Wednesday, 15 May 2024
เนเธอร์แลนด์

‘เบลล์-ขอบสนาม’ เผย ‘เดียร์ลอง’ เตรียมย้ายไปเนเธอร์แลนด์ พร้อม ‘เปลี่ยนชื่อ - สัญชาติ’ คาดไม่กลับมาเมืองไทยอีก

หลังจากที่เป็นกระแสในโลกโซเชียลเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาสำหรับ ‘เดียร์ลอง’ หรือ ‘กวาง อริศรา’ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง และ เจ้าของฉายาเจ้าหญิงดิสนีย์ เมืองไทย หลังจากถูกมือดีดูดคลิปจาก OnlyFans มาเผยแพร่ต่อในช่องทางออนไลน์ต่างๆ

ล่าสุด ‘เบลล์-ขอบสนาม’ ได้แจ้งข่าวผ่านเพจส่วนตัวถึงความเคลื่อนไหวของ เดียร์ลอง โดยระบุว่าเธอจะย้ายไปอยู่ที่เนเธอร์แลนด์แบบถาวร เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนสัญชาติ เริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่กลับมาเมืองไทยอีก ซึ่ง ‘เบลล์-ขอบสนาม’ ได้กล่าวอวยพร เดียร์ลอง พร้อมกลับบอกว่าเสียดายที่จะไม่ได้เจอน้องที่เมืองไทยอีก ก่อนจะปิดท้ายว่าจะไปเยี่ยมบ่อยๆ ขอเก็บเงินอีก 2 ปีจะตามไปเปิดร้านกัญชา

'ทัพลูกยางสาว' ปลื้ม!! คนไทยในถิ่นดัตช์ส่งความอร่อยเป็นกำลังใจ บอก "ไม่มีอะไรให้นอกจาก 'ผัดไทย-อาหารไทย' ที่ร้านขาย"

ไม่นานมานี้ คุณธามม์ ประวัติตรี เจ้าของร้าน Pad Thai (ผัดไท) หนึ่งในคนไทยที่ประกอบธุรกิจร้านอาหารในประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Tham Prawattree ว่า...

#วอลเลย์บอลไทยแลนด์

จริงๆ ผมไม่เคยได้ดูการแข่งขันวอลเลย์บอลเลย เพราะไม่เคยติดตามการแข่งขัน

เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา เจอคนถือป้าย Volleyball Thailand Team ที่สนามบิน Schiphol ที่อัมสเตอร์ดัม

เลยทราบว่ามีการแข่งขัน World Champion ที่เนเธอร์แลนด์

จังหวะนั้น ได้พบ ผจก.ทีมพอดี และคุณไชยยันต์ ก็รู้จักโค้ชและเป็นคนบ้านเดียวกันอีก เลยได้พูดคุยกัน คนนี้เป็นแฟนกีฬาวอลเลย์บอล 😁

ผมไม่มีอะไรให้เป็นกำลังใจ นอกจาก 'ผัดไทย' และ อาหารไทยต่างๆ ที่เราขายที่ร้าน 

เลยส่งมอบกำลังใจ ให้น้องๆ นักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย ส่งมอบความอร่อยเป็นกำลังใจ 

โชคดีกับการแข่งขันนะครับ 

‘เนเธอร์แลนด์’ ผุดแคมเปญไล่นักท่องเที่ยวตลาดล่าง อย่ามาอัมสเตอร์ดัม ทำภาพลักษณ์เมืองเสียหาย

ในขณะที่หลายประเทศในโลก พยายามอัดแคมเปญส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในบ้านเยอะๆ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่ก็มีบางประเทศที่ทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดออกแคมเปญไล่นักท่องเที่ยว โดยเจาะจงไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดล่าง ที่เข้ามารบกวน ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของเมือง

ประเทศที่ว่า ก็คือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยที่กรุงอัมสเตอร์ดัมตอนนี้ มีแคมเปญใหม่ล่าสุด เป็นการขึ้นป้ายบิลบอร์ด ไล่นักท่องเที่ยวกันซึ่งๆ หน้าว่า "หากคุณกำลังวางแผนเที่ยวแบบหัวราน้ำที่อัมสเตอร์ดัมอยู่ล่ะก็ ขอให้คิดใหม่ เพราะเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์แห่งนี้ ไม่ต้อนรับพวกคุณ"

นอกจากนี้ยังมีการทำคลิปโฆษณา จำลองเหตุการณ์ตำรวจจับนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่เมา โวยวายตามสถานบันเทิงยามค่ำคืน ชาวต่างชาติที่เสพยาเกินขนาดจนต้องหามส่งโรงพยาบาล หรือนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาโรงแรมถูกๆในอัมสเตอร์ดัมเพื่อมาหาเพื่อนสายปาร์ตี้เอาดาบหน้าที่อัมสเตอร์ดัม  พร้อมขึ้นคำเตือนว่า "อยากมาลองเมาเละที่อัมสเตอร์ดัม = โทษปรับ 140 ยูโร + ติดประวัติอาชญากรรม?" 

นายโซฟอัน มบาร์กี รองผู้ว่าการกรุงอัมสเตอร์ดัม ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแคมเปญ ‘Stay Away - ไปให้ห่างจากอัมสเตอร์ดัม’ ว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าชาวกรุงอัมสเตอร์ดัม ไม่อยากได้นักท่องเที่ยว เพียงแต่เราไม่ต้องการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ไร้คุณภาพ มีเป้าหมายเพียงเพื่อมาหาที่เมา ที่เสพ และอาละวาด เสียงดังจนชาวบ้านเดือดร้อน เรายอมจำกัดการเติบโตด้านการท่องเที่ยวดีกว่า เพื่อแลกกับบรรยากาศเมืองที่น่าอยู่

สิ่งที่น่าแปลก แต่จริง ก็คือ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทำให้ทางการอัมสเตอร์ดัมต้องหาทำแคมเปญไล่นักท่องเที่ยวในครั้งนี้ คือกลุ่มนักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ อายุตั้งแต่ 18-35 ปี ที่หลายครั้งพบว่ามา สร้างปัญหาเมื่อข้ามฝั่งมาเที่ยวที่เนเธอร์แลนด์

ธงชาติ ปักคู่ กระเป๋าเป้สะพายหลัง ทำแบบนี้มีความหมายบางอย่าง ในประเทศเนเธอร์แลนด์

ผู้ใช้ TikTok ที่ชื่อว่า movedtoamsterdam ได้โพสต์คลิปสั้น อธิบายความหมายที่ซ่อนอยู่ กับการนำธงชาติ มาปักคู่ กับกระเป๋าเป้สะพายหลัง โดยมีใจความว่า ...

รู้หรือไม่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ถ้าเห็นธงชาติปักอยู่กับกระเป๋า backpack (กระเป๋าเป้สะพายหลัง) มันมีความหมายซ่อนอยู่ ในวัฒนธรรมของประเทศเนเธอร์แลนด์ ถ้าบ้านไหนมีลูกที่กำลังจะเรียนจบม.6 หรือว่า High School เขาก็จะทำแบบนี้เพื่อบอกเพื่อนบ้าน และเพื่อเป็นการแสดงความยินดีกับเด็กคนนั้นที่เรียนจบ แสดงความยินดี ที่ว่าการเรียนการศึกษาที่เรียนมาตลอดมันกำลังจะจบแล้วนะ เพราะว่าในประเทศเนเธอร์แลนด์ การเรียนจบในระดับชั้น ม.6 หรือว่า High School นั้นก็ถือว่าพอแล้ว เขาจะไม่บังคับว่าจะต้องเรียนในมหาลัยต่อ ก็เลยถือว่าการศึกษาที่จะต้องแบกกระเป๋า backpack ไปเรียนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว เป็นการแสดงความยินดีแบบน่ารักๆ

แต่จริง ๆ แล้ว ก่อนที่การแสดงสัญลักษณ์แบบนี้จะเป็นที่ยอมรับในวงกว้างนั้น มันก็เคยเกิดเป็นประเด็นขึ้นมาก่อน เพราะว่ามันคือการนำธงชาติมาใช้ หลายคนก็จะมองว่ามันเหมาะสมหรือไม่ แต่สุดท้ายคนในสังคมก็ทำกัน ซึ่งรัฐบาลก็ปล่อยไป ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเป็นการกระทำที่ไม่ได้ร้ายแรง ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรต่อสังคม

‘เนเธอร์แลนด์’ เตรียมออกกฏห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารในชั้นเรียน ป้องกันเทคโนโลยีทำเด็กสมาธิสั้น-ประสิทธิภาพการเรียนรู้ลดลง

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 66 เอเอฟพีรายงาน ว่า รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เตรียมออกกฏห้ามการใช้โทรศัพท์มือถือในชั้นเรียน โดยหมายรวมถึงแท็บเล็ตและสมาร์ทวอทช์ด้วยเช่นกัน

รัฐบาลเปิดเผยรายงานว่า เครื่องมือสื่อสารเหล่านั้นรบกวนการเรียนรู้ของนักเรียน

“มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่าโทรศัพท์มือถือมีผลเสียในระหว่างชั้นเรียน และทำให้นักเรียนมีสมาธิน้อยลง ไปจนถึงประสิทธิภาพการทำงานลดลง” รายงานระบุ

“ด้วยเหตุผลนี้ โทรศัพท์มือถือ, แท็บเล็ต และสมาร์ทวอทช์ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในชั้นเรียนอีกต่อไป เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567” รัฐบาลกล่าว

ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังเร่งทำความเข้าใจกับโรงเรียน และให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนแต่ละแห่งตกลงสร้างกฎภายในร่วมกับครูผู้สอน, ผู้ปกครอง และนักเรียน ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนตุลาคมนี้

ถึงแม้รัฐบาลจะไม่ได้ออกคำสั่งห้ามอย่างเป็นทางการ แต่ขอสงวนสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นหลังจากวัดผลสัมฤทธิ์ในปีหน้า

รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเนเธอร์แลนด์กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า เขาหวังให้การเคลื่อนไหวดังกล่าวนำไปสู่ ‘การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม’ ที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งจะกลายเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า

‘ชายวัย 32 ปี’ บุกกราดยิง รพ.มหาวิทยาลัยแพทย์ใน ‘เนเธอร์แลนด์’ ทำ ‘หมอ-พยาบาล-คนไข้’ วิ่งหนีตายระทึก พบมีผู้เสียชีวิต 3 ราย

(29 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ รายงานว่า มีชายวัย 32 ปีได้สวมชุดนักรบและเสื้อเกราะกันกระสุนบุกเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ที่อยู่ติดกับบ้านของตัวเอง ก่อเหตุกราดยิง 2 ครั้งในเมืองรอตเตอร์ดัม ของประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 3 ราย โดยเป็นหญิงวัย 39 ปี และลูกสาว วัย 14 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

หลังจากนั้น มือปืนได้บุกเข้าไปที่ห้องเรียนในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอีราสมุส เอ็มซี และยิงอาจารย์วัย 46 ปีเสียชีวิตเป็นรายต่อไป

ก่อนจะเปิดฉากยิงขึ้นอีกครั้งภายในอาคารโรงพยาบาลดังกล่าว ทำให้แพทย์ พยาบาล และคนไข้แตกตื่น จนต้องหนีมาอยู่นอกอาคาร ก่อนที่ตำรวจจะเข้าควบคุมสถานการณ์ และคุมตัวมือปืนไปสอบสวน เพื่อหาสาเหตุและแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบว่า มือปืนรายนี้ชอบทรมานสัตว์ และเคยทรมานกระต่ายที่เขาเลี้ยงเอาไว้

‘สจล.’ เดินหน้าผลักดันเครือข่าย ‘ไทย-เนเธอร์แลนด์’ นำนวัตกรรม ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ หนุนการเกษตร-อาหาร

(30 พ.ย. 66) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับสถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ระดมเครือข่ายนักวิชาการนานาชาติจากมหาวิทยาลัย ชุมชนธุรกิจ สถาบันวิจัยและพัฒนา และหน่วยงานภาครัฐ ผลักดันความร่วมมือในงาน ‘เนเธอร์แลนด์-ไทย : เทคโนโลยีอวกาศ 2023 เพื่อการเกษตรยั่งยืนและระบบอาหารที่มั่นคง’ (The Netherlands – Thailand Space Technology Forum 2023 : Space Technology for Resilient Agriculture and Food System) เพื่อเป้าหมายยกระดับการทำเกษตรและระบบอาหารที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว พัฒนาการเกษตรดาวเทียม โดยมี รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. และนายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ร่วมเป็นประธานเปิดงาน ณ ห้อง The Crystal Box เกษตรทาวเวอร์ ราชประสงค์

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ระบบการเกษตรและอาหารทั่วโลกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากจำนวนประชากรโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว (Climate Change) ความท้าทายของระบบเกษตรกรรมและอาหารของประเทศ ไม่เพียงต้องผลิตอาหารด้วยวิธีที่ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่จะต้องมุ่งเป้าประกันความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security) ได้อย่างเพียงพอสำหรับทุกคนด้วย ‘งานเนเธอร์แลนด์-ไทย: เทคโนโลยีอวกาศ 2023 เพื่อการเกษตรยั่งยืนและระบบอาหารที่มั่นคง’ ตอกย้ำความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ (Space Technology) และ ‘เกษตรกรรมดาวเทียม’ (Satellite Agriculture) เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมของทั้งสองประเทศ นับเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ และผู้มีส่วนกำหนดนโยบาย 140 คน ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยโซลูชั่นที่ก้าวล้ำ และกำหนดภูมิทัศน์ใหม่ของ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ และ ‘เกษตรกรรมที่ชาญฉลาดต่อสภาพภูมิอากาศ’ อาทิ การใช้ข้อมูลและภาพจากดาวเทียมเพื่อการพยากรณ์อากาศ การวิเคราะห์ดิน และการจัดการพืชผลแบบเรียลไทม์ได้ปฏิวัติการเกษตรกรรมสู่ยุคใหม่ เพิ่มขีดความสามารถสร้าง ‘มาตรฐานสากลเกษตรยืดหยุ่นและยั่งยืน’ ในการทำ ‘เกษตรอัจฉริยะ’ ผ่านปัญญาประดิษฐ์ IoT และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ SDG2 - ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security), SDG3 - ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ตลอดจน SDG11 – ชุมชนและเมืองที่ยั่งยืน เราจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศ ด้วยนวัตกรรมและสร้างแรงบันดาลใจของความร่วมมือไทย - เนเธอร์แลนด์ ในการผลักดันขยายองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นความท้าทายระดับโลก

นายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน (Remco van Wijngaarden) เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ‘วิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ’ มีความสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา การวางแผนการเดินทาง พยากรณ์อากาศ และอื่นๆ ข้อมูลเชิงพื้นที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายภาคส่วน เช่น เกษตรกรรม การวางผังเมือง การจัดการทรัพยากร (ป่าไม้ น้ำ แร่ธาตุ) และเพื่อการออกแบบระบบที่จะลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภัยพิบัติ อันเป็นความท้าทายของโลกปัจจุบัน เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น ภัยแล้ง น้ำท่วม การตัดไม้ทำลายป่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มลภาวะทางอากาศ ฯลฯ ล้วนเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และต้นกำเนิดและผลที่ตามมามักจะทับซ้อนกันทางภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเราในการคิดค้นวิธีแก้ปัญหาและการตัดสินใจที่ดีขึ้นเพื่อสังคมและโลกอีกด้วย การประชุมเทคโนโลยีอวกาศเนเธอร์แลนด์ - ไทย 2023 ครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การนำ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ เข้ามามีส่วนในการทำ ‘ระบบการเกษตรและอาหาร’ ที่มีความยืดหยุ่นคล่องตัวและยั่งยืนมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสารสนเทศจึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้

ดร. นพดล สุกแสงปัญญา ผู้เชี่ยวชาญ วิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ สจล. กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์และติดตามสังเกตการณ์ ‘ภัยแล้ง’ ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ภัยแล้งเชิงอุตุนิยมวิทยา 2. ภัยแล้งเชิงอุทกภัย 3. ภัยแล้งเชิงเกษตรกรรม เพื่อให้หน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลและภาพไปใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการภัยแล้งได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้องค์ประกอบต่างๆ อาทิ ระดับปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิของหน้าดิน สภาพอากาศความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์พืช ระบบชลประทาน และความชื้นของดิน เพื่อใช้ในการวางแผนทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ผลักดันเครือข่ายในประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ในการใช้ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ มาช่วยทางด้าน ‘เกษตรแม่นยำ’ และระบบอาหารที่มั่นคงเพียงพอ หากเกษตรกรสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้จริงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพียงแต่ในปัจจุบันยังขาดการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ใช้ นอกจากนี้ควรออกมาตรการเพื่อความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ เสริมสร้างเกษตรกรที่ไม่ทำลายป่าและไม่ทำการเพาะปลูกมากเกินจนล้นความต้องการของผู้บริโภค

ศาสตราจารย์ ดร. วิคเตอร์ เจตเทน คณะวิทยาศาสตร์สารสนเทศภูมิศาสตร์และการสังเกตการณ์โลก (ITC) มหาวิทยาลัยทเวนเต้ (University of Twente) เนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า การวิเคราะห์ความมั่นคงทางอาหารใน ‘สภาพอากาศสุดขั้ว’ (Extreme Climatic Conditions) ด้วยเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล หรือ Remote Sensing จากดาวเทียม สามารถช่วยระบุปริมาณผลิตผลที่ชัดเจน ปัญหาการผลิตในเวลาและสถานที่ได้อย่างแน่นอน เราสามารถระบุพื้นที่มีปัญหาเพื่อวางแผนรับมือกับจุดอ่อนได้ทันท่วงทีและแม่นยำ ทั้งนี้เราต้องเข้าใจความซับซ้อนของระบบการเกษตร ความยืดหยุ่น ความเป็นจริงและข้อจำกัดของเกษตรกร จึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานครั้งนี้ ประกอบด้วยความร่วมมือของ 11 องค์กร ได้แก่ สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL), คณะวิทยาศาสตร์สารสนเทศภูมิศาสตร์และการสังเกตการณ์โลก (ITC) มหาวิทยาลัย Twente, สำนักงานภูมิภาค FAO ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก, สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ประเทศไทย (GISTDA), กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรมป่าไม้ ประเทศไทย, ศูนย์ภูมิสารสนเทศสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), คาดาสเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เนเธอร์แลนด์, ปีเตอร์สัน เทคโนโลยี เนเธอร์แลนด์ และชมรมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ - สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

สื่อแฉ!! อดีตนายกฯ อังกฤษ คิดใช้กำลังทหารบุกเนเธอร์แลนด์ หวังยึดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 5 ล้านโดส ในเนเธอร์แลนด์

(6 ธ.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บอริส จอห์นสัน ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ร้องขอให้คณะที่ปรึกษาด้านการทหารเตรียมแผนการต่าง ๆ สำหรับจู่โจมโรงงานผลิตวัคซีนโควิด-19 ของเนเธอร์แลนด์ เพื่อยึดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 5 ล้านโดส ท่ามกลางวิกฤตอุปทานวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่เพียงพอ

รายงานของหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ระบุว่า จอห์นสัน มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับสหภาพยุโรป (อียู) หลังบรัสเซลส์ ขู่ว่าจะขัดขวางวัคซีนจากโรงงานแห่งนี้ ที่เตรียมส่งไปยังสหราชอาณาจักร ในเดือนมีนาคม 2021

ในช่วงเวลาดังกล่าว อียู มีปัญหาไม่ลงรอยกับบริษัทยาสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน เกี่ยวกับการแจกจ่ายวัคซีน โดย แอสตร้าเซนเนก้า เปิดเผยว่ามีปัญหาด้านการผลิต นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถส่งมอบสต๊อกวัคซีนให้แก่อียู ได้เพียงแค่ 1 ใน 4 จากแผนที่วางเอาไว้ และปฏิเสธเบี่ยงเสบียงวัคซีนจากโรงงานต่างๆของพวกเขาในสหราชอาณาจักรไปยังอียู

จุดยืนดังกล่าวกระตุ้นให้ บรัสเซลส์ ขู่แบนส่งออกวัคซีนจากดินแดนของพวกเขาเองเป็นการตอบโต้ ซึ่งทาง อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อ้างว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับประกันว่า "ยุโรปจะได้รับส่วนแบ่งที่ยุติธรรม"

รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเป็นดังนั้น จอห์นสัน ซึ่งประกาศว่ากลุ่มต่าง ๆ ที่มีความสำคัญลำดับต้น ๆ ในสหราชอาณาจักร จะได้รับวัคซีนครบเข็มในช่วงกลางเดือนเมษายน 2021 จึงร้องขอให้คณะที่ปรึกษาด้านการทหาร เตรียมแผนบังคับยึดวัคซีนที่ผลิตจากโรงงานในเมืองไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์

"นายกรัฐมนตรีโกรธมาก" แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผยกับเดลิเมล์ "เขาสั่งให้พวกเจ้าหน้าที่มองหาทุกทางเลือกสำหรับตอบโต้ และรวมถึงขอให้หน่วยงานด้านความมั่นคงมองหาดูว่า มีหนทางใด ๆ หรือไม่ สำหรับการใช้กำลังและยึดวัคซีนจากเนเธอร์แลนด์ แล้วนำวัคซีนเหล่านั้นมาที่นี่"

เดลิเมล์ อ้างแหล่งข่าวคนที่ 2 ระบุว่า "อียูคงไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า เราได้เจรจาต่อรองข้อตกลงที่ดีกว่ากับแอสตร้าเซนเนก้า มันเท่ากับเป็นการขโมยวัคซีน"

อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวถูกตีตกไป หลังจาก จอห์นสัน ได้รับคำปรึกษาว่าปฏิบัติการด้านการทหารเพื่อยึดวัคซีน จะบ่อนทำลายร้ายแรงต่อความสัมพันธ์กับอียู และเสี่ยงส่งผลกระทบต่ออุปทานวัคซีนจากที่อื่นๆในกลุ่มอียู ในอนาคต" ตามรายงานของเดลิเมล์

คาดหมายว่า จอห์นสัน จะพาดพิงถึงประเด็นพิพาทกับอียูนี้ ครั้งที่เขาให้หลักฐานต่อการสืบสวนโควิด-19 ของอังกฤษในวันพุธ(6ธ.ค.) โดยที่เดอะไทม์ส เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้จะยอมรับว่าตนเอง "ทำผิดพลาดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย" ในการทำหน้าที่ผู้นำของเขาในช่วงโรคระบาดใหญ่ อย่างไรก็ตามเขาเตรียมอ้างเช่นกันว่า มาตรการต่างๆของเขาได้ปกป้องประชาชนหลายแสนชีวิต

‘เนเธอร์แลนด์’ พบ ‘ชายชราวัย 72 ปี’ ติดเชื้อ ‘โควิด’ จนตาย หลังติดยาวนาน 613 วัน หวั่น!! เป็นตัวกลายพันธุ์อันตรายชนิดใหม่

(22 เม.ย.67) ทีมวิจัยชุดหนึ่งจากเนเธอร์แลนด์ พบการติดเชื้อโควิด-19 ยาวนานเป็นพิเศษในคนชรารายหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตจากไวรัสมรณะชนิดนี้เมื่อปีที่แล้ว ด้วยวัย 72 ปี ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวขึ้นมาของตัวกลายพันธุ์โคโรนาไวรัสที่อันตรายกว่าเดิม

ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยพวกนักวิจัย ระบุว่า ชายชรารายนี้ ซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่ก่อนแล้ว สืบเนื่องจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ก่อนหน้า เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในอัมสเตอร์ดัม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หลังมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก และไม่น่าเชื่อ ที่ผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของเขาออกมาเป็นบวกอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 2023 เท่ากับเป็นการติดเชื้อยาวนาน 613 วัน

ตัวอย่างการติดเชื้อโควิด-19 เป็นเวลานานของบุคคลหนึ่งที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยมีรายงานมากมายก่อนหน้านี้ แต่ในการค้นพบครั้งนี้ที่นำโดย แมกดา เวอร์กัวเว จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เตรียมมีการนำเสนอต่อที่ประชุมด้านจุลชีววิทยาคลินิกและโรคติดเชื้อแห่งยุโรป ในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 27 ถึง 30 เมษายนนี้

พวกนักวิจัยชี้ว่าเคสนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมันเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่โคโรนาไวรัสจะมีการกลายพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญบ่อยครั้งระหว่างการติดเชื้อที่ยาวนาน เพราะฉะนั้นมันจึงก่อความเสี่ยงระดับสูงของการถือกำเนิดตัวกลายพันธุ์ที่มีศักยภาพหลบหลีกการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง

ผลวิคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากคนไข้รายนี้ พบว่ามีการกลายพันธุ์กว่า 50 ครั้งเมื่อเทียบกับตัวกลายพันธุ์ BA.1 โอมิครอน ที่กำลังแพร่ระบาดในวงกว้าง ณ ขณะนั้น บางส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และสิ่งที่น่ากังวลคือ แค่ 21 วันหลังจากชายรายนี้ได้รับยาต่อต้านโคโรนาไวรัสพิเศษชนิดหนึ่ง ไวรัสได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการพัฒนาการต่อต้านยาดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ไวรัสมีพัฒนาการอย่างกว้างขวางในคนไข้รายนี้ แต่ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาแพร่กระจายไวรัสตัวกลายพันธุ์ไปสู่คนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง พวกนักวิจัยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดต่อวิวัฒนาการของโควิด-19 ในบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง พวกเขาเตือนถึงความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวและการแพร่ระบาดตัวกลายพันธุ์ที่อาจก่อความท้าทายแก่ระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top