Monday, 9 June 2025
Soft News Team

วันฉัตรมงคล ตรงกับวันที่ ๔ พฤษภาคม วันสำคัญอีกวันหนึ่งของไทย เป็นวันที่รำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี

ความหมายของวันฉัตรมงคล

วันฉัตรมงคล (อ่านว่า ฉัด-ตระ-มง-คล) มีความหมายตามพจนานุกรมว่า พระราชพิธี ฉลองพระเศวตฉัตร ทำในวันซึ่งตรงกับวันบรมราชาภิเษก

ความสำคัญของวันฉัตรมงคล

วันฉัตรมงคล เป็นวันที่รำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี และราชอาณาจักรไทย ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ต่อจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ และดำรงพระอิสริยยศเป็น “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว”

ดังนั้น รัฐบาลไทยและพสกนิกร จึงได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม จัดงานพระราชพิธีฉลองพระเศวตฉัตรหรือรัฐพิธีฉัตรมงคล หรืออาจเรียกว่าพระราชพิธีฉัตรมงคล ซึ่งกระทำในวันบรมราชาภิเษก ถวายเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พสกนิกรชาวไทยจึงได้ถือเอาวันที่ ๔ พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคล เพื่อน้อมรำลึกถึงวันสำคัญนี้


ที่มา: https://hilight.kapook.com/view/188122

คุณปอนด์ สุทธินันท์ ดวงภุมเมศร์ | THE STUDY TIMES STORY EP.6

บทสัมภาษณ์ คุณปอนด์ สุทธินันท์ ดวงภุมเมศร์ นักเรียนทุนรัฐบาล UIS ปริญญาโท Master of Public Administration, Cornell University, สหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากความรู้ การเรียนต่างประเทศให้วิธีคิดที่กว้างและประสบการณ์ชีวิตที่หาที่ไหนไม่ได้

ปัจจุบัน คุณปอนด์ เรียนปริญญาโทอยู่ที่ Cornell University ประเทศสหรัฐอเมริกา สาขาการจัดการภาครัฐและองค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ในภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ โดยได้รับทุน UiS ซึ่งเป็นทุนของรัฐบาลไทย ตั้งแต่ช่วงสมัยเรียนปริญญาตรี กระทั่งเรียนจบได้รับบรรจุเข้าเป็นข้าราชการในตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง ปฏิบัติการปลัดอำเภอ ในกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย

คุณปอนด์อธิบายว่า ทุนนี้ไม่ได้มีเฉพาะกรมการปกครอง ยังมีอีกหลากหลายหน่วยงานของรัฐบาล แต่จะเปิดในช่วงปีการศึกษาที่ 2 ของการเรียนปี 3 เพื่อให้เด็กมีโอกาสในการรับทุน จบมหาวิทยาลัยช่วงปริญญาตรี จะได้มีโอกาสในการเข้าไปฝึกงานหรือทำงานในภาครัฐ ก่อนที่จะตัดสินใจรับทุนต่อเพื่อไปเรียนต่างประเทศ หรือหากไปทำงานจริงแล้วเกิดไม่ชอบในระบบราชการก็สามารถลาออกก่อนจะรับทุนในช่วงที่ 2 ของการไปเรียนต่อต่างประเทศ ได้

ในช่วงการคัดเลือกทุน คุณปอนด์เล่าว่า รอบแรกเป็นข้อเขียน สอบวิชาภาษาอังกฤษ วิชาความรู้ทั่วไป หลังจากนั้นจะคัด และมีวิชาสัมภาษณ์ และข้อเขียนรอบ 2 โดยในรอบสองจะเป็นวิชาการแปล การเขียน Essay ส่วนรอบสัมภาษณ์จะมีทั้งสัมภาษณ์เดี่ยว และกลุ่ม

แลกเปลี่ยน AFS
คุณปอนด์เล่าว่า เริ่มต้นช่วงป.6 ได้คุยกับแม่ว่าอยากไปเที่ยวอเมริกา แต่ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ไม่ได้ไป ช่วงมัธยมตัวเองชอบพูดภาษาอังกฤษ สนุกที่ได้เรียนภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ พอมีเวลาช่วงม.4 ได้ลองสอบ AFS ดู ปรากฎว่าสอบผ่าน จึงได้ไปอเมริกาครั้งแรก 

การไปต่างประเทศถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตทั้งวิธีการคิด การเรียนรู้ เปลี่ยนทุกอย่างที่เคยประสบมาทั้งการเรียนและการใช้ชีวิต เพราะปกติคุณปอนด์เป็นเด็กที่อยู่ในกรอบ ไม่เคยขึ้นรถเมล์ ไม่เคยไปเที่ยวบ้านเพื่อน ไม่เคยออกไปไหน การไปอเมริกานับเป็นการออกจากบ้านครั้งแรกในชีวิต ไปอยู่สัปดาห์แรก ต้องกินข้าวในห้องน้ำ เพราะไม่มีเพื่อน อาย มีอุปสรรคในเรื่องภาษา กระทั่งมาคิดได้ว่าการมาแบบนี้ไม่ช่วยอะไร เลยฝ่าความกลัวของตัวเองออกไปลองผิดลองถูก สุดท้ายสิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่เป็นการกล้าลองทำทุก ๆ อย่าง   

สาเหตุที่คุณปอนด์เลือกเรียนในอเมริกานั้น เพราะเคยมีประสบการณ์อยู่มาแล้ว ทำให้สามารถหันไปโฟกัสที่การเรียนได้มากกว่าการปรับตัว ต่อมาคือเรื่องของความหลากหลายในอเมริกา ทั้งเชื้อชาติ อายุ อุดมการณ์ทางการเมือง ภาษาและวัฒนธรรม ความหลากหลายนี้ทำให้คุณปอนด์มองว่าการเรียนนโยบายสาธารณะที่สหรัฐอเมริกา จะทำให้สามารถนำกลับไปใช้ในเรื่องของการออกนโยบายสาธารณะในประเทศไทยได้

สิ่งที่ได้นอกเหนือจากความรู้ในการมาเรียนที่อเมริกาของคุณปอน คือ ประสบการณ์ และกระบวนการความคิด มุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม

ช่วงที่ไปอเมริกาครั้งแรกในการแลกเปลี่ยน AFS คุณปอนด์ได้พบกับ Culture shock หลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น ความตรงไปตรงมาของทุกคน สิ่งนั้นสอนให้ต้องตรงไปตรงมาในการพูด และอีกสิ่งคือลักษณะการยืนเพื่อตนเอง ต่อสู้เพื่อตัวเองในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง การยืนกรานในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ ไม่เช่นนั้นเราจะถูกเอาเปรียบ สิ่งนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของคนอเมริกัน ให้รู้ว่าสิทธิไหนเป็นสิทธิส่วนบุคคล และสิทธิไหนที่เราต้องต่อสู้

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งไหนที่เห็นว่าดีในอเมริกา อาจไม่สามารถนำไปใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในไทยได้ทั้งหมด เพราะบางครั้งโมเดลที่มีไม่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลง การนำไปปรับใช้ต้องเลือกให้ดี โดยสิ่งที่คุณปอนด์คิดว่าควรมีในระบบการศึกษาไทย คือ กระบวนการคิด ที่มากกว่าการสอนให้เด็กรู้ การฝึกให้เด็กตั้งคำถาม วัฒนธรรมการตั้งคำถามโดยที่ไม่ให้เด็กรู้สึกอาย 

นอกจากเรียนและทำกิจกรรมแล้ว คุณปอนด์ยังได้แบ่งเวลามาทำงาน Part time โดยคุณปอนด์เล่าว่าเพราะมีช่วงที่เรียนหนักและเครียดมาก คุณปอนด์เลยหาช่วงที่จะได้พักผ่อน จากการใช้สมองอย่างหนัก จึงหางาน Part time ทำที่คลินิกในมหาลัย มีหน้าที่รับคนไข้ที่มาติดต่อ นำคนไข้ไปตรวจยังจุดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังทำงานในส่วนที่นำผู้ป่วยหรือนักเรียนที่สงสัยว่าเป็นโควิดไปเข้าตรวจ ส่วนตัวมองว่าการทำงานคือการได้พักผ่อนสมองจากเรื่องการเรียน และยังได้เงิน นอกจากนี้ยังได้รับการฉีดวัคซีนโควิดก่อน 

เรื่องของสังคมคนไทย กลุ่มเด็กไทยทุนรัฐบาล ที่ Cornell คุณปอนด์ได้มีบทบาทในการร่วมกิจกรรมมากมาย เล่าให้ฟังว่าด้วยความที่ Cornell ตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากเมือง ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำเยอะ กลุ่มเด็กไทยที่อยู่จึงมีเวลาออกไปเที่ยว ไปเดินป่าด้วยกัน พบปะสังสรรค์ช่วงก่อนโควิด ทำกิจกรรม แลกเปลี่ยนความคิดความรู้ มีทั้งจากระดับปริญญาตรีและโท มีกรุ๊ปที่ชื่อว่า CTA ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนไทย ใครที่มาใหม่อยากจะให้พาทัวร์ พาไปซื้อของ มีเพื่อนๆ พี่ๆ คนไทยคอยช่วยซัพพอร์ต 

