Monday, 20 May 2024
ภาคีเครือข่าย

วุฒิสภา-สสส.-ภาคีเครือข่าย เดินหน้ารณรงค์-ผนึกกำลังตร. สร้างความปลอดภัยทางม้าลาย หลังพบคดีอุบัติเหตุคนเดินเท้าเฉลี่ย 2,500 รายต่อปี

จับมือตำรวจไทย สร้างมาตรการควบคุม-บังคับใช้กฎหมาย ด้านไรเดอร์-ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ร่วมขับเคลื่อนขับขี่ปลอดภัยลดอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ (21 กรกฎาคม 2565) ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภากาชาดไทย สำนักงานเขตปทุมวัน และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย #ความดีที่คุณทำได้ ครั้งที่ 6 “ก้าวเดินอย่างปลอดภัยบนทางม้าลาย ตำรวจจราจรไทยร่วมดูแล” พร้อมมอบสื่อให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อนำไปใช้ในการรณรงค์สื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชนและบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยบนทางม้าลาย

ด้วยการลดความเร็วเขตชุมชนและชะลอก่อนถึงทางแยกทางข้าม
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา กล่าวว่า “รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงให้เหลือไม่เกิน 12 คนต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2570 โดยใช้แนวคิดเน้นการจัดการเชิงระบบวิถีแห่งความปลอดภัย (Safe System Approach) โดยระบบที่ปลอดภัยจะช่วยป้องกัน และลดความสูญเสีย ซึ่งกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา กิจกรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย ขับเคลื่อนทำงานรณรงค์ปลูกจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวินัยจราจร วันนี้เรายังเดินหน้ารณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนข้ามทางม้าลาย 

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญยิ่งที่มีหน้าที่กำกับดูแล บังคับใช้กฎหมาย จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้เกิดความปลอดภัย 3 ด้าน คือ

1. การบริหารจัดการ การบังคับใช้กฎหมายและการกำกับติดตาม โดยเฉพาะการบังคับใช้และมีมาตรการดูแล ณ ทางแยก-ทางข้าม โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ยังมีทั้งการจอดรถทับทางม้าลาย-ไม่หยุดให้คนข้าม 
2. มาตรการและมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มาตรฐานสัญลักษณ์จราจรทางถนน และการกำหนด Speed Zone จำกัดความเร็วในเขตชุมชน 
3. การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เช่น นำเทคโนโลยีเสริมการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืน การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบกและกรุงเทพมหานคร วางแนวทางควบคุม/บังคับใช้กฎหมาย และสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัย

ผบ.ตร. พร้อมภาคีเครือข่าย ร่วมเข้าพิธีมอบรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่น “โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” และรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม “โครงการอาสาตาจราจร”

วันนี้ (20 ก.ย.66) เวลา 13.30 น. ณ ห้องศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์   กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา นางสาวพรรณี ปิติกุลตัง กรรมการผู้จัดการและผู้บริหาร บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้บริหารสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และคุณอัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้บริหารสถานีวิทยุ จส.100 พร้อมด้วยคณะทำงานศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำหรับพิธีการมอบรางวัลที่จัดขึ้นในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับหน่วยงานที่มีการขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ได้อย่างดีเยี่ยม ผลงานดีเด่น เป็นที่ประจักษ์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยยึดหลัก 5S ให้ตำรวจจราจรทุกนายถือปฏิบัติ ได้แก่ SMILE (ยิ้มแย้มแจ่มใส) SMART (มีบุคลิกภาพที่ดี) SALUTE (ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพ) SERVICE MIND (ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจบริการ) และ STANDARD (ยกระดับการปฏิบัติให้มีมาตรฐานเดียวกัน) และในโครงการนี้ ได้รับความร่วมมือจากบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ซึ่งมีแผนงานรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้โครงการ ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย  โครงการนี้ สามารถลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้ถึง 1,550 ราย  บริษัทกลางฯ ได้สนับสนุนงบประมาณ เป็นเงินรางวัล จำนวน 4,890,000 บาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ โดยหน่วยงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ คือ ตำรวจภูธรภาค 1 (รายละเอียดตามเอกสารแนบ)

