Monday, 13 May 2024
ปปช

วัชระขีดเส้น 30 วันป.ป.ช.สอบกราวรูดผบ.ตร.-ผบ.ทบ. สนช.สว.อธิการบดีส่อทุจริตแต่งตั้งตร.-ทหารหญิงโดยมิชอบกรณีเมียน้อยสว.ทำทารุณกรรมทหารหญิง

(26 ส.ค. 65) เมื่อเวลา 10.30น.ที่สำนักงานป.ป.ช.นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือผ่านนายไพโรจน์ นิยมเดชา นักสืบสวนคดีทุจริตชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ป.ป.ช.ถึงพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช.ขอให้ตั้งคณะกรรมการไต่สวน ผบ.ตร. ผบ.ทบ. อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกวุฒิสภากับพวกว่า มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือส่อทุจริตกรณีบรรจุและแต่งตั้งสิบตำรวจโทหญิงและสิบโทหญิงเป็นข้าราชการตำรวจ-ทหารหรือไม่ การออกคำสั่งให้สิบตำรวจโทหญิงไปช่วยงานที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า โดยเบิกเบี้ยเลี้ยงและได้วันเพิ่มวันทวีคูณทั้งที่ไม่ได้ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้หรือไม่ 

ทั้งนี้ จากกรณีข่าวนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง และนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความได้นำอดีตทหารหญิงเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจหญิงที่กล่าวอ้างเป็นกิ๊กหรือภรรยาน้อยของสว.คนหนึ่ง ซึ่งเป็นนายจ้างของตนบังคับใช้แรงงานและทำร้ายร่างกาย เช่น ถูกตบตีตามร่างกายจนปากแตกเลือดออกแล้วถูกเอาน้ำยาล้างห้องน้ำมาราดแผลในปาก ถูกเครื่องช็อตไฟฟ้าตามร่างกาย ใช้ไม้หน้าสามตีที่ใบหน้า เป็นต้น เหตุเกิดที่จังหวัดราชบุรี และ สิบตำรวจโทหญิง ยังมีชื่อมาช่วยงานที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าโดยมีการเบิกเบี้ยเลี้ยงและได้วันเพิ่มวันทวีคูณ ทั้งที่ไม่ได้ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด อีกทั้งที่ผ่านมาอดีตทหารหญิงยังต้องเป็นทหารรับใช้สิบตำรวจโทหญิงอีกด้วย เรื่องนี้เป็นที่สนใจของสาธารณชนและเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

ถอดรหัส ป.ป.ช.จ่อเช็กบิล ‘นักการเมืองใหญ่’ บ่วงกรรมที่อาจเป็นหมัดเด็ดสกัดแลนด์สไลด์

ทำนักการเมืองที่มีเอี่ยวทุจริต สะดุ้งกันเป็นแถว เมื่อ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาเผยว่า มีคดีใหญ่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง และคดีสำคัญ 3-5 เรื่องมีไทม์ไลน์เรียบร้อย เตรียมนำเข้าที่ประชุมสิ้นเดือน พ.ย.นี้

เรื่องนี้ปูดขึ้นมา สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 พล.ต.อ.วัชรพล ได้ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม แกนนำกลุ่มปากน้ำ

เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ คดีทุจริตการจัดสรรเงินอุดหนุนแก่วัดใน จ.สมุทรปราการ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมจึงมาพิจารณาในช่วงนี้ ซึ่ง พล.ต.อ.วัชรพล ให้เหตุผลว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไต่สวนมาเป็นเวลานาน และก่อนหน้านี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติให้ไปไต่สวนบางประเด็นให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเขารวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว และเรื่องกำลังรอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.อยู่ ซึ่งวันนี้มีเรื่องรอเข้าที่ประชุมหลายร้อยเรื่อง ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบกฎหมาย 

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์เหตุใดต้องมาทำช่วงใกล้เลือกตั้ง พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ขอยืนยันว่าไม่ใช่  โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาไปตามพยานหลักฐานอย่างแท้จริง เพราะผู้วินิจฉัยจะต้องสามารถเปิดเผยและรับผิดชอบในสิ่งที่วินิจฉัย

เมื่อถามว่า การพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ต้องดูช่วงเวลาหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า หัวใจสำคัญคือ ความครบถ้วนในพยานหลักฐานมากกว่า และผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเสนอขึ้นมา มีกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย เพื่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัย

ข้อสำคัญคือ คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ เมื่อทำเสร็จก็อยากให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา หากเราไปดึงเขาก็จะมาร้องเรา หาว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่พิจารณา ระบบถูกตรวจสอบกันเองอยู่แล้ว เป็นไปตามนั้น

เมื่อถามว่า วันนี้มีคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองที่จะพิจารณาอีกหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า มีเรื่องสำคัญที่รอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.อยู่ 3-5 เรื่อง เป็นเรื่องใหญ่ คดีสำคัญ ซึ่งมีไทม์ไลน์เรียบร้อยแล้ว น่าจะเข้าภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้

เมื่อถามว่าเป็นระดับ ส.ส.หรือรัฐมนตรีใช่หรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า เป็นระดับนักการเมืองสำคัญ เป็นคดีสำคัญ แต่ยังไม่ขอเปิดเผย

เมื่อถามย้ำว่า มีของอดีตรัฐมนตรีหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ

เมื่อถามว่า หากเปิดคดีออกมาอีกจะถูกกล่าวหาว่ามีการเมืองเข้ามาเอี่ยวหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ถูกถามเป็นของธรรมดา เราก็ตอบไป คณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นอย่างนี้ ไปซ้ายก็โดน ไปขวาก็โดน อยู่เฉยๆ ก็โดน เรายิ่งต้องระวังตัว และต้องทำ ต้องหนักแน่น ทุกอย่างตอบได้

พลันที่ พล.ต.อ.วัชรพล แย้มข้อมูลเหล่านี้ออกมา ทำให้หลายฝ่ายคาดเดาไปถึงคดีค้างท่อที่อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของป.ป.ช. ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคดีสำคัญอย่าง ‘คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี’ ล็อตที่ 2 จำนวน 8 สัญญา ซึ่งที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้ไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ เพื่อพิจารณาลงมติอย่างหนึ่งอย่างใดเท่านั้น 

เหตุที่ทำให้คนนึกถึงคดีนี้ เพราะเป็น ‘คดีสำคัญ’ และ เกี่ยวข้องกับ ‘นักการเมืองสำคัญ’

อย่างที่ทราบกันดีว่า คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี มีนักการเมืองสำคัญที่เกี่ยวข้องอย่าง ‘บุญทรง เตริยาภิรมย์’ ซึ่งขณะนี้อยู่ในเรือนจำจากคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี ล็อตแรก นอกจากนั้นยังมี ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ที่หลบหนีออกนอกประเทศทันก่อนการพิจารณาไม่กี่วันเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลสำคัญที่คนส่วนใหญ่รู้ดีว่า ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี และ ‘เยาวภา วงศ์สวัสดิ์’ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และป.ป.ช.น่าจะมีข้อมูลหลักฐานที่ครบถ้วนและแน่นหนา พอที่จะชี้มูลความผิด ตามที่ ประธาน ป.ป.ช. แย้มออกมา

'โรม' จ่อ ยื่น 'ป.ป.ช.' ฟัน 'อุปกิต' ปมแสดงทรัพย์สินเท็จ เหน็บ 'ส.ว.' ปากบอกเป็นคนดี แต่สุดท้ายช่วยพวกเดียวกัน

(22 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ กรณีการยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เอาผิดนายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. ว่า ตนตั้งเป้าว่าภายในวันที่ 28 ก.พ.นี้ ตนจะเอานายอุปกิตเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็นให้ได้ ซึ่งเป็นบันไดขั้นสำคัญที่เราจะต้องทำให้กระบวนการยุติธรรมและประชาธิปไตยเรากลับคืนมา

แม้ปากของรัฐบาลบอกว่าจะจัดการเรื่องทุนสีเทา แต่ถึงเวลาก็ไม่ทำอะไร ไม่แม้แต่จะเสแสร้งว่าจะทำ หากตนเป็นนายกฯ ก็คงจะบอกว่าจะจัดการให้ จะตั้งตำรวจให้มีการสอบสวน แต่รัฐบาลไม่แม้แต่จะพูดประโยคนี้ แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมที่จะปล่อยเรื่องนี้ให้สังคมลืมไป ซึ่งเมื่อมีตำรวจน้ำดีทำเรื่องนี้ ก็ถูกสั่งย้าย ฉะนั้น เราจะปล่อยให้คนดีอยู่อย่างลำบากไม่ได้ ขณะเดียวกัน คนที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการค้ายาไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย และไล่ฟ้องปิดปากคนอื่นไปทั่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนรับไม่ได้ที่สุด

‘ป.ป.ช.’ มีมติเอกฉันท์ยื่นฟ้อง 'หมอพรทิพย์' เอง ฟันคดีอาญาจัดซื้อเครื่อง ‘GT200 และ Alpha6’

มติเอกฉันท์ ‘ป.ป.ช.’ ลุยยื่นฟ้อง 'หมอพรทิพย์' คดีจัดซื้อเครื่อง ‘GT200-Alpha6’ เชื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอ

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 8 มี.ค.66 ที่ผ่านมา เห็นควรสั่งฟ้องเอง ในคดีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติด GT200 และ Alpha6 ในสำนวนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จำนวน 4 สัญญา ที่มีการชี้มูลความผิดทางอาญา กล่าวหา แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ในฐานะอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (ปัจจุบันเป็น ส.ว.) หลังจากก่อนหน้าที่อัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง โดยระบุว่า พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟ้องคุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์

“เหตุผลของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ที่สั่งฟ้องคดีนี้เองนั้น เป็นไปตามที่เคยชี้มูลความผิดก่อนหน้านี้ เนื่องจากเชื่อได้ว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ โดยขั้นตอนปัจจุบัน ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักคดี เพื่อร่างคำฟ้อง ก่อนส่งฟ้องแก่ศาลที่เกี่ยวข้องต่อไป”

‘หมอพรทิพย์’ เปิดใจพร้อมสู้ ในคดี GT200 หลัง ป.ป.ช.สั่งฟ้อง - ขอบคุณทั้งคนห่วงใยและถล่มซ้ำ

(9 มี.ค.66) จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีมติเอกฉันท์ เห็นควรสั่งