Sunday, 29 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

ตร.เตือน!! จัดหาเด็กมาค้าประเวณี โทษสูงถึงประหาร คนซื้อบริการผิดด้วย โทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

วันที่ 24 พ.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า  ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สนธิกำลัง ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เข้าจับกุมหญิงสาวที่อ้างตัวเองว่าเป็นโมเดลลิ่ง ทำการจัดหาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อส่งต่อไปค้าประเวณีให้กับลูกค้า ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมากนั้น

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ในเรื่องดังกล่าวเป็นนโยบายที่สำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการป้องกันมิให้เกิดการกระทำความผิดขึ้น  จึงอยากจะขอประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะกระทำความผิดเกี่ยวกับการเป็นธุระจัดหาเพื่อการค้าประเวณีนั้น เป็นความผิดตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบุคคลที่ถูกนำตัวไปค้าประเวณีเป็นเด็ก อายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ตาม จะเข้าข่ายเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ และในบางกรณีอาจมีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ส่วนผู้ซื้อบริการ ก็มีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน และในบางกรณีอาจมีอัตราโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต โดย ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเป็นธุระจัดหาหรือเป็นผู้ซื้อบริการทางเพศจากเด็ก มีดังต่อไปนี้

ผู้ที่เป็นธุระจัดหา หรือที่เรียกตัวเองว่า โมเดลลิ่ง

1. บังคับ ขู่เข็ญ ใช้ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กแสดงหรือกระทำการอันมีลักษณะลามกอนาจาร ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่ง ค่าตอบแทนหรือเพื่อการใด ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26(9) ประกอบมาตรา 78

2. เป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยในกรณีเด็กอายุ เกินกว่า 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 6 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000 บาท ถึง 1,500,000 บาท และในกรณีที่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 8 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 800,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6(2) ประกอบมาตรา 52

3. เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็ก แม้เด็กนั้นจะยินยอมก็ตาม หากเด็กนั้นอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 6,000 บาท ถึง 30,000 บาท และหากเด็กนั้นอายุยังไม่เกิน 15 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 40,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282

4. ถ้ากรณีตาม ข้อ 3. เป็นการกระทำดังกล่าวกระทำโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หากเด็กนั้นอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 14,000 บาท ถึง 40,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต และหากเด็กนั้นอายุยังไม่เกิน 15 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 40,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283

ผู้ซื้อบริการทางเพศจากเด็ก

- กรณีเด็กอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี

1. พาบุคคลอายุเกิน 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ

2. พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสีย จากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาท ถึง 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

- กรณีเด็กอายุ ไม่เกิน 15 ปี

1. กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 400,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก

2. ถ้ากรณีตาม ข้อ 1. เป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000 บาท ถึง 400,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง

3. พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 400,000 บาท ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317

 

ชลบุรี - ‘นายกปลื้ม’ ห่วง! อสม .ปฏิบัติงานด่านหน้าป้องกันโควิด-19 เปิดโครงการตรวจสุขภาพฟรีกว่า 400 คน

นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เปิดเผยนโยบายของเมืองพัทยาที่มีความห่วงใยสุขภาพและคุณภาพชีวิตของอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) บุคลากรด่านหน้า และทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ที่เสียสละปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือชาวชุมชนเมืองพัทยาอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้เมืองพัทยาเข้มแข็งและมีสุขภาวะที่ดีมาจนถึงขณะนี้

จึงได้มอบให้สำนักการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับโรงพยาบาลเมืองพัทยา จัดโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี 2564 เป็นพิเศษให้แก่ อสม. เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และทีม SRRT เมืองพัทยากว่า 400 คน ในวันที่ 2-3 ธันวาคม 2564 นี้ ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี

นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า การตรวจสุขภาพประจำปีครั้งนี้เป็นการดูแลสุขภาพทางร่างกายและส่งกำลังใจในการปฏิบัติงานแก่บุคลากรด่านหน้าทางด้านสาธารณสุข ทั้งเครือข่าย อสม. และ SRRT ทุกคน โดยทางโรงพยาบาลเมืองพัทยา ได้เตรียมความพร้อม ทีมแพทย์ พยาบาล และรถโมบายเคลื่อนที่ มาให้บริการตรวจสุขภาพในวันดังกล่าวโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

หลังจากนี้ เมืองพัทยามีแนวคิดส่งเสริมบริการตรวจสุขภาพอย่างทั่วถึง โดยมุ่งเน้นกลุ่มประชาชนผู้สูงวัย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีโรคประจำตัว สามารถเข้ารับการตรวจสุขภาพได้เช่นเดียวกัน รวมถึงบริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ เพราะผู้ป่วยบางคนอาจอยู่ติดบ้านติดเตียง ไม่สะดวกในการเดินทางไปยังจุดบริการ หรือไปโรงพยาบาลเมืองพัทยาได้ จคงต้องมีทีมสาธารณสุขเคลื่อนที่แบบเพื่อเข้าถึงพี่น้องประชาชน

ด้าน นางมาลี รักษาราษฎร์ ประธาน อสม. หางใหญ่ 1 เมืองพัทยา กล่าวว่า โครงการตรวจสุขภาพ อสม.เมืองพัทยา นับเป็นนโยบายที่ดี เนื่องจาก อสม.ส่วนใหญ่ จะมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีรายได้มากนัก แต่ต้องทำงานลงพื้นที่ ช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยตามชุมชนตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องตรวจร่างกายให้แข็งแรงก่อนจะไปดูแลผู้ป่วยคนอื่น

 

‘สสสส.12 สถาบันพระปกเกล้า’ ลงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ศึกษาการมีส่วนร่วมพัฒนาอย่างยั่งยืน ระหว่างชุมชนกับอุตสาหกรรม

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล พร้อมคณาจารย์ นำคณะนักศึกษาหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 12 (สสสส.12) สถาบันพระปกเกล้า ลงพื้นที่จ.ชลบุรี เพื่อรับฟังการบรรยาย EEC สานพลังการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากนางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

โดยสำนักคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)หรือ อีอีซี นำเสนอ ถึงแนวคิดการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่มุ่งมั่นปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่ Value base economy เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมภายใต้วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มีการปรับแผนการลงทุนในพื้นที่ อีอีซี ปี 2565-2569 เป็นการต่อยอดโครงสร้างพื้นที่ เป็นเมืองการบินภาคตะวันออก การดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยานยนต์ที่สมัยใหม่ ดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์และสุขภาพ การขนส่งและโลจิสติกส์ การเกษตรสมัยใหม่และอาหาร

นอกจากนี้ได้มุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วม โดยดึงพลังกลุ่มสตรีในพื้นที่ อีอีซี ให้มีความเข้มแข็ง มีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการจัดทำและนำเสนอโครงการที่จะสร้างความยั่งยืนให้พื้นที่และชุมชน โดยมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนา อีอีซี ควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่ และการเฝ้าระวังในการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือแผนผัง อีอีซี และการมีส่วนร่วมในเฝ้าระวังทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

จากนั้นคณะนักศึกษาหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 12 เดินทางต่อไปยังพื้นที่ จ.ระยอง โดยแบ่ง 4 กลุ่ม ลงพื้นที่รับฟังและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยกลุ่มแรกลงพื้นที่ศูนย์จัดการขยะครบวงจร เพื่อแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ "ระยองโมเคล" ต้นแบบบริหารจัดการขยะ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ EEC อย่างยั่งยืน ณ ศูนย์จัดการขยะครบวงจร อบจ.ระยอง กลุ่มที่ 2 เข้าดูงานยัง สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพูด เวทีแลกเปลี่ยน "EEC หลังฟื้นฟูท่ามกลาง เวทีแลกเปลี่ยน วิกฤตโควิด-19” กลุ่มที่ 3 เปิดเวทีแลกเปลี่ยน "EEC Vs ท่องเที่ยวโดยชุมชน วิถีสู่ความยั่งยืน" ณ เทศบาลตำบลบ้านเพ อ.เมืองระยอง

จากนั้นคณะนักศึกษา สสสส.12 ร่วมรับฟัง เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การแสวงหาจุดร่วมในการอยู่ร่วมกันระหว่าง ไออาร์พีซีและชุมชน ก่อนจะแบ่งกลุ่มศึกษาศูนย์เรียนรู้ท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนยายดา (ป้าบุญชื่น) เป็นสวนผลไม้ แบบผสมผสาน ที่มีผลไม้ให้กินตลอดทั้งปี จะผลัดเปลี่ยนออกผลไปตามฤดูกาล ทั้ง ทุเรียน เงาะ มังคุด สละ

คุณบุญชื่น โพธิแก้ว หรือ ป้าชื่น กล่าวว่า ไม่เคยคิดเลยว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นคำที่อมตะ และเปี่ยมคุณค่า จึงลงมือปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก และใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสม ตามแนวคิด “สวนรกรุงรัง แต่ได้สตางค์ทุกด้าน”

ทั้งนี้ยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ "การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนกับ EEC เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ณ ศูนย์การเรียนรู้ตามศาสตร์พระราชา “ชุมชนเกาะกก” ซึ่งเป็นผืนสุดท้ายและชาวนาคนสุดท้ายที่มาบตาพุด อยู่ใกล้เขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นชุมชนศูนย์เรียนรู้ และสร้างจุดขายที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน

 

‘ILINK’ พบนักลงทุน Opp Day โชว์กำไร Q3/64 พุ่งแรง 44.55% พร้อมเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่เพียบ!!

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ร่วมนำเสนอข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี2564 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมี คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ พร้อมด้วย คุณวริษา อนันตรัมพร ผู้จัดการทั่วไป เผยผลประกอบการไตรมาส 3/64 ครองสถิติเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำรายได้เพิ่มขึ้น 16.61% แตะ 1,551.77 ล้านบาท และทำกำไร 78.85 ล้านบาท พุ่งแรงถึง 44.55% พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนทุกธุรกิจเพื่อตอบรับกับเทรนเทคโนโลยีดิจิทัลในโลกปัจจุบันและโลกอนาคต  มั่นใจโค้งสุดท้ายพุ่งแตะเป้ารายได้และกำไร New High

สำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ มีรายได้เพิ่มขึ้น 6.99% ตอบรับช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ และรับอานิสงส์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อผ่านสายสัญญาณ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ได้มาตรฐานและมีเสถียรภาพสูงสุด ผลักดันให้ความต้องการในสินค้าของธุรกิจนี้พุ่งสูงขึ้น ต่อมา ด้านธุรกิจโทรคมนาคม มีรายได้โตขึ้น 10.03% จากการรับรู้รายได้ในส่วนงานบริการโครงข่ายของโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล (USO Phase 2) โดยบริษัทฯ เร่งนำความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีมาผลักดันและพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้พุ่งสูงขึ้น 43.85% โดยมาจากการรับรู้รายได้ของงานโครงการสำคัญ ๆ ในมือ (backlog) ซึ่งปัจจุบันมีรอรับรู้อีกกว่า 1,100 ล้านบาท
 

‘อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชน และครอบครัวกลาง’ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาทักษะผู้บังคับอากาศยานไร้คนขับ (Drone) เพื่อเด็กเยาวชนผู้ด้อยโอกาส

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เวลา 11.00 น. นายประกอบ ลีนะเปสนันท์ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาทักษะผู้บังคับอากาศยานไร้คนขับ (Drone) เพื่อเด็กเยาวชนผู้ด้อยโอกาส

ซึ่งจัดโดยศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอำนาจเจริญ และบริษัท แอโร กรุ๊ป (2992) จำกัด ระหว่างวันที่ 22 – 23 พฤศจิกายน 2564 ณ สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ

 

โฆษก ตร.เตือน!! “เล่นพนันออนไลน์” ชีวิตพัง - เป็นหนี้ ไม่มีวันรวย!!

วันที่ 23 พ.ย.64 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจํานงค์ โฆษก ตร. เผยว่า จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับไวยาวัจกรวัดแห่งหนึ่ง บุกเดี่ยวจี้ชิงทอง 80 บาท มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ในห้างบิ๊กซีสาขาชุมพร ขยายผลหลังจากจับสึกเจ้าอาวาส พร้อมพระลูกวัดเสพยาบ้าจำนวน 4 รูป ซึ่งผู้ต้องหาอ้างสาเหตุบุกจี้ชิงทอง เนื่องจากติดพนันออนไลน์ นั้น

โฆษก ตร. กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือน ประชาสัมพันธ์ ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุม ผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งยังสั่งกำชับให้ทุกหน่วยงาน  ในสังกัดให้กวดขันจับกุม และทำการสืบสวนปราบปรามการพนันออนไลน์ ทุกรูปแบบอย่างจริงจังแต่ในยุคนี้ที่ประชาชนเข้าถึง สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ทำให้ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันพยายามเข้าถึงประชาชนมากกว่าแต่ก่อน มีการชักชวนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งส่งลิงก์เว็บไซต์การพนันทาง SMS โฆษณาในเว็บไซต์หรือ สื่อสังคมออนไลน์หลายแพลตฟอร์ม รวมถึงการนำผู้ที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ มาชักชวนให้เล่นการพนัน