พร้อมกันนี้ ได้จัดพิธีมอบรางวัล โครงการอาสาตาจราจร ให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือน ก.ค. และเดือน ส.ค.2566 รวมรางวัลทั้งสิ้น 40 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 200,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล โดยทั้ง 2 เดือนนี้ มีรางวัลพิเศษ จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท เป็นรางวัลให้กับพลเมืองดี ที่ช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาข้ามถนน และเป็นรางวัลให้กับคลิปที่ได้รับความสนใจจากโซเชียล และมีการติดตามดำเนินการในทันที 

ผบ.ตร.กล่าวว่า นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้ แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นของทุกโครงการ เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างประจักษ์ชัด ทั้งสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่ลดลงของโครงการสุภาพบุรุษจราจรฯ  และแนวโน้มการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ส่งคลิปมาร่วมกิจกรรมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ของโครงการ อาสาตาจรจร นับเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จที่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นับเป็นบันไดอีกขั้นหนึ่งสู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน ต่อไป

สสส.- สคอ.สานพลังภาคีเครือข่าย ลดเจ็บ-ตายช่วงเทศกาล “ยิ่งดื่มนาน สมองยิ่งเสี่ยง ดื่มไม่ขับ ปีใหม่ 2567” ชี้อุบัติเหตุมากกว่า 50% พบแอลกอฮอล์ในเลือด “หมอประชา” เผยเหล้าส่งผลต่อสมองเสี่ยงอุบัติเหตุสูง

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) และภาคีเครือข่าย แถลงข่าว “ยิ่งดื่มนาน สมองยิ่งเสี่ยง ดื่มไม่ขับ” ปีใหม่ 2567 เน้นย้ำรณรงค์ช่วงเทศกาลสำคัญ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า “ดื่มแล้วขับ” เป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลผลการตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดของกลุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน พบว่า มากกว่า 50% พบแอลกอฮอล์ในเลือด ดื่มไม่ขับ และลดใช้ความเร็ว เป็นเรื่องที่ทุกคนป้องกันได้ เพื่อฉลองปีใหม่นี้อย่างปลอดภัย และมีความสุข สสส. ได้ผลิตสปอตโฆษณา 2 เรื่อง รณรงค์ให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงอันตราย ลด ละ เลิกพฤติกรรมดื่มแล้วขับ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไม่ประมาท ให้เห็นผลเสียของแอลกอฮอล์ต่อการขับขี่ที่ผลกระทบต่อสมอง และส่งผลต่อการขับขี่ จึงได้พัฒนาแคมเปญ ดื่มไม่ขับ : ดื่มเหล้าเมาถึงสมอง สื่อสารผลเสียของแอลกอฮอล์ ที่ส่งผลต่อสมอง ทำให้ตอบสนองช้าลง ตัดสินใจเบรกรถไม่ทัน และกะระยะในการขับขี่ผิดพลาด 

“สสส. ขับเคลื่อนร่วมกับภาคีเครือข่ายสร้างความปลอดภัยทางถนน พัฒนาเครือข่ายตำบลสุขภาวะ รณรงค์ป้องกันปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเข้มข้นใน 189 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน 35 อำเภอ 20 จังหวัด เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับร่วม 100 เครือข่าย ทั่วประเทศ ร่วมรณรงค์ในพื้นที่ หนุนเสริมตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ทุกรายที่ประสบอุบัติเหตุ และไม่สนับสนุนการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กและเยาวชน และเครือข่ายสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพิ่มความเข้มข้นช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่มีการจัดกิจกรรมฉลองปีใหม่ หรือพื้นที่อำเภอเสี่ยง และพื้นที่ท่องเที่ยวเน้นมาตรการดูแลเรื่อง ดื่มไม่ขับ-ไม่ขับเร็ว-สวมหมวกนิรภัย” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

