Tuesday, 10 June 2025
POLITICS TEAM

ศชอ. ยื่นหนังสือแจ้งจับ "อั่งอั๊ง โอปิลันธน์" หลานสาว "ธนาธร" โพสต์ทวิตเตอร์หมิ่นเบื้องสูง ด้านปอท. ขอตรวจสอบก่อน หากเข้าข่ายส่งฟ้องศาลแน่ กระทบจิตใจคนไทยผู้จงรักภักดี

จากกรณีที่ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด (Bully) ทางสังคมออนไลน์ หรือ ศชอ. กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อ น.ส.อัครสร โอปิลันธน์ หรือ อั่งอั๊ง บุตรสาว นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และยังมีศักดิ์เป็นหลานสาว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังทวิตเตอร์ @AngAngOpilan โพสต์ข้อความเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 กับตำรวจ ที่หน้าศาลฎีกา เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ในลักษณะอันมิบังควร ภายหลังเจ้าตัวได้ลบข้อความไปแล้ว แต่ก็มีชาวเน็ตบันทึกภาพหน้าจอข้อความดังกล่าวเอาไว้ได้ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ตัวแทน ศชอ. นำเอกสารกรณีดังกล่าวมามอบให้กับ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนว่าเข้าข่ายกระทำความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ หากเข้าข่าย ปอท. จะเร่งรีบทำสำนวนเพื่อส่งฟ้องศาลต่อไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจพสกนิกรผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง

ส่วนนายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "ผลกรรมมันเป็นเหมือนบูเมอแรง ที่ตี๋หนึ่งขว้างไปแล้วหลานตัวเองติดกับดักนั้นด้วย บูมเมอแรงแห่งกรรมที่หลอกให้คนหลงผิดกำลังเหวี่ยงเข้าสู่ลูกหลาน แม่และน้องของตัวเองแล้ว น่าสงสัยคนรุ่นหนุ่มสาวที่น่าจะมีอนาคตสดใส"


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000015547

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สัปปายะสภาสถาน นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยอภิปรายกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

โดยนางอมรัตน์ ระบุว่าวันนี้ตนจะอภิปรายกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ในประเด็นการทุจริตในหน้าที่ 3 ข้อ คือ 1) ทำผิดกฎหมายประมวลรัษฎากร หนีภาษี 2) ทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับผลประโยชน์อื่นใดเกินที่กฎหมายกำหนด และ 3) มีพฤติกรรมปกปิดข้อมูลส่วนตัวเพื่อหนีการตรวจสอบ มี และเข้าข่ายให้ข้อมูลเท็จต่อศาลรัฐธรรมนูญ

***ขี้ตู่! แจงทรัพย์สิน ป.ป.ช.บ้านหลังน้อยกลางซอยเปลี่ยว แต่ตัวจริงอยู่เซฟเฮาส์ลับ 3 ไร่กลางค่าย ร.1 สร้างจากภาษีประชาชนตั้งแต่ก่อนยึดอำนาจ***

นางอมรัตน์ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะไม่มีความผิดโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่นั่นคือการวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น คือประเด็นต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จากการพักอาศัยอยู่บ้านหลวงในกองทัพบก แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีอำนาจวินิจฉัยความผิดตามกฎหมายอื่น นั่นคือความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. ความผิดตามกฎหมายอาญาเกี่ยวกับภาษี ซึ่งพฤติการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์มีความผิดตามกฎหมายทั้งสองข้างต้นอย่างชัดเจน

โดยตนได้ไปทำการสืบค้น จนพบข้อพิรุธในการปกปิดข้อมูลของ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวคือ พล.อ.ประยุทธ์แจ้งในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อปี 2557 ว่าอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 14 ซอยร่วมมิตร ถ.ย่านพหลโยธิน สามเสนใน กทม. ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ. อยู่บ้านพักในค่ายแล้ว

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ยื่นคำให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่าอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 253/54 กรมทหารราบที่ 1 ซึ่งสอดคล้องกับที่กองทัพบกให้การ แต่ทว่ากรรมาธิการ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบไปยังการไฟฟ้านครหลวง ได้รับตอบกลับมาว่าไม่พบว่ามีบ้านเลขที่นี้อยู่ในกรมทหารราบที่ 1

ทั้งนี้ วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารได้เคยเขียนเล่าในหนังสือ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ แท้ที่จริงแล้วอาศัยอยู่ในเซฟเฮ้าส์เลขที่ 702 ในค่ายทหารตั้งแต่ยังเป็น ผบ.ทบ.จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็นับเป็นเวลามากกว่าสิบปีแล้ว ในหนังสือชื่อ “ลับลวงพราง 5 ศึกชิงอำนาจผ่าแผนปฎิบัติการเลือด” ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 2555 ในบทที่ 68

และในหนังสือดังกล่าว ยังเขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับบ้านเซฟเฮาส์เลขที่ 702 เอาไว้อีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้สร้างบ้านพักหลังนี้บนเนื้อที่เกือบ 3 ไร่ ที่จะเป็นทั้งบ้านพัก ห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมลับ ห้องรับรอง ห้องจัดเลี้ยงวอร์รูมและ safe house ที่พร้อมสรรพและทันสมัย ในแบบประชุมทางไกลผ่านดาวเทียมจากที่ไหนในโลกก็ได้

และยังระบุอีกว่า ที่ผ่านมา 3 ป. ได้ใช้บ้านพักหลวงแห่งนี้เป็นที่ประชุมทางการเมืองมาตลอด เป็นที่ประชุมลับในช่วงวิกฤต บ้านพักหลังนี้มีการวัดระยะก่อนสร้างว่าเอ็ม 79 ยิงไม่ถึง เป็นการสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์มีแผนที่จะอยู่ในอำนาจยาวนานและรู้ด้วยว่าจะต้องพบเจอภารกิจใดบ้างนับจากนี้ นอกจากนี้ วาสนายังได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ร.1 รอ. และ เซฟเฮาส์เลขที่ 702 จะเป็นสถานที่ให้กำเนิดและตัดสินชะตาบ้านเมืองอีกครั้งก็เป็นได้

“อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่นของคฤหาสน์บ้านหลวงริมน้ำ ที่ปลูกเต็มพื้นที่ 3 ไร่ เป็นเงินภาษีของประชาชน แต่ทำไมมันลึกลับยากต่อการตรวจสอบขนาดนี้คะ ขนาดกรรมาธิการ ป.ป.ช.แห่งรัฐสภาทั้งขอตรวจสอบไปที่การไฟฟ้านครหลวง ทั้งขอคำชี้แจงจากกองทัพก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ ถ้าสร้างด้วยเงินของท่านเองดิฉันก็คงไม่มายืนอภิปรายในวันนี้ค่ะ ทั้งหมดนั้นสร้างจากเงินภาษีอากรของประชาชนตาดำๆ ทั้งสิ้น จัดให้อยู่ฟรีมีสุขขนาดนั้นแล้วยังจะหนีการตรวจสอบ ยังจะกล้าหนีภาษีอีกเหรอคะ” นางอมรัตน์กล่าว

นางอมรัตน์กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าและสาธารณูปโภคอื่นๆ ในคฤหาสน์ริมบึงพื้นที่ 3 ไร่ในค่ายทหารของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น มีค่าใช้จ่ายเกิน 3 พันบาทตามกฎหมาย ป.ป.ช.อย่างเห็นได้ชัด

ตามเอกสารรายการหักบัญชีค่าไฟฟ้าของบ้านเลขที่ 14 ซอยร่วมมิตร ถ.ย่านพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. 10400 ซึ่งเป็นบ้านหลังที่แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินนักการเมืองต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2557 บ้านหลังนี้อยู่ในซอยแคบและอยู่ก้นซอย เข้าไปก็กลับรถลำบาก บ้านหลังเล็กๆนี้ไม่มีคนอยู่ยังมีค่าไฟฟ้าเดือนละพันกว่าบาททุกเดือน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อยู่มาเป็นสิบปียังค่าไฟเดือนละกว่าพันบาททุกเดือน เทียบกับคฤหาสน์ริมน้ำพื้นที่ 3 ไร่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกิน 3 พันบาทแน่นอน

“คำถามต่อไปคือเฉพาะค่าไฟที่มีใบเสร็จอย่างเดียวนี่เดือนละกี่พันกี่หมื่น และค่าบำรุงรักษาดูแลอีกเดือนละเท่าไหร่ ได้ข่าวมาว่า มีชั้นจอดรถใต้ดิน และลานจอดเฮลิคอปเตอร์อีกด้วย ทั้งหมดคือภาษีอากรของพวกเราประชาชนตาดำๆ ดิฉันต้องการให้ท่านเปิดเผยออกมาซักทีว่าเดือนๆ หนึ่งท่านใช้ภาษีของพวกเราไปเท่าไหร่” นางอมรัตน์กล่าว

นางอมรัตน์ยังกล่าวต่อไปว่า เรื่องบ้านเลขที่ที่มีปัญหา เด็กชั้นประถมต้นยังตอบบ้านเลขที่ของตัวเองได้แล้วเวลาที่ครูถาม แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไม่ได้ดูถูก แต่ต้องถามว่าท่านจำบ้านเลขที่ตัวเองได้หรือไม่ เพราะข้อมูลที่ได้มาแต่ละแหล่งไม่ตรงกันเลย และนั่นคือข้อกล่าวหาของตน เรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ทำการปกปิดอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของประชาชน ซึ่งผิดหลักการของนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยสากล

***จี้ต่อ ค่าไฟเซฟเฮาส์เดือนละกี่หมื่น? ซัด รับประโยชน์อื่นใดเกิน 3 พัน ผิดกฎ ป.ป.ช.ชัดเจน***

หลังจากนั้น นางอมรัตน์ได้อภิปรายต่อไปถึงข้อกล่าวหาที่ 2 หรือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. จากการรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดเกินกว่า 3 พันบาท ซึ่งในกรณีนี้ พล.อ.ประยุทธ์เคยให้การไว้ต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า การรับประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการคือกองทัพ เป็นไปตามที่กองทัพปฎิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ที่มีสถานภาพและคุณสมบัติเดียวกันในธุรกิจการงานปกติ กองทัพจึงอนุมัติให้ผู้ถูกร้องเข้าอาศัยในอาคารเลขที่ 253/54 และสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นในการอาศัย

“นี่คือใบเสร็จที่ทั้งตัว พล.อ.ประยุทธ์และกองทัพบกยื่นให้การไว้ต่อศาล และถูกบันทึกไว้แล้วในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนมัดตัว พล.อ.ประยุทธ์ ไว้แน่นชนิดดิ้นไม่หลุดว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.จริง จากการยอมรับว่าได้รับผลประโยชน์อื่นใดเกิน 3 พันบาทจากกองทัพ และทำผิดกฎหมายรัษฎากรจริง จากการยอมรับว่ามีรายได้อื่นแต่ไม่เคยยื่นเสียภาษี ภงด.90”

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์เกษียณตั้งแต่ปี 2557 กองทัพบกไม่ใช่ต้นสังกัดของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้กับนักการเมืองเหมือนเราทุกคนที่นี่ ท่านอาจจะบอกว่าเป็นสวัสดิการจากกองทัพ รับตามระเบียบกองทัพ เหมือนนายพลที่เกษียณอายุแล้วท่านอื่น ต้องตอบไว้ตรงนี้ว่าเพราะเพื่อนนายพลของท่านเหล่านั้นถ้าไม่ได้มาเป็นนักการเมืองก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ป.ป.ช.ที่บังคับใช้กับนักการเมืองแบบท่าน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี 2561 ในมาตรา 128 ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐทุกตำแหน่ง และที่พ้นตำแหน่งมาแล้วไม่เกิน 2 ปี รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้เกิน 3,000 บาท" โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษตาม มาตรา 169 คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นางอมรัตน์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อความชัดเจนมากขึ้น จึงอยากให้ย้อนไปดูบรรทัดฐานที่เกิดขึ้นแล้วจากการชี้มูลของ ป.ป.ช. กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการชี้มูลความผิด และแจ้งข้อกล่าวหาต่ออดีตรัฐมนตรีคนหนึ่ง ในคดีดำหมายเลข 03- 3-57 9/2562 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 กรณีดังกล่าวป็นความผิดที่ ป.ป.ช.ชี้มูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับเลขาฯ มีความว่า อดีตรัฐมนตรีทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. รับตั๋วเครื่องบินมูลค่าเกิน 3 พันบาท 2 ครั้ง ป.ป.ช.ชี้มูลว่าถือเป็นโทษ 2 กรรม 2 กระทง สำหรับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำผิดรับค่าไฟฟ้าจากกองทัพเกิน 3 พันบาท 76 เดือน เรียงเป็นโทษ 76 กระทง และถ้า ป.ป.ช.ยังแชเชือนชักช้าไม่กล้าดำเนินการใดๆ ก็จะเพิ่ม เดือนที่ 77, 78, 79 เพิ่มความผิดต่อไปเรื่อย ๆ อีก

“บุคคลต้องเสมอภาคเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย ยกเว้นท่านจะไม่ใช่บุคคล ลองคิดอย่างโง่ๆ สมมุติถ้ามนุษย์มีแค่ 84,000 เซลล์สมองจริงอย่างที่ท่านเคยว่าไว้ ก็มีเหลือทางเดียวที่จะรอดได้ นั่นคือต้องใช้อำนาจ ม.44 กลับไปแก้กฎหมาย ป.ป.ช. แต่จะแก้อย่างไร เพราะในตอนนี้ท่านไม่มีอำนาจ ม.44 อีกแล้ว นับจากวันพ้นสภาพลูกจ้างกองทัพมาเป็นลูกจ้างประชาชน ท่านต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของเดียวกับนักการเมืองทุกคน ท่านรับประโยชน์อื่นใดจากกองทัพเกิน 3 พันบาท รวม 76 กรรม 76 กระทง กระทง ละ 3 ปีมีโทษจำคุกรวม 228 ปี ลาออกตอนนี้เลยไหมคะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต้องให้อภิปรายข้อกล่าวหาต่อไปดีไหมคะ ดิฉันอายแทนท่าน” นางอมรัตน์ กล่าว

***ซัดต่อ เป็นถึงนายกฯไม่ยอมยื่นภาษี กินน้ำไฟหลวงฟรีจากกองทัพ อายชาวบ้านบ้างไหม***

สำหรับข้อกล่าวหาสุดท้าย นางอมรัตน์ ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 50 และทำผิดประมวลรัษฎากร โดยกรณีของรัฐธรรมนูญมาตรา 50 (9) ระบุไว้ว่าบุคคลต้องมีหน้าที่เสียภาษี ส่วนประมวลรัษฎากรมาตรา 39 กล่าวถึงเงินได้พึงประเมินว่า เป็นเงินได้ที่ต้องนำมาเสียภาษี และให้หมายความรวมถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดซึ่งอาจคำนวณได้เป็นเงิน และประมวลรัษฎากรมาตรา 40 (2) กำหนดให้เงินได้เนื่องจากหน้าที่ หรือตำแหน่งงานที่ทำถือเป็นเงินได้พึงประเมิน

โดยประมวลรัษฎากรมาตรา 42 ระบุข้อยกเว้นว่าผลประโยชน์อะไรบ้างที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี มี 25 ข้อย่อย ยกตัวอย่างเช่นค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ค่าเดินทางที่นายจ้างจ่ายให้ ดอกเบี้ยสลากออมสิน ดอกเบี้ยจากเงินฝากออมทรัพย์ ของสหกรณ์ออมทรัพย์ มรดก ประโยชน์ทดแทนที่ผู้ปรกันตนได้รับจากกองทุนประกันสังคม เป็นต้น

“ขอย้ำ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มีความผิดเพราะไปรับประโยชน์ค่าไฟฟ้าจากกองทัพ แต่สิ่งที่กล่าวหาประเด็นนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์รับแล้วไม่ไปยื่นเสียภาษี ถามว่าท่านเป็นถึงผู้นำประเทศ ทำไมไม่ทำตามกฎหมาย ทำไมทุจริตจงใจหลีกเลี่ยงรับแล้วไม่ยอมเอาไปยื่นเสียภาษี ภงด.90 ต่างหาก และยังทำผิดแบบนี้มา 6 ปีแล้วนับตั้งแต่เกษียณจากกองทัพ เป็นเพราะความไม่แยแสไม่สนใจกฎหมาย คิดว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครจับได้ หรือมั่นใจว่าถึงจับได้ก็คงทำอะไรท่านไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

ทั้งนี้ นางอมรัตน์ ระบุว่า นับตั้งแต่ปีถัดจากเกษียณอายุ คือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นมา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนมารับเงินเดือนจากสำนักงานปลัดนายก หรือ สปน. ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา ก็ไม่มีใครได้เห็นแบบ ภงด.90 ของท่านอีกเลย

ซึ่งหลังจากวันที่ 1 ตุลาคม 2557 กองทัพกลายเป็นคนอื่นสำหรับท่านไปแล้ว การยื่นภาษีในปีต่อจากนั้นจึงต้องเอาผลประโยชน์ที่ได้รับจากกองทัพทั้งค่าน้ำค่าไฟค่าอื่นๆ มารวมเป็นรายได้ประจำใน (1) ในแบบ ภงด.90 ด้วย ขอย้ำอีกครั้งว่า ผลประโยชน์อื่นใดซึ่งศาลตัดสินให้ พล.อ.ประยุทธ์มีสิทธิ์รับจากกองทัพได้ไม่ผิด กองทัพไม่ผิด แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ผิดที่หลบเลี่ยง ไม่นำมารวมเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39 และมาตรา 40 และผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 50 (2) ที่บอกไว้ว่าบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีนั่นเอง

"ในระหว่างที่ยังเป็นทหารถือเป็นลูกจ้างของกองทัพ จะอ้างกฎหมายหรือจะอ้างกฎเกณฑ์หยุมหยิมระเบียบราชการกองทัพอะไรก็ว่ากันไป แต่เมื่อเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นนายก มาเป็นข้านักการเมือง ค่าไฟฟ้าที่ได้รับจากกองทัพถือเป็นเงินได้พึงประเมิน เข้าลักษณะพึงเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39, 49"

‘ประยุทธ์’ แจงซักฟอกสภา ยันไม่เคยรับส่วยบ่อนแม้แต่บาทเดียว ท้ามีหลักฐานฟ้องเลย พร้อมสู้คดีนอกสภา เปิดคลิปซัด “เสรีพิศุทธ์” ตัดต่อ-บิดเบือนคำพูด ลั่นไม่กลัวเวทีสภา ถือเป็นโอกาสได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสภาและประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวชี้แจงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย อภิปรายถึงเรื่องบ่อนการพนันที่ระบุว่าร้อยนายกฯ ก็แก้ปัญหาไม่ได้ว่า ใช้เวลานั่งฟังมาค่อนวัน ขอชี้แจงบางประเด็นก่อน มีสมาชิกให้ตนลองหลับตา ตนก็หลับดูมันก็มืด

แต่พอลืมตาขึ้นก็สว่างเหมือนเดิม จะให้หลับตาเพื่ออะไร ตนไม่เข้าใจ หลับมาก ๆ ก็เวียนหัว หัวทิ่มอีก ทุกอย่างเปิดเผยได้อยู่แล้ว อยู่ในกระบวนการยุติธรรม หากจะกล่าวอ้างว่าใครผิดใครถูกต้องไปสู่กระบวนการยุติธรรม ไปฟ้องร้องและต่อสู้คดีกันไป ถ้าจะพูดในสภาก็เป็นแบบนี้ พูดได้ตลอดทุกเรื่อง ซึ่งมีผลกระทบกับหลายคน หลายพรรค ต้องขอฝากด้วย เรื่องแรกที่อยากจะชี้แจง คือ เรื่องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ตนเป็นนายกฯ มา 6 ปี รู้ว่ากติกากฎหมายว่าอย่างไร และได้แจ้งเพิ่มเติมไปแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเปิดเผยเมื่อไหร่ กรุณาดูกฎหมายด้วย อย่าพาลว่าตนไปให้เขาแก้กฎหมายอีกซึ่งไม่เกี่ยวกับตนเลย ทุกเรื่องตนก้าวล่วงไม่ได้

ส่วนกรณีการเรียกรับผลประโยชน์ มีคนอ้างอิงว่ามีข้อมูลจากทางโทรทัศน์ ข้อมูลเหล่านี้เรียกว่าเป็นข้อมูลดิบ ฉะนั้นจะต้องไปหาหลักฐาน วัตถุพยาน พยานบุคคลเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องนอกสภา เขาจะได้สู้กันเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง การนำข้อมูลมาจากสื่อฯ ตนคิดว่าเป็นข้อมูลที่จะใช่หรือไม่ใช่ ตนไม่ทราบ แต่ยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง และจะเปิดให้ดูว่าที่ตนพูดจริงๆ มันคืออะไร พอดีเก็บข้อมูลไว้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การบริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือประเด็นเปิดบ่อนการพนัน การเล่นพนันออนไลน์ อันนี้เป็นสิ่งที่ท่านกล่าวหามา ตนในฐานะนายกฯ ถือว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับข้อกล่าวหาข้างต้น ในฐานะบุคคลธรรมดา ตนไม่สนับสนุน ไม่นิยมชมชอบการเล่นพนันขันต่อ ไม่ว่าจะรูปแบบใด เพราะการพนันถือเป็นเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมอันดี ขัดต่อหลักศาสนา และเป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามกฎหมาย และการตกเป็นทาสการพนันไม่ว่าจะรูปแบบใดจะก่อให้เกิดความเสี่ยง ไฟไหม้บ้าน 10 ครั้งยังเหลือที่ดิน แต่เล่นพนันครั้งเดียวอาจไม่เหลืออะไรสักอย่าง ตนทราบดีว่าการพนันต้องขจัดให้หมดสิ้นไป

จึงได้มีการสั่งการอยู่เสมอ กำกับดูแลติดตามให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองเข้มงวดกวดขันไม่ให้มีการเล่นการพนันในท้องที่ที่รับผิดชอบ ไม่ต้องการให้ประชาชนหลงใหลมัวเมา หากจับบ่อนการพนันในพื้นที่ใดได้ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่มีการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ตนได้มอบนโยบายสั่งการให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรงดำเนินการอย่างเข้มงวด เพราะการรวมตัวในบ่อนการพนันจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นการแพร่ระบาดกลุ่มก้อนได้ง่าย

ช่วงที่ผ่านมาได้มีการจับกุมบ่อนการพนันในพื้นที่ได้มาก มีการสอบข้อเท็จจริง มีการสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตั้งแต่ระดับรองผู้บังคับการ จนถึงผู้บังคับการ รวม 51 ราย รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ชัดเจนว่าถ้าได้รู้เห็นเป็นใจ หรือปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันในพื้นที่หรือไม่ ตนได้ให้นโยบายไปแล้ว หากตรวจสอบพบและมีความเกี่ยวข้องจริงต้องลงโทษสถานหนัก ที่ผ่านมาเชื่อว่าทุกรัฐบาลมีนโยบายกวาดล้างการพนัน

แต่การจัดการบ่อนการพนันอย่างที่สมาชิกได้กล่าวมาไม่ใช่เรื่องง่าย อดีตที่ทำมาได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ท่านบอกว่าใช้คนไม่กี่คน ใช้ลูกน้องไม่กี่คน ไม่จำเป็นต้องทำเอง ตนก็เห็นว่าต้องกำกับทุกอันเหมือนกัน และวันนี้ลูกน้องของท่านที่ทำงานด้วยวันนี้เป็นใหญ่เป็นโตใน สตช.หลายคนแล้ว ตนคิดว่าเขาคงใช้วิธีการที่ท่านเคยทำมา พี่สอนน้องมาอย่างไร เขาก็ทำตามนั้น วันนี้มีการปรับเทคโนโลยีต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้วเราต้องหาวิธีการ ตนไม่โทษกันไปมา

“ผมเชื่อมั่นว่าทุกรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ แต่ปัจจุบันการเล่นการพนัน การกระทำความผิดสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น วันนี้ผมสงสัยว่าทำไมจับได้เฉพาะคนเล่น ผมได้ให้นโยบายว่าต้องจับคนอยู่เบื้องหลังและนายทุนด้วย เจอเครือข่ายก็ต้องเล่นทั้งเครือข่าย ผมไม่มีผลประโยชน์อะไร จับหมด ฉะนั้นอย่ามาอ้างว่าผมได้รับผลประโยชน์ ก็ไปฟ้องร้องมาว่าจริงหรือไม่จริง หากไม่จริง ผมก็สู้ข้างนอก ขออย่าหมิ่นประมาทกันในส่วนตรงนี้ ถ้าผมไม่เอาจริง ผมจะตั้งทำไม กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้รับผิดชอบโดยเฉพาะ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทุกอย่างพัฒนาหมดแล้ว ผมยืนยันได้ว่ารัฐบาลเข้มงวดกวาดล้างการพนันทุกรูปแบบ

ไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ ไม่ปล่อยปละละเลยอย่างที่มีการกล่าวหา สถิติการจับกุมการกระทำความผิด พ.ร.บ.การพนันช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากปี 2561 - 2563 มีการจับกุม 35,000 - 50,000 คดี มีผู้ต้องหา 74,000 - 98,000 คน และอาจจะมากกว่านี้หลังการสอบสวนเชื่อมโยงก็ต้องสู้คดีกันไป เรื่องนี้หลายคนอาจจะมองเป็นเรื่องง่าย เราอาจจะกล่าวหาว่าใครทำหรือไม่กระทำ ใครรับประโยชน์ ใครเป็นเจ้าของบ่อน รวยจากบ่อนจากสิ่งที่ผิดกฎหมายทั้งหมด ในเมื่อเราเป็นนิติรัฐต้องใช้อำนาจทางกฎหมาย จะไปข่มขู่ข่มเหงอย่างที่กล่าวมาคงไม่เหมาะสม มันไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน จะทำอะไรต้องระมัดระวัง เราจะต้องพิสูจน์ให้ได้โดยปราศจากข้อสงสัย ถ้าผู้ถูกกล่าวหาทำผิดจริงต้องลงโทษได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า "การปฏิบัติเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ต้องรอบคอบ มีพยานหลักฐาน และคิดว่าที่จับมามีหลักฐานครบถ้วนก็ต้องดำเนินการต่อไป มีหลายคดีที่เกี่ยวข้องในตอนนี้บ่อนการพนันใน จ.ระยอง จ.ชลบุรี จ.จันทบุรี จ.ตราด และ จ.สมุทรปราการ บ่อนลอยฟ้า กทม. บ่อนไฮโลพาณิชย์ธนบุรี บ่อนแจ้งวัฒนะ บ่อนบางบัวทอง บ่อนไก่ชนทุ่งเสลี่ยม บ่อนพนันออนไลน์ การจับกุมเสี่ยโป้ ผลการสอบสวนบ่อนพระราม 3 การรับส่วยเอื้อประโยชน์จากบ่อนการพนัน ท่านบอกว่าทำไมมาจับตอนนี้ หลังจากที่ตนประกาศไปแล้วว่าทุกคนต้องร่วมมือต้องทำงานช่วยรัฐบาล แจ้งหลักฐาน แจ้งข้อมูลถึงนายกฯ โดยตรง ตนก็ได้ข้อมูลมาและนำไปสู่การจับกุมมันไม่ง่าย โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่เราต้องยืนยันเจตนารมณ์ต้องจับให้ได้ตราบใดที่ยังไม่มีบ่อนถูกกฎหมายและเห็นว่าท่านก็ศึกษาอยู่ เป็นเรื่องของท่าน"

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า "วันนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดการเล่นการพนันและทำให้เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 กำกับโดยตนและรองนายกฯ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยกับบ่อนการพนันภาคตะวันออกแล้ว ยืนยันว่าทุกภาคจะถูกตรวจสอบทั้งหมด ใครที่กล่าวหาว่าตนรับผลประโยชน์ ยืนยันว่าบาทเดียวก็ไม่เกี่ยวข้อง เงินชั่วๆ ไม่รับ จะรับแต่สิทธิประโยชน์ของตนตามกฎหมายเท่านั้น ท่านที่รู้โดยเฉพาะ ส.ส.ในฐานะข้าราชการการเมือง เมื่อรู้ต้องแจ้งความ จะปล่อยปละละเลยไม่ได้ และมาพูดทีหลังไม่ได้ ต้องแจ้งความ นั่นคือการร่วมมือกันแก้ปัญหา ส่วนคำพูดในสื่อฯ หรือคำพูดที่มีการกล่าวอ้างมา ตำรวจพูดอะไรพูด ตนยืนยันว่าไม่ได้กับเขา คนจะพูดอะไรก็ได้ ไปสอบสวนกระบวนความเอา หาข้อเท็จจริงกันไปที่นอกสภา เขาจะได้ชี้แจงได้"

ทั้งนี้ ในช่วงท้าย นายกฯ ได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดคลิปที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อภิปรายไปก่อนหน้านี้ สลับกับคลิปคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ในเรื่องบ่อนการพนัน เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า “บิดเบือนไหมครับ เป็นตัวอย่างหนึ่งในหลาย ๆ อย่างที่ถูกบิดเบือน ตัดต่อคำพูด กิริยาไปทำให้ดูไม่ดี วันนี้ผมลืมตาพูดแล้ว ทุกอย่างก็ค่อยๆ เปิดไปเรื่อย”

นายกฯ กล่าวว่า "วันนี้ก็ยินดีที่ได้มาสภา คิดถึง ไม่ได้หวาดกลัวอะไร และเป็นโอกาสที่ดีที่เราทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันทำเพื่อประเทศชาติ และประชาชนของเรา ถึงแม้ว่าท่านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ตาม ตนก็พร้อมที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง อยากฝากประชาชนฟังแล้วให้คิดว่าจะเชื่อหรือไม่ อยู่ที่การตัดสินใจ และเชื่ออย่างมีเหตุผล ถ้าไม่ฟังก็ไม่ได้ แต่ถ้าเชื่อทุกอย่างก็ไม่ดี ขอให้ฟังว่าฝ่ายใดมีข้อมูลชัดเจน อะไรที่เป็นความก้าวหน้า อะไรที่เป็นปัญหา อะไรที่เป็นอุปสรรค อะไรที่เราต้องแก้ไข"

