิพากษาในคดีมาตรา 112 ก็มีความทุกข์ที่ต้องตัดสินพิพากษาจำคุกผู้กระทำความผิด 

6. พยานในคดีมาตรา 112 ก็มีทุกข์ครับ 

ผมขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวว่า ผมเองเมื่อเริ่มต้นต้องไปเป็นพยานคดีอาญามาตรา 112 ผมไม่สบายใจเลย เครียด เพราะว่าสงสารจำเลยที่จะต้องติดคุก แต่ผมเองก็รักษาหลักนิติรัฐและความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ตลอดจนปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 50 อันเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยครับ

ผมมีอาการปวดท้องหรือปวดกระเพาะอาหาร หลังจากไปเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีมาตรา 112 ได้ไม่กี่คดี อาการคือปวดแสบปวดร้อนในท้อง จนตัดสินใจไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หมอยังไม่ทันส่องกล้อง ก็กล่าวเลยว่า ไม่จำเป็นต้องส่องกล้องเลย หมอคิดว่าอาจารย์อานนท์เครียด กินยาลดความวิตกกังวลสักหน่อยอาการน่าจะดีขึ้น ผมก็ยืนยันว่าจะส่องกล้องดู หมอก็บอกว่าดี ก็เลยนัดส่องกล้อง ผมตัดสินใจส่องกล้องโดยไม่วางยาซีม (Sedate) การส่องกล้องเข้าไปส่องกระเพาะอาหารและลำไส้ เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานมากครับ นอนตะแคงดูหน้าจอไปด้วย หมอที่ส่องกล้องก็บรรยายไปด้วยครับ ราวกับชม Discovery Channel ของร่างกายตัวเอง เป็นสารคดีชั้นเยี่ยม หมอขลิบชิ้นเนื้อในกระเพาะอาหารไปตรวจเชื้อโรค ก็ไม่พบการอักเสบ ลำไส้และกระเพาะอาหารสะอาดสะอ้าน ไร้ริ้วรอยแผลเป็นใดๆ สรุปคือปวดท้องเพราะเครียดแล้วน้ำย่อยหลั่งออกมามาก หมอจ่ายยาแก้เครียดมาให้ทัน อาการผมดีขึ้นทันตาเห็น

ผมได้ไปเจอพี่ทหารผ่านศึกที่เคยไปทำสงครามลับในลาว พี่เขาก็เล่าประสบการณ์ในสนามรบให้ฟัง ว่าทำไมอย่างไร จำเป็นอย่างไรจึงต้องฆ่า แล้วก็บอกว่าถ้าเครียดก็ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติไม่ได้ ต่างคนต่างมีหน้าที่ ผมฟังแล้วก็เกิดบรรลุ เข้าใจสัจธรรม ของการทำหน้าที่ 

ผมฟังแล้วก็ผ่อนคลาย คิดได้ ทำใจได้ ก็เลยเลิกกินยาคลายวิกตกังวลมาแต่บัดนั้น แล้วก็ไม่ปวดท้องอีกมาจนบัดนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ทุกข์หรือไม่เครียด หรือสะใจ แต่ทุกข์แล้วรู้เท่าทันทุกข์ และรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำหน้าที่อะไรอยู่

ดังนั้น ผมอยากพูดว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีมาตรา 112 มีความทุกข์กันทั้งสิ้น แต่คนที่ไม่ทุกข์เลยคือคนที่ยุยงส่งเสริมเด็กให้กระทำความผิดมาตรา 112 คนที่รับผลกระทบมากที่สุด คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ครับ 

คงต้องถามว่า คุณอานันท์ ปันยารชุน มีความทุกข์หรือมีความสุขกับคดีมาตรา 112 บ้างแหละครับ”

ช่างกล้า!! 'รังสิมันต์ โรม' ยกคดีเผาพระบรมฉายาลักษณ์  แค่เห็นต่างทางความคิดก็ติดคุก แล้วจะปรองดองกันได้ยังไง

(27 พ.ค.67) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความทางแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (X) ระบุว่า การที่วันนี้ยังมีคนเข้าสู่เรือนจำเรื่อย ๆ จากการเห็นต่างทางความคิด ไม่เว้นแม้แต่เยาวชนอายุ 21 ปี (คุณปูน ในคดีแอมมี่)และยังมีคนบางกลุ่มมองเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก เห็นดีเห็นงามกับการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ ทั้งที่แลกมาด้วยความขัดแย้งที่มากขึ้น ซ้ำเติมรอยร้าวของสังคมให้ชัดเจนมากขึ้น

สังคมเราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้เลย โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นเยาวชน ถ้าเรายังเพิกเฉยไม่กล้าที่จะแก้ปัญหาร่วมกัน จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่จบสิ้น มีเด็กถูกส่งเข้าคุกมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะร่วมกันสร้างสังคมที่ปรองดองกันได้อย่างไร

ให้กำลังใจลูกเกด แอมมี่ และทุกคน ๆ ครับ

คดีแอมมี่ที่นายรังสิมันต์ โรม กล่าวถึงคือคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำอ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้อง นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะ บอตทอม บลูส์ ศิลปิน-แกนนำม็อบป่วนเมือง และนายธนพัฒน์ หรือปูน กาเพ็ง เป็นจำเลย 1-2 ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาตรา 217 ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3)

อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อคืนวันที่ 28 ก.พ.2564 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันวางเพลิง โดยใช้น้ำมันก๊าดราดใส่ และจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ซึ่งประดิษฐานติดตั้งบริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมได้รับความเสียหาย นับเป็นการแสดงอาฆาตมาดร้าย ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ต่อมาจําเลยได้นําภาพเข้าและเผยแพร่สู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในบัญชีเฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า ‘The BOTTOM BLUES’ ของจําเลย ซึ่งเป็นการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตที่เปิดเป็นสาธารณะ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ จึงเป็นการ นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ

ล่าสุดวันนี้จำเลยทั้งสอง พร้อมทนายความเดินทางมาศาล ศาลอาญาพิเคราะห์หลักฐานโจทก์จำเลยทั้งสองแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันวางเพลิงจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ที่ประดิษฐานอยู่หน้าเรือนจำคลองเปรม หลังกระทำแล้วจำเลยที่หนึ่งได้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก ชื่อ the bottom blues เผยแพร่ภาพไฟไหม้รูปพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 และเปิดเป็นสาธารณะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ แม้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่ได้ทำเพื่อมุ่งร้ายต่อพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ หรือเพนกวิน ทั้งนี้การเรียกร้องดังกล่าวจำเลยยังสามารถแสดงออกได้อีกหลายวิธีการที่เลือกเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ย่อมเป็นการใช้สิทธิ์ที่มิใช่สิทธิตามปกตินิยมแม้จะอ้างว่าไม่มีเจตนาต่อพระมหากษัตริย์

แต่โจทก์มีรายงานการสืบสวนและคำเบิกความของพยานจำเลยทั้งสองว่า พยานจำเลยทั้งสองร่วมกับเพนกวินเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์โดยการกระทำที่ไปจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งสอง มีเจตนาทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจได้ว่าหากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของจำเลยทั้งสองก็จะสามารถทำลาย สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสถาบันที่ประชาชนเคารพรัก การกระทำดังกล่าวเป็นลักษณะการขู่เข็ญโดยการแสดงออกด้วยการกระทำว่าจะทำให้เสียหายในทางใดใดไม่ว่าจะเป็นร่างกายทรัพย์สินสิทธิเสรีภาพชื่อเสียงกิตติคุณและลดคุณค่าของพระมหากษัตริย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิด

พิพากษาว่า จำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 217 ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่หนึ่งมีมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์มาตรา 14 (3) การกระทำของจำเลยที่1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ กับฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นโทษที่หนักสุด จำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 3 ปี ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 อายุ 18 ปี และไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 76 จำคุกหนึ่ง 1 ปี 6 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 3 ปี

คำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 112 กำหนด 2 ปี และฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2 ปี รวมโทษแล้วจำเลยที่ 1 จำคุก 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ไม่รอลงอาญา

‘อาจารย์ไชยันต์’ โพสต์ “คนไปแจ้งความมีแต่ความโกรธ คนรับแจ้งมีแต่ความทุกข์ อัยการก็ทุกข์ พยานก็กังวล ศาลยิ่งทุกข์ สุดท้าย ไม่ว่าคำตัดสินออกมาอย่างไร สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เดือดร้อน”

(27 พ.ค.67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

“ท่านครับ คนไปแจ้งความมีแต่ความโกรธ คนรับแจ้งมีแต่ความทุกข์ อัยการก็ทุกข์ พยานก็มีแต่ความกังวลเหน็ดเหนื่อยที่ต้องขึ้นศาล ศาลยิ่งทุกข์ สุดท้าย ไม่ว่าคำตัดสินออกมาอย่างไร สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เดือดร้อน”

พร้อมระบุต่อว่า “ท่านครับ คนที่คอยสนับสนุนให้ข้อมูลบิดเบือน ให้เด็กกระทำผิดต่างหาก ที่กระหยิ่ม ยามที่เด็กทรมาน ต้องเข้าคุก ไม่ได้ประกันตัว และคนเหล่านั้นก็พุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์”

ลุ้น!! 'ชูศักดิ์ ศิรินิล' เข้าป้ายรัฐมนตรีแทน 'พิชิต ชื่นบาน' หลังทุ่มเทให้ค่ายนี้แบบสุดลิ่ม แค่ไม่มีถุงขนมให้ใคร

ไล่เช็กชื่อบุคคลในพรรคเพื่อไทยในเวลานี้คงไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่า รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย ในการเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทน พิชิต ชื่นบาน ที่ลาออกไปด้วยเหตุผลถูก 40 สว.ลงชื่อกันให้ตรวจสอบคุณสมบัติ และพิชิต ยอมเป็นม้าให้ขุนกิน

ชูศักดิ์จึงเหมาะสมยิ่งในการเข้ามาดูแลงานด้านกฎหมายให้รัฐบาล เพราะมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใคร

ชูศักดิ์ อดีตอาจารย์รามคำแหง สอนวิชากฎหมาย เคยเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ และไต่เต้ามาจนได้รับเลือกจากชาวรามคำแหง (อาจารย์ นักศึกษา เจ้าหน้าที่) ให้เป็นอธิการบดี

‘ติงลี่’ คือฉายาที่ได้รับจากชาวรามคำแหง ด้วยรูปร่าง หน้าตา บุคลิคตอนวัยหนุ่มใกล้เคียงกับพระเอกหนังจีน ‘ติงลี่’ ไว้หนวดเหนือริมปาก เป็นอธิการบดีต่อ ‘สุขุม นวลสกุล’

ออกจากรามคำแหงก็มุ่งหน้าสู่สายการเมือง ร่วมในภารกิจผลักดันพรรคไทยรักไทยมีตั้งแต่ยุคต้น ๆ และเป็น 1 ในกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนานถึงสิบปี

ชูศักดิ์ เมื่อพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ ก็ยังร่วมภารกิจกับเพื่อไทยมาโดยตลอด โดยไม่เคยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนเลย ทั้ง ๆ ที่เสียสละ ทุ่มเทให้กับค่ายนี้มาโดยตลอด ไม่มีการเรียกร้อง เคลื่อนไหว กดดัน แม้จะมีโอกาสก็ตาม

แม้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจเต็มจะมองไม่เห็น เพราะเพิ่งเข้ามาทีหลัง แต่เชื่อว่า ‘เจ้าสำนักจันทร์ส่องหล้า’ น่าจะมองเห็นกับผลงานเป็นที่ประจักษ์ ประวัติก็ไม่ด่างพล้อย เพียงแต่ไม่มีถุงขนมให้ใคร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top