สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)
สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)
เปิดสัมพันธ์ ‘ทักษิณ’ นักโทษหนีคดี กับ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ผู้ทำรัฐประหารเมียนมา พบลึกซึ้งตั้งแต่ยุค ‘ยิ่งลักษณ์’ เป็นนายกฯ สนิทถึงขั้นเรียก ‘ไอ้’ ได้ในคลิปถั่งเช่าฉาว และสามารถบุกไปดูโครงการท่าเรือทวาย พักบ้านหรูเชิงเขามัณฑะเลย์ ก่อนจะยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ แถมสุดท้ายได้บ่อน้ำมันสมใจ หลังเคยปล่อยเงินกู้ 4 พันล้าน ดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน ในยุคตัวเองเป็นผู้นำ จนถูกตัดสิน 3 ปี และหนีคดี
หลังเกิดเหตุรัฐประหาร ยึดอำนาจในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา นำโดย ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ที่อยู่ในอำนาจ มานานถึง 10 ปี ด้วยวัย 64 ปี เข้าทำการยึดอำนาจจากนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา และประธานาธิบดีวิน มินต์ พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี เพื่อจัดระเบียบต่างๆ ก่อนจะให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น ชื่อของ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ก็โดดเด้งขึ้นมาในสายตาของใครหลายๆ คน
สำหรับ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ นั้นปรากฎพบชัดว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับประเทศไทยในหลายมิติ โดย เพจ ‘Wassana Nanuam’ ของน.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ระบุว่า พล.อ.มิน อ่อง หล่าย มาเยือนไทยหลายครั้ง อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อมาประชุม GBC คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-เมียนมา ในฐานะแขกของผบ.ทหารสูงสุดของไทย และก่อนหน้านี้ เมื่อมาไทย ก็มักจะไปพบกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ โดยมีความสนิทสนมกันมากถึงกับ ขอเป็นลูกบุญธรรมพล.อ.เปรม เพราะรู้สึกว่า เหมือนพ่อของตนเอง เนื่องจากพล.อ.เปรมอายุห่างจากพ่อของพล.อ.มิน อ่อง หล่าย เพียง 1 ปี กระทั่งพล.อ.เปรม ถึงแก่กรรม พล.อ.มิ่น อ่อง หล่าย ก็ยังเดินทางมาเคารพศพ ที่วัดเบญจมบพิตร และไปลงนาม ที่วังสราญรมย์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ กลับมีเรื่องที่น่าสนใจหนึ่ง โดยมีการขุดคุ้ยความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา และหัวหน้าคณะรัฐประหาร กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หนีคดีของไทย โดยนำ ‘คลิปถั่งเช่า’ ในอดีตที่โด่งดัง เมื่อปี 2556 ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ มาถอดความ ซึ่งในนั้นมีเสียงสนทนาของชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม (ในขณะนั้น) กับนายทักษิณ ชินวัตร
ช่วงหนึ่งในคลิปถั่งเช่านี้ มีการพูดถึงคนชื่อ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ว่า “…เรื่องของพม่า ผมบอกกับนายกฯ ไปแล้วนะครับบอกว่าใช้ ‘ผบ.สูงสุด’ ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเลย เพราะ “ไอ้มิน อ่อง หล่าย” ซึ่งเป็น ผบ.สูงสุด ของพม่า มันเป็นมือหนึ่งของท่านประธานาธิบดีเต็งเส่งเลย แล้ว ‘เต็งเส่ง’ ให้ความเกรงใจมากที่สุด และทีนี้ ‘ไอ้ผบ.สูงสุด’ เขากับ ‘ผบ.สูงสุดไทย’ นี่ มันมาเป็นเคาน์เตอร์พาร์ตกัน ผลัดกันกินข้าวคนละเดือน คนละเดือน เพราะฉะนั้นถ้าจะบีบอะไรเรื่อง ‘ทวาย’ นายกฯ เรียกผบ.สูงสุดมาใช้ได้อีกงานหนึ่ง เป็นงานต่างประเทศ“
ชายที่เสียงคล้ายนายทักษิณ กล่าวตอบหลายประโยคที่สะท้อนถึงความแนบแน่นว่า “ผมก็ไปสงกรานต์กับมัน กับ ไอ้เนี่ย ผบ.สูงสุด!! … พวกผมทั้งนั้นแหละ มันยกที่ให้ผมแปลงนึง ใจกลางเมืองย่างกุ้ง”
ชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ศศิประภา ตอบว่า “ไอ้นี่ต้องเอาไว้นะครับ ถ้าได้ พม่านี่เสร็จเราหมดเลย ต้องเอาให้ได้ … ไอ้มิน อ่อง หล่าย และไอ้รัฐมนตรีกีฬากับโฮเต็ลอีกคนหนึ่ง ไอ้นี่ก็มหาศาลเหมือนกันนะ ผมจะเรียกให้มาพบท่าน มันสร้างทำเนียบรัฐบาลให้ประธานาธิบดี มันสร้างรัฐสภาให้ ขณะนี้มันกำลังสร้าง Sport Complex ให้ มันรวยมหาศาลเลย เจ้าของบ่อหยก”