นายกฯ กล่าวว่า "รัฐบาลและรัฐมนตรีที่เป็นผู้ปฏิบัติ ท่านต้องรู้ว่าควรเป็นนายกรัฐมนตรีทำงานอย่างไร หลายท่านพูดมาก็ไม่รู้ว่าต้องทำงานอย่างไร ลองไปเปิดระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีมีอำนาจทางไหน ทำงานอะไรได้บ้าง ปฏิบัติตามระเบียบอะไรบ้าง ตนก็ไม่เคยทำอะไรนอกกรอบนี้ เพราะระมัดระวังอย่างที่สุดในการทำงาน ตนเป็นผู้กำหนดนโยบาย แสดงวิสัยทัศน์ และมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐบาลจากส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคไปปฏิบัติและติดตามกำกับดูแลเร่งรัด แก้ปัญหาให้เขา แต่สิ่งที่ดำเนินการ คือ นำนโยบายของตนไปแปลงสูตรพร้อมขับเคลื่อน และนำส่งไปยังหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติเพื่อไปสู่ประชาชนข้างล่าง"

"ผมได้ย้ำตลอด การทุจริต ผิดกฎหมาย การใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า ไม่เคยละเว้น ไม่เคยปล่อยอะไรไปง่ายๆ หลายอย่างมีคนบอกว่าโครงการไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน ซึ่งก็อาจมีปัญหาอยู่พอสมควร เพราะบางโครงการเสนอขึ้นมาแต่ไม่มีพื้นที่ในการทำ แต่อยากได้ ซึ่งมันเป็นที่พื้นที่ของวัด เราก็ให้ไม่ได้ ในรัฐบาลผมงบประมาณที่ลงไปให้ทุกจังหวัดและมากขึ้นกว่าเดิม ท่านจะรังเกียจคนข้างบน ตรงกลาง - ข้างล่างไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นห่วงโซ่เดียวกัน ถ้าไม่มีการลงทุนก็ไปไม่ได้"

วันนี้รัฐบาลดูแลคนรายได้น้อย แต่ประสบปัญหาโควิด-19 ตนเห็นใจและเข้าใจจริงๆ วันนี้เป็นนายกฯ ก็รักคนไทยทั้ง 67 ล้านคน แม้ว่าใครจะไม่รักตน แต่ตนก็รักท่านเพราะท่านอยู่บนแผ่นดินไทยที่รักยิ่งของพวกเรา เกิดมา ทำอาชีพมา และตายบนแผ่นดินนี้ นั่นคือคนไทย


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000015553

ที่ห้องพิจารณา 916 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ คดีหมายเลขดำ อ.4022/2557 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง

นายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี ชาวกรุงเทพมหานคร, นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาวจังหวัดเชียงใหม่, นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา ชาวจังหวัดอุบลราชธานี, นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย ชาวกรุงเทพมหานคร และนางปุนิกา หรืออร ชูศรี ชาวกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72, 78 และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยทั้ง 5 กับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสียหายได้ อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ปืนเอ็ม 16 ปืนเอชเค 33 หรือ ปืนอาก้า

ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งวัน เวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่ 11 ก.ย. 2557 เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้ง 5 ส่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดี

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2560 พิพากษาว่า นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 และนายปรีชา จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72,78 ให้จำคุกคนละ 8 ปี และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 - 5 พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2563 ให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกจำเลยที่ 1 - 2 คนละ 10 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 3-5 แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา

โดยวันนี้ ศาลอ่านคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 ฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ส่วนจำเลยอื่นไม่ได้ยื่นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาได้บรรยายพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบโดยละเอียด บางส่วนของคำพิพากษาอธิบายถึงบันทึกถ้อยคำให้การ ซึ่งมีลักษณะลอกเลียนกันมาเกือบเหมือนกันทุกถ้อยคำ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งบรรยายถึงพยานโจทก์ที่ระบุเห็นผู้ตะโกนด่าพยานจากรถตู้เป็นจำเลยที่ 1

ซึ่งปกติความสามารถในการจดจำบุคคลจะลดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่พยานเบิกความในคดีไต่สวนการตายของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ พยานกลับจำตำหนิรูปพรรณของชายบนรถตู้ไม่ได้ ต่างกับที่เบิกความว่าเป็นจำเลยที่ 1 จึงมีน้ำหนักน้อย

พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีความสงสัยตามสมควร ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้ศาลอาญาออกหมายปล่อย

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โต้ ‘สมพงษ์’ ปม‘รัฐบาลปรสิต’ แจง รัฐบาลไม่ใช่ปรสิต แต่คิดทำเพื่อชาติ ผิดกับบางรัฐบาล ที่ออกนโยบายเชิงคิดทุจริตล่วงหน้า ทำประเทศเสียหายหลายแสนล้าน จากโครงการจำนำข้าว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า จากการอภิปรายของ นายสมพงษ์อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ที่กล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลปรสิตนั้น เป็นการกล่าวหาที่เกินไป สวนทางกับความเป็นจริง เพราะรัฐบาลคิดทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศมาตลอดระยะเวลา ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งใดที่ถูกใจใครไปทั้งหมด

เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่มองออกว่าประโยชน์ที่ประชาชนได้รับมีอะไรบ้าง เกษตรกรได้รับการดูแลให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีโครงการประกันรายได้ พื้นดินแห้งแล้ง ไม่มีแหล่งน้ำ รัฐบาลช่วยเหลือให้ดีขึ้น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีหลักการชัดเจน คือการปกป้องและเชิดชู สถาบันพระมหากษัตริย์

มีนโยบายอีกมากมายที่เกิดประโยชน์กับประชาชน ถ้าเป็นรัฐบาลปรสิต คงสูบกินประเทศจนเหลือแต่กระดูกเหมือนที่บางรัฐบาลทำ ที่กัดกร่อนหาประโยชน์จากนโยบายและประเทศ

นายราเมศ กล่าวต่อว่า "คำว่ารัฐบาลปรสิต จะเหมาะสมกับรัฐบาลที่ทุจริตมากกว่า ที่มีการออกนโยบายในเชิงคิดทุจริตไว้ล่วงหน้า นำไปสู่การโกงประเทศอย่างเป็นระบบ เช่นรัฐบาลหนึ่งที่ทุจริตในโครงการจำนำข้าว ที่ประเทศมีความเสียหายเกือบล้านล้านบาท

