Tuesday, 14 May 2024
เด็กรุ่นใหม่

เมื่อ 'เด็กรุ่นใหม่' ไม่ได้ต้องการ 'ความมั่นคง-งานประจำ' แต่สังคมล้างสมองด้วยคำนี้ ทั้งที่เด็กๆ อยาก 'เสี่ยง-ท้าทาย'

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานติ๊กต็อกชื่อ ‘ckfastwork’ โพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพฤติกรรมของวัยรุ่นยุคใหม่ ที่ชอบความท้าทาย และมองข้ามคำว่าความมั่นคง โดยระบุว่า…

ปัจจุบันเด็กไม่อยากได้ความมั่นคง ผมบอกตรงๆ นะครับ คำว่าความมั่นคงมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการ แต่มันเป็นสิ่งที่สัมคมบอกว่าเราต้องการ เด็กทุกคนที่บอกว่าอยากได้ความมั่นคง เขาบอกว่าอยากได้ความมั่นคงเพราะพ่อแม่ ไม่ได้เพราะตัวเอง เด็กทุกคนไม่มีใครโตมาบอกว่า เราอยากได้ความั่นคง ไม่มีครับ ไม่มีในประวัติศาสตร์ของเด็ก ไม่มีใครบอกว่าเด็กอยากได้ความมั่นคง ไม่มี 

แต่ทุกคนเกิดมาทุกคนอยากลองเสี่ยง มันเป็นเหตุผลที่เราอยากเล่นเกม เราอยากจะสตรีม เราอยากที่จะสร้างแบรนด์ มันก็เลยเป็นเหตุผลที่เด็กนำเรื่องเกมมาก เด็กนำเรื่องติ๊กต็อกมาก เพราะเด็กชอบที่จะหาความเสี่ยง 

เราจะเห็น มหาเศรษฐีที่สร้างธุรกิจนะ เป็นเด็กทั้งนั้นเลย ไม่ค่อยมีผู้ใหญ่ เพราะเด็กชอบที่จะเสี่ยง แต่คำว่าความั่นคงมันเป็นสิ่งที่สังคม ผู้ใหญ่ล้างสมองเด็กตั้งแต่เด็ก บอกว่าคุณต้องการความมั่นคง รับงานราชการ คุณต้องรับงาน บ้านจะได้สบาย มันเป็นสิ่งที่ล้างสมองมาตลอด ผมถึงไม่ชอบสังคมไทยมาก เพราะมุมนี้ 

เพราะเราพยายามล้างสมองเด็ก ทั้งที่เด็กไม่มีความต้องการในเรื่องความมั่นคงเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่บอกว่าคนต้องการ จริง ๆ ไม่มีจริง มันเป็นสิ่งที่เราโดนล้างสมอง มันเป็นสิ่งที่สังคมบอกว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ผมเข้าใจนะครับว่าทำไมสังคมถึงบอกว่าสำคัญ เพราะว่ามนุษย์เงินเดือนจะเป็นคนที่จ่ายภาษีมากที่สุด อันนี้เป็นทั่วโลกนะครับ ไม่ใช่เฉพาะที่ประเทศไทย 

เพราะว่ามนุษย์เงินเดือนเป็นคนที่จ่ายภาษีมากที่สุดในสังคม ยกตัวอย่างนะ ตอนอีลอน มัสก์บอกว่าเขาจะย้ายไปที่รัฐไหนสักรัฐในอเมริกา ทุกรัฐมีสิทธิประโยชน์ให้อีลอน มัสก์ เพราะว่าถ้าอีลอน มัสก์ไปรัฐนั้น เขาสามารถจ้างคนตรงนั้น แล้วคนตรงนั้นก็จะจ่ายภาษีให้กับรัฐ 

มนุษย์เงินเดือนเป็นคนที่จ่ายภาษีมากที่สุด มันก็สมเหตุสมผลที่หลาย ๆ คนบอกว่า ความมั่นคงสำคัญ งานประจำสำคัญ เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่มีงานประจำ ภาษีของรัฐก็จะได้น้อยลง

'เด็กไทยรักสถาบันฯ' แสดงจุดยืนต่อ 'เพลงสรรเสริญฯ' ลั่น!! "ทัวร์ลง ก็แค่เสียงลม คิดดีทำดี จะกลัวทำไม"

ไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘cancan0823’ ได้โพสต์คลิปแชร์เรื่องราวของ ‘น้องออมสิน วิชญาพร’ เด็กรุ่นใหม่ที่ได้ออกมาแสดงจุดยืนเกี่ยวกับประเด็น ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ หรือเคารพธงชาติ แล้วโดนกล่าวหาว่าเป็นสลิ่ม ซึ่ง ‘น้องออมสิน’ ได้เปิดเผยความรู้สึกเหล่านี้ว่า…

“เราทำดีอยู่แล้ว เราจะไปกลัวทัวร์ลงทำไม? หนูไปดูหนังในโรง แล้วเขาก็หาว่าหนูเป็นสลิ่ม ตอนนั้นหนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน หนูก็ได้ถามกับตัวเอง ที่หนูยืนคือหนูโง่เหรอ? หนูก็แค่แสดงจุดยืนของหนู”

น้องออมสินได้เล่าต่อว่า “มีอยู่วันนึงหนูได้ไปอ่านโพสต์ของพี่เอเกี่ยวกับเรื่อง ‘เพลงสรรเสริญฯ’ และได้ไปคอมเมนต์ใต้โพสต์ว่า “หนูก็ยืน คือมีเพลงสรรเสริญเมื่อไหร่ จะยืนแล้วหยุด” ไม่ใช่แค่เพลงสรรเสริญฯ แต่รวมถึงเพลงชาติ หรือเพลงสวดมนต์ของโรงเรียนอะไรอย่างนี้ก็ต้องยืนแล้วหยุด เป็นการแสดงความเคารพให้กับเพลง หนูยืนตลอด เคยมีเหตุการณ์ที่เข้าไปยืนกับเพื่อน 2 คน แล้วโดนหาว่าเป็นสลิ่ม ก็ไม่ได้ทำยังไงต่อ เพราะพวกหนูยืนของหนูกันอยู่แล้ว ซึ่งก็จะมีคนอื่นเขาหันหน้ามาคุยกันบ้าง อะไรบ้าง แต่หนูก็ไม่ได้สนใจ เราทำหน้าที่ของเรา เราเป็นนักเรียน เราก็ทำหน้าที่ของเราไป เพราะเด็กนักเรียนควรเคารพในเพลงสรรเสริญฯ เพลงชาติ หนูขอถามหน่อยว่า ทำไมโรงเรียนถึงต้องให้เด็กนักเรียนเคารพธงชาติตอน 8 โมงเช้า นั่นเป็นเพราะว่า ‘เราเป็นคนไทย’ มันเป็น ‘เพลงชาติไทย’ ของเรา”

นอกจากนี้ น้องออมสินยังได้เล่าถึงที่บ้านของตน ว่าภายในบ้านจะมีภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 5 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ติดไว้ในบ้านด้วย อีกทั้งคุณแม่ของตนจะชอบเปิดข่าว ซึ่งตัวของน้องออมสินนั่นเป็นคนชอบฟังข่าวในพระราชสำนักอยู่แล้วด้วย เนื่องจากจะมีภาพฉายให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกปรุงแต่งขึ้นมา และตนเชื่อตามสิ่งที่ตนเห็น 

น้องออมสินยังกล่าวถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมตนนั้นไม่เชื่อสื่อที่ให้ร้ายต่อสถาบันฯ ด้วยว่า “เราต้องถามค่ะ อย่างเวลาเห็นอะไรมาหนูจะถามคุณแม่ ว่ามันเป็นแบบนี้จริงเหรอ? ส่วนเพื่อน ๆ นั้นก็จะมีส่งมาให้ดูบ้างเช่นกัน แต่หนูก็จะถามคุณแม่ ซึ่งคุณแม่จะบอกว่า มันก็จะมีพวกแอนตี้อะไรแบบนี้ มันเป็นเฟคนิวส์ ซึ่งหนูก็ไม่ได้โง่ ที่จะยอมให้ใครมาจูงจมูกได้ หนูจะคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ เขามีเจตนาอะไร คือจะรู้อยู่แล้วว่าเขาให้ร้าย หนูเลยเลือกที่จะไม่เชื่อ”

ต่อมา น้องออมสินได้เล่าถึงประเด็น ‘ทัวร์ลง เพราะปกป้องสถาบันฯ’ ว่ามีคนมาคอมเมนต์ด่าหยาบคายและแรงใส่ตน แต่น้องออมสินก็ยังยืนหยัดที่จะขอแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบฯ ต่อไป

“ถ้าหนูจะโดนหาว่าเป็นสลิ่ม ทั้งที่หนูจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หนูก็ยอมที่จะเป็นสลิ่ม หนูรู้ว่าเรามีความคิดเห็นที่ต่างจากคนอื่น จึงโดนว่าหรือโดนทัวร์ลง แต่หนูก็ไม่กลัว เพราะมันเป็นการแสดงความคิดเห็นของหนู ทำไมหนูถึงต้องกลัว? นั่นเป็นสิ่งที่หนูคิด คนคนหนึ่งคิดเหมือนกัน คนอื่นเขาก็อาจจะมีความคิดเห็นที่ต่างจากเรา หรือคิดเหมือนเรา ซึ่งพวกเขาสามารถคิดได้ ไม่มีใครสามารถมาว่าเราว่าคิดแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เวลาเขาแสดงความคิดเห็นของเขา หนูก็รับฟังเหมือนกัน เพราะมันคือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เขาแสดงความคิดเห็นและจุดยืนของเขา หนูก็แสดงจุดยืนให้เขาเห็นเหมือนกัน หนูรับฟังความคิดเห็นของเขาอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเถียง ไม่ได้ไปโต้แย้งว่าความคิดเห็นของคุณไม่ถูก และเวลาหนูฟัง หนูก็จะวิเคราะห์ตามเสมอว่าสิ่งนั้นถูกหรือไม่ เราต้องคอยเสพข่าวหลายๆ ทาง หาข้อมูลจากที่อื่น ว่าเขาเขียนเหมือนกับที่เราไปเจอไหม แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านี้ มาคิดวิเคราะห์แยกแยะอีกทีหนึ่ง ว่ามันถูกต้องหรือไม่” น้องออมสิน กล่าว

นอกจากนี้ น้องออมสินยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คนกลุ่มหนึ่งบอกว่า ‘บุญคุณพ่อแม่ ไม่ต้องทดแทน’ ว่า ตนนั้นไม่เห็นด้วย เพราะพ่อแม่ท่านเลี้ยงลูกมา ทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง ให้ความรัก หรืออะไรก็ตาม ท่านเลี้ยงลูกจนเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้ แล้วเหตุใดลูกถึงจะไม่กตัญญูต่อท่าน? ตนไม่เข้าใจคนที่คิดแบบนี้ หากสมมติว่าพ่อแม่ไม่อยากมีลูก ทำไมท่านไม่เอาเราออกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าจะมีลูก ทำไมถึงเลือกที่จะเก็บเอาไว้ จนเป็นภาระตัวเอง

“พ่อแม่เขาสร้างเรามาเพื่อให้เราเป็นคนดีของสังคม ถ้าเราไม่กตัญญูต่อท่าน แล้วอ้างว่าเพราะเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ อยู่แล้ว หนูคิดว่ามันไม่ถูกต้อง และการตอบแทนบุญคุณนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พ่อแม่เท่านั้น เราสามารถตอบแทนบุญคุณกับคุณครู ญาติ พี่น้อง หรือคนที่คอยให้ความช่วยเหลือในยามที่เราลำบากได้อีกด้วย ใครจะมองว่าหนูหัวโบราณ ก็ช่างเขาไป”

ทั้งนี้ น้องออมสิน ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ที่หนูกตัญญูต่อสถาบันฯ เพราะว่า ในหลวงท่านทรงทำงานหนัก ทรงเหนื่อย ท่านทำเพื่อประชาชนมามากมาย หนูคิดว่าคนที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ก็ยังมีอยู่ในคนรุ่นใหม่ ขอให้กล้าที่จะแสดงจุดยืนของตัวเอง ไม่ต้องไปกลัวว่าทัวร์จะลง หรือว่าจะโดนอะไร ไม่ต้องไปสนใจคนที่เขามาว่า ส่วนคนที่มาว่า เราก็คิดเสียว่าเป็นเสียงลม เสียงนก เสียงไม้ ไม่ต้องไปสนใจ มันเป็นความคิดเห็นของเรา เราทำดี คิดดีตลอด เราจะไปกลัวทำไม”

‘อ.เฉลิมชัย’ ชวนคิด ยุคสมัยเปลี่ยนไป ต้องตามเด็กให้ทัน รับ!! ตนเป็นคนแก่ แต่ฟังเด็กรุ่นใหม่ หวังดันชาติเดินต่อ

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @jaramphonsornphong แชร์คลิปวิดีโอของ ‘อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์’ ที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเด็กรุ่นใหม่ในประเทศไทย พร้อมเผยว่า ตนนั้นก็รู้สึกศรัทธาในความคิดของเด็กรุ่นใหม่เช่นกัน โดยในคลิประบุว่า…

“ความสามารถของคุณดีกว่าเขาหรือ? ก็ไม่ใช่ คนรุ่นใหม่เขารวดเร็ว เพราะเขาต้องแข่งกับโลกทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่แข่งกันในประเทศ แต่มันคือการแข่งขันกับโลกทั้งหมด ดังนั้น ความคิดของเด็กเหล่านี้มันจึงต้องรวดเร็ว ฉับไว ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงเร็วจนทำให้คนแก่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว แต่คุณต้องยอมรับว่านี่คือ ‘โลกใหม่’ โลกใหม่ไม่ใช่เพียงในประเทศของเราอย่างเดียวที่เปลี่ยน แต่มันเปลี่ยนทั้งโลก จงจําไว้ว่า ถ้าตราบใดที่คนรุ่นใหม่ของเรา ไม่เกิดการแปลงเปลี่ยนที่รวดเร็วขนาดนี้ เราจะสู้กับคนทั้งโลกได้อย่างไร?”

“ผมจึงศรัทธาต่อคนรุ่นใหม่ ผมบอกได้เลย ผมสอนคน ผมให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่นําเสนอผลงาน ผมชอบความคิดเด็กรุ่นใหม่ ผมรับฟังเขา ในการประชุมทุกครั้งเด็กรุ่นใหม่ เด็กอายุเพียงแค่ 20 กว่าปี สามารถยกมือแล้วบอกว่าสิ่งที่อาจารย์คิดมันผิด ผมคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ อาจารย์เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อาจารย์พิจารณา เป็นต้น ผมเป็นคนแก่ที่ไม่ได้มองเด็กว่าก้าวร้าว แต่ผมเห็นว่าประโยชน์ที่เด็กคอยเสนอนั้นคือประโยชน์ของส่วนรวม ผมไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะทำให้เด็กกลายเป็นคนที่ก้าวร้าวต่อตัวเอง หรือคอยมาทับถมความคิดของผม แต่กลับกัน ผมกลับศรัทธาต่อความคิดเหล่านี้”

“การบริหารจัดการวัดของผมจึงยิ่งใหญ่และงดงาม เด็กรุ่นใหม่ของผมขึ้นครองอํานาจทั้งหมด คุณรู้ไว้เลยว่าที่วัดผมไม่มีคนแก่ และคนแก่กลายเป็นที่ปรึกษาหมด คนหนุ่มได้มีโอกาสเติบโตก้าวหน้าหมด ทั้งหัวหน้าฝ่ายทุกฝ่าย นี่คือสิ่งที่ผมใช้คนรุ่นใหม่ในการคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ดังนั้น ผมจึงศรัทธาสิ่งนี้มากกว่า ผมเป็นคนไม่เชื่อในอายุ แต่ผมเชื่อในความคิดของทุกคน และมองทุกคนคือ ‘คนเท่าเทียมกัน’ ไม่ใช่คิดว่าคนนี้เป็นคนแก่แล้วคนรุ่นใหม่จะต้องเชื่อฟัง ผมไม่มีความคิดอย่างงั้น ถ้าคิดแบบนั้นแล้วคุณจะเจริญได้อย่างไร?”

“ดังนั้น ในการประชุมของผม คนกว่า 145 คน เด็กรุ่นใหม่ อายุ 20 กว่าปี สามารถยกมือแล้วสวนทางกับคนอายุ 60 ปีได้แบบเสรีภาพ แล้วความคิดของเขาจึงนําเสนอมาสู่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่วัดมากกว่าผม ผมจึงขอบอกว่าพวกเขาเก่งกว่าผม ณ เวลานี้”

“ผมรู้สึกดีใจที่พวกเขาคิดได้ดีกว่า แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทําได้ดีอีกด้วย โดยตอนนี้ผมได้วางมือกับ ‘วัดร่องขุ่น’ ทั้งหมด เพราะผมต้องการให้อิสรภาพทางความคิดพวกเขา ต่อยอดจากความคิดที่ยอดเยี่ยมของผม ไปสู่ความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า แต่ถ้าพวกเขาใช้ความคิดของผมที่ยอดเยี่ยมตลอดเวลา ความคิดของผมก็จะ ‘ล้าสมัย’ ไปในที่สุด ผมรู้ตัวเองดีว่า วันเวลาของผมจะล้าสมัย ผมต้องสร้างคนรุ่นใหม่ และความใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เมื่อผมอายุ 50 ปี ผมได้ใช้เวลาทั้งหมด 15 ปีในการสร้างคน เพื่อต่อยอดสมองอันบัดซบของผม ความงี่เง่าของผม สมองแก่ ๆ ของผมจะจบลงแล้ว… ดังนั้น ผมต้องการ ‘สร้างสมองใหม่’ ขึ้นมา”

“ณ เวลานี้ สมองของผมใช้ไม่ได้แล้ว สู้เด็กเขาไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงต้องยอมรับเลยว่า ผมเป็นคนแก่ที่สู้เด็กไม่ได้ คุณจงยอมรับซะ อย่างเช่นผม ผมยอมรับเลย ผมเป็นนักประชาธิปไตย ผมไม่รู้สึกว่าผมแก่กว่าเขา แต่ผมเห็นว่าเด็กเขาต้องกล้าหาญในการแสดงออก และกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา ความคิดเห็นของเขาคือ ‘ความร่วมสมัย’ คุณจําไว้เลยว่านั่นคือสิ่งที่จะทําให้ชาติเติบโตต่อไปได้”

'ร่มธรรม ขำนุรักษ์' ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของประชาธิปัตย์ ยึดมั่น 'หลักการ-มติพรรค' พร้อมเลือดรักสิ่งแวดล้อมไม่แพ้พ่อ

ก่อนหน้านี้ THE STATES TIMES ได้นำเสนอเรื่องราวและผลงานของ 'สรรเพชญ บุญญามณี' สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นดาวจรัสแสง เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเอง และไม่จำเป็นต้องทำตัว 'หิวแสง' แต่ผลงานคือเครื่องพิสูจน์ 'ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น' ไปพอสังเขป

มาในวันนี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ในบรรดา สส.หน้าใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นดาวเด่น นอกจากสรรเพชญบุญญามณีแล้ว ก็เห็นแสงระยิบระยับในตัวของ 'ร่มธรรม ขำนุรักษ์' สส.เขต 3 พัทลุง อีกคนหนึ่งที่ฉายแสงเจิดจรัส

ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 'ร่มธรรม' ก็ยึดมั่นตามมติพรรค 'โหวตงดออกเสียง' อีกคนหนึ่ง เป็น 1 ใน 6 

"ผมสั่งไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะทำอะไรลงไปคิดให้ดี การกระทำจะเกิดอะไรขึ้น ประชาชนชอบไหม สื่อชอบไหม ทำแล้วต้องหลบหน้าหรือไม่ ทำแล้วต้องแก้ตัวหรือไม่ ผมสั่งไว้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเลือกตั้ง จึงลงมติงดออกเสียงตามมติพรรค” นริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ผู้เป็นพ่อ อดีต สส.เขต 3 พัทลุง ที่เปิดทางให้ลูกก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง กล่าว

นริศ กล่าวยืนยันว่า พรรคมีมติให้งดออกเสียงแน่นอน สุณัชชา โล่สถาพรพิพิธ รองโฆษกพรรคก็แถลงข่าวชัดเจน 

"มีท่านชวนขออนุญาตโหวตไม่เห็นชอบ ท่านบัญญัติขอโหวตตามนายชวน ไม่อยากให้นายชวนไปแบบโดดเดี่ยว"

กล่าวสำหรับ 'ร่มธรรม' ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของประชาธิปัตย์ ถ้าพลิกดูประวัติแล้วจะน่าสนใจยิ่ง ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ประเทศจีน ไปเรียนต่อที่รัสเซีย และหลังจบการศึกษาก็เป็นครูอาสาตระเวนสอนอยู่ในหลายประเทศ

'ร่มธรรม' ได้เลือดพ่อสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อนริศมีภารกิจมาก ไม่ค่อยมีเวลาเขียนหนังสือ 'ร่มธรรม' รับบทเรียนเองในคอลัมน์ 'ร่มไม้ใบบัง' ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ซึ่งจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เดิมนริศเขียนมานานหลายปี

'ร่มธรรม' ชักชวนเพื่อนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งเพจ Environman นำเสนอเนื้อหาแนวสิ่งแวดล้อม ส่วนบทบาทในสภา ก็ได้เห็นการอภิปราย การชี้แนะอยู่บ่อยครั้ง เช่น การเสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นธรรม-เท่าเทียม ในทุกพื้นที่ การอภิปรายเกี่ยวกับผลงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และการอภิปราย ตั้งข้อสังเกตผลงานของไทยพีบีเอส เป็นต้น

เท่าที่ติดตามผลงานในรอบ 3 เดือน เมื่อเทียบกับ สส.คนอื่น และเป็น สส.หน้าใหม่ ถือว่ามีผลงานน่าสนใจ และผลงานเจิดจรัสพอ ๆ กับ 'สรรเพชญ บุญญามณี'

เรียกได้ว่า ทั้ง 'สรรเพชญ' และ 'ร่มธรรม' ถือได้ว่า เป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีพ่อเป็นลมใต้ปีกอยู่ห่าง ๆ

‘เศรษฐา’ แนะ!! ‘คนรุ่นใหม่’ ก่อนจะเป็นนายตัวเอง ควรไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน จะได้รู้ซึ้งถึง ‘การถูกกระทํา’

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @zadlifez แชร์คลิปวิดีโอของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แนะนำแนวทางสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ว่าก่อนจะไปเป็นนายตัวเอง ควรต้องไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน โดยระบุว่า…

“อย่างไรการศึกษาก็เป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด ผมมาจากโอลด์สคูล ยังไงคุณต้องเรียนหนังสือ และหน้าที่ของพ่อแม่คือส่งลูกให้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะสามารถเรียนได้ และต้องไปโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถไปได้ และในกําลังทรัพย์ที่เขาสามารถจะกู้เองหรือว่าพ่อแม่สามารถซัพพอร์ตได้”

“เรื่องของการทํางานมีหลายทฤษฎี ผมขออย่างเดียว คือ จบมาแล้ว อย่าไปทําสตาร์ตอัป อย่าเพิ่งไปเป็นเจ้าของกิจการ ขอใช้คําหยาบ ๆ แล้วกันนะ เพื่อที่จะได้เข้าใจ… คือ คุณต้องไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน คุณต้องเป็นลูกน้องเขาก่อน คุณต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของการเป็นลูกน้องเขาก่อน นี่คือสิ่งที่ผมขอลูกผมทั้ง 3 คน ว่าต้องทํา คุณต้องไปเป็นลูกน้องเขาก่อน คุณต้องถูกใช้ก่อน คุณต้องเข้าใจความรู้สึกของการถูกใช้ก่อน เพราะในวันข้างหน้า เมื่อคุณจะเป็นเจ้าคนนายคน หรือคุณจะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าของกิจการบริษัท คุณจะได้รู้ซึ้งถึงการที่คุณ ‘ถูกกระทํา’”

“ผมว่าผมเป็นคนหัวโบราณนะ ผมไม่คิดว่ามีกี่คนที่เป็นแบบ ‘สตีฟ จ็อบส์’ หรือว่าเป็นแบบ ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ได้ คนอีก 500-600 คนที่จบมาทําสตาร์ตอัป แล้วประสบความสำเร็จมากพอที่จะสู้ได้ เป็นมหาเศรษฐีได้ มีเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ…”

‘พงศ์พรหม’ ห่วง!! อนาคตต่างชาติครอง ‘งานสายการเงิน-เทคฯ’ ในไทย เหตุเพราะ ‘ความสามารถ-ทัศนคติ’ นำหน้าเด็กไทยรุ่นใหม่มากโข

(20 ธ.ค. 66) นายพงศ์พรหม ยามะรัต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pongprom Yamarat’ ระบุว่า...

มาเจอ Trend การจ้างงานที่น่าสนใจ แต่น่าเป็นห่วง

เด็กไทยรุ่นใหม่ถูกคนจีน สิงคโปร์ อินเดีย แย่งงานตำแหน่งงานการเงิน นวัตกรรม ธุรกิจองค์กรกลาง-ใหญ่ เงินเดือน 75,000+ ถึง 300,000 บาท เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความสามารถเด็กไทย หมายถึงความสามารถ ความขยัน passion และทัศนคติไม่ผ่าน

หรือที่เข้าไปได้ ก็ไม่ผ่านโปรเยอะ

เราจึงเริ่มเห็นคนจีน คนอินเดียเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น ๆ เพราะธุรกิจไม่มีทางเลือกแล้ว ให้โอกาสเด็กไทยแล้ว

สรุปว่างานระดับบริหาร นวัตกรรม ไปถึงสายเทค เด็กไทยกำลังโดนต่างชาติแย่งงานในไทยเอง เพราะความสามารถไม่ถึง ส่วนงานบริการระดับกลาง เช่นผู้จัดการร้านอาหาร รวมถึงคนเสิร์ฟที่เงินเดือนสูงหน่อยตามโรงแรม 4-6 ดาวในกรุงเทพ ภูเก็ต เด็กไทยสอบไม่ผ่าน รวมถึงไม่ผ่านโปรเยอะมาก

ตอนนี้ร้านอาหารดี ๆ โรงแรมดี ๆ จึงต้องเร่งจ้างงานคนฟิลิปปินส์ อินเดีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย เข้ามา fill ตำแหน่งเหล่านี้

เมื่อวานผมมีคุยงานในโรงแรม 5 ดาวกลางกรุงเทพ เด็กเสิร์ฟ 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 5 เป็นต่างชาติแล้ว เพราะภาษาอังกฤษดี ยิ้มแย้ม บริการดีมาก

ที่น่าห่วงคือ ภาคธุรกิจไทยมากมาย ไม่ได้ underpaid แต่เด็กไทยความสามารถไม่พอจริง ๆ

และเมื่อเปิดรับต่างชาติมาในเงินเดือนเท่ากัน ต่างชาติกลับทำงานนั้นได้ดีกว่า ภาษาอังกฤษคล่องกว่า งอแงน้อยกว่า ขยันกว่า เรียนรู้ไวกว่า

เรากำลังเข้าสู่ยุคภาครัฐไร้ทิศทาง เด็กรุ่นใหม่อยากได้เงินเยอะ ๆ แต่ไร้ความสามารถ อนาคตเศรษฐกิจไทย อันตรายยิ่ง 

กาแฟ Piccolo ในรูปนี่เป็นกาแฟแก้วที่ 2 ของวันแล้ว ผมตื่นมาทำงานตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง กิน Espresso แก้วแรก ทำเสร็จ ไปวิ่ง วิ่งเสร็จ มาทำงานต่อ แบบนี้ต่างชาติถึงเคารพเรา

ปล. ที่น่าสนใจ คือเด็กรุ่นใหม่ที่เก่ง คือเก่งโดดออกมาเลย ไม่ต้องจบนอกก็เก่งสุด ๆ รู้ว่าจะเรียนรู้จากไหน ไป take online course สั้น ๆ จาก MIT บ้าง Harvard บ้าง ในขณะที่เด็กรุ่นเขาส่วนใหญ่นั่งชิลล์ รักสบายกันอยู่

เด็กรุ่นใหม่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์งาน แต่ดูคำตอบแล้วน่าจะไม่ได้งานทำ

(22 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ประเทศไทยต้องชนะ’ ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์งานเด็กรุ่นใหม่ แต่เมื่อได้มีการพูดคุย กลับรู้สึก ‘แสบทรวงทุกดอก’ ทำให้ต้องจบการสัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว โดยระบุว่า…

“เจอแบบนี้ถึงกับกุมขมับ! เด็กรุ่นใหม่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์งาน แต่ดูคำตอบแล้วน่าจะไม่ได้งานทำ 

“เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ ไม่รู้ว่าเขาไปกินรังแตนกันมาจากไหน เมื่อมีผู้ใช้ Facebook รายหนึ่งได้โพสต์เรื่องราวที่เขาได้เรียกสัมภาษณ์งานเด็กจบใหม่คนหนึ่ง แล้วก็ต้องตกใจกับคำตอบที่เด็กคนนั้นสวนมา เรียกได้ว่า ‘แสบทรวงทุกดอก’ โดยข้อความสนทนาระบุว่า

“สัมภาษณ์งานวันนี้
ผม : แนะนำตัวหน่อยครับ
น้อง : ตามเอกสารที่ผมส่งมาเลยครับ
ผม : ได้หาข้อมูลบริษัทพี่มาก่อนหรือเปล่าครับ
น้อง : ไม่ว่างเลยยังไม่ได้ดูครับ
ผม : (เล่าเรื่องออฟฟิศให้ฟัง) เคยทำด้านนี้มาบ้างหรือเปล่าครับ
น้อง : ไม่เคยครับ
ผม : แล้วคิดว่าทำได้หรือเปล่า เพราะเห็นเรียกเงินเดือนมาสูง
น้อง : ถ้าคิดว่าผมทำไม่ได้แล้วเรียกมาสัมภาษณ์ให้เสียเวลาทำไมครับ
ผม : !?! งั้นขอจบการสัมภาษณ์นะครับ

“รู้สึกผิดที่ไม่ศึกษาข้อมูลผู้มาสมัครงานให้ดี อยู่ ๆ ก็อยากทำระบบแชร์ข้อมูลผู้สมัครงาน ส่วนมากน่ารัก ... แต่แบบนี้ก็ไม่น้อย”

“ทุกคนว่าอย่างไรกันบ้างครับ ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ”

'อดีตทูตนริศโรจน์' แฉ!! ถูก FB สั่งลบความเห็นเพราะผิดกฎ แค่พิมพ์ "ควรไปสมัครที่ไทยซัมมิทนะ อาจได้งาน"

(22 มี.ค.67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj' ว่า...

ในเพจนึงเขียนเล่าเรื่องราวเด็กรุ่นใหม่ที่มั่นใจตัวเองสูงไปสมัครงานที่บริษัทหนึ่ง 

ผมก็แค่ไปเมนต์ว่า “ควรไปสมัครที่ไทยซัมมิทนะ อาจได้งาน” 

แค่นั้นแหละ FB สวนปราดมาทันทีว่าต้องลบความเห็นผมเพราะผิดกฎ ! 

ตอนนี้เพื่อนๆ เข้าใจหรือยังว่าอะไรเป็นอะไร เขียนแตะฝ่าย 'ธรรมะ' ไม่ได้เลย ! แต่ถ้าเพจ รอยัลลิสต์ เขียนด่าสถาบัน ด้อยค่าประเทศแค่ไหน ก็ไม่เคยโดน!


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top