โดยจะอ้างว่าสนุก เล่นง่าย ได้เงินแน่นอน ซึ่งในความจริงแล้ว ไม่เป็นไปอย่างที่โฆษณา อย่างแน่นอน แต่ก็ยังมีประชาชนจำนวนมาก หลงเชื่อ หลวมตัวเข้าไปเล่นการพนันออนไลน์ จนมีบางรายหมดเนื้อหมดตัว และเป็นสาเหตุให้ไปก่ออาชญากรรมอย่างอื่น ทั้งอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์ (ลัก วิ่ง ชิง ปล้น), ยาเสพติด หรือถึงขนาดฆ่าตัวตายเพราะติดหนี้การพนันออนไลน์ อย่างไรก็ตามผู้ที่หลงเชื่อคำโฆษณา และเข้าไปเล่นการพนันออนไลน์ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย แต่ในทางกฎหมายนั้น แน่นอนว่ามีความผิด

ตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12 ผู้ใดจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานหรือรับอนุญาตแล้วแต่เล่นพลิกแพลงหรือผู้ใดเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นอันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎกระทรวงหรือ ข้อความในใบอนุญาต ผู้นั้นมีความผิดต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นความผิดในการเล่นตามบัญชี ก. หมายเลข 1 ถึงหมายเลข 16 หรือการเล่นตามบัญชี ข. หมายเลข 16 เฉพาะสลากกินรวบหรือการเล่นซึ่งมีลักษณะคล้ายกันนี้ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปจนถึง 3 ปี และ ปรับตั้งแต่ 500 บาท ขึ้นไปจนถึง 5,000 บาท ด้วยอีกโสดหนึ่งเว้นแต่ผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่ เรียกว่าลูกค้า ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

(2) ถ้าเป็นความผิดในการเล่นอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวางโทษจําคุกไม่ เกิน 2 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่ความผิดตามมาตรา 4 ทวิ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

‘รมว.สุชาติ’ รับมอบสุขาเคลื่อนที่จากบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ และมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ นำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบสุขาเคลื่อนที่จำนวน 100 ชุด จาก นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) และ นางสุรีย์ วศินพิตรพิบูล ที่ปรึกษามูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน / นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน / นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) / นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย

โดยนายสุชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยผู้ประสบอุทกภัย จึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามภารกิจ ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ สุขาลอยน้ำ และภายหลังจากน้ำลด สำนักงานจัดหางานจังหวัดให้บริการจัดหางานและส่งเสริมการประกอบอาชีพ สำนักงานแรงงานจังหวัดจะจัดโครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือ

โดยสนับสนุนค่าตอบแทน รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ฝึกอาชีพ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้อย่างต่อเนื่อง สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจะให้คำปรึกษาด้านสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน นอกจากนี้ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดดูแลสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประสบภัย เรื่องสิทธิประกันสังคม จัดทีมแพทย์และพยาบาลร่วมกับโรงพยาบาลในเครือข่ายให้บริการตรวจรักษาเบื้องต้นในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น

 

‘สมาคมแม่บ้านตำรวจ’ พร้อมเปิด ‘ร้านปันรักษ์’ ร้านค้าร้านแรกที่รวบรวมสินค้าผลิตภัณฑ์จากครอบครัวตำรวจทั่วประเทศ!!

สมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดร้านปันรักษ์ โดยมุ่งส่งเสริมสนับสนุนให้เป็นหน้าร้านจัดจำหน่ายสินค้าน่าสนใจ ตั้งแต่ของที่ระลึก ของขวัญ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่เป็นของดีประจำจังหวัด ตลอดจนของกินแสนอร่อยทั้งอาหารและขนมคุณภาพดีซึ่งทำสด ๆ ใหม่ ๆ ทุกวัน

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ คุณรัตนาภรณ์ สีวลีพันธ์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด “ร้านปันรักษ์” ณ ชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูง ตร. และ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ อุปนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม(สป.), คุณบุษกร ศรีสวัสดิ์ นายกสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย(ทท.), พล.ต.หญิง พิมพ์พิศา จิตต์แก้วแท้นายกสมาคมแม่บ้านกองทัพบก(ทบ.), คุณศิริรัตน์ นิลสมัย นายกสมาคมภริยาทหารเรือ(ทร.), คุณปัญญดาว ธูปะเตมีย์ นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ(ทอ.), คุณพัณณ์ชิตา นันทิภาคย์หิรัญ นายกสมาคมแม่บ้านองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก(ทอศ.) และสมาคมแม่บ้านตำรวจ เข้าร่วมพิธีฯ