ฝ่ายค้านคงเข้าใจผิดไปเลยพูดกล่าวหาผิดรัฐบาล ประเด็นนี้ของฝ่ายค้านประชาชนตัดสินได้เลยว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลปรสิตแต่เป็นรัฐบาลที่คิดทำเพื่อชาติ เพื่อประชาชน และที่สำคัญเป็นรัฐบาลที่ทำงานโดยยึด ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นที่ตั้งในการทำงาน"

‘เสรีพิศุทธ์’ รื้อผลงานเก่า โชว์ฝีมือจับพนันกลางสภา สอนเชิง ‘นายกฯ’ นำไปแก้ปัญหา เจอฝ่ายรัฐบาลลุกประท้วงวุ่น

ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายว่า การที่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีร้อยนายกฯ ก็แก้ปัญหาบ่อนไม่ได้ เป็นการดูถูกอดีตนายกฯ ทำไมการพนันถึงอยู่ยั่งยืนยง เพราะเป็นการขอจับ

ซึ่งเป็นข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกับบ่อนการพนัน จับเฉพาะนักการพนัน แต่เจ้าของบ่อนไม่ถูกจับ แล้วก็มีการจัดฉาก บ่อนประตูน้ำอยู่มา 30 ปีไม่เคยถูกจับ แต่สมัยตนสามารถทำได้ แค่เป็นนายพันยังทำได้ แต่ทำไมระดับนายพลถึงทำไม่ได้ สิ่งที่ตนพูดเพื่อให้นายกฯ ไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายเกี่ยวกับบ่อนการพนัน ได้มี ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ อาทิ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.ประท้วงว่าพูดวกวนซ้ำซาก น่าเบื่อหน่าย ไม่ต้องเอาอดีตมาอวดอ้าง ทำเก่ง ใครก็รู้ทำไมถึงปราบเฉพาะบ่อนประตูน้ำ แต่ไม่ปราบบ่อนกิ่งเพชร เพราะอะไรใครก็ทราบ เพราะเป็นเพื่อนภรรยาท่านหรือไม่ รวมทั้ง นส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายไม่ตรงประเด็น และขอให้พูดเลยว่านายกฯ ทำผิดอะไร

ขณะเดียวกันส.ส.ฝ่ายค้าน อาทิ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายเรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ประท้วงว่าสิ่งที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เป็นการชี้ให้เห็นว่าว่าการแก้ไขปัญหาบ่อนควรทำอย่างไร เพื่อสอนให้นายกฯ ดู จะได้แก้ไขปัญหาได้ถูก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เปิดคลิปการจับกุมบ่อนประตูน้ำ และบ่อนลอยฟ้า จึงทำให้ถูกประท้วงจาก ส.ส.รัฐบาล และประธานในการประชุม ตักเตือนหลายรอบให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เข้าประเด็นว่านายกฯ ทำผิดอะไร และเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 ไม่เกี่ยวกับนายกฯ แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังยืนยันที่จะพูด โดยอ้างว่านายกฯ ไม่มีความรู้ความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้

หลังจากนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็ให้นายวิรัตน์ นำเอกสารไปให้นายกฯ ไปศึกษาวิธีปราบบ่อนควรจะทำอย่างไร ต่อมาพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เปิดคลิปเกี่ยวกับการจับบ่อนการพนันที่พระราม 3 ทั้งจากการแถลงข่าวของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และภาพข่าว รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ขอบคุณ ส.ส.ยุทธพงศ์ที่เปิดโปง แต่ตำรวจก็เป็นใหญ่เป็นโตและยังเสวยสุขอยู่


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/220508

การบินไทย เผย กระทรวงสาธารณสุข มอบหมายขนส่งวัคซีนโควิด ‘ซิโนแวก’ ล็อตแรก 2 แสนโดส จากจีนมาไทย 24 ก.พ.นี้ จัดเครื่อง Cargo พร้อมตู้คอนเทนเนอร์พิเศษ

พลอากาศเอก ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ประธานในที่ประชุมคณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขมอบหมายให้บริษัทปฏิบัติภารกิจขนส่งวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ล็อตแรก 200,000 โดส จาก บริษัท ซิโนแวก ไบโอเทค จำกัด สาธารณรัฐประชาชนจีนมายังประเทศไทยด้วยเที่ยวบินขนส่งสินค้า (Cargo) ทีจี 675 ปักกิ่ง-กรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A350-900 ออกเดินทางจากจีนในวันที่ 24 ก.พ.64 เวลา 06.50 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 11.05 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

บริษัทพร้อมปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้อย่างครอบคลุมทุกด้าน โดยได้จัดเตรียมเครื่องบินลำตัวกว้าง สำหรับขนส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ด้วยตู้คอนเทนเนอร์ชนิดปรับควบคุมอุณหภูมิเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิดังกล่าว สามารถขนส่งสินค้าที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิได้ระหว่าง -20 องศาเซลเซียส ถึง +20 องศาเซลเซียส รวมถึงอุปกรณ์บริการภาคพื้นเพื่อสนับสนุนเที่ยวบินขนส่งวัคซีน และพื้นที่คลังสินค้าปรับอากาศขนาดใหญ่ ที่มีความสะดวกในการ ส่งต่อวัคซีน ซึ่งจะช่วยปกป้องวัคซีนไม่ให้สัมผัสกับสภาวะอุณหภูมิสูงในระหว่างการส่งต่อ

นอกจากนี้ บุคลากรของบริษัท ยังมีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการขนส่งและดูแลผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าประเภทที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิเพื่อรักษาคุณภาพของสินค้า เช่น วัคซีน เวชภัณฑ์ เป็นอย่างดี และได้รับการรับรองมาตรฐาน GDP(Good Distribution Practice) ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก โดยบริษัท SGS (Thailand) เป็นผู้ทำการตรวจสอบ และรับรอง

ที่รัฐสภา สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภา เผยว่า วันนี้เป็นวันที่จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะเป็นวันเริ่มต้นนับถอยหลังไปสู่จุดจบของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 4 วันนับจากนี้

การอภิปรายไม่ไว้วางใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะเปิดเผยความไร้ประสิทธิภาพ ขลาดเขลา เบาปัญญาของผู้บริหารประเทศอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จะเปิดโปงการทุจริตฉ้อฉลของ พล.อ.ประยุทธ์และคณะ และจะเปิดหน้ากากของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จทำร้ายประเทศชาติบั่นทอนประชาธิปไตย และคุกคามเสรีภาพของประชาชน