อีกด้านหนึ่ง เพจ Dr.X ได้แฉถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย กับ นายทักษิณ ชินวัตร โดยอธิบายว่า…”ย้อนดูข่าวช่วงปี 2556 พบว่า นายทักษิณเดินทางเข้าพม่า 2 ครั้ง ครั้งแรก…เดือนมีนาคม 2556 และ ช่วงสงกรานต์ปี 2556 โดยในเดือนมีนาคม 2556 สำนักข่าวประเทศพม่า Eleven media group รายงานว่า นายทักษิณเดินทางไปที่เมืองทวายเพื่อเข้าดูท่าเรือของโครงการทวาย ขณะที่ในช่วงสงกรานต์ ปี 2556 นายทักษิณก็เดินทางไปยังเมืองเมย์เมียว โดยพบกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่า ที่บ้านพักหรูเชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์ และปี 2557 ก่อนการรัฐประหารในไทย นายทักษิณก็ปรากฏตัวที่เมียนมาอีกครั้ง ข่าวว่าไปทำบุญแก้กรรม โดยเข้าพักที่ชั้น 10 โรงแรมชาเทรียม ในย่างกุ้ง แล้วแกนนำพรรคเพื่อไทย, รัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และข้าราชการระดับสูง แห่ไปพบกันเพียบ”
ทั้งนี้หากจับปรากฏการณ์ดังกล่าวจะพบว่า สายสัมพันธ์ของทั้ง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หนีคดีของไทยนั้น พบว่า หลังเดือนมีนาคม 2556 ที่นายทักษิณเดินทางไปดูโครงการท่าเรือทวาย และช่วงสงกรานต์ 2556 ที่มีการเจรจาลับกันที่บ้านพักหรู เชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์นั้น จากปากคำของนายทักษิณ ยอมรับเองว่า มีการยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ตนเอง ขณะเดียวกันมีการวิจารณ์กันด้วยว่า หลังเหตุการณ์ดังกล่าว คาดว่านายทักษิณจะมีบ่อน้ำมันในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย สมความตั้งใจที่ต้องการได้สิทธิมานาน
สำหรับโครงการลงทุนในทวายนั้น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ประเทศเมียนมาร์ และอยู่ทางตะวันตกจากกรุงเทพฯ โดยมีระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาได้ให้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่ของโครงการทวายแก่บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งเป็น 6 เขตอุตสาหกรรม ได้แก่ เขตที่อยู่อาศัย เขตการค้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องภายในนิคมอุตสาหกรรม ถนนและทางรถไฟเชื่อมโยงไปสู่ประเทศไทย รวมไปถึง น้ำมันและท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวมะตะบันไปยังชายแดนไทย-สหภาพเมียนมา
ท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตั้งอยู่ห่างจากจังหวัดทวายประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในตอนเหนือของอ่าวเมืองมะกัน มีการลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ถนนเชื่อมโยงจากทวายไปยังประเทศไทย และด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ในการเชื่อมโยงทางรถไฟจากทวาย ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ มูเซ เชื่อมต่อไปยังทางรถไฟจีนที่คุนหมิง ทำให้โครงการนี้ได้รับการเสนอให้เป็นจุดศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญของภูมิภาค
ทั้งนี้จะเห็นว่า นายทักษิณพยายามสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเมียนมามาโดยตลอด โดยเมื่อครั้งตัวเขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อจำนวน 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า โดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อนำเงินกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งในเวลาต่อมา นายทักษิณถูกศาลตัดสินพิพากษา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 ว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ให้จำคุก 3 ปี
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการนำเข้า ส่งออกหรือนำเข้าราชอาณาจักร ซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ มีสาระสำคัญ คือ
1. ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภทแพะ แกะ เข้ามาในราชอาณาจักร เหลือตัวละ 25 บาท จากเดิมตัวละ 250 บาท
2. ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภทแพะ แกะ ออกนอกราชอาณาจักร เหลือตัวละ 20 บาท จากเดิมตัวละ 200 บาท
3. ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำซากสัตว์ เพื่อการบริโภคของคนหรือสัตว์ ออกนอกราชอาณาจักร ประเภทจิ้งหรีด เหลือกิโลกรัมละ 3 บาท จากเดิมกิโลกรัมละ 5 บาท
4. ลดค่าที่พักซากสัตว์ที่นำเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ประเภทจิ้งหรีด เหลือกิโลกรัมละ 2 บาท จากเดิมกิโลกรัมละ 5 บาท
5. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภทม้า โค กระบือ แพะ แกะ ที่นำออกนอกราชอาณาจักร โดยผ่านด่านศุลกากรบูเก๊ะตา
6. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ผ่านราชอาณาจักรทางอากาศยานประเภทสุนัข แมว ไก่ เป็ด ห่าน สัตว์ปีกชนิดอื่น หรือไข่สำหรับใช้ทำพันธุ์ เฉพาะกรณีที่สัตว์นั้นยังอยู่ในเขตปลอดอากร จนกระทั่งมีการเปลี่ยนถ่ายอากาศยานแล้วขนส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ภายในระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง และ
7. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำซากสัตว์ผ่านราชอาณาจักรทางอากาศยาน กรณีไม่มีการเปิดตรวจตู้สินค้าหรือแบ่งถ่ายโอนสินค้า และยังอยู่ในเขตปลอดอากร จนกระทั่งมีการเปลี่ยนถ่ายอากาศยานแล้วขนส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ภายในระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยนายพรนเรศ มูลเมืองแสน หัวหน้าสำนักงานพัฒนาคุณภาพการศึกษา พร้อมบุคลากร ลงพื้นที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โคกหนองนา ณ โรงเรียนศรีแสงธรรม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่นโดยมีสถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยง
โดยกิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยในช่วงเช้า ได้จัดให้มีการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติการลงแขกปลูกทานตะวัน ดาวกระจายและมันม่วง โดยมีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเป็นพี่เลี้ยง ในการสอน ทั้งการปลูกพันธุ์ไม้ และการดูแลรักษาพันธุ์ไม้ อีกทั้งกิจกรรมการในช่วงบ่าย จัดให้มีการเรียนรู้ทฤษฎีและการปฏิบัติในการเพาะเมล็ดพันธุ์ดอกทานตะวัน ดาวกระจาย และถั่วลิสง พร้อมนี้นักเรียนจะได้สามารถลงมือปฏิบัติจริงและเรียนรู้ ฝึกทักษะวิธีการเพาะปลูกจริงอีกด้วย เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา
โดยทาง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้สนับสนุนพันธุ์ไม้ และบุคลากรในการเป็นวิทยากร ให้ความรู้ในการเพาะปลูกและการขยายพันธุ์ไม้ต่าง ๆ และได้ลงพื้นที่จัดกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักเรียนและครูที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เรียนรู้โดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญจากทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้นำองค์ความรู้ถ่ายทอดได้จริงสำหรับด้านการเกษตร เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ชุมชนและสังคม ซึ่งมหาวิทยาลัยดำเนินการตามพันธกิจมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายที่สำคัญคือการเป็น “มหาวิทยาลัยในดวงใจของชุมชน” และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่จะเป็น “มหาวิทยาลัยชั้นนำในอาเซียนที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและนวัตกรรม”
กิตติภณ เรืองแสน / ข่าว
