Saturday, 7 June 2025
AYA IRRAWADEE

7 ทศวรรษ ฤาสงครามกะเหรี่ยงอันยาวนาน จะจบในยุคของ 'นายพลเนอดา'

ฤาสงครามกองทัพกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมาที่รบกันมาอย่างยาวนาน จะจบลง!!

จุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่าในอดีต (เมียนมา) กับบรรดาชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 เมื่อสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า (เมียนมา) ได้รับเอกราชจากอังกฤษหรือสหราชอาณาจักร แต่โครงสร้างของรัฐบาลในพม่าขณะนั้นเองยังคงอ่อนแอ 

กระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ชาวกะเหรี่ยงจำนวนกว่า 400,000 คน ได้ประท้วงโดยสงบเพื่อแสดงความสามัคคี ในการจัดตั้งรัฐกะเหรี่ยง 

สามเดือนหลังจากได้รับเอกราช พรรคคอมมิวนิสต์พม่า เริ่มก่อการกบฏจับอาวุธขึ้นต่อสู้ และกลุ่มกะเหรี่ยงที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนได้เริ่มการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราช 

การเกิดขึ้นขององค์กรป้องกัน แห่งชาติกะเหรี่ยง เช่น กองทัพสหภาพกะเหรี่ยง (Karen National Union : KNU) ทำให้ความร่วมมือของชาวกะเหรี่ยงต่อรัฐบาลลดลง และความตึงเครียดเก่าๆ ระหว่างชาวกะเหรี่ยงและรัฐบาลเกิดขึ้นอีก 

การสู้รบระหว่างทหารกะเหรี่ยงและพม่าเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2491 รัฐบาลสันนิบาตเสรีภาพฯ พยายามเจรจากับกลุ่มกบฏ คอมมิวนิสต์ และเปิดทางให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เข้าร่วมในการเมืองระดับชาติ 

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2491 ได้มีการประชุมเพื่อหาทางแก้ไข ปัญหาที่กองทัพกะเหรี่ยงเติบโตขึ้น และหยุดการก่อกบฏของฝ่าย คอมมิวนิสต์ 

ในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ระหว่างกะเหรี่ยงและพม่า เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือว่าเป็นปีที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นมากในพม่า แต่ละกลุ่มต่างมีกำลังทหารเป็นของตนเอง และพยายามเพิ่มพื้นที่ปกครองโดยใช้ความรุนแรง ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้ 2 กลุ่ม คือ...

กลุ่มฝ่ายขวาและนิยมตะวันตก ได้แก่ กองทัพกะเหรี่ยง องค์กรป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง กองโจรสันติภาพ กะเหรี่ยง ตำรวจ และกองกำลังสหภาพส่วนใหญ่ 

อีกกลุ่มหนึ่งเป็นฝ่ายซ้าย และต่อต้านประเทศอังกฤษ ได้แก่ รัฐบาลสันนิบาตเสรีภาพฯ ทหารพม่า บางส่วนในกองทัพ ซึ่งเป็นตำรวจที่ตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านกองทัพกะเหรี่ยงและ ตำรวจที่นิยมฝ่ายขวา 

กระทั่งในช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2491 เกิดความ รุนแรงขึ้นทั่วพม่า เจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษบางส่วนที่อยู่ในพม่าตะวันออก สนับสนุนการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศพม่า ในขณะที่สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลทหารพม่า 

เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2492 ความขัดแย้งได้ดำเนินเรื่อยมา 

>> จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็นับ 74 ปีแล้ว 

จนกระทั่งเมื่อมีการรัฐประหารของนายพลมินอ่องหล่าย พม่าหรือเมียนมา ก็ยังใช้วิถีเช่นเดิม คือ การเจรจาหยุดยิง แม้ว่าทาง KNU จะปฏิเสธที่จะเข้าเจรจาสันติภาพตามคำเชิญของกองทัพเมียนมา และมีการสู้รบอย่างต่อเนื่องของกองทัพกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมา รวมถึงการเป็นฐานพักพิงและฝึกการต่อสู้ให้กับกลุ่ม PDF ที่เลือกจะจับอาวุธสู้กับกองทัพ

สงครามแย่งชิงมวลชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ คือภารกิจสำคัญของผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย หากต้องการให้มวลชนอยู่ภายใต้การปกครอง และตัวเองสามารถครองอำนาจไปได้ตลอด แม้กระทั่งผู้นำอย่าง ฮิตเลอร์ ก็ยังให้ความสำคัญกับการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชนมาเป็นฝ่ายตัวเอง 

สมัยฮิตเลอร์ครองอำนาจ เขาได้มือขวาคู่ใจคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาคือรัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ นายโยเซฟ เกิบเบิลส์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดม การโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างข่าวเท็จจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า Fake News โดยนปัจจุบัน เขามีลักษณะเด่นคล้ายฮิตเลอร์ คือ เป็นนักพูดตัวยง เป็นนักแสดงบนเวที และเป็นนักเล่าเรื่องผู้ยอดเยี่ยม

ฮิตเลอร์ และมือขวาของเขาได้ร่วมกันสร้างหลักการง่ายๆ จนเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำโฆษณาชวนเชื่อแพร่หลายทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ภายใต้หลักการง่ายๆ 7 วิธี ซึ่ง 7 วิธีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

'การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ' ภายหลังพรรคนาซีได้รุ่งเรืองอำนาจในปี ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์และเกิบเบิลส์ ได้เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในเยอรมนี เพื่อกำหนดข่าวให้อยู่ทิศทางเดียวกัน ไม่รวมถึงวิทยุกระจายเสียงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอยู่แล้ว และพวกเขาได้สร้างนักพูด นักปลุกระดมมวลชนหลายพันคนที่มีฝีปากจัดจ้าน ออกตระเวนไปพูดทั่วประเทศ ส่งเนื้อหาเพื่อทำให้ประชาชนชื่นชอบฮิตเลอร์ พรรคนาซี และความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่นๆ

...'โกหกจนเป็นเรื่องจริง' !!

โยเซฟ เกิบเบิลส์ เคยกล่าวว่า “ยิ่งโกหกคำโตมากเท่าไร โกหกบ่อยๆ คนจะยิ่งเชื่อมากขึ้น” และ “การหลอกประชาชนจำนวนมากด้วยการพูดโกหกเรื่องใหญ่ๆ ง่ายยิ่งกว่าการโกหกเรื่องเล็กๆ”

“การตั้งฉายา” ตั้งฉายาฝ่ายตรงกันข้ามให้ชั่วร้ายเลวทรามหรือดูแย่ เพื่อให้คนหมู่มากรู้สึกรังเกียจและสร้างความเกลียดชังให้มากขึ้น

“พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก” เป็นการย้ำข้อความเดิมๆ ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆจนคนฟังหรือผู้รับสารค่อยๆ ซึมและเชื่อไปเองในที่สุด ไม่ต่างจากการที่ค่ายเพลง เปิดเพลงที่ตั้งใจจะให้ฮิทติดอันดับทางสถานีวิทยุ เปิดไปเรื่อยๆ จนคนฟังชินหู แล้วเริ่มรู้สึกว่าเพลงเพราะ

“ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายอธรรม” ฮิตเลอร์พยายามสร้างภาพว่า ตัวเองเป็นสัตบุรุษ เป็นเสมือนพระเยซู ผู้ทรงคุณธรรม มีศีลธรรมอันดีงาม มาช่วยเหลือ ปกป้องชาวเยอรมันและป้ายสีว่าผู้ร้ายคนชั่วคือพวกยิว ที่เป็นพ่อค้าขูดรีด เอาเปรียบชาวอารยันมานาน และพวกคอมมิวนิสต์ที่มีความคิดชั่วร้ายในการปกครองประเทศ แม้กระทั่งก่อนการบุกประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเชคโกสโลวาเกียหรือโปแลนด์ ก็มีการปลุกระดมให้คนเยอรมันเข้าใจผิดว่า ชนชาติเหล่านั้นเป็นคนชั่ว ข่มเหงรังแกคนเยอรมันและชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้นๆ ทางรัฐบาลนาซีเลยต้องประกาศสงคราม

“แบ่งแยกผู้คนเป็นฝ่ายต่างๆ ชัดเจน” เมื่อทำทั้ง 6 วิธีด้านบนไปแล้วก็ถึงเวลาในการที่จะบีบให้คนต้องเลือกข้างและด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาคงไม่มีใครที่อยากจะเลือกข้างเป็นผู้ร้ายและนั่นคือความสำเร็จของโมเดลโฆษณาชวนเชื่อของฮิตเลอร์

'เชียงราย' - ช่วยเหลือ 6 คนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในเขตปกครองพิเศษประเทศเมียนมากลับไทย

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1และเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่3 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงราย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวและได้เดินทางมายังสะพานมิตรภาพชายแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 

อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายเพื่อมารับตัวเหยื่อทั้ง 6 ราย ซึ่งได้รับการช่วยเหลือโดยทางการเมียนมาได้ส่งตัวกลับมายังประเทศไทยโดยปลอดภัยซึ่งหลังจากนี้จะได้นำเหยื่อทั้ง6รายเข้าสู่กระบวนการตามมาตรการสาธารณสุขและกระบวนการคัดแยกเหยื่อตามลำดับต่อไป 

จากเหตุการณ์นี้สืบเนื่องจากกรณีที่มีคลิปของกลุ่มหญิงสาวที่ร้องขอความช่วยเหลือปรากกฎตามสื่อและโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาโดยกลุ่มหญิงสาวดังกล่าวถูกเอเจนซี่คนไทยชักชวนไปทำงานเป็นพีอาร์ที่ประเทศเมียนมาร์มีการข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมาร์โดยผิดกฎหมายสุดท้ายถูกบังคับค้าประเวณีที่สถานบริการภายในเมืองป๊อกรัฐฉาน (เขตปกครองพิเศษว้า) ประเทศเมียนมา มีหัวหน้าชาวจีนเป็นคนดูแลผลประโยชน์โดย

ภายในคลิปได้ร้องขอมายังทางการไทยเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐให้ความช่วยเหลือในการนำพาพวกตนกลับมายังประเทศไทยนั้นหลังจากภาพคลิปดังกล่าวปรากฎในสื่อต่างๆนั้นทางการไทยจึงประสานขอความร่วมมือไปยังทางการเมียนมา จนสามารถช่วยเหลือคนไทยทั้ง 6 คนกลับมาได้สำเร็จจากนี้ก็จะให้คนไทยทั้ง 6 คนเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อหากเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์จริง จะได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือในฐานะเหยื่อต่อไป หากพบว่าไม่ได้เป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ก็จะให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเด็ดขาดต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top