“เวลา 6 ปี 8 เดือน 26 วัน ที่ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศนี้ ทั้งในฐานะหัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการรัฐประหาร และในฐานะนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบเพื่อ พล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้อง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติพังพินาศ ประชาชนทุกข์ยากแสนเข็ญยิ่งกว่ารัฐบาลใดๆ ในรอบ 8 ทศวรรษ

“ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ธุรกิจใหญ่น้อยล้มละลายทั่วทุกหัวระแหง ยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้งที่ผ่านมารวมกัน ประชาชนมีความทุกข์ยากอย่างถึงที่สุด อึดอัดคับข้องใจในชะตากรรมที่ต้องใช้ชีวิต ภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์มากที่สุด และสุดท้าย ต้องตัดสินใจจบชีวิตตัวเองมากที่สุด

“ผู้ชายคนหนึ่งสิ้นหวังในชีวิตเพราะตกงาน จึงพาบุตรสาวตัวน้อยพเนจรไปพึ่งพาวัดธรรมนิยม ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมื่อทุกข์ที่สุดจนสุดจะทานทน ในวันที่ 19 เมษายน 2563 เขาตัดสินใจโดดน้ำเพื่อหนีไปให้พ้นจากชีวิตที่มืดมน แต่ยิ่งน่าเศร้าใจ เมื่อบุตรสาววัย 5 ขวบร้องว่า “พ่ออย่าทิ้งหนู” แล้วกระโดดน้ำตามพ่อของเธอลงไป ในที่สุดจมน้ำตายทั้งพ่อลูก

“ผมอยากรู้จริง ๆ ว่า ในใจ พล.อ.ประยุทธ์รู้สึกอย่างไร สะเทือนใจไปด้วยหรือไม่ ประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของพล.อ.ประยุทธ์ทุกข์ยากเช่นนี้ เขานอนหลับลงในแต่ละคืนได้อย่างไร เขายังยิ้มแย้มสำเริงสำราญได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยทำตามสัญญาที่เขาให้ไว้เมื่อเกือบ 7 ปีที่แล้ว ว่าจะคืนความสุขมาให้ประชาชน แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง เขากลับเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะแสวงหาทางออกในทุกปัญหา เขากลับตีโพย ตีพาย เห็นปัญหาในทุกทางออก

“แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะคิดเก่ง ทำเก่ง ดังเช่นที่เขาเคยโอ้อวดว่า การบริหารประเทศไม่เห็นยากเลย พล.อ.ประยุทธ์กลับบริหารประเทศแบบคิดไป ทำไป ไม่มีการวางแผน ไม่รอบคอบ ไม่รัดกุม กลับไปกลับมา และโยนความผิดให้ประชาชน ทำให้เมื่อเผชิญวิกฤตอย่างโรคโควิด -19 ประชาชนจึงทุกข์แสนสาหัส ธุรกิจใหญ่น้อยจึงทยอยล้มลง แม้ธุรกิจที่ยืนหยัดต้านทุกวิกฤตมาได้หลายสิบปี ก็ต้องปิดกิจการในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์

“พล.อ.ประยุทธ์ ลืมไปว่า ประชาชน 67 ล้านคนจ่ายเงินเดือนให้เขามาทำงาน เพื่อทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ประชาชนต้องการนายกรัฐมนตรีที่ห่วงใยประชาชน มากกว่าห่วงการรักษาอำนาจของตนเอง ประชาชนต้องการนายกรัฐมนตรี ที่ทำสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่านายกรัฐมนตรีที่สนใจแต่ความนิยมในโพลที่ลิ่วล้อบริวารเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา

“พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่สามารถรวมพลังผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยกันพัฒนาประเทศชาติ ได้แต่อวดอ้างไปวันๆ ว่า ตนซื่อสัตย์ แต่กลับนิ่งดูดาย วางเฉยให้พวกพ้องและบริวารทุจริตฉ้อฉล รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นได้เพียง “รัฐบาลปรสิต” ที่กัดกร่อนอนาคตของประเทศและกลืนกินความฝันของประชาชน รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” นายสมพงษ์ อภิปราย


ที่มา: https://www.prachachat.net/politics/news-614491

กระทรวงพลังงาน เผย 31 มี.ค. นี้ หมดเวลาตรึงราคา ‘ก๊าซหุงต้ม’ ลุ้นอีกเฮือก ฝั่งยุโรปผ่านพ้นฤดูหนาว อาจทำให้ราคาก๊าซในตลาดโลกลดลง

พร้อมเผยกองทุนน้ำมัน อุ้มก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน 318 บาทต่อถัง 15 กก. เป็นวงเงินถึง 10,277 ล้านบาท

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ตลาดโลกใกล้ชิด เนื่องจากระดับราคาได้ปรับขึ้นต่อเนื่องหวังว่า ตั้งแต่เดือน มี.ค. จะผ่านพ้นฤดูหนาวไปแล้วราคาแอลพีจีโลกจะลดลง และมีผลทำให้ราคาคำนวณในไทยลดลงด้วย

"มาตรการดูแลแอลพีจีภาคครัวเรือนที่คงไว้ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม จะสิ้นสุด 31 มี.ค. 64 จากนั้นจะต้องสิ้นสุดการตรึงราคาส่วนจะมีการปรับขึ้นหรือตรึงต่อไปหรือไม่อย่างไรเรื่องนี้ยังมีเวลาในการพิจารณา"

ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดพบว่า ราคาแอลพีจีตะวันออกกลาง อยู่ที่ระดับ 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบัญชีแอลพีจีต้องอุดหนุนราคาขายปลีกไม่เกิน 318 บาทต่อถัง 15 กก. เป็นวงเงินถึง 10,277 ล้านบาท ซึ่งยังคาดหวังว่า เดือนมี.ค.นี้ประเทศฝั่งตะวันตก จะผ่านพ้นฤดูหนาวที่ปกติจะทำให้ราคาแอลพีจีกลับมาลดลงได้อีกครั้ง และจะส่งผลให้การอุดหนุนราคาแอลพีจีลดลงตามไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top