Cornell ถือเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกและของอเมริกา ในแต่ละสายวิชาจะมีความถนัดแตกต่างกันไป เช่น Cornell มีความถนัดในเรื่องของสัตวแพทย์ การโรงแรม นอกเหนือจากนั้นต้องยอมรับว่า Cornell มีแคมปัสสวยเป็นอันดับต้น ๆ ของสหรัฐอเมริกา มีวิวที่สวยงาม มีครบทั้ง 4 ฤดู 

ในส่วนของการเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศนั้น คุณปอนด์แนะนำว่า เรื่องภาษาอังกฤษก็สำคัญ แต่ไม่ใช่ประเด็นเดียว คุณปอนด์เองได้มีการเลือกมหาวิทยาลัยไว้ 3 แบบ คือ 1.มหาวิทยาลัยที่อยากเรียน 2.มหาวิทยาลัยที่มีลุ้น 3.มหาวิทยาลัยที่คิดว่าติดแน่ๆ จากนั้นควรไปสอบวัดภาษาอย่างน้อยสองครั้ง เพื่อครั้งแรกไปลองข้อสอบ ครั้งที่สองดูข้อสอบและใช้ทริคที่ได้จากการสอบรอบแรก แต่ถึงแม้จะมีคะแนนภาษาอังกฤษน้อย ให้ลองแนบกิจกรรม เรซูเม่ เข้าไปด้วย สิ่งเหล่านี้จะสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าเรียนในที่นั้น ๆ ได้

คุณปอนด์ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า อยากให้เยาวชนรุ่นใหม่ของไทยทุกคนกล้าคิด กล้าลอง กล้าพูด กล้าทำ อย่าไปกลัว เพราะอุปสรรคเป็นเรื่องของอนาคต ถ้าไม่ลองเราจะไม่รู้ ประสบการณ์จะเป็นสิ่งที่ช่วยสอนเรา ว่าสิ่งไหนสมควร สิ่งไหนไม่สมควร ดังนั้นกล้าคิด กล้าลอง แล้วเราจะเป็นคนที่ไม่ได้เก่งเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่จะเก่งในเรื่องความคิดและการแก้ปัญหา


.

.

.

เคล็ดลับ 5 วิธี ไว้ปรับใช้ในการพัฒนาตนเองได้ทันที

เทรนด์การพัฒนาตนเอง ในยุคศตวรรษที่ 21 เมื่อโลกเปลี่ยน การพัฒนาตนเองย่อมต่างไปจากเดิม เพราะเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ผู้เขียนมีเคล็ดลับ 5 วิธี มาบอกกับทุกท่าน ไว้ปรับใช้ในการพัฒนาตนเองได้ทันที

1.) ในเมื่อเราปฏิเสธความจริงนี้ไปไม่ได้ว่า เทคโนโลยีเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา แต่เราควรจะใช้มันมากน้อยแค่ไหน อย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้ทุกท่านแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

1.1) ใช้ในการทำงานมากน้อยแค่ไหน

1.2) ใช้ในชีวิตส่วนตัวประมาณไหน ตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า ต่อวันเราควรใช้เทคโนโลยีมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวเราในระยะยาว

2.) การ Work from Home ที่กลายมาเป็น The New Normal จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การทำงานปรับรูปแบบมาเป็นการทำงานที่บ้าน แม้กระทั่งการเรียนหนังสือก็เปลี่ยนเป็น การเรียนออนไลน์ที่บ้าน (At Home Education) ทุกวงการมีการใช้ออนไลน์มากขึ้น เช่น ในการใช้แอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Google Line Zoom เพื่อให้การทำงาน การเรียน และการใช้ชีวิตเกิดประสิทธิภาพ

3.) การเรียนรู้แบบครบทุกมิติ โลกในศตวรรษที่ 21 เชื่อมต่อไปจนถึงโลกอนาคต สังคมแห่งการอยู่รอดต้องการมากกว่าการเรียนรู้วิชาหลักในโรงเรียน แต่โลกต้องการวิชานอกห้องเรียน เพื่อเสริมทักษะในด้านอื่นๆ เช่น วิชาว่าด้วยเรื่องการตั้งเป้าหมายในชีวิต วิชาหาเงิน วิชาสร้างคอนเนคชั่น วิชาสร้างผลลัพธ์ในการทำงาน วิชาว่าด้วยเรื่องการเข้าใจคน เช่น กิจกรรมจิตอาสา กิจกรรมทำเพื่อสังคม กิจกรรมบันเทิง ร้องเพลง เล่นดนตรี การสื่อสาร การมีภาวะผู้นำ การเล่นกีฬา และการเข้าสังคม ฯลฯ