คุณรัตนาภรณ์ สีวลีพันธ์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวถึง ความเป็นมาในการเปิดร้านปันรักษ์ว่า ที่ผ่านมา กลุ่มแม่บ้านตำรวจในแต่ละพื้นที่ ข้าราชการตำรวจวัยเกษียณ รวมถึงครูและนักเรียนจากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนได้มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งมีเอกลักษณ์ของตนเอง จัดจำหน่ายในพื้นที่กระจัดกระจายกันไป เช่นงานตลาดนัดเฉพาะกิจ หรือขายผ่านช่องทางออนไลน์ จนนำมาสู่ความตั้งใจแรกในการรวมผลิตภัณฑ์ของกลุ่มต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ผ่าน Facebook page ในชื่อ ‘Police Market Place’ และได้กลายมาเป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายและแสดงสินค้า

 

ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี มีการระดมสินค้าจากทั่วทุกภูมิภาค จากฝีมือสมาชิกครอบครัวตำรวจทั่วประเทศที่หลากหลาย จนเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความคิดที่ว่า ถึงเวลาแล้วที่สมาคมแม่บ้านตำรวจจะต้องมีร้านค้าที่เป็นจุดศูนย์รวมให้ผู้บริโภคสามารถเข้ามาพบปะแลกเปลี่ยน ชมและจับต้องสินค้าผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการจับจ่ายซื้ออาหารปรุงสำเร็จได้สะดวก ในทำเลที่เข้าถึงไม่ยาก ณ ชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร  

สมุทรปราการ - ‘โรงเรียนนายเรือ’ ถวายราชสักการะ - ถวายราชสดุดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพิธีบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันสถาปนาโรงเรียนนายเรือ ครบรอบ 115 ปี

พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีถวายราชสักการะ และกล่าวถวายราชสดุดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันสถาปนาโรงเรียนนายเรือ ครบรอบ 115 ปี วันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 ณ โรงเรียนนายเรือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีพลเรือโท ชาติชาย ทองสะอาด ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ ให้การรับรอง พร้อมคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และกองบัญชาการกองทัพไทย ตลอดจนศิษย์เก่าโรงเรียนนายเรือรุ่น 50 - 114 ร่วมพิธี โดยก่อนหน้านี้ในเวลา 0800 น. ศิษย์เก่าโรงเรียนนายเรือแต่ละรุ่นได้กระทำพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ต่อมา พลเรือเอก พงษ์เทพ หนูเทพ องค์มนตรี ในฐานะอดีตผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศล ณ หอประชุมภูติอนันต์ โดยมีผู้บัญชาการทหารเรือ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ  สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย  ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสมุทรปราการ  อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้แทนผู้บัญชาการโรงเรียนเหล่าทัพ และส่วนราชการในจังหวัดสมุทรปราการ ตลอดจนศิษย์เก่าโรงเรียนนายเรือร่วมพิธี

หลังเสร็จสิ้นพิธี โรงเรียนนายเรือได้จัดกิจกรรมพาศิษย์เก่าโรงเรียนนายเรือ ชมสถานที่สำคัญในโรงเรียนนายเรือ เพื่อย้อนระลึกจากในอดีตถึงปัจจุบัน ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความทันสมัยมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นสื่อการเรียนการสอน เช่นห้องเรียนแผนที่อิเล็คทรอนิกส์ ห้องจำลองการเดินเรือ ห้องเรียนอัจฉริยะ (smart classroom) หอดาราศาสตร์ ที่เป็นหอดูดาวแห่งแรกของประเทศไทย ปัจุบันถูกปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์อุปกรณ์การเดินเรือ และมีท้องฟ้าจำลอง ในการให้การศึกษาเส้นทางของดวงดาว

ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าว ได้ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด

สำหรับโรงเรียนนายเรือ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของกองทัพเรือ มีหน้าที่ให้การศึกษา ฝึกและอบรมนักเรียนนายเรือด้านวิทยาการ วิชาทหาร จริยศึกษาและพลศึกษา เพื่อให้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ เหมาะสมที่จะเป็นนายทหารสัญญาบัตร ของกองทัพเรือ สามารถปฏิบัติหน้าที่นายทหารสัญญาบัตรชั้นผู้น้อยในระยะแรก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นผู้นำ มีคุณธรรมประจำใจ มีความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบ สืบทอดแบบธรรมเนียมประเพณีของทหารเรือ เทิดทูน และยึดมั่นใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยมีปรัชญา โรงเรียนนายเรือ "แหล่งผลิตนายทหารเรือ อันเป็นรากแก้วของกองทัพเรือ"