นายวิทยา จันทร์เสนะ ผู้อำนวยการกองบูรณาการความปลอดภัยทางถนน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า สถิติอุบัติทางถนนจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) รายงานว่า ปีใหม่ 2566 ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2564 – 4 ม.ค. 2566 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,440 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 317 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,437 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับเร็ว 37.5% ดื่มแล้วขับ 25.49% ตัดหน้ากระชั้นชิด 18.69% ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือรถจักรยานยนต์ 82.11% รถกระบะ 5.56% รถเก๋ง 3.24% ศปถ. ได้มีแนวทางดำเนินการป้องกันลดอุบัติเหตุทางถนน 1. กำหนดเป็น “วาระแห่งชาติ” บูรณาการร่วมขับเคลื่อนในพื้นที่อย่างจริงจัง ต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยใช้แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2565 – 2570 เป็นกรอบดำเนินงาน 2. ระดับพื้นที่ใช้กลไก ศปถ.จังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เน้นมาตรการชุมชน มาตรการทางสังคม อาทิ เคาะประตูบ้าน ด่านชุมชน ด่านครอบครัว ป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยง 3. จังหวัดร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัด บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง ควบคู่กับการรณรงค์ให้มีความตระหนัก สร้างจิตสำนึก รับผิดชอบต่อสังคม 4. ทุกภาคส่วนบูรณาการข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน 5. เสริมสร้าง ปลูกฝัง สร้างความตระหนักรู้ และจิตสำนึกอย่างจริงจัง เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัย

นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ “หมอประชาผ่าตัดสมอง” ศัลยแพทย์ระบบประสาทและหลอดเลือดสมอง รพ.เชียงใหม่ราม กล่าวว่า 84% ของประชากรทั่วโลกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้สูญเสียความสามารถการตัดสินใจ ความมีเหตุผล การควบคุมการเคลื่อนไหว  สูญเสียความสามารถการรับรู้ มองเห็น ได้ยิน และความจำ ยิ่งดื่มยิ่งส่งผลต่อสมอง และเสี่ยงอุบัติเหตุสูง ทั้งนี้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 0.01-0.05% ทำให้เริ่มตื่นตัว 0.03 - 0.12% โดพามีน (Dopamine) เริ่มหลั่งจะรู้สึกสดชื่น มีความมั่นใจ รู้สึก Relax สดใส  0.08 - 0.25% เริ่มกดสมองส่วนต่างๆ เช่น กดสมองส่วนหน้าเกิดการยั้งคิด กดสมองส่วนทรงตัวทำให้ทรงตัวไม่ได้ กดสมองส่วนที่แปลประสาทตาทำให้ตาเบลอ กดสมองส่วนที่ใช้พูดก็จะพูดช้า กดสมองส่วนที่ทำให้ตัดสินใจส่งผลให้ให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายดาย 0.18 - 0.30% สับสน ความจำเริ่มเสื่อมลง มากกว่า 0.25% จะเริ่มซึมเริ่มหลับ มากกว่า 0.35% ก็ทำให้โคม่า และมากกว่า 0.45%ทำให้เสียชีวิตได้ 

นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.)  กล่าวว่า ปีใหม่นี้ ทาง สคอ. ได้สื่อสารประชาสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างความรู้ ความตระหนักแก่ประชาชนผู้ขับขี่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเทศกาล และช่วงเทศกาล โดยผลิตสื่อฯ และชุดข้อมูลการเฝ้าระวังป้องกัน ลดอุบัติเหตุทางถนนสนับสนุนภาคีเครือข่ายทั้งรัฐ และเอกชน กระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นกรอบ และแนวทางทำงานในพื้นที่ตามนโยบายศปถ. อีกทั้งเทศกาลปีใหม่นี้ได้วางแผนลงพื้นที่ติดตามกรณีอุบัติเหตุใหญ่ ที่เกิดช่วงเทศกาลปีใหม่ 

โดยใช้ข้อมูลจาก ศปถ. ที่รายงานการเกิดอุบัติเหตุรายวัน จัดทำเป็นคลิปวิดีโอสะท้อนผลกระทบ ปัญหา สาเหตุ และข้อเสนอแนวทางแก้ไขขับเคลื่อนในระดับนโยบาย สู่การปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัยทางถนนในอนาคต สิ่งที่น่ากังวล คือ ความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น จากการอนุญาตให้เปิดสถานบริการได้ถึงตี 4  ขอให้ผู้เกี่ยวข้องยึดมั่นในเงื่อนไขตามกฎกระทรวงมหาดไทย และนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการห้ามขายคนอายุต่ำกว่า 20 ปี - คนเมา ตรวจแอลกอฮอล์คนขับก่อนกลับ หากเกิน 50 mg% จัดที่พักคอย หากไม่รอให้ติดต่อเพื่อนหรือ ญาติพากลับ หรือจัดหารถส่งลูกค้า จะช่วยลดผลกระทบความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนได้

ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมาย ตาม 'โครงการอาสาตาจราจร'

(13 ก.พ. 67) เวลา 16.30 น. พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธานคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน , นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณพงศ์พันธ์ ประภาศิริลักษณ์ รักษาการผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้บริหารสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ คุณอัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้บริหารสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัล และเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนธันวาคม 2566 รวมทั้งสิ้น 20 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่มอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 100,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ยับยั้งชั่งใจในการกระทำผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร เพจตำรวจทางหลวง เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100 คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

ทางด้าน นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำผิด

ในการแถลงข่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติฝากย้ำเตือนไปยังผู้ขับขี่รถทุกคน สำหรับรถทุกชนิด ต้องได้รับใบอนุญาตขับรถตามกฎหมาย เนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลอุบัติเหตุสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(PRS) พบว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 (29 ธ.ค.66 – 4 ม.ค.67) มีผู้ขับขี่ที่ประสบอุบัติเหตุสูงถึง 78 % ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถ อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เนื่องจากการได้รับใบอนุญาตขับรถถือเป็นมาตรฐานที่แสดงว่าผู้ขับขี่มีความรู้ด้านกฎหมายจราจร และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถใช้ทาง รวมถึงทักษะในการขับขี่รถอย่างปลอดภัย ตลอดช่วงที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กวดขันดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในข้อหาขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต และไม่พกพาใบอนุญาตมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีผู้ฝ่าฝืนอยู่ จึงขอรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนเข้ารับการทดสอบ จนได้รับใบอนุญาตขับรถก่อนขับรถในทาง สำหรับผู้กระทำผิดฐานขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตนั้นมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 1 เดือน 

เพชรบูรณ์ คณะทำงานด้านกิจการพลเรือน ทบ. ตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานด้านการบรรเทาสาธารณภัยและการช่วยเหลือประชาชน มทบ.36 และภาคีเครือข่ายพื้นที่เพชรบูรณ์

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่บริเวณสนามบิน กองพลทหารม้าที่ 1 ค่ายพ่อขุนผาเมือง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ พล.ต.อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน กองทัพบก เป็นประธานการลงพื้นที่เยี่ยม ตรวจสอบประเมินผลในการปรับปรุงหน่วยบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพบกให้มีความพร้อม ทั้งสำรวจความต้องการยุทโธปกรณ์ การจัดทำบัญชีรายละเอียดในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลไปประกอบรายงานต่อผู้บังคับบัญชา และพิจารณาให้การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่หน่วยยังขาดแคลน เพื่อให้มั่นใจว่ากองทัพบก และหน่วยงานต่างๆ ในด้านการบรรเทาสาธารณภัย จะมีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เมื่อมีเหตุสาธารณภัยต่าง ๆ ขึ้นในพื้นที่

