Sunday, 16 June 2024
สันติสุข

‘บิ๊กตู่’ ฝากรัฐบาลหน้า สานต่องานสร้างสันติสุขชายแดนใต้ ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช. ปลื้ม!! ทูตประเทศมุสลิมชื่นชม

(30 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะเอกอัครราชทูตจากประเทศซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย คูเวต โอมาน อียิปต์ อินโดนีเซีย ตุรกี โมร็อกโก อุปทูตจากสถานเอกอัครราชทูตกาตาร์ และปากีสถาน เดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 25 - 27 กรกฎาคม 2566 เพื่อดำเนินการกิจกรรมการทูตเชิงรุก สร้างความเข้าใจ และการรับรู้อันดี เกี่ยวกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคณะเอกอัครราชทูตทั้ง 10 ประเทศ ได้รับทราบแนวทางการแก้ปัญหาสถานการณ์ความมั่นคง และการพัฒนาพื้นที่จาก ศอ.บต. ซึ่งได้ดำเนินการยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และการสนับสนุนการแสวงหาทางออกโดยสันติวิธี มีเป้าหมายให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ร่วมกันได้ในวิถีสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน พร้อมคำนึงถึงการพัฒนาอย่างเป็นธรรม ไม่แบ่งแยก และเท่าเทียมในทุกศาสนา รวมถึงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์ ความเชื่อ สอดคล้องกับวิถีชีวิต ศาสนา วัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า คณะเอกอัครราชทูตได้ชมศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมปัตตานี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านอาหารฮาลาล ซึ่งมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล และปัจจุบันเป็นที่สนใจและต้องการของประเทศภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่มีศักยภาพและสามารถเติบโตได้ในอนาคต ด้านเอกอัครราชทูตจากซาอุดีอาระเบียชื่นชมศักยภาพของธุรกิจในพื้นที่ พร้อมยินดีนำนักธุรกิจมาร่วมแลกเปลี่ยนหารือจับคู่ระหว่างนักธุรกิจไทย-ซาอุดีฯ โดยขอให้ไทยเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ แรงงาน ซึ่งมีทักษะ และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ศอ.บต. ยังนำคณะเอกอัครราชทูตลงพื้นที่กือดาจีนอ ชุมชนเมืองเก่าปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชน 3 วิถี ที่มีประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีน เชื้อสายมลายู และประชาชนนับถือศาสนาพุทธ อาศัยอยู่ร่วมกัน สะท้อนถึงพหุวัฒนธรรมที่หลากหลาย พร้อมเดินทางไปเยี่ยมเยือนมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นศาสนสถานคู่เมืองปัตตานีและศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ โดยก่อสร้างขึ้น ตามแนวคิดในการสร้างสันติสุข และอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมในการประกอบศาสนกิจ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียรู้สึกประทับใจต่อวิถีของชุมชนที่อยู่ร่วมกันถึง 3 วัฒนธรรม โดยทุกคนมีรอยยิ้มและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รัฐบาลดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้มาอย่างต่อเนื่อง โดยดูแลประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างงานสร้างรายได้พัฒนาจังหวัดชายแดนใต้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรี ดีใจที่คณะเอกอัครราชทูตมีความเข้าใจอันดีต่อสถานการณ์ และได้ชื่นชมแนวทางการทำงานของรัฐบาล นายกฯหวังว่างานด้านการพัฒนามิติต่างๆ ที่ได้ทำมาจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลใหม่อย่างเต็มที่ และนำไปต่อยอดความร่วมมือระหว่างไทยและกลุ่มประเทศมุสลิม

‘บิ๊กป้อม’ ร่วมประชุม ‘กบฉ.’ ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พื้นที่ จชต. พร้อมกำชับตรวจเข้มโรงงานสารประกอบระเบิด เพื่อลดความเสี่ยง

(28 ส.ค. 66) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 3/2566 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม

โดยที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปรับลดพื้นที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี ออกจากพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ มาใช้แทน และขอขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส, อำเภอยะหริ่ง อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี, อำเภอเบตง และอำเภอกาบัง จังหวัดยะลา ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ตั้งแต่ 20 ก.ย. ถึง 19 ธ.ค. 66 โดยเป็นการขยายระยะเวลา ครั้งที่ 73 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน ป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ในพื้นที่ให้ได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาความสงบ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ด้วย โดยให้ สมช.เสนอเรื่องไปยัง ครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป

ที่ประชุมรับทราบผลการปฎิบัติงานตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 วันที่ 20 มิ.ย. ถึง 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มของสถานการณ์ ที่มีความสงบเรียบร้อยมากขึ้นตามลำดับ และมีสถิติการก่อเหตุความรุนแรงลดลง สามารถพัฒนาไปสู่การปรับลดพื้นที่ออกจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้มากขึ้น ทั้งนี้ โดยกำชับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ให้เข้มงวดตรวจสอบโรงงานที่เกี่ยวข้องกับสารประกอบระเบิด พร้อมเร่งรัดการช่วยเหลือและฟื้นฟูประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานพลุดอกไม้เพลิงระเบิดที่ผ่านมาโดยเร็ว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอบคุณ คณะกรรมการฯ หน่วยงานความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และกำลังพลทุกนายที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเสียสละ ทุ่มเท และกล้าหาญ อย่างน่าภาคภูมิใจ สามารถแก้ปัญหา จชต.เป็นไปด้วยความเรียบร้อยที่ผ่านมา และมีสถิติการก่อเหตุฯลดลง ตามลำดับ พร้อมทั้งได้ขอบคุณประชาชนในพื้นที่ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี รวมทั้งได้กำชับ สมช. ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการเตรียมความพร้อมแก้ปัญหา จชต.ในระดับนโยบาย ที่ต้องขับเคลื่อนให้ต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน มีความเป็นมืออาชีพ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเตรียมรับนโยบายจาก ครม.ชุดใหม่ ที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top