4.) เสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่กลัว ไม่กล้า บางครั้ง ความกล้า ความลุ่มหลง ก็สามารถเปลี่ยนให้คนธรรมดากลายเป็นคนพิเศษได้ การคิดบวก (Positive Thinking) เป็นการนำจิตวิทยาเชิงบวกมาสื่อสารกันครบทุกมิติ ไม่ว่าจะความคิดส่วนตัว ภายในครอบครัว และที่ทำงาน แทนที่จะใช้คำหยาบคาย ดุด่า ดูถูกเหยียดหยาม ต่อว่า ควรปรับเปลี่ยนมาใช้การพูดเชิงสร้างสรรค์ พูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การพูดให้แนวคิด พูดสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจ และให้เกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตกันดีกว่า หรือถ้าจะตักเตือนใคร ก็ให้มีเหตุผล และให้อิสระทางด้านความคิดเขา เคารพซึ่งกันและกัน เป้าหมายในการสื่อสารนั้น อย่าลืมว่าหัวใจสำคัญคือ การรักษาศักดิ์ศรีให้กับคู่สนทนาของเราด้วย

5.) ใส่ Mindset ให้ถูกต้อง ให้ทุกท่านเข้าใจตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลง คือ นิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ไม่เปลี่ยนแปลง รับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปทีละเรื่อง และยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ยังรอให้เราปรับตามโลกใบนี้ อย่าไปฝ่าฝืนกฏของจักรวาล ถ้าไม่อยากหลุดเทรนด์ จงเปลี่ยนที่ตัวเองก่อน ก่อนที่คนอื่นจะมาเปลี่ยนเรา เพราะถ้าเราเปลี่ยนเองจะถนัดมือกว่า

เปลี่ยนทุกครั้งดีขึ้นทุกครั้ง เปลี่ยนทุกครั้งเก่งขึ้นทุกครั้ง เปลี่ยนทุกครั้งได้สิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตทุกครั้ง เห็นไหมคะการเปลี่ยนแปลงมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น “อย่าบอกว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ทำ” จงเปลี่ยนในแบบที่คุณต้องการเปลี่ยน ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนชีวิตสิ่งแรกที่คุณต้องเปลี่ยนคือ “ความคิด”

คนรักการพัฒนาตนเอง สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ #Talktonitima

• สนใจหลักสูตร #เทรนด์การสื่อสาร ยุค ศต. 21

• #เทรนด์การพัฒนาบุคลิกภาพ ยุค ศต. 21

• เทรนด์การพัฒนา mindset ยุค ศต. 21

คุณพ่อคุณแม่ต้องการเลี้ยงลูกให้เข้ากับเทรนด์ ติดตามได้ที่

https://www.disruptignite.com/blog/4-trends-of-new-age-parenting


เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima

คติประจำใจจาก "St. Augustine of Hippo" (นักบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดองค์หนึ่งของคริสตจักรคาทอลิก)

"The world is a book and those who do not travel read only one page."

"โลกใบนี้เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง และคนที่ไม่เคยเดินทางเลย ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือเพียงหน้าเดียว."


St. Augustine of Hippo (นักบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดองค์หนึ่งของคริสตจักรคาทอลิก)

ประสบการณ์จำไม่ลืมในจีน ของ 4 สาวเพื่อนซี้ | เพื่อนซี้หนี่ห่าว EP.10

4 สาวเพื่อนซี้ พากันมาเล่าประสบการณ์จำไม่ลืม ช่วงที่ไปเรียนประเทศจีน จะแสบขนาดไหน ต้องติดตาม! พร้อมคำศัพท์น่ารู้ที่สาว ๆ นำมาฝาก

.

.

เอ็มม่า วัตสัน หนึ่งในนักแสดงวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จสุดๆ คนหนึ่งของวงการฮอลลีวูด ทั้งผลงานการแสดงสร้างชื่อมากมายและประวัติการศึกษาที่ไม่ธรรมดา!

เอ็มม่า วัตสัน (Emma Watson) เป็นที่รู้จักกันดีในบทแม่มดน้อย เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ จาก Harry Potter ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนักเขียนชาวอังกฤษ J.K. Rowling นวนิยายที่ขายดีที่สุด

เอ็มม่าเข้าศึกษาที่โรงเรียน Dragon ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ตอนเอ็มม่าอายุ 6 ขวบ เอ็มม่ารู้ตัวว่าอยากเป็นนักแสดง เอ็มม่าจึงเข้าเรียนร้องเพลง เต้นรำ และการแสดงที่โรงเรียน Stagecoach Theatre Arts แบบไม่เต็มเวลาหลังเลิกเรียน

ตอนอายุ 10 ขวบ เอ็มม่าได้แสดงละครเวทีของโรงเรียนสเตจโคชหลายเรื่อง รวมถึงเรื่อง "Arthur: The Young Years" and "The Happy Prince"

หลังจบโรงเรียน Dragon School เอ็มม่าย้ายไปเรียนที่โรงเรียน Headington School ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 เอ็มม่าได้เข้าสอบ GCSE 10 วิชา ได้รับเกรด A+ ทั้งหมด 8 วิชา และเกรด A ทั้งหมด 2 วิชา

เอ็มม่าได้เริ่มเข้ารับการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยบราว์ (Brown University) ตั้งแต่ปี 2009 และมหาวิทยาลัยบราวน์เป็น 1 ใน 8 สมาชิกของไอวีลีก (Ivy League) คือ กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนในอเมริกาที่มีชื่อเสียงอย่างมากในด้านคุณภาพการศึกษาที่ดีเยี่ยม

เอ็มม่าได้พักการเรียนปี 1 ปีในปี 2011 เพื่อกลับไปเต็มที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Harry Potter ภาคสุดท้ายในเสร็จ หลังจากนั้นเอ็มม่าก็กลับมามุ่งมั่นตั้งใจเรียนต่อเพื่อลบคำสบประมาทของใครหลายๆ คนที่บอกว่าเธอจะเรียนไม่จบ และเอ็มม่าได้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยบราวน์ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวรรณกรรมอังกฤษ


ที่มา: https://ewthailand.blogspot.com/p/emma-watson-biography.html

ประกาศโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

ประกาศโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เรื่อง การรับรายงานตัวและมอบตัวนักเรียน ตามลำดับสำรอง ครั้งที่ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2564 ประกาศ ณ วันที่ 30 เมษายน 2564

https://www.facebook.com/1418062688512699/posts/2900724780246475/?sfnsn=mo

คุณแอล ทักษ์ดนัย นิลกำแหง | THE STUDY TIMES STORY EP.4

บทสัมภาษณ์ คุณแอล ทักษ์ดนัย นิลกำแหง ปริญญาตรี Portland States University สหรัฐอเมริกา 
ติวเตอร์ภาษาอังกฤษ ผลักดันเด็กไทย ให้กล้าพูดภาษาอังกฤษ

คุณแอลไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะได้รับทุนจากคุณแม่ที่อาศัยอยู่อเมริกา เมื่อจบม.4 ที่เทพศิรินทร์ร่มเกล้า จึงได้มีโอกาสไปเรียนต่อเกรด 11 ที่อเมริกา ช่วงแรกมีการเกิด Culture Shock ที่ต้องพยายามสื่อสารกับเพื่อนและครูให้ได้ ตอนนั้นคุณแอลใช้วิธีดูข่าวต่างประเทศ สื่อ CNN BBC ระยะเวลาหนึ่งปี จนพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง 

คุณแอลแนะนำสำหรับคนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษ ให้ฟังสถานีวิทยุข่าว VOA ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยในเนื้อหาจะมีช่วงหนึ่งเป็นช่วง Learning English มีการสอนทักษะ ฟัง พูด อ่านเขียน ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน แบบฟรี ๆ 

หลังจากจบไฮสคูล คุณแอลใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมือง นักการทูต จึงตัดสินใจเรียนต่อคณะรัฐศาสตร์ สาขาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ  ที่ Portland State University ที่มีเรื่องของการพัฒนาความยั่งยืนอยู่ด้วย โดยเรียนทั้งหมดที่เป็นองค์รวมของสาขารัฐศาสตร์ในยุคนั้น 

คุณแอลอยู่อเมริกาเกือบ 6 ปี พบว่าเมือง Portland มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม สังคมและผู้คนในเมือง Portland ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายกันเหมือนเมืองไทย คุณแอลเคยปั่นจักรยานจากบ้านไปพื้นที่ชนบทของ Portland พบวัฒนธรรมอีกแบบ เป็นออริกอนดั้งเดิม พื้นที่ Portland ล้อมรอบด้วยต้นไม้ ภูเขา ป่าสีเขียว แม่น้ำลำธารจะเย็นทั้งปี ถ้าชอบสายธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน คุณแอลขอแนะนำเมือง Portland เลย

หลังจากเรียนจบได้ 1 เดือน คุณแอลสามารถผ่านเข้ารอบโครงการที่มีชื่อว่า ผู้นำไทย-อเมริกา เป็นโครงการที่ให้เยาวชนไทยในสหรัฐฯ ตั้งแต่ระดับไฮสคูลถึงปริญญาตรี มีโอกาสเข้าไปศึกษารูปแบบการทูตแบบไทย โดยโครงการนี้จะเปิดทุกปี เป็นรูปแบบการทูตระดับตัวน้อย เฟ้นหาเด็กและเยาวชนไทยในสหรัฐฯ ที่มีความสนใจสังคม วัฒนธรรมไทย เข้ามามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการทูตของประเทศไทย 

หลังจากกลับมาเมืองไทย คุณแอลยังคงสนใจในเรื่องของการขับเคลื่อนสังคม การพัฒนาประเทศ  และถึงแม้เป็นติวเตอร์ แต่ความเป็นการเมืองยังติดตัวอยู่ โดยมุ่งเน้นไปยังนโยบายที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมความยั่งยืนให้กับประทศ ตามด้านที่เรียนจบมาโดยตรง 

หากให้เปรียบเทียบมุมมองต่อระบบการศึกษาไทยและอเมริกา คุณแอลมองว่า ระบบการศึกษาแต่ละประเทศมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ไม่ได้มีแต่ปัญหาเสมอไป ยอมรับว่าของไทย มีจุดเด่น ในเรื่องของการสอนให้เด็กรู้จักเรื่องของความดี คุณธรรม จิตสำนึกในการทำเพื่อส่วนรวม ความรักเพื่อน การเสียสละและแบ่งปัน รวมทั้งเรื่องของการออมเงิน ขณะที่สหรัฐอเมริกามุ่งเน้นความรักชาติ การสร้างความคิดสร้างสรรค์ในระดับเยาวชน การเปิดใจซึ่งกันและกัน 

โดยครูแอลในฐานะติวเตอร์ได้นำหลักการประนีประนอมระหว่างครูกับนักเรียนมาใช้ รวมทั้งบาลานซ์การเรียนวิชาการและการเรียนที่เรียกว่า Play&Learn เข้าด้วยกัน 

ด้านปัญหาการพูดภาษาอังกฤษของเด็กไทยส่วนใหญ่ จากประสบการณ์ที่พบ ครูแอลมองเห็นว่า เกิดจากการไม่กล้า อาย กลัวที่จะสื่อสาร ไม่กล้าถามครูผู้สอน โดยครูแอลก็มีแนวทางที่จะให้เด็กกล้าถามได้ 

ครูแอลมีวิธีการสอนแบบขั้นบันได ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป มีการนำสื่อ การ์ดเกม เข้ามาใช้ แต่มีข้อตกลงระหว่างกัน ว่าเล่นได้แต่ก็ต้องทำงานของตัวเองด้วย จะได้มีความรู้ทุกมิติ 

คำแนะนำสำหรับครูไทยที่สอนภาษาอังกฤษ ครูแอลมองว่า สำหรับเด็กเล็ก การเรียนภาษาอังกฤษควรเริ่มจากการฝึกพูด การออกเสียง ตัวสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจ  สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ และสามารถนำไปใช้ในขีวิตประจำวันได้ โดยตรงจุดนี้หากทางกระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานการศึกษาที่เกี่ยวข้อง สามารถปรับหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับเด็กเล็ก ให้เป็นในเรื่องของ conversation หรือ communication สิ่งนี้จะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทยไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

.

.

.

คุณยีนส์ อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ | THE STUDY TIMES STORY EP.3

บทสัมภาษณ์ คุณยีนส์ อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ คอลัมนิสต์อิสระ, นักแปล เรียนต่อออสเตรเลียและจีน (The University of Queensland,  Shanghai Normal University) 
แนะเคล็ดลับ บริหารเงินอย่างคุ้มค่า เรียนต่อออสเตรเลียและจีน

คุณยีนส์เรียนจบปริญญาตรีและโทที่ประเทศไทย ก่อนหน้าที่คุณยีนส์จะเดินทางไปเรียนต่อในต่างประเทศ ได้ทำงานหน้าที่แนะแนว ให้คำปรึกษา ทำวีซ่าให้กับนักเรียนที่ต้องการไปเรียนต่อ คุณยีนส์ตัดสินใจไปเรียนต่อเพราะต้องการประสบการณ์เพื่อกลับมาทำงานและแชร์ประสบการณ์ให้กับนักเรียนไทยที่สนใจ

ครั้งแรกที่ไป เนื่องจากคุณยีนส์จบด้านภาษาอังกฤษมา เลยอยากจะได้วุฒิที่เกี่ยวข้องกับด้านการสอนภาษาอังกฤษ จึงตัดสินใจลง Graduate Certificate in TESSOL University of Queensland-Australia ที่เกี่ยวกับวิชาด้านการสอนภาษาอังกฤษ จากนั้นได้ลงเรียนด้านวิชาบริหารธุรกิจเพิ่ม เพื่อจะนำมาต่อยอด ซึ่งก็คือ Graduate Diploma in Business เท่ากับไปอยู่ออสเตรเลียรวม 2 ปี 

วิธีบริหารจัดการงบประมาณเรียนต่อต่างประเทศ
เรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณในการไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณยีนส์แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ค่าเล่าเรียน ที่เป็นงบตายตัว เปลี่ยนไม่ได้ เป็นงบส่วนที่ผู้ปกครองหรือนักเรียนต้องแบ่งไว้ ส่วนที่สอง คือ ค่ากินอยู่ ควรเตรียมเป็นงบขวัญถุงไว้ประมาณ 2-3 เดือน เมื่อไปถึงทางออสเตรเลียจะให้สิทธิในการทำงานพิเศษได้ ช่วงที่คุณยีนส์ไป ตามวีซ่าสามารถทำงานพิเศษได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นักเรียนหลายคนต่างก็มีวิธีที่จะไปหางานพิเศษทำเพื่อช่วยในการลดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะทำงานตามร้านอาหารไทย ร้านกาแฟ ช่วยงานมหาวิทยาลัย ช่วยอาจารย์ งานห้องสมุด 

ต่อมาคือค่าที่พัก หากทางผู้ปกครองมีงบประมาณพอ อาจจะให้อยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง บางคนก็อาจจะแยกมาอยู่เอง เช่าอพาร์ทเม้นกับเพื่อน ซึ่งส่วนนี้ต้องดูตามความเหมาะสม หากนำงบประมาณเป็นที่ตั้ง อยากได้ที่พักราคาถูก ก็อาจต้องไปอยู่ที่พักโซนที่ไกลมาก เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เสียเวลาเพิ่มขึ้น 

ค่าเรียนของคุณยีนส์ที่จ่ายไป 2 ปีประมาณ 5-6 แสน ค่ากินอยู่ เดือนแรกประมาณ 30,000 แต่หลังจากได้งานพิเศษก็ตัดเงินส่วนนี้อออก ทำงานหาเงินมาดูแลตัวเอง   

ตอนเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศครั้งแรก คุณยีนส์เล่าว่า มีเรื่องที่ทำให้กังวลใจอยู่บ้าง ในเรื่องตารางรถเมล์ที่มาชั่วโมงละคัน ทำให้ไปเข้าเรียนไม่ทัน และช่วงแรกที่ยังไม่มีงานพิเศษทำ ต้องตีราคาของทุกอย่างเป็นค่าเงินไทย ความเครียดที่เกิดเป็นธรรมดาของนักเรียนไทยที่ไปเรียนต่อ การอยู่เมืองนอกคือการที่ต้องปรับตัวไปอีกระดับหนึ่ง ต้องคิด วางแผนล่วงหน้า แบ่งเวลาทำงานและเรียน 

หลังจากผ่านไป 1 เดือน คุณยีนส์ได้เจอเพื่อนคนไทย เพื่อนต่างชาติ เพื่อนออสเตรเลีย นัดปรึกษาอาจารย์ถึงปัญหาการเรียน กล้าเปิดใจ และปรับวิถีชีวิตตัวเอง จัดตารางเวลาชีวิตใหม่ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เมื่อปรับตัวได้หลังจากนั้นเริ่มสนุก

เมื่อไปถึงออสเตรเลียครั้งแรก สิ่งที่ควรทำ คุณยีนส์แนะนำว่า ทางเจ้าหน้าที่แนะแนวจะแนะนำมาก่อนว่าช่วงเดือนแรกให้อยู่กับโฮมสเตย์ครอบครัวชาวออสเตรเลียไปก่อน เพื่อปรับตัว ให้พวกเขาช่วยแนะนำเรื่องการใช้ชีวิต การขึ้นรถเดินทาง สำหรับเด็กเล็กจะมีครูพี่เลี้ยง รุ่นพี่ที่เป็นนักเรียนไทยที่อยู่มาก่อน จะมาช่วยแนะนำเรื่องสถานที่ซื้อของใช้ เรื่องทั่วไปต่างๆ ถ้าเป็นเด็กมหาวิทยาลัยจะมี Student Union หรือสโมสรนิสิต ซึ่งในช่วงการเปิดภาคเรียน ส่วนใหญ่จะมีกิจกรรมปฐมนิเทศ นำเสนอชมรม จะมีชมรมนักเรียนไทย ชมรมวัฒนธรรม ให้ได้เข้าไปทำความรู้จัก การเรียนในระดับปริญญาตรี-โท เรียนคนเดียวไม่ได้ ต้องเรียนเป็นทีม 

คุณยีนส์เล่าให้ฟังว่า คอนเซปต์ในการเรียนที่ออสเตรเลียจะไม่เหมือนของไทย ของไทยจะมีอาจารย์ป้อนข้อมูลความรู้เข้ามาให้ ขณะที่ทางออสเตรเลียคุณจะต้องเตรียมความรู้มาก่อน เมื่อเข้าชั้นเรียนต้องมีองค์ความรู้พร้อมที่จะไปแชร์กับคนอื่น โดยอาจารย์จะให้แค่โครงตามหลักทฤษฎีที่ถูกต้อง หรือประสบการณ์ที่อาจารย์เคยทำงานมา สุดท้ายทำให้เกิดการพัฒนาเป็นองค์ความรู้ใหม่ 

หากให้เปรียบเทียบความแตกต่างในเรื่องการศึกษาของไทยและออสเตรเลีย คุณยีนส์มองว่า การศึกษาของไทยที่เกริ่นว่า ครูเป็นผู้ให้ นักเรียนเป็นผู้รับ เหมาะกับการปูพื้นฐานในเรื่องของการเรียนรู้ เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน ส่วนในเรื่องของวิชาการ องค์ความรู้ คุณยีนส์มองว่าไม่ได้ต่างกันมาก แต่จะต่างกันที่วิธีคิด เพราะของต่างประเทศจะเน้นที่การให้ทุกคนเป็นจุดศูนย์กลางของการพัฒนาองค์ความรู้ การเรียนต่างประเทศจึงทำให้เรามีรูปแบบการคิดที่หลากหลายขึ้น 

คนออสเตรเลียในมุมมองของคุณยีนส์ คือ เป็นคนสบายๆ ไม่ได้มีพิธีรีตองมาก อาจารย์เฟรนด์ลี่มาก คิดอะไรพูดเลย แต่ในเรื่องของกฎเกณฑ์ การรักษาเวลา เดดไลน์การส่งงานเป๊ะ ไม่มีการต่อรอง   

บรรยากาศการเรียน หลักสูตรอบรมภาษาจีนระยะสั้น Shanghai Normal University คุณยีนส์เผยว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ที่ไปจะติดขัดในเรื่องของภาษา ต้องไปเรียนเพิ่ม และด้วยความที่จีนต้องการเปิดรับให้นักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียน ทำให้เรื่องของหอพัก อุปกรณ์การเรียนเตรียมพร้อมไว้อย่างดี คนจีนมีความตรงเวลา บรรยากาศการเรียนก็สบายๆ มีกิจกรรมเยอะมากสำหรับการไปเรียนภาษาที่จีน เน้นเรื่องการใช้ภาษาควบคู่กับวัฒนธรรม

สำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อ คุณยีนส์แนะนำว่าสิ่งที่ควรทำ อันดับแรกคือต้องไปดูเรื่องของสังคม ไปดูในสิ่งที่บ้านเรายังไม่มี มีจุดไหนที่พัฒนาแล้วดีกว่าบ้านเรา เพื่อนำจุดนั้นกลับมาพัฒนาประเทศ ใช้ในการพัฒนาตัวเราและโอกาสในชีวิต หลังจากที่เรากลับมาที่เมืองไทย 

นอกจากนี้การได้เพื่อนต่างชาติก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะได้มุมมองที่กว้างขึ้น เราจะเป็นคนที่ทำงานที่ใดก็ได้ในโลกใบนี้ หากมีทัศนคติหรือไอเดียที่เปิดกว้าง และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง 

.


.

.

.

สทศ. ประกาศคะแนน O-NET ม.6 ปีการศึกษา 2563 แล้ว

สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. ประกาศผลคะแนน O-NET ม.6 ปีการศึกษา 2563 (#dek64) แล้ว

เข้าระบบสอบถามคะแนน O-NET รายบุคคล ที่

https://bit.ly/3aENH7v

- ปีการศึกษา เลือก 2563

- ระดับชั้น เลือก ม.6

- กรอกเลขประจำตัวประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top