Saturday, 11 May 2024
อาจารย์อุ๋ย_ประพฤติ

'อ.อุ๋ย-ปชป.' วอนรัฐสนับสนุนวิชาชีพช่างแว่นตา ชี้!! สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจนับหมื่นล้านบาท

(12 มี.ค. 67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเห็น ว่า...

"วันนี้สวมหมวกที่ปรึกษากฎหมายของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ บรรยายหัวข้อ 'กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับช่างแว่นตา' ซึ่งจัดโดยชมรมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาแห่งประเทศไทย

"วิชาชีพช่างแว่นหรือช่างวัดสายตาประกอบแว่น (optician) เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของวิชาชีพทางด้านจักษุ ซึ่งได้แก่ จักษุแพทย์ นักทัศนมาตร และช่างแว่น ซึ่งต้องทํางานสอดประสานกันเพื่อเติมเต็มบริการสาธารณสุขทางด้านจักษุ ปัจจุบันตลาดแว่นตาไทยมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท มีร้านแว่นตาทั่วประเทศกว่า 20,000 ร้าน และเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% 

"จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐควรเข้ามากํากับดูแลเพื่อรักษามาตรฐาน และยกระดับ/พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการของกิจการแว่นตาไทย สร้างมูลค่าเพิ่มและ productivity เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่สําคัญของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ

"ปัจจุบันร่างกฎกระทรวงกำหนดให้กิจการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นเป็นกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. ....ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ซึ่งหากประกาศใช้แล้วจะยกระดับมาตรฐานวิชาชีพช่างแว่นให้เทียบเท่าสากล พัฒนากลไกเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อรองรับสถานะต่างๆตามกฎหมายซึ่งนําไปสู่การสนับสนุนในรูปแบบอื่น ๆ จากภาครัฐต่อไปในอนาคต ผมจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ประกอบวิชาชีพนี้และผู้บริโภคครับ"

'อ.อุ๋ย-ปชป.' ยก รธน.มาตรา 211 ชี้!! คําวินิจฉัยศาล รธน.เด็ดขาด-ผูกพันรัฐสภา พรรคที่ล้มล้างการปกครองไม่มีสิทธิเข้าสภาประชุมใดๆ แม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อไม่นานมานี้ นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงมุมมองทางกฎหมาย ว่า...

รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 211 ว่าคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเด็ดขาดและผูกพันรัฐสภาด้วย 

ดังนั้นไม่ต้องรอให้ยุบพรรคหรอก เพราะพรรคที่ล้มล้างการปกครองไม่มีสิทธิเดินเข้าสภาอันทรงเกียรติเพื่อประชุมใด ๆ ทั้งสิ้นแม้แต่วินาทีเดียว 

เพราะตามคําปรารภของข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 เขียนไว้ชัดเจนว่า สมาชิกรัฐสภาต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และธํารงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ดังนั้น หากท่านวันนอร์ ในฐานะประธานรัฐสภา ซึ่งต้องผูกพันตามคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังปล่อยให้ สส.จากพรรคที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่ากระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เข้าสภามาใช้อํานาจนิติบัญญัติต่อไป 

จะเท่ากับว่าท่านสนับสนุนให้กลุ่มคนที่กระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เข้ามาใช้อํานาจนิติบัญญัตินะครับ และจะกลายเป็นว่า ประธานรัฐสภาเป็นผู้ทําผิดข้อบังคับเสียเอง ฝากไว้ให้คิด

'อ.อุ๋ย-ปชป.' แนะรัฐบาลสั่ง 6 แบงก์รัฐ นำร่องลดดอกเบี้ย เดี๋ยวแบงก์พาณิชย์จะลดดอกเบี้ยตามเอง เพื่อไม่ให้เสียลูกค้า

เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ดอกเบี้ยนโยบายเป็นอัตราที่ธนาคารกลางจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เอาเงินมาฝาก หรือเป็นอัตราที่ธนาคารกลางเก็บดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ที่มากู้เงิน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่เป็นผู้กู้หรือผู้ฝากเงินต่อไป เป็นเครื่องมือหนึ่งของแบงก์ชาติ ในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ไม่ให้เกินเป้าหมาย 3% ต่อปี ตามหลักเศรษฐศาสตร์

อย่างไรก็ตาม แบงก์ชาติไม่มีอำนาจสั่งธนาคารพาณิชย์ ดอกเบี้ยนโยบายเป็นเพียงการส่งสัญญาณว่าธนาคารพาณิชย์ควรจะขึ้นหรือลดดอกเบี้ยเท่าใด ส่วนแต่ละธนาคารจะตัดสินอย่างไร เป็นเรื่องของแต่ละธนาคาร โดยดูจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ดังที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือจาก 4 ธนาคารใหญ่ และสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 23 เม.ย.67 ซึ่งสุดท้ายสมาคมธนาคารไทยก็มีการปรับลดดอกเบี้ย MRR ลงร้อยละ 0.25 สำหรับผู้กู้บางส่วน ซึ่งไม่ตรงกับมติของแบงก์ชาติ (กนง.)  

ดังนั้น เพื่อไม่ให้กระทบกับหลักความเป็นอิสระของแบงก์ชาติตามที่หลายฝ่ายกังวล รัฐบาลก็สามารถทำได้มากกว่าการขอความร่วมมือ โดยสั่งให้ธนาคารในกำกับดูแลของรัฐทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธกส., ธอส., ธอท., ธพว. และ ธนาคารกรุงไทย ให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยไม่ต้องไปยุ่งกับดอกเบี้ยนโยบาย เพราะจะเกิดผลกระทบหลายฝ่าย และรุนแรงในระยะยาว และเมื่อธนาคารของรัฐเหล่านี้ ซึ่งมีฐานลูกค้าหลายสิบล้านคน หากลดดอกเบี้ยได้มากพอและนานพอ สุดท้ายธนาคารพาณิชย์ของเอกชนก็จะต้องลดดอกเบี้ยตาม เพราะมิเช่นนั้นก็จะเสียลูกค้าไป

การทำเช่นนี้แม้จะทำให้รายได้หรือกำไรของธนาคารลดลง แต่ในภาพรวมจะทำให้ประชาชนมั่นใจในการลงทุนและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น และรัฐบาลก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น และเอาเงินมาช่วยธนาคารเหล่านี้ภายหลังได้ โดยไม่ต้องไปกดดันแบงก์ชาติให้กระทบกับหลักความเป็นอิสระ ตามที่หลายฝ่ายท้วงติง 

ผมจึงขอฝากให้รัฐบาลนำวิธีนี้ไปพิจารณา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และหันมาร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเจริญเติบโตก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคงจะดีกว่า


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top