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ในโอกาสวันทหารผ่านศึก ตั้งใจที่จะมาให้กำลังใจกับผู้ได้รับบาดเจ็บในระหว่างพักรักษาตนเอง พร้อมชื่นชมในความเสียสละ ทุ่มเท ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อแสดงให้เห็นว่ากองทัพบกมีความห่วงใยไม่ทอดทิ้งกำลังพลไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่หรือผู้ที่เสียชีวิตรวมถึงญาติของผู้ที่เสียชีวิต ที่ทบ.ได้ให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดคือกรณีของ ยายบวน โล่ห์สุวรรณ มารดาของกำลังพลที่เสียชีวิต ทางมณฑลทหารบกที่ 21 (มทบ.21) เข้าไปช่วยเหลือและวันนี้ ส่วนกรณีนายเอี้ยง นาคสิงห์ อดีตทหารผ่านศึก กองทัพภาคที่ 3 จะไปช่วยเหลือเรื่องที่พักอาศัย ซึ่งก็เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ให้หน่วยทหารในทุกพื้นที่เข้าไปดูแลกำลังพลหรือทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บ อย่างต่อเนื่อง
จากนั้น ผบ.ทบ.เข้าเยี่ยมกำลังพลที่บาดเจ็บจากเหตุการสู้รบในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) 4 รายคือ ส.อ.วัชรา ไชยแก้ว ถูกยิงที่ใบหน้าด้ายซ้ายกระดูกใบหน้าแตก ได้รับการผ่าตัดแล้ว, ส.ท.อนุชา ดาลาด ถูกยิงบริเวณกระดูกต้นคอทับเส้นประสาทไม่สามารถขยับร่างกายได้, ส.ท.สุพจน์ เจริญสุข บาดเจ็บจากการถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะไม่รู้สึกตัว อยู่ระหว่างการบำบัดฟื้นฟู, จ.ส.อ.ชัยวัตน์ จันทร์เอ้ย กระดูกสันหลังทับเส้นประสาทขาอ่อนแรงอยู่ระหว่างกายภาพบำบัด โดยอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่ ทางทีมแพทย์จะให้การรักษาพยาบาลให้ทุเลาหรือสามารถกลับมาเป็นปกติและดูแลอย่างเต็มที่ ซึ่งในระหว่างพักรักษาอาการในโรงพยาบาลได้รับเงิน ช่วยเหลือบำรุงขวัญเป็นรายเดือน และผู้บังคับบัญชาหมุนเวียนกันเข้าเยี่ยมเยียนรวมถึงสมาคมแม่บ้านทหารบก โดยหากแพทย์ลงความเห็นว่าเป็นทหารผ่านศึกที่ปลดพิการ นอกเหนือจากจะได้รับสิทธิเงินช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการและจากมูลนิธิต่างๆ แล้วยังจะได้รับการบรรจุทายาททดแทนเข้ารับราชการอีกด้วย
การเข้าเยี่ยมทหารบาดเจ็บเนื่องในโอกาส ‘วันทหารผ่านศึก’ ในวันนี้เป็นไปตามนโยบายของทบ.ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลทหารผ่านศึก ที่ถือว่าเป็นผู้ที่เสียสละประโยชน์สุขส่วนตนปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติจนได้รับบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิต จึงนับเป็นวาระสำคัญที่คนไทยจะได้ร่วมกันระลึกวีรกรรมของทหารกล้าจากทุกสมรภูมิรบและร่วมกันเชิดชูเกียรติทหารผ่านศึกในคุณความดีที่ยอมสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยไว้ให้เราได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขมาจนทุกวันนี้
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
อนึ่งในการประชุมฯ ครั้งนี้มีผูบริหารระดับสูง อาทิ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลขับเคลื่อนงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ร่วมประชุมด้วย พร้อมทั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการโดยตำแหน่งเข้าร่วมประชุม และมีนายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน.เป็นกรรมการและเลขานุการ รายงานผลการดำเนินงานของสำนักงาน กศน. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และชี้แจงโครงสร้างสำนักงาน กศน.รวมถึงโครงการสำคัญตามพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประกอบด้วย คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ นายกล้า สมตระกูล นางวัชรี ปรัชญานุสรณ์ นางสาวพรทิพย์ อึ้งสมรรถโกษา และนายวัชรินทร์ จำปี ด้านผู้แทนภาคเอกชน มีพระครูบูรพาธรรมบัณฑิต ตลอดจนสื่อมวลชนทุกแขนงเข้าร่วม
เจ้ากระทรวงศึกษาฯ กล่าวว่าตอนหนึ่งว่า กศน. ต้องจัดการศึกษาให้ ‘เซ็กซี่’ ต้องน่ามอง น่าเรียนรู้และน่าค้นหา เน้นการขับเคลื่อนการศึกษาตลอดชีวิตเชื่อมต่อศักยภาพคนไทย ภาพในอดีตของ กศน. คือการเรียนเพื่อวุฒิการศึกษา หรือเรียนเพื่อการเทียบวุฒิ ซึ่งก้าวต่อไปของ กศน. ควรจัดการศึกษาด้านวิชาชีพ เพื่อเน้นสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น รวมทั้งสอนการค้าออนไลน์เพื่อเพิ่มศักยภาพ และความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชน
ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ กล่าวว่า จุดเน้นในการจัดการศึกษา กศน. ใน ปีงบประมาณ 2564 ได้วางแผนและเตรียมการ จัดการศึกษาด้านอาชีพไว้แล้ว โดยให้ กศน. ทุกแห่งจัดการศึกษาด้านอาชีพตามบริบทของท้องถิ่นและสำรวจความต้องของประชาชนว่า มีความสนใจ และต้องการเรียนอาชีพอะไร พร้อมเดินหน้าเต็มสูบในการเปิดตลาดการค้าออนไลน์ ของ กศน.ทั่วประเทศ
จากการประชุมครั้งนี้ ทางเจ้ากระทรวงฯ ได้มอบหมายให้คณะทำงานชุดย่อยรับหัวข้อต่างๆ ไปดำเนินการ แล้วนำเสนอกลับมาเร็วที่สุดภายใน 1 เดือน ส่วนบางประเด็นต้องใช้เวลามากประมาณ 2 เดือน โดยหวังว่าจะช่วยให้แนวทางการขับเคลื่อน กศน.มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ในด้านของงบประมาณที่เตรียมไว้ แบ่งเป็น 2 ส่วน ทั้งของผู้สูงวัยและวัยรุ่นหรือวัยทำงาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับการเปลี่ยนอาชีพ ส่วนเรื่องของการปรับหลักสูตรให้ทันสมัยนั้น คณะอนุกรรมการที่ดูแลเรื่องนี้ได้เสนอว่าหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดิจิทัล หรือเรื่องทักษะภาษา จะต้องเชื่อมโยงสอดคล้องกับการศึกษาขัเนพื้นฐานและอาชีวศึกษาด้วย
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวถึงการแยกตัวของ กศน. นั้น เจ้ากระทรวงศึกษา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการแยกกรมออกมา ในทางกลับกันต้องการให้หน่วยงานมารวมกันเพื่อความกระชับในการทำงาน และเดินไปในทิศทางเดียวกัน ถึงแม้ว่างบประมาณจะแยกออกมา แต่ก็ยังอยู่ภายใต้ ศธ. ดังนั้นหากสามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพผ่านกระบวนการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำชุมชน จะทำให้มีโรงเรียนเครือข่ายที่ปรับตัวเป็นศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณและทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากขึ้น
โดยลดเงื่อนไขเกณฑ์อัตราเงินเดือนไม่เกิน 25,000 บาททิ้ง ให้เหลือเพียงเงื่อนไขผู้ที่มีเงินฝากเกิน 500,000 บาท จะไม่ได้รับการเยียวยา โดยหลังจากนี้ตนจะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งที่กระทรวงการคลังในวันเดียวกันนี้ ด้วยวิธีการใช้ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์
ดังนั้น จึงคาดว่าจะมีผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้รับสิทธิ์เกือบทั้งหมด และคิดว่าอย่างเร็วสุด จะสามารถนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม. สัปดาห์หน้า หรืออย่างช้าไม่เกินสัปดาห์ต่อไป ส่วนจะเป็นวงเงินที่ได้รับเยียวยาเท่าไรนั้น จะมีการพิจารณากันอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วงเรื่องญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีการเกี่ยวข้องกับสถาบัน จำเป็นต้องประชุมลับหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ยังไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นมา เอาไว้มีสัญญาณเมื่อเกิดเหตุ การดำเนินการอย่างนั้นก็คงต้องคิดกัน
แต่ยังไม่ค่อยห่วงมาก เพราะมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรอยู่ หากมีความจำเป็นสามารถขอให้ประชุมลับได้ แต่ประชาชนอาจจะอึดอัดนิดหน่อย เพราะอยากฟังว่าเขาพูดอะไรกัน แต่หากมีความจำเป็นก็ต้องประชุมลับ เพราะข้อบังคับและรัฐธรรมนูญเปิดไว้
เมื่อถามว่า ในอดีตเคยมีการขอเปิดอภิปรายลับหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า อาจจะมี แต่ตนนึกไม่ออก ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่นคงของชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น ข้อพิพาทเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เป็นเรื่องธรรมดา
นอกจากนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ ส.ว.บางส่วน สนับสนุนญัตติของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ที่ให้ส่งเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับทำได้หรือไม่ ว่า มีญัตติของนายไพบูลย์ค้างไว้ 3 - 4 เดือนแล้ว
ซึ่งก็ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตกันอยู่แล้ว ตามระเบียบวาระเข้าใจว่าจะเข้าสภาฯ สัปดาห์หน้า ส่วนสภาฯจะลงมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตนไม่ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามเจตนารมณ์แล้ว ส.ส.ร.สามารถยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทั้งฉบับหรือไม่ นายวิษณุ ปฏิเสธว่า ตนขอไม่ตอบ
“ตนบอกเป็นครั้งที่ร้อยแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จริงจังกับการแก้ปัญหาบ่อนทั้งระบบ น.ส.อรุณี ไม่เคยจำ ทำเหมือนนกแก้วนกขุนทอง และนายกฯ ยังให้ดำเนินการเอาผิดเด็ดขาดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะลงโทษเด็ดขาด รวมถึงเรื่องส่วย ยาเสพติด ก็มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
“ส่วนปัญหายาเสพติดนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ลุยแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ โดยในปี 2564 มีการเปิดแผนปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติด ตั้งเป้ายึดทรัพย์ 6,000 ล้านบาท พร้อมให้ ป.ป.ส. เป็นศูนย์กลางประสานทุกหน่วยงาน จัดหาเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยใช้ทำงานสาวให้ถึงต้นตอ”
นายธนกร กล่าวอีกว่า "กรณีที่ น.ส.อรุณี แนะนายกฯ ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตัวเองว่าเคยทำอะไรให้กับประเทศบ้างนั้น น.ส.อรุณี มีจิตใจที่มืดบอดหรือแกล้งโง่ จึงถามคำถามแบบนี้ ตลอดระยะเวลา 7 ปี พล.อ.ประยุทธ์ทำงานให้กับประเทศมากมาย โดยในช่วงแรกก็ลุยแก้ปัญหาที่พรรคเพื่อไทยก่อไว้ เช่น การทุจริตจำนำข้าว ทำให้ประเทศเสียหายกว่า 6 แสนล้านจนมีรัฐมนตรีต้องติดคุก อดีตนายกฯ ต้องหนีไปต่างประเทศ"
"รวมถึงการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน โครงการช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการและผู้มีรายได้น้อย สนับสนุน อสม. มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ เช่น โครงการชิมช้อปใช้ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม เช่นโครงการประกันรายได้เกษตรกร การแก้ปัญหาราคายาง และยังมีอีกหลายโครงการที่เป็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์"
"น.ส.อรุณี ไม่ควรมีอคติจนเกินไป ควรเปิดใจให้กว้าง รับฟังบ้าง ไม่ใช่โจมตีรัฐบาลทุกเรื่องอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือท่องไปตามบทที่คนใหญ่คนโตในพรรคเขียนบทมาให้"
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ สถานประกอบการในประเทศจำนวนมากได้รับผลกระทบจนไม่สามารถจ้างงานได้เช่นเดิม ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่ง มีความหวังจะไปทำงานต่างประเทศเพื่อหารายได้
ซึ่งล่าสุดได้สั่งการกรมการจัดหางาน ให้ติดตาม ตรวจสอบแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิอย่างเข้มงวด เพื่อระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์ลักลอบไปทำงานต่างประเทศอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนำ คนหางานที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ อย่าหลงเชื่อข้อความโฆษณาทาง ‘โซเชียลมีเดีย’ และขอให้ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ
เพราะมีโอกาสถูกหลอกลวงให้สูญเงิน จนถึงเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน www.doe.go.th/ipd ซึ่งขณะนี้มีบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 127 บริษัท
"การโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน จะมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
"ทั้งนี้ เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศแล้ว จำนวน 49 คน และคนงานไทยไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศ จำนวน 1,965 คน" อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สำหรับผู้สนใจจะไปทำงานในต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลการเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน