Saturday, 11 May 2024
เอกนัฏ_พร้อมพันธุ์

'เอกนัฎ' ชม!! ตั้งงบประมาณแบบขาดดุล ถือว่ามาถูกทาง วอน 'สส.ฝ่ายค้าน-รัฐบาล' เปิดใจให้โอกาสกับประเทศ 

(3 ม.ค.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายว่า ตนเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันก็จะสามารถปรับวิธีคิดในการบริหารจัดการใช้งบประมาณ ตนเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างโอกาสจากวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ตนไม่อยากให้โอกาสที่เป็นของประเทศที่เกิดจากวิกฤตต้องสูญเสียไป ขณะที่ประเทศไทยมองประเทศเพื่อนบ้านตาปริบ ๆ จีดีพีเพิ่ม 5-6 เปอร์เซนต์ ที่เราคาดการกันไว้จีดีพีประเทศไทยปีนี้อย่างดีก็เพิ่มประมาณ 3 เปอร์เซนต์กว่า ถ้าจะทำได้ต้องรีบใช้งบฯ ฉบับนี้ ตนยังมีความหวังกับประเทศนี้

นายเอกนัฎ กล่าวต่อว่า งบประมาณฉบับนี้มีการตั้งงบขาดดุลไว้ 6.93 แสนล้านบาท ส่วนงบลงทุนที่มีการตั้งงบไว้ 7.18 แสนล้านบาท ถือว่ามาถูกทางแล้ว มีการตั้งงบรายจ่ายสูงกว่าเงินที่เรารับมาในสัดส่วนที่ตรงกับเงินที่นำไปลงทุน แบบนี้ตนถือว่าเริ่มติดกระดุมถูกเม็ด เพราะเห็นความสำคัญกับงบลงทุน เพื่อไปเติมเต็มขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างรายได้ อย่ามองแค่เฉพาะยอดเงินที่ปรากฏในงบประมาณเท่านั้น จะต้องใช้งบลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์ ขอให้รัฐบาลมีระบบการรวมศูนย์การใช้งบประมาณ รวมถึงการเร่งสานต่อโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ, รถไฟรางคู่, รถไฟความเร็วสูง หลังจากพิจารณาผ่านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว จะต้องเร่งใช้เงินภายใน 4-5 เดือน ให้ทันภายในปีงบประมาณ 2567 โดยให้ท้องถิ่นนำไปกระจายใช้ 

ส่วนการดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าการใช้งบประมาณเกิดการทุจริต ดังนั้นงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายต้องถึงประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ควรให้แต่ละหน่วยงานเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าตรวจสอบการใช้งบ ให้การใช้งบเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญคือบรรยากาศ จะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความขัดแย้งประชาชน 

“สำหรับรัฐบาลชุดนี้เราเห็นสัญญาณของการยุติความขัดแย้ง ผ่านการเลือกตั้งมา 2 รอบแล้วผมหวังว่า จะเป็นการสิ้นสุดวาทกรรมเรื่องเผด็จการและประชาธิปไตย ผมหวังว่าสส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล จะช่วยกันพิจารณาผลักดันผ่านงบประมาณโดยเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน เราอยากมีเงินมาลงทุนกับคุณภาพชีวิต ให้กับประชาชน หวังว่าสส.ทุกท่านจะเปิดใจให้โอกาสกับประเทศ ขอให้สส.ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างและเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชน และใช้โอกาสนี้ในการรวมมือกันทำงานไม่ใช่แค่พิจารณางบฯ เท่านั้น แต่ต้องติดตามการใช้งบต่างๆ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ มีความโปร่งใส เกิดประโยชน์สูงสุด ผมมั่นใจว่าถ้าเราร่วมมือกันเราทำได้” นายเอกนัฎ กล่าว

‘เอกนัฏ’ ยัน!! ไม่ปกป้อง ‘เจ๋งดอกจิก-พิมณัฏฐา’ เตรียมเสนอ ‘ขับพ้นพรรค-ถอดชื่อ’ จากทีมทำงาน

(29 ม.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) ดังนี้...

กรณีนายเจ๋งและนางสาวพิมณัฏฐา

พรรคและผู้บริหารพรรคยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เต็มที่เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

ผมได้ให้นายทะเบียนตรวจสอบสถานะความเป็นสมาชิก 1) นายยศวริศ (เจ๋ง ดอกจิก) ไม่ปรากฏว่าเป็นสมาชิกพรรค 2) นางสาวพิมณัฏฐา ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ. 2566 และชำระค่าสมาชิกในวันเดียวกัน

การประชุมกรรมการบริหารพรรคและประชุม สส. พรรคในวันพรุ่งนี้ผมจะเสนอให้…

(1) ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อเสนอกรรมการบริหารพรรคให้มีมติขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคของ นางสาวพิมณัฏฐา และทุกคนที่เกี่ยวข้อง กรณีกระทำผิดวินัยหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับพรรค

(2) ให้รัฐมนตรี ประธานกรรมาธิการ กรรมาธิการ สส. ตรวจสอบและรายงานการตั้งคณะทำงาน ที่ปรึกษา ผู้ช่วย หากยังมีนายยศวริศ (เจ๋ง ดอกจิก) หรือ นางสาวพิมณัฏฐา อยู่ ก็จะประสานขอให้ถอนชื่อออกโดยทันทีเพื่อไม่ให้นำไปแอบอ้าง

ทั้งนี้พรรคฯ จะไม่ปกป้องการกระทำความผิดของสมาชิก และยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูล ผลสอบ หลักฐานต่างๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีต่อไป

‘เอกนัฏ รทสช.’ เสนอญัตติด่วน ทบทวนถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ

(14 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบแผน และมาตรการ การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชนเป็นการถวายความปลอดภัยให้สมกับเกียรติยศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักชาติ เสนอโดย นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 

โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ชี้แจงว่า เหตุผลที่ตนได้เสนอญัตตินี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการไปรบกวน ก่อกวนขบวนเสด็จฯ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้ประชาชนคนไทย ตนเห็นว่า กรณีนี้หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน จะทำให้สถานการณ์บานปลาย กระทบต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดี โดยเฉพาะความมั่นคงของประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวตนเห็นคลิปจากสื่อมวลชน ทำให้รู้สึกตกใจ เนื่องจากชัดเจนว่าขบวนเสด็จฯที่กำลังใช้ช่องทางสัญจรเป็นขบวนที่สั้นมาก การถวายความปลอดภัยในวันนั้นดำเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบประชาชน นอกจากนี้ยังไม่ปรากฎว่ามีการปิดถนนเส้นนั้นเลย แต่รถผู้ก่อนเหตุวิ่งมาด้วยความเร็ว เจตนาชัดเจนว่าพยายามขับรถไล่ขบวนเสด็จฯ จากนั้นได้ปรากฎอีกคลิปที่ทำให้เห็นเจตนาของผู้ก่อเหตุคืออะไร

“ในขณะที่ผมรู้สึกโกรธจนเกือบถึงขีดสุดจนกระทั่งจะเกิดเป็นความรังเกียจกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้น มีประโยคหนึ่งที่แว่วเข้ามาบันดาลใจให้ผมดึงสติลดความโทสะลง คือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า Thailand is the land of compromise ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความประนีประนอม หลังจากเกิดกรณีไปรบกวนขบวนเสด็จฯ เมื่อช่วงปลายปี 2563” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ ชี้แจงต่อว่า ตนเฝ้ารออยู่ว่า เมื่อเหตุเกิดขึ้นในวันที่ 4 ก.พ. ในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะออกมาอย่างไรบ้าง จะบังคับใช้กฎหมายอย่างไร แต่ตนรอหลังเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 1 สัปดาห์ ต้องบอกว่าการแสดงท่าทีไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 10 ก.พ.ผู้ก่อเหตุเหิมเกริมไปทำโพลที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม จนกระทั่งมีการกระทบกระทั่งกับอีกฝ่ายที่ไม่พอใจ ยืนยันว่า ตนไม่อยากซ้ำเติมความร้าวฉานที่เกิดขึ้นต่อทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนี้อีก หากเราไม่รีบบริหารจัดการสถานการณ์จะบานปลายไปสู่ความแตกแยกปะทุไปสู่ระดับประเทศ จึงขอส่งสัญญาณ และเสนอไปยังรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดดำเนินการยับยั้งไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ดังนี้…

1. ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทันที ไม่ใช่เป็นการล่าแม่มด หรือต้องการประหัตถ์ประหารใช้ศาลเตี้ยวินิจฉัย แต่เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบชัดเจนต้องไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่นและไม่ทำผิดกฎหมาย

2. ขอให้มีการทบทวนปรับปรุงระเบียบและแผนมาตรการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จที่ใช้มาตั้งแต่ปี2548 เนื่องจากบริบท และภัยคุกคามเปลี่ยนไป ให้มีความเข้มงวด กระชับ ชัดเจน มีเจ้าภาพ เหมาะสมทันสมัย มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุ มีขอบเขตพื้นที่แบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำจนกลายเป็นแฟชั่น หรือค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้น เข้าใจว่า เจ้าหน้าที่อาจกังวลว่าจะมีความเชื่อมโยงไปสู่ความยัดแย้งทางการเมือง หากปฏิบัติเข้มงวดไปจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ แต่ตนยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะตำรวจไม่ใช่เซลล์ที่ต้องมาคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้า ผู้ก่อเหตุกระทำการอย่างเหิมเกริมท้าทาย แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินการล่าช้าไป ดังนั้น เมื่อพ.ร.บ.ถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 อัพเดตแล้วระเบียบและมาตการดังกล่าวต้องอัพเดตด้วย ภารกิจถวายความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องดำเนินการแบบไร้รอยต่อ

“สุดท้ายข้อเสนอที่ 3. ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชน ว่าสามารถทำอะไรบ้าง อาจมีผลกระทบอย่างไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดประชาชนจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า ภารกิจการถวายความปลอดภัยไม่มีที่ไหนในโลกที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณพระเมตตา พยายามให้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ หรือเส้นทางการสัญจรรบกวนประชาชนให้น้อยที่สุด ผมเชื่อว่า มีประชาชนหลายคนต้องการให้ความร่วมมือ และช่วยเป็นหูเป็นตาไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะหากปล่อยปละละเลยไม่เข้มงวดเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่ความวุ่นวายการปะทะให้หมู่ประชาชนจนแตกแยก ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากเห็นค่านิยมเป็นแฟชั่นไปบั่นทอนสถาบันหลักของประเทศ จึงขอให้มีการทบทวนมาตรการต่างๆ เพื่อถวายความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันเสาหลักของชาติ” นายเอกนัฏ ระบุ 

ทั้งนี้ สส.ฝ่ายรัฐบาล ได้มีการลุกขึ้นสนับสนุน ญัตติด่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ สส.ฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ยังคงมองว่าต้องแก้ปัญหาจากต้นตอ ด้วยการแก้ ม.112 ต่อไป

ย้อนวลีเด็ด ‘เลขาฯ ขิง’ ต่อกรณี ‘มาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ’

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 67 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จว่า “ที่ตัดสินใจเสนอญัตติด่วนในวันนี้สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ซึ่งมีการเผยแพร่มีการรบกวนก่อกวนขบวนเสด็จ สร้างความสะเทือนใจให้กับคนไทย เพราะจากที่เห็นคลิปซึ่งมีการเผยแพร่ รู้สึกตกใจเนื่องจากขบวนเสด็จที่ใช้เป็นทางสัญจรเป็นขบวนที่สั้นมาก เห็นได้ชัดว่าการถวายความปลอดภัยในวันนั้นดำเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบกับการจราจรของพี่น้องประชาชน และไม่ปรากฏว่ามีลักษณะการปิดถนนปิดกั้นการสัญจรของพี่น้องคนไทย มีการกัน เป็นจังหวะ เป็นช่วง เป็นตอน ให้การจราจรไหลไปตามปกติ แต่ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งของผู้ก่อเหตุ วิ่งมาด้วยความเร็วเจตนาชัดเจน โดยขบวนเสด็จผ่านไปแล้วยังพยายามวิ่งไล่ขบวนเสด็จ จนรถที่ปิดท้ายต้องมากันรถผู้ก่อเหตุออกไป และหลังจากนั้นปรากฏขึ้นอีกคลิปหนึ่งทำให้เห็นเจตนาของผู้ก่อเหตุในวันนั้นว่าคืออะไร”

นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า “หลังจากเห็นคลิปแล้ว เชื่อว่าความรู้สึกของตนเหมือนกับ สส. หลายคนในห้องนี้ และรู้สึกเช่นเดียวกับประชาชนหลายคน ซึ่งตนรู้สึกโกรธมากว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนี้ แต่มีประโยคหนึ่งที่แว่วทำให้ตนรู้สึกลดโทสะลงคือพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ท่านทรงตรัสไว้ว่า Thailand is the Land of compromise หรือประเทศไทย คือดินแดนแห่งการประนีประนอม ทำให้ดึงสติตนลดความโกรธลดลงมา เพราะความจริงแล้วพฤติกรรมแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับขบวนเสด็จ แค่มารยาททางสังคม เวลาเดินจะเข้าลิฟต์ยังต้องหลีกทางให้กันและกัน แม้กระทั่งบนถนนที่ใช้ก็มีมารยาทในการสัญจรการจราจรบนถนน สิ่งที่ตนคาดหวังหลังเกิดเหตุ คือเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. รอมาเกือบสัปดาห์ปรากฏว่าท่าทียังไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 10 ก.พ. ผู้ก่อเหตุยังเหิมเกริมไปทำโพลที่บีทีเอสสยาม จนเกิดการกระทบกระทั่งเกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างประชาชนที่ไม่พอใจกับผู้ก่อเหตุ”

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า การเสนอญัตติครั้งนี้ไม่มีความตั้งใจที่จะมาพูดเพื่อซ้ำเติมความร้าวฉาน ความแตกแยกที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในความรู้สึกของทั้งสองฝั่ง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ควรเกิดขึ้นอีก และถ้าเราปล่อยปละละเลยในที่สุดสถานการณ์ตามที่เราได้เห็นวันที่ 10 ก.พ. เริ่มมีการประท้วงมีการปะทะกันในหมู่ประชาชน ถ้าเราไม่รีบบริหารจัดการจะบานปลายไปสู่ความแตกแยกความรุนแรงที่อาจจะปะทุ บานปลายถึงความขัดแย้งระดับประเทศ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยบังคับกฎหมายในทันที เพื่อความสงบเรียบร้อยเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือกฎหมาย การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบชัดเจนว่าต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่น และต้องไม่กระทำความผิดกฎหมายตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นายเอกนัฏ ยังเสนอให้ทบทวนระเบียบมาตรการต่าง ๆ รวมถึงแผนการถวายการอารักขาความปลอดภัยแก่ขบวนเสด็จ แม้ปัจจุบันกฎหมายที่ใช้ ถือว่ามีความทันสมัย ตามพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย แต่ในความเห็นของตนเนื่องจากภารกิจนี้มีความสำคัญ และเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จนทำให้ตนกังวลว่าหากเราไม่ทบทวนมาตรการเข้มงวดจะเป็นการปล่อยปละละเลยจนกระทั่งการกระทำในลักษณะแบบนี้เป็นแฟชั่น เป็นค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้น และไม่อยากจินตนาการเลย ถ้าหากปล่อยให้บานปลายมากไปกว่านี้ 

ดังนั้นจึงควรต้องมีการปรับปรุง ระเบียบ และแผนในการปฏิบัติที่ยังใช้ของเดิมตั้งแต่ปี 2548 ในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งและบริบททางสังคมเปลี่ยนไปเยอะ ใน 10 ปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งนิยามของภัยคุกคามหรือความพยายามที่จะก่อกวนขบวนเสด็จหรือก่อเหตุให้เกิดอันตรายก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะไม่สามารถจินตนาการว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นหากกฎหมายอัปเดตแล้วระเบียบแผนมาตรการจะต้องอัปเดตตามกฎหมายด้วย จะต้องมีความกระชับ มีความชัดเจน มีเจ้าภาพ มีขอบเขตพื้นที่ที่ชัดเจน ไม่อยากให้เกิดข้อถกเถียงในการปฏิบัติหน้าที่ว่า เหตุเกิดขึ้นแล้วเป็นของใคร เรื่องของการถวายความปลอดภัยการถวายพระเกียรติถือเป็นภารกิจสำคัญมาก ๆ ต้องมีความชัดเจนและสิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกซ้อม

"เห็นไหมครับก่อเหตุปุ๊บถ่ายคลิปทันทีแบบนี้เจ้าหน้าที่จะต้องมีการฝึกซ้อม แผนรองรับ อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ อะไรที่ประชาชนผู้ก่อเหตุไม่สามารถทำได้ เมื่อเกิดเหตุสิ่งแรกที่จะต้องสื่อสารกับผู้ก่อเหตุคืออะไร เพราะประโยคนั้นเป็นประโยคที่สำคัญที่สุดถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการดำเนินการตามกฎหมายแล้ว แต่ผมไปดูคลิป ผมขอไม่วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มากไปกว่านี้ เพราะเข้าใจว่าในส่วนของแผนมาตรการต่าง ๆ อาจจะลงไม่ชัดเจน ไม่มีการฝึกซ้อม ไม่มีคู่มือการปฏิบัติหน้าที่ แต่ผมหวังว่าหลังจากเหตุการณ์นี้จะไม่มีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นอีก" นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวด้วยว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสารกับประชาชน เพราะต้องยอมรับว่าในภารกิจการถวายความปลอดภัย ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเลย แต่เชื่อว่า พี่น้องประชาชนเข้าใจ และถือว่าเป็นความปลอดภัยต่อสาธารณะด้วย”

"ขอส่งสัญญาณผ่านรัฐบาลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปรับปรุงสื่อสารถึงหน่วยงานต่าง ๆ เพราะกังวลว่าถ้าปล่อยผ่านละเลย และเราไม่เข้มงวดเหตุการณ์แบบนี้จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่นำไปสู่ความวุ่นวาย เกิดการปะทะกันในหมู่ประชาชนเกิดความแตกแยก และขอย้ำว่าพวกเราอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขไม่อยากให้มีพฤติกรรมหรือค่านิยมแฟชั่นที่ออกมาบั่นทอนสถาบัน ที่เป็นสถาบันหลักของประเทศ จึงเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจขอเสนอเป็นญัตติด่วน เพื่อให้ สส. ได้พิจารณา ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บังคับใช้กฎหมายทบทวนระเบียบ แผน และมาตรการการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัยมีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์กับประชาชน ถือเป็นความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ" นายเอกนัฎ กล่าว

'เอกนัฏ' สวนนักแซะงบพลังงาน ยัน!! กมธ.งบฯ ทำงานหนักใต้กรอบเวลาจำกัด โต้!! ฝ่ายค้านอย่าโบ้ยทุกปัญหาให้เหมือนเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ หรือ 'ยุคลุงตู่'

เมื่อวานนี้ (21 มี.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ชี้แจงข้อสงสัยของสมาชิกในการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 ในส่วนของกระทรวงพลังงานว่า การแปรญัตติของเพื่อนสมาชิกอย่าง น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ที่ขอปรับลดงบประมาณ 3% ก็ตรงกับที่กรรมาธิการฯ ขอปรับลดลงประมาณ 3% เพียงแต่ในการพิจารณาในสภาฯ วาระ 2 ไม่ได้เห็นรายละเอียดในการสงวนคำแปรญัตติ นอกจากยอดตัวเปอร์เซ็นต์คือ 3% ถ้าเราเห็นรายละเอียดเหล่านี้ก่อน การทำหน้าที่ของกรรมาธิการฯ คงจะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้

ทั้งนี้ ในส่วนของกรรมาธิการฯ ไม่ได้มีเส้นแบ่งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เราทำหน้าที่ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ประชุมกันหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่เวลา 09.00 น. จนถึงเย็นทุกวัน มีเวลา 2 สัปดาห์ที่จะไล่สอบซักถามหน่วยงานแทนเพื่อนสมาชิก เพื่อรักษาผลประโยชน์งบประมาณของประเทศชาติ

สำหรับ ข้อสงสัยของสมาชิก ตนขอย้ำว่า กรรมาธิการฯ ไม่ได้มาทำหน้าที่แทนรัฐมนตรี หรือรัฐบาล ที่ น.ส.ศิริกัญญา ซักถามเกี่ยวกับเรื่องของแผนปฏิบัติการพลังงานในส่วนค่าจ้างที่ปรึกษา แต่เราได้รับคำชี้แจงจากหน่วยงานที่อนุกรรมาธิการเรียกหน่วยงานมาชี้แจง ได้แจ้งว่า ตัวของแผนจะประกาศใช้ ประมาณเดือนกันยายนปี 2567 ฉะนั้นในส่วนของตัวโครงการจ้างที่ปรึกษาสำหรับการประเมินติดตามก๊าซเรือนกระจก จึงมีความจำเป็นต้องอนุมัติงบประมาณแล้วก็ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อไปประกอบในแผนให้ประกาศใช้ทันภายในเดือนกันยายนปี 2567

นายเอกนัฏ ชี้แจงว่า กระทรวงพลังงานได้งบประมาณน้อยมาก หากเทียบกับกระทรวงอื่น น่าจะน้อยที่สุดด้วย เพราะไม่ใช่กระทรวงที่มีภารกิจไปจัดซื้อจัดจ้างหรือไปก่อสร้าง แต่เป็นกระทรวงที่ทำหน้าที่กำกับดูแล ต้องออกนโยบาย ตรวจดูกฎเกณฑ์ทำงานร่วมกับเอกชน ทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ให้ประชาชนมีพลังงานใช้ในราคาถูก และมีคุณภาพเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ฉะนั้นข้อสังเกตจากสมาชิก ก็เป็นข้อสังเกตในลักษณะเดียวกันกับอนุกรรมาธิการฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานีชาร์จไฟฟ้า หรือนโยบายการสนับสนุนรถอีวีรถไฟฟ้า

“นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน ทราบดีถึงความสำคัญของการทำงานของกระทรวงพลังงาน แล้วก็ไม่ติดยึดว่า เป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณน้อยที่สุด แต่เนื่องจากภารกิจหลักเป็นการกำกับดูแล ถ้าจะสร้างผลงานสร้างความเปลี่ยนแปลง มันต้องมีการรื้อกฎเกณฑ์กติกาหรือระบบเดิม ซึ่งท่านก็ทำมาตลอดแก้กฎระเบียบ กฎกติกาให้เหมาะสมทันสมัยในการแก้ปัญหา” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวย้ำว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่การไปบอกว่าปัญหาทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากรัฐบาลชุดนี้ หรือจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มันก็คงไม่ยุติธรรมกับทั้งรัฐบาลชุดนี้แล้วก็รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เช่น การตกลงให้สัมปทานบนพื้นที่อ่าวไทย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ และไม่ได้เกิดขึ้นในยุคนี้

ส่วนหนึ่งก็เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ที่ทำให้ประเทศไทยมีแหล่งพลังงาน แหล่งน้ำมัน แหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ แต่ส่วนที่เป็นปัญหาข้อพิพาทเมื่อเกิดขึ้นในรัฐบาลยุคไหน ตนเชื่อว่าก็อยู่ในใจของนายกรัฐมนตรีทุกคน แล้วก็อยู่ในใจพวกเรา ที่จะต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติให้มากที่สุด ไม่ใช่ไปดำเนินการตามองค์กรระหว่างประเทศ หรือบริษัทต่างชาติ อย่างเช่น เชฟรอน

“ผมขอยืนยันว่า ในระยะเวลาที่จำกัด กรรมาธิการฯทุกคนทำงานหนัก ได้ตัดสินใจแทนเพื่อนสมาชิกทุกคนอย่างรอบคอบ” นายเอกนัฏ กล่าว

‘เอกนัฏ’ ติงฝ่ายค้านหยุดพาดพิงกระทบ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ชี้!! บุคคลภายนอกแจงไม่ได้ ยัน!! ไม่สมควรอย่างยิ่ง

(4 เม.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ลุกขึ้นทักท้วงการอภิปรายของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายถึงบุคคลภายนอกพาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ถือว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งมีการนำสไลด์มาฉาย ก็เป็นการพาดพิงไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นบุคคลภายนอกไม่สามารถมาชี้แจงในสภาฯ ตามที่ถูกพาดพิงได้

ทั้งนี้ ขอให้อภิปรายในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ ถ้าจะถามถึงนายกรัฐมนตรีปัจจุบันให้เข้าประเด็นไปเลย และถามนายเศรษฐา ทวีสิน อย่าพาดพิงบุคคลภายนอก แต่ถ้าพาดพิงถึงรัฐมนตรีท่านไหนไม่ว่า จะเป็น น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม หรือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เดี๋ยวท่านสามารถมาชี้แจงได้ ไม่เช่นนั้นไม่ยุติธรรม

ขณะที่ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้ประท้วงผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมให้วางตัวเป็นกลาง เพราะได้วินิจฉัยไปแล้วไม่ให้มีการพาดพิงถึงบุคคลภายนอกตามที่ นายเอกนัฏ ได้ทักท้วง แต่ประธานในที่ประชุม ยังปล่อยให้มีการอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอก ที่ไม่สามารถมาชี้แจงได้

อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าว ทำให้ประธานในที่ประชุมได้กล่าวตักเตือนฝ่ายค้าน ไม่ให้อภิปรายถึงบุคคลภายนอกตามที่มีการท้วงติง

ฟังชัดๆ 'เอกนัฏ' ย้ำ!! พรรค รทสช.ยังแน่นปึ้ก ซัดกระแสข่าวชอบตีมั่ว พร้อมสยบร้าว!! ร่วมยินดีเสี่ยเฮ้ง ส่วนปมลาออก เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล

จากรายการ 'ตรงปก ตรงประเด็น กับ...สำราญ รอดเพชร' เมื่อวันที่ 9 พ.ค.67 ได้พูดคุยกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ถึงประเด็นที่มีการตีข่าวแรงสั่นสะเทือนและความขัดแย้งในพรรครวมไทยสร้างชาติในขณะนี้

โดยเริ่มต้นได้มีการถามถึงการไปแสดงความยินดีรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ สุชาติ ชมกลิ่น เข้ากระทรวงฯ? เอกนัฏ เผยว่า "มีสมาชิกพรรค รทสช.ไปร่วมแสดงความยินดีอย่างล้นหลาม เพราะตัวพี่เฮ้งเอง ถือเป็นที่รักของ สส.หลายคนในพรรค และจริง ๆ วันนี้ก็ไม่ได้มีคิวอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้นัดหมายอะไรกันไปเป็นพิเศษ มีแค่เช็กดูกันว่าใครไปบ้าง ไปพร้อมกันและนำดอกไม้ไปให้กำลังใจด้วยกันเลยไหม"

เมื่อถามถึงขอบเขตของงานของ รมช. สุชาติ ในกระทรวงพาณิชย์? เอกนัฏ กล่าวว่า "เท่าที่ผมทราบจะมีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และก็ดูแลในส่วนสำนักงานแผนเรื่องยุทธศาสตร์การค้า แล้วก็มีสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและพัฒนาองค์กร หรือ ITD เป็น 3 หน่วยงานครับ"

เมื่อถามว่า รมช.สุชาติ มีความหนักใจกับภารกิจโดยเฉพาะในเรื่องของการค้าต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน? เอกนัฏ เผยว่า "ท่านไม่มีความหนักใจเลย เพราะด้วยความที่มีพื้นฐานเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว บวกกับเป็นคนที่มีสไตล์การทํางานที่ชัดเจน จึงไม่กังวลใด ๆ อย่างสมัยที่พี่เฮ้งเป็นรัฐมนตรีแรงงานก็เป็นรัฐมนตรีที่มีผลงานโดดเด่นมาก เพราะความเป็นคนที่หนักแน่นและมีความตั้งใจในการทํางานสูง จึงทำให้ผลงานต่าง ๆ มีผลลัพธ์สูง"

เมื่อถามถึงกรณี รมช.คลัง กฤษฎา จีนะวิจารณะ ลาออกจากตำแหน่ง? เอกนัฏ กล่าวว่า "เรื่องนี้ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าเบื้องต้นลึกหนาบางเป็นอย่างไร และเราก็ไม่อยากไปซ้ำเติมความรู้สึกของท่านรัฐมนตรีด้วย เพียงแต่พวกเราก็ได้คุยกับท่าน ให้กําลังใจท่านแล้วก็รู้สึกเสียดาย ว่ากระทรวงการคลังจะต้องสูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพไป เพราะท่านเองก็เป็นอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งส่วนตัวผมมองว่า หากมีการพูดคุยกันในอำนาจการทำงานอย่างชัดเจนและคุยกันดี ๆ ก็คงไม่น่านำมาสู่ปัญหาใด ๆ"

เมื่อถามว่าถ้าเป็น เอกนัฏ จะตัดสินใจแบบนี้หรือไม่? เอกนัฏ ตอบว่า "คงเปรียบเทียบกันอย่างนั้นไม่ได้ เพราะที่มาที่ไปต่างกัน ซึ่งผมเข้าใจว่าท่านกฤษฎาเอง เดิมท่านก็เป็นข้าราชการที่ทำงานในกระทรวงฯ มานาน และเหตุการณ์นี้อาจจะมีเรื่องภายในที่กระทบต่อความรู้สึกด้วยหรือไม่อย่างไร ก็ถือว่าเราต้องเคารพการตัดสินใจของท่าน"

เมื่อถามกรณีการลาออกของ รมช.คลัง มีผลแล้วใช่หรือไม่ แล้วยับยั้งได้หรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ในทางการเมือง การลาออกไม่เหมือนข้าราชการ หากแสดงตนว่าจะลาออกแล้ว ก็เท่ากับออก อย่างผมเองตอนมีการชุมนุมแล้วประกาศลาออกบนเวที ก็มีผลตั้งแต่วันนั้นเลยครับ ส่วนใบลาออกเป็นเพียงพิธีการเฉย ๆ ครับ"

เมื่อถามว่า การบ้านก็ต้องไปตกอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ในการหาคนเข้าไปดูแลต่อตามโควตาหรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ต้องขอยกเทียบเช่นนี้ กรณีรัฐมนตรีต่างประเทศลาออกกับรัฐมนตรีช่วยคลังลาออก จะมีความต่างตรงที่ การขาดไม่ได้ และต้องมีผู้มาดูแลโดยเร่งด่วน ซึ่งก็หมายความว่า ในส่วนของ รมช.ยังไม่ได้มีความเร่งรีบขนาด รมว. เพียงแต่ตรงนี้ก็ยังเป็นโควตาของ รทสช.อยู่ ยังสามารถรอได้ หรือถ้ามองว่าไปดูแลในส่วนอื่น เช่น รองนายกฯ / รัฐมนตรีประจําสํานักนายกฯ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการอื่น ที่เหมาะสมต่อการทำงาน เพื่อให้ไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยก็ได้"

เมื่อถามถึงกรณีที่สื่อพยายามโยงใยว่า การลาออกของท่านกฤษฎา กับท่านสุพัฒนพงษ์ ในจังหวะเดียวกัน เป็นเหตุบังเอิญ หรือเพราะทั้ง 2 ท่านมีการพูดคุยกัน และตัดสินใจถอนสมอจากพรรคฯ หรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ประเด็นนี้มั่วมาก ๆ เพราะเหตุผลในการลาออกของท่านกฤษฎากับท่านสุพัฒนพงษ์ เป็นคนละเรื่องเลย กรณีท่านกฤษฎาออกไม่ได้มีความขัดแย้งหรือมีปัญหาอะไรกับพรรคเลยนะครับ หากแต่พูดกันตรงไปตรงมา มันก็สืบเนื่องมาจากการแบ่งงานในกระทรวงการคลังนั่นแหละ ส่วนความสัมพันธ์กับท่านและพรรคฯ นั้นดีมาก ๆ...

"...ส่วนกรณีของท่านสุพัฒนพงษ์ ผมต้องเรียนแบบนี้ว่า หากยังจำกรณีท่าน แรมโบ้-เสกสกล ได้ ในวันนั้นท่านลาออกจากสมาชิกพรรคไป ก็เพื่อที่จะไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจการนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าท่านต้องเตรียมไปดํารงตําแหน่งที่ไหนหรือไม่ที่จะต้องเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งท่านก็มีเปรยว่าเกี่ยวกับด้านพลังงาน ทำให้การลาออกจากสมาชิกพรรคในครั้งนี้ ก็เพื่อความสง่างามในอนาคตของท่านด้วยครับ"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "สําหรับพรรครวมไทยสร้างชาติหัวหน้าพรรคท่านพีระพันธุ์กับผมยืนยันมาตลอดว่าคนสําคัญที่สุด ก็คือ โหวตเตอร์ของพรรค ไม่มีใครสำคัญกว่าประชาชนอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีกรณีที่พยายามสั่นสะเทือนความมั่นคงของพรรค โดยเอาประเด็นท่านสุพัฒนพงษ์และท่านกฤษฎามาโยง เราก็ต้องเรียนตรงๆ ว่ามันไม่มีอะไรเชื่อมมาถึงปัญหาในพรรคเลย เพราะพรรคก็ต้องเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังดีเช่นเดิม โทรหากันเช่นเดิม...

"...ฉะนั้นกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมจึงมองว่าไร้สาระมาก จับแพะชนแกะกันเก่ง ถึงขนาดที่ว่า ผมไปนั่งคุยกับท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ ด้วยระยะเวลาประมาณชั่วโมงนึง ก็เสี้ยมกันออกมาว่า หัวหน้ากับผมแตกกัน มันไร้สาระมาก ... ถามหน่อยว่าผมไปที่ทําเนียบ ต้องพูดคุยข้อราชการกับท่านหัวหน้า จะให้ผมคุยกี่นาที ถึงจะไม่ประเด็นหรือไม่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง  เพราะในความเป็นจริง เราคุยกันตลอดครับเราคุยกันตลอดไม่ใช่แค่ที่ทําเนียบ ผมกับท่านมีการโทรศัพท์ปรึกษากันแทบทั้งวัน เพื่อตกผลึกประเด็นต่างๆ อย่างรวดเร็ว"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "ท่านหัวหน้ากับผมร่วมกันสร้างรวมไทยสร้างชาติมากันสองคนตั้งแต่ไม่มีอะไร ผมพูดตลอดเหมือนเสื่อผืนหมอนไป วันนั้นก็มีกันอยู่สองคน แล้วเมื่อมีคนเห็นความตั้งใจของเรา ก็มาร่วมงานอยู่เป็นจํานวนมาก จนเราสร้างระบบรากฐานให้พรรคได้อย่างมั่นคงถึงตอนนี้...

"หัวหน้ากับผมมีความตั้งใจมีความแน่วแน่ที่จะไม่ทําให้ประชาชนต้องผิดหวัง โดยการทำงานของเราสองคนเนี่ย เป็นการทำงานแบบแบ่งหน้าที่กัน ท่านหัวหน้าซึ่งเป็นผู้นํา ก็ต้องสร้างกระแสให้กับพรรค สร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรค ส่วนผมก็เป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด คอยดูแลเอาใจใส่ สส. และเรื่องของประเด็นภายในต่างๆ เราแบ่งหน้าที่กันตามที่ประสาชาวบ้านเรียกว่า 'แบ่งบทกันเล่น'"

เมื่อถามว่า รทสช. ยังต้องมี 'บิ๊กตู่-ท่านพีและขิงเอกนัฏ' อยู่ด้วยกันแน่นอน? เอกนัฏ ยืนยันว่า "แน่นอนครับ ไม่ว่าวันไหนก็อยู่ด้วยกันครับ ถ้ามีหัวหน้าพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเลขาฯ เอกนัฏ ที่ผมกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านหัวหน้าเป็นคนดีมาก ท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็มีความแน่วแน่ในการทํางาน ผมเชื่อว่าประเทศจะได้ประโยชน์จากการมีผู้นําแบบท่านพีระพันธุ์ อย่างบทบาทของท่านในกระทรวงพลังงานวันนี้ ท่านกำลังทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราทุกคนต่างก็ให้กําลังใจแล้วก็ซัพพอร์ตท่านเต็มที่"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top