เกือบสองปีแล้วที่โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจการค้า วิถีชีวิต พฤติกรรมผู้บริโภค ฯลฯ จนถึงขั้นที่ธุรกิจมากมายต้องล้มหายตายจากไปและผู้คนก็รู้สึกสิ้นหวังไปตาม ๆ กัน
แต่ทุกวันนี้มุมมองของผู้คนทั่วโลก เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยตั้งตาคอยว่าเมื่อไหร่โควิด-19 จะหมดไปจากโลกนี้เสียทีนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนมาถามตัวเองว่า นับแต่นี้ไปเราจะอยู่กับโควิด-19 กันอย่างไร เพราะดูแล้วโควิด-19 คงจะอยู่กับเราไปอีกนาน มนุษย์ต่างหากที่ต้องปรับตัวเองเพื่ออยู่กับโควิด-19 ให้ได้ตามวิถีปกติใหม่หรือ New Normal
ถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว จะพบว่าอินเดียเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่ผู้คนทั่วโลกจับตามองด้วยความเป็นห่วง เพราะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตรายวันเป็นจำนวนสูงมาก ถึงขนาดว่าเผาศพกันไม่ทันเลยทีเดียว
แต่มาถึงวันนี้ก็พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศอินเดียกลับดีขึ้นมาก มาตรการที่เคยเข้มงวดต่าง ๆ ก็ได้รับการผ่อนคลาย และล่าสุดก็มีข่าวว่ารัฐบาลอินเดียกำลังจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว
ล่าสุดรัฐบาลอินเดีย ได้มีการอนุญาตให้ร้านอาหารเปิดบริการให้ลูกค้าเข้าไปรับประทานที่ร้านได้แล้วจนถึง 4 ทุ่ม และร้านอาหารทุกร้านต่างก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มียอดขายดีกว่าช่วงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกต่างหาก เพราะคนอินเดียนิยมออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน
โดยตอนนี้ทางสมาคมที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหารในอินเดีย กำลังต่อรองกับรัฐบาลเพื่อขอขยายเวลาปิดร้านจาก 4 ทุ่มเป็นถึงเที่ยงคืน เนื่องจากธรรมชาติของผู้บริโภคชาวอินเดียมักจะชินกับการรับประทานอาหารค่ำในช่วงเวลาที่ค่อนข้างดึก
ฉะนั้นการที่ร้านอาหารต้องปิดร้านแค่ 4 ทุ่มตามระเบียบของราชการ จึงกลายเป็นปัจจัยกดดันให้คนอินเดียต้องรับประทานอาหารค่ำเร็วขึ้นกว่าปกติ ซึ่งถ้าสมาคมฯ สามารถเจรจาให้เปิดร้านอาหารได้จนถึงเที่ยงคืน ก็จะยิ่งทำให้ขายดีมากยิ่งขึ้น เพราะร้านอาหารจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างน้อยสองรอบ
ผู้ประกอบการร้านอาหารจึงต้องรอลุ้นการตัดสินใจจากรัฐบาลอินเดียว่าจะโอนอ่อนผ่อนตามตามเสียงเรียกร้องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ร้านอาหารกลับมาขายดิบขายดีแบบคาดไม่ถึง แต่ถ้าไปส่องดูที่ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าต่าง ๆ กลับพบว่า “เงียบเป็นป่าช้า”
นั่นก็เพราะผู้บริโภคยังไม่กล้าเข้าไปเดินช็อปปิ้งสักเท่าไหร่
ซึ่งหากมาลองวิเคราะห์ดูแล้ว จะพบว่า สาเหตุสำคัญก็คือ ผู้บริโภคชาวอินเดียมีทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะกับการช็อปปิ้งผ่านระบบออนไลน์
โดยในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมาผู้บริโภคชาวอินเดียเคยชินกับการช็อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น จนกระเทือนไปถึงโครงสร้าง 'ตลาดค้าปลีก' ในอินเดียให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยาย
ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อปี 2554 จะพบว่า ตลาดค้าปลีกของอินเดีย ประกอบไปด้วยธุรกิจค้าปลีกอยู่สองประเภทหลัก คือ...
>> ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Retailing/Unorganized Retailing) หรือ “Kirana” ถ้าเรียกภาษาบ้าน ๆ แบบประเทศไทยก็คือ “ร้านโชห่วย” นั่นเอง โดยร้านโชห่วยประเภทนี้มีสัดส่วนสูงถึง 95%
>> ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกอีกประเภทหนึ่ง คือ ธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่ (Modern Trade Retailing/Organized Retailing) มีสัดส่วนอยู่แค่เพียง 5%
>> แต่ถัดมาอีกประมาณ 4 ปีคือ ในปี 2558 ก็พบว่าสัดส่วนในตลาดค้าปลีกของอินเดียก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยร้านโชห่วยมีสัดส่วนลดลงเหลือ 92% และร้านค้าปลีกแบบสมัยใหม่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 8%
หลังจากนั้น จนถึงปี 2562 ก็พบว่าโครงสร้างในธุรกิจค้าปลีกของอินเดียได้เริ่มเปลี่ยนไปอีกรอบ โดยครั้งนี้เริ่มมี 'ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์' เพิ่มเข้ามา
ส่งผลทำให้สัดส่วนของร้านโชห่วยลดลงเหลือ 88% สัดส่วนของธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 9% และสัดส่วนธุรกิจค้าปลีกออนไลน์แทรกเข้ามา 3% ภายใต้มูลค่าตลาดค้าปลีกรวมของอินเดียปี 2562 ที่มีตัวเลขประมาณ 790,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ยิ่งไปกว่านั้น มีการคาดการณ์กันว่า ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในอินเดียน่าจะเติบโตต่อไปอีก!!