โดยมี พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง  ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 36 คณะผู้บังคับบัญชา คณะหัวหน้าส่วนราชการ และกำลังพลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 36  สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเพชรบูรณ์ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 16 (นพค.16) กองพันทหารม้าที่ 26 กรมทหารม้าที่ 3  กองพันทหารม้าที่ 18 กรมทหารม้าที่ 3 กองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 โรงพยาบาลค่ายพ่อขุนผาเมือง องค์การบริหารส่วนตำบลสะเดียงและมูลนิธิร่มโพธิ์ ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุป

โดยในโอกาสนี้ พล.ต.อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน กองทัพบก ได้กล่าวให้โอวาท และให้กำลังใจแก่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านงานสาธารณภัย 
เน้นย้ำให้ปฎิบัติงานร่วมกันเป็นทีมเวริ์คโดยไม่มีใครเป็นพระเอกคนเดียวตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาและขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง รอบครอบ และมีความปลอดภัย ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างสุดความสามารถ ซึ่งทุกวันนี้สภาพภูมิอากาศของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดสาธารณภัยต่างๆขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะสถานการณ์ภัยแล้งโดยมีสาเหตุมาจากธรรมชาติได ้แก่ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลและภัยธรรมชาติและยังมีสาเหตุมาจากการกระทำของมนุษย์ได ้แก่ การทำลายชั้นโอโซน ผลกระทบ ของภาวะเรือนกระจก การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและการตัดไม ้ทำลายป่า ซึ่งมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากข่าวทั้งในและต่างประเทศ โดยการลงพื้นที่ในวันนี้ เป็นความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่อาจจะต้องประสบกับภัยพิบัติต่างๆ ภายในประเทศ ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้มีดำริให้คณะทำงานด้านกิจการพลเรือน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม และติดตามประเมินผลการเตรียมความพร้อมของหน่วยบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพบก ตลอดจนหน่วยงานภาคีเครือข่ายอื่น ๆ ที่จะร่วมกันปฏิบัติงานหากเกิดเหตุ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัล พลเมืองดีส่งคลิปขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม “โครงการอาสาตาจราจร”

วันนี้ (1มี.ค. 67) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการ ประจำ สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ  คุณพิศเพลิน วิริยะพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้บริหารสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ คุณอัจฉรา  บัวสมบูรณ์ ผู้บริหารสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัล และเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือน ม.ค.2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น20 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 100,000 บาทโดยบริษัท วิริยะประกันภัย และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้ แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง  สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี  โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ ยับยั้งชั่งใจในการกระทำผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น  สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร เพจตำรวจทางหลวง  เพจกองบังคับการตำรวจจราจร  รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100  คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

ทางด้าน นพ.แท้จริง  ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ  กล่าวเสริมว่า โครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม เรื่องใบสั่งจราจร ตามกฎหมายใหม่ เมื่อทำผิดกฎจราจรแล้วได้รับใบสั่งหากไม่ชำระตามเวลาที่กำหนด จะต้องถูกฟ้องต่อศาลทุกราย ตามกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ขั้นตอนหลังจากได้รับใบสั่งจะมีกำหนดเวลาให้ชำระค่าปรับระบุไว้ในใบสั่ง หากพ้นกำหนดเวลาเจ้าหน้าที่จะส่งหนังสือเตือนให้ไปชำระตามเวลาที่กำหนดอีก 1 ครั้ง ถ้ายังไม่ไปชำระอีก เจ้าหน้าที่จราจรจะสรุปข้อเท็จจริงเป็นสำนวนส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อส่งฟ้องศาลทุกราย โดยเริ่มมีผลกับใบสั่งที่ออกตั้งแต่ 25 ต.ค.2565 เป็นต้นมา 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top