Friday, 3 May 2024
ลดราคาน้ำมัน

‘พิชัย’ ท้า ‘มิ่งขวัญ’ ลดราคาน้ำมันตอนนี้เลย ตอก!! อย่าโม้หวังคะแนนเสียง แต่สุดท้ายทำไม่ได้

(24 ก.พ.66) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และรองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่ได้มีความพยายามใช้ราคาพลังงานมาหาเสียง ประกาศลดราคาโดยปราศจากความรู้ เป็นแค่การขายฝันเพื่อหาเสียงเท่านั้น ล่าสุดมีการเสนอว่าจะลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 6 บาท ลดราคาน้ำมันเบนซินลงลิตรละ 18 บาท ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงอยากให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียด อย่าเพียงพูดเหมือนแค่หาเสียง แต่ไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ เหมือนที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หาเสียงหลายนโยบายแต่ไม่ได้ทำเลยมาตลอด เช่น ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท ปริญญาตรีเดือนละ 20,000 บาท ราคาพืชผลเกษตร ข้าว ยางพารา อ้อยที่ไม่ได้ทำเลย

นายพิชัย กล่าวต่อว่า หากนายมิ่งขวัญทำได้จริง อยากให้นายมิ่งขวัญ ได้สำนึกว่าปัจจุบันพรรคพปชร.เป็นพรรคใหญ่ที่สุดที่ร่วมรัฐบาล ทำได้จริงต้องทำทันที ไม่ต้องหาเสียง ควรให้พรรคพปชร.อยากให้นายมิ่งขวัญไปศึกษารายละเอียดให้ดี ไม่ใช่ดูแค่โครงสร้างราคาแล้วเอาตัวเลขในแต่ละช่องมาคำนวณบวกลบและพูดมั่ว ต้องตอบให้ได้ว่าหนี้กองทุนน้ำมันจำนวนกว่าแสนล้านบาท ที่รัฐบาลและพรรคพปชร.ก่อหนี้นี้ขึ้นมา จะชำระหนี้นี้อย่างไร ยังมีอีกหลายคำถาม ถ้านายมิ่งขวัญมั่นใจว่าคิดครบทุกประเด็น ก็ออกมาชี้แจงให้ประชาชนทราบและทำทันทีเลยโดยไม่ต้องรอ เพราะจะได้คะแนนเสียงทันที ซึ่งตนเชื่อว่าทำไม่ได้อย่างแน่นอน

‘สกลธี’ บุกตลาดสัมมากร นำทีมช่วย ‘นาถยา’ หาเสียง ชูนโยบาย ลดราคาก๊าซ-น้ำมัน ลั่น!! ทำทันทีหากได้เป็นรัฐบาล

(15 เม.ย. 66) ที่ตลาดสัมมากร นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พร้อมนางนาถยา แดงบุหงา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 19 (มีนบุรี-สะพานสูง) หมายเลข 10 ลงพื้นที่ตลาดสัมมากร เขตสะพานสูง พบประชาชนและแนะนำนโยบายพรรค ก่อนขึ้นรถแห่หาเสียง

นายสกลธี กล่าวว่า ประชาชน ตอบรับการลงพื้นที่วันนี้ดีมาก เพราะนางนาถยา เป็น ส.ส.เจ้าของพื้นที่มา 2 สมัย มีความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่เป็นอย่างดี ส่วนตนได้พบกับผู้สนับสนุนตั้งแต่สมัยที่ลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มีโอกาสได้พูดคุยกัน และนำเสนอนโยบายของพรรค เรื่องลดราคาก๊าซ เหลือถังละ 250 บาท โดยทำทันทีหากได้เป็นรัฐบาล เพื่อช่วยลดต้นทุนให้หับพ่อค้า แม่ค้า

‘บิ๊กป้อม’ ควง ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ สรุปนโยบายพรรค ก่อนเลือกตั้ง ลั่น!! หากเป็นรัฐบาลทำทันที ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ-ลดราคาน้ำมัน’

‘บิ๊กป้อม’ ควง ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ สรุปนโยบาย พปชร.โค้งสุดท้าย ลั่น ถ้าเป็นรัฐบาลทำทันทีทุกอย่าง ชู ยุติความขัดแย้งช่วงวัย ไม่มีลงถนน บริหารประเทศแบบไม่ชะงัก ‘อุตตม’ เผย ภารกิจด่วน กระตุ้นเศรษฐกิจ ‘สนธิรัตน์’ ตีปี๊บ ใช้กองทุนหมู่บ้านเสริมเข้มแข็งชุมชน ‘มิ่งขวัญ’ ย้ำ ลดราคาพลังงาน-ก๊าซแน่ อ้อน ปชช. ขอใจร่มๆ ฟังแล้วไปเลือกเบอร์ 37 ‘คณิศ’ โอ่ พรรคไม่แจกเงินคนรวย ‘ธีระชัย’ กางแหล่งที่มาเงิน ใช้ ‘ไฟแนนซ์นโยบาย’ ทุกโครงการเศรษฐกิจมหภาคโตหมด ‘นฤมล’ สานต่อบ้านประชารัฐ

(4 พ.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมดรีมทีมเศรษฐกิจของพรรค ประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายคณิศ แสงสุพรรณ ร่วมกันแถลง 'สรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้งเป็นรัฐบาล พลังประชารัฐ'

พล.อ.ประวิตร แถลงว่า เหลืออีก 10 วันเท่านั้น จะมีการเลือกตั้ง ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่เราจะหาเสียงแล้ว ตลอดระยะเวลา 45 วันหลังจากที่รัฐบาลได้ยุบสภา เราได้หาเสียงกันมาตลอด 45 วัน มุ่งเน้นหาเสียงทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งนี้ 7 นโยบายของ พปชร.คือ 1. ก้าวข้ามความขัดแย้ง 2. ก้าวข้ามความยากจน 3. ลดความเหลื่อมล้ำ 4. สร้างสวัสดิการเข้มแข็ง 5. พลิกฟื้นเศรษฐกิจ 6. สร้างความเป็นธรรมของสังคม และ 7. พลิกโฉมการบริหารงานของภาครัฐ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนอยากให้คนไทยมีความรักใคร่ สามัคคีกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เมื่อประเทศมั่นคง ไม่มีขัดแย้งกันแล้ว จะเกิดความสงบสุข รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ ต่างประเทศจะมาลงทุนในประเทศไทย การค้าขายจะเจริญเติบโต ไม่มีการหยุดชะงักถ้าไม่มีประชาชนมาเดินในถนน เมื่อเราทุกคนมีความเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีกัน จะสามารถบริหารประเทศไปได้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ตนไม่สามารถทำให้คนไทยมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวกันได้ การเมืองใครจะคิดอย่างไร อยู่พรรคไหน อยู่ไป ไม่ว่าอะไร แต่เมื่อเลือก ส.ส.มาแล้ว 400 เขต ให้ไปว่ากันในสภา จะแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมาย ไปว่ากันในเรื่องของสภา เพราะเป็นตัวแทนของประชาชน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ส่วนการบริหารประเทศเป็นเรื่องของรัฐบาล เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ประชาชน เมื่อบริหารประเทศโดยไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีหยุดยั้ง ไม่มีการเดินถนน จะทำให้ประเทศชาติสามารถเดินไปได้ บริหารประเทศไปได้ ประชาชนไม่ชอบหรือ ถ้าเราทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เงินในกระเป๋าท่านดีขึ้น รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่ติดขัด จึงอยากฝากประชาชนทุกคนว่า ความเป็นหนึ่งเดียวนั้นมีความสำคัญมากที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศต่อไป ความขัดแย้งระหว่างรุ่นอายุ ทุกคนเป็นคนไทยทั้งนั้น ถึงเวลาที่เราจะต้องยุติสักที ฝากกับประชาชนว่าความเป็นคนไทยไม่ว่าจะอายุ หรือเพศไหน อย่างไรเป็นคนไทย ต้องมีความรักใคร่ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ประเทศจะได้เจริญรุ่งเรืองถ้าพวกเราก้าวข้ามความแย้งสำเร็จ มั่นใจว่าคนไทยกว่า 60 ล้านคน จะสามารถก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องน้ำ เรื่องที่ดิน ถ้ามีน้ำจะไม่มีแล้ง มีที่ดินจะไม่มีจน เราจะดูแลเกษตรกรให้เข้มแข็ง หาที่ดินทำกิน ส่วนเรื่องน้ำ รัฐบาลทำมาตลอดสี่ปี ทำให้ประชาชนไม่มีแล้งเลย แสดงถึงความสำเร็จของรัฐบาลที่ตนได้ดำเนินการมาสามารถทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีเพิ่มมากขึ้น ส่วนเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีฝนตกมากจะต้องมีน้ำหลาก ต้องมากันว่าในพื้นที่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีน้ำหลาก ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ต่างประเทศน้ำก็เดือดร้อนเพราะน้ำหลากเช่นกัน แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ รัฐบาลสามารถเยียวยาได้