โรงเรียนนายเรือได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2441 ( ร.ศ.117 ) และเปิดการเรียนการสอนนักเรียนนายเรือ ระยะแรกเคยใช้เรือพระที่นั่งมหาจักรี และเรือหลวงมูรธาวสิตสวัสดิ์ เป็นสถานที่ฝึกสอนนักเรียนนายเรือชั่วคราว และใช้เรือหลวงพาลีรั้งทวีป และเรือหลวงสุครีพ ครองเมือง เป็นสถานที่เรียนอีกด้วย โดยได้กำหนดให้มีการศึกษาในวิชาการทหารเรือ เลขคณิต และทหารราบ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และการฝึกหัดศึกษาอย่างเดียวกับคนประจำเรือ ต่อมา เมื่อปี พ.ศ.2442 กรมทหารเรือในสมัยนั้นได้รับบุคคลภายนอกเข้าเรียนมากขึ้น จึงย้ายไปอยู่ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเดิม ที่สวนอนันตอุทยาน ธนบุรี และได้ทำการเรียนการสอนกันอย่างจริงจัง โดยมีนักเรียนทั้งหมด 19 นาย และมีนาวาโท ไซเดอร์ลิน (C.P.SEIDELIN) เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือ คนแรก หลังจากนั้นได้ย้ายมาอยู่ที่พระตำหนักสุนันทาลัย ปากคลองตลาด

จากเหตุการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ.2436) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า กิจการของทหารเรือเท่าที่อาศัยชาวต่างประเทศเข้ามาประจำตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ นั้น ไม่อาจที่จะหวังในด้านการรักษาอธิปไตยของชาติได้ดีเท่ากับคนไทยเอง พระองค์มีพระราชประสงค์ให้จัดการศึกษาแก่ทหารเรือไทย ให้มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะรับตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ในเรือแทนชาวต่างชาติที่จ้างไว้ต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระราชโอรสสองพระองค์ ไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือยังต่างประเทศ คือ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ให้ไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ และ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ ให้ไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศเยอรมันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเห็นความสำคัญของการให้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศ ในตำแหน่งสำคัญทางทหาร จึงได้มีการจัดส่งนายทหารเรือไปรับการศึกษาจากต่างประเทศ มีการพัฒนาทั้งองค์บุคคลและองค์วัตถุควบคู่กันไป ปรับปรุงกำลังรบทางเรือให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทรงจัดการการศึกษาแก่ ทหารเรือไทย

 

ปทุมธานี - “นายกแจ๊ส” ห่วงใยชาวบ้านย่านคลองหลวง มอบยาวัดคีรีวงศ์ เสริมภูมิกันโควิด-19

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ได้มอบหมายให้ นายสิระพงษ์ สิริโพธินันท์ รองนายก อบจ.ปทุมธานี และ นางรุจศลักษณ์ ธูปกระจ่าง ตั้งวงษ์เลิศ (น้องบาย) เลขานุการนายก อบจ.ปทุมธานี มอบยาสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกันวัดคีรีวงศ์ จำนวน 600 ชุด พร้อมด้วย สเปรย์ แอลกอฮอล์ จำนวน 600 ขวด และหน้ากากหน้ากากอนามัย จำนวน 600 ห่อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ หมู่บ้าน ฟินิกซ์ปาร์ค คลองสอง-คลองหลวง ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

โดย นายสิระพงษ์ สิริโพธินันท์ รองนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวว่า เนื่องจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ได้มอบหมายให้นำยาสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน จากวัดคีรีวงศ์ จ.ชุมพร มอบให้กับชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งที่หมู่บ้าน ฟินิกซ์ปาร์ค คลองสอง-คลองหลวง  ได้นำมามอบ จำนวน 600 ซอง ซองละ 28 แคปซูล นอกจากนี้ยังนำสเปรย์ แอลกอฮอล์ จำนวน 600 ขวด และหน้ากากหน้ากากอนามัย จำนวน 600 ห่อ มามอบให้อีกด้วยเพราะว่าใกล้จะถึงฤดูหนาว ท่านนายก อบจ เป็นห่วงต้องการให้ทุกคนรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้าน นางรุจศลักษณ์ ธูปกระจ่าง ตั้งวงษ์เลิศ (น้องบาย)  เลขานุการนายก อบจ.ปทุมธานี เปิดเผยว่า สำหรับสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังถือว่าเป็นวาระเร่งด่วนที่ทาง อบจ.ปทุมธานี ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top