นายอุตตม กล่าวว่า ภารกิจด่วนที่ต้องทำทันทีเมื่อ พปชร.ได้เป็นแกนนำรัฐบาล จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้น ต้องเร่งเศรษฐกิจให้โต เพราะเศรษฐกิจประเทศไทยโตต่ำกว่าศักยภาพมาหลายปี จะแก้ปัญหาความยากจนด้วยการกระตุ้น นอกจากนี้ ต้องลดค่าใช้จ่าย โดยเรื่องค่าใช้จ่ายพลังงาน พปชร.พร้อมจะแก้ไขทั้งระบบให้เกิดความเป็นธรรมในเรื่องราคา และเราจะแก้ไขภาระหนี้สินของประชาชนอย่างครบวงจร

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 3 หมื่นบาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เรามีปัญหาค่าครองชีพ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เริ่มจากน้ำมัน พปชร.จะลดราคาน้ำมันเบนซิลิตรละ 18 บาท ดีเซลลดลิตรละ 6.30 บาท ไม่ว่าน้ำมันโลกจะขึ้นหรือลง เมื่อ พปชร.ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลจะทำทันที ส่วนเรื่องแก๊ส หลังวันเลือกตั้งถ้า พปชร.ได้ขึ้นมาบริหารจัดการ ราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือนจะอยู่ที่ 250 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย พปชร.จะทำให้ค่าครองชีพลดลง นอกจากนี้ จะผลักดันนโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ โดยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไปได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไป ได้ 5,000 บาท ทั้งนี้ เหลืออีก 10 วันจะเลือกตั้งแล้ว ขอให้คนไทยใจเย็นๆ ใจร่มๆ ฟังดรีมทีมเศรษฐกิจของเรา และถามตัวเองว่าใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าใช่ขอให้เลือกเบอร์ 37 ด้วย

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับนโยบายอีสานประชารัฐ อีสานเป็นภาคที่มีความสำคัญ เป็นภาคที่มีประชากรมากที่สุด มีพื้นที่ทำเกษตรกรรมจำนวนมากและมีแรงงานมากที่สุด ถ้าพัฒนาอีสานได้จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ตลาดโลก เป็นความคิดที่จะดูแลภาคอีสาน เป็นความตั้งใจที่ชาญฉลาดในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวอีสาน อีสานประชารัฐ คือ การพัฒนาอีสาน เริ่มต้นจากการที่จะมีโครงการรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งตั้งแต่ จ.บึงกาฬ มาถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่อีอีซี

นายคณิศ กล่าวว่า นโยบายของ พปชร.คือ ไม่แจกเงินคนรวย เพื่อให้ทุกคนกลับฟื้นคืนมา ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งนี้ สำหรับนโยบายระยะยาวนั้น เราจะทำเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ ใน 5 จังหวัด ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับดี ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ทำให้ทุกคนดีขึ้น ตอนนี้เราทำแผนกันไว้แล้ว

‘ลดภาษี-อุดหนุนเงินเข้ากองทุน’ ทางออกปัญหา ‘พลังงานแพง’ ช่วยลดภาระ ปชช. ควบคู่สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศ

(6 ก.ย. 66) ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนโยบายจัดการด้านพลังงาน ซึ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 6 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสาระสำคัญจาก ดร.พรายพล ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

“สำหรับการจัดการเรื่องราคาน้ำมัน ทางเดียวที่เห็นได้ชัดในตอนนี้คือรัฐบาลต้องเข้ามาอุดหนุน จะทั้งทางลดภาษีสรรพสามิต หรือการอุดหนุนผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ได้ทั้งนั้น อีกทั้งอยู่ในอำนาจของรัฐบาลที่จะทำได้ด้วย ที่พูดมานี้หมายถึงตัวน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีความจำเป็นในการขนส่ง รถโดยสาร”

ดร.พรายพล กล่าวว่า ปัจจุบันนี้รัฐได้อุดหนุนน้ำมันดีเซลผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยควบคุมให้ราคาน้ำมันไม่สูงขึ้น โดยอุดหนุนอยู่ที่ลิตรละ 5.60 บาท แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็เก็บภาษีสรรพสามิตลิตรละเกือบ 6 บาท ถ้าเทียบดูแล้ว ฟากที่รัฐเก็บเข้ามาและจ่ายออกไปก็พอ ๆ กัน โดยสรุปก็คือรัฐเก็บภาษีได้ไม่กี่สตางค์ต่อลิตร 

ส่วนทางด้านของน้ำมันเบนซิน ในขณะนี้มีการเก็บภาษีเต็มที่คือ 5 บาทกว่า ๆ ต่อลิตร และอุดหนุนเข้ากองทุนลิตรละประมาณ 2 บาทกว่า ๆ อาจจะฟังดูไม่เป็นธรรม แต่หากมองราคาที่หน้าปั๊มจะเห็นว่า ราคาขายปลีกของเบนซินสูงกว่าดีเซล

ดร.พรายพล กล่าวต่อว่า แนวคิดรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา จะมองว่าคนที่ใช้เบนซินจะเป็นคนที่มีกำลังจ่ายมากกว่าคนที่ใช้น้ำมันดีเซล เพราะการใช้น้ำมันดีเซลจะใช้ในรถบรรทุก ขนส่ง รถโดยสาร ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ จึงนำเงินมาช่วยอุดหนุนมากหน่อย แต่น้ำมันเบนซินใช้ในรถยนต์ส่วนตัว รถที่มีราคาแพง จึงมีการอุดหนุนที่น้อยกว่า 

เมื่อถามว่านอกเหนือจากภาษีที่ต้องจัดการ โครงสร้างราคาน้ำมันส่วนไหนที่สามารถจัดการได้อีกบ้าง เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง ดร.พรายพล กล่าวว่า จะต้องดูให้ครอบคลุมทั้งโครงสร้างพลังงาน ส่วนเรื่องของค่าการกลั่นที่เคยเป็นประเด็นก็ควรจับตาดูด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีการขยับขึ้นลงเสมอ ๆ และแม้ทั่วโลกจะมีค่าการกลั่นสูงเหมือนกันหมด แต่ก็น่าคิดว่าจะทำให้ค่าการกลั่นลดลงได้หรือไม่ สำหรับปีนี้ก็ลดลงต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่แนวโน้มในช่วง 10 ที่ผ่านมาก็ยังสูง แต่คิดว่าก็น่าจะมีแนวทางที่จะลดลงได้

ส่วนค่าการตลาดที่ผ่านมาถือว่าไม่สูงเท่าไหร่ เฉลี่ยแล้วลิตรละ 2 บาท หากจะให้ลดลงอีกก็คงลดได้ไม่มากเท่าไหร่ เพราะก็ต้องมีช่องให้ผู้ประกอบการทำกำไรด้วย หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านก็อยู่ในเกณฑ์ใกล้ ๆ กัน 

เมื่อถามว่าจากนโยบายของพรรคการเมืองหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรีในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ไม่มีการอนุญาตให้นำเข้าเสรีใช่หรือไม่?

ดร.พรายพล กล่าวว่า เท่าที่ผมทราบ ค่อนข้างเปิดกว้างและเสรี ยกเว้นแต่เพียงก๊าซหุงต้ม ส่วนที่เหลือไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย การเสรีค้าในที่นี้หมายถึงเสรีภายใต้กรอบกฎหมาย และผู้นำเข้าจะต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะไปนำเข้ามาขาย เพราะก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย เพราะน้ำมันเป็นวัตถุอันตราย หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่

อีกเรื่องที่ต้องระวังคือเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เช่น หากเราไปซื้อน้ำมันจากรัสเซียในราคาถูก ก็อาจจะโดนจับตามองจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เพราะตอนนี้มีการคว่ำบาตรกันอยู่ 

สำหรับประเด็นราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในอ่าวไทย ประชาชนซื้อราคาสูงมาก แต่กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีซื้อในราคาถูก สามารถแก้เขาให้มีราคาเท่ากันได้หรือไม่? ดร.พรายพล กล่าวว่า การปรับราคาก๊าซธรรมชาติให้มีราคาถูกเท่ากันก็มีวิธีการทำให้เป็นไปได้ ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ประกอบการที่ขายแก๊สก็ต้องมีรายได้ลดลง และต้องเป็นการหารือระหว่างรัฐและผู้ประกอบการ ส่วนบริษัทรัฐวิสาหกิจก็ต้องทำตามนโยบายของรัฐบาล แต่ก็ต้องเห็นใจให้เขาสามารถทำกำไรได้ด้วย

เมื่อถามว่าจะบริหารจัดการให้เกิด ‘ความมั่นคงทางพลังงาน’ สามารถทำได้อย่างไรบ้าง? ดร.พรายพล กล่าวว่า ความมั่นคงในที่นี้คือการมีปริมาณที่เพียงพอและมีคุณภาพที่ยอมรับได้ โดยต้องดำเนินการอยู่บนพื้นฐานอำนาจของรัฐ เช่น ด้านภาษี หรือกลไกของกองทุนน้ำมัน เพราะหากออกนโยบายที่กดดันทางผู้ประกอบการมากเกินไป ก็อาจจะไม่มีเสถียรภาพในการให้บริการและไม่เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานตามมาได้

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะใช้มาตรการหรือวิธีการใดในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน 

เปิดราคา 'น้ำมันเบนซิน' ภายใต้มาตรการช่วยเหลือประชาชน โดย ก.พลังงาน

⛽น้ำมันเบนซินลดราคา เติมน้ำมันกันแล้วหรือยัง?

‘กระทรวงพลังงาน’ ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชน ลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภท ตั้งแต่ 7 พ.ย. 66 - 31 ม.ค. 67

'ลดราคาน้ำมัน' นโยบายจากรัฐช่วยลดภาระประชาชน 3 เดือน ช่วงแรก 'น้ำมันหมด' จุดเสียงก่นด่า แต่เป็นการกรุยทางปรับลดระยะยาว

ขณะนี้นโยบาย ‘ลดภาระค่าใช้จ่ายราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมัน’ กำลังดำเนินไป และมีการปรับลดราคาน้ำมันลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ กลุ่มน้ำมันเบนซิน ที่มีการปรับลดราคาลงในคราวเดียว 2.50 บาท ต่อ ลิตร เมื่อวันที่ 6 พ.ย.66 ที่ผ่านมา โดยเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 1 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร ส่วน E85 และ E20 ลดลง 0.80 บาทต่อลิตร ซึ่งมีผลในวันที่ 7 พ.ย. 66 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น พบว่า ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 66 เป็นต้นมา สถานีบริการน้ำมัน หลายแห่ง ขึ้นป้าย ‘น้ำมันหมด’ โดยเฉพาะ กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางสัญจรของประชาชน จนมีกระแสข่าวว่า สถานีบริการน้ำมันกักตุนน้ำมันไม่ยอมนำออกมาจำหน่าย

ซึ่งหากติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวต่าง ๆ รวมทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ผ่านมา ย่อมเข้าใจได้ว่า หลัง มติ ครม. ที่ให้ปรับลดราคาน้ำมัน ผ่านกลไกภาษีสรรพสามิต และบริหารจากกองทุนน้ำมันฯ โดยปรับลดราคาน้ำมันสูงสุด 2.50 บาท ต่อลิตร นาน 3 เดือน มีผล 7 พ.ย. 66 สถานีบริการน้ำมันต่าง ๆ ย่อมต้องบริหารสต๊อกน้ำมัน เพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุด เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ชดเชยส่วนต่างที่ปรับลงอย่างรุนแรงให้ ส่งผลให้แทบไม่มีสถานีบริการน้ำมันใด สั่งน้ำมันมาจำหน่ายในช่วงก่อนปรับลดราคา

และในวันที่ 9 พ.ย. 66 ก็มีการปรับลดราคาน้ำมันลงอีก 60 สตางค์ต่อลิตร หากสถานีบริการใด ที่ยังสต๊อกน้ำมันที่ซื้อก่อนวันที่ 6 พ.ย. 66 เท่ากับว่า ราคาลงไป 2.50+0.6 = 3.10 บาท ต่อลิตร นั่นหมายความว่า หากลองคำนวณว่า ยังมีน้ำมันคงเหลือ 10,000 ลิตร ปั๊มก็จะขาดทุนทันที 31,000 บาท ปรากฏการณ์น้ำมันหมด จึงเกิดขึ้นแทบทุกพื้นที่

การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนตามต่างจังหวัด ที่ใช้รถจักรยานยนต์ในการเดินทางเป็นจำนวนมาก ย่อมได้รับเสียงชื่นชมนโยบายนี้ ถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 3 เดือน แต่ย่อมเริ่มเห็นทิศทางในการปรับกลไกราคาน้ำมัน ให้สอดคล้องตามต้นทุน และสามารถพยุงช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน ให้เหมาะสม

'น้ำมันหมด' ปรากฏการณ์สั้น ๆ ที่อาจได้รับเสียงก่นด่า จากผู้ที่เข้าเติมน้ำมันตามสถานีบริการ ในช่วงเวลานี้ ที่จะทำให้ประชาชนเริ่มยิ้มได้ กับ สถานการณ์ราคาน้ำมัน ที่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาว

เรื่อง: The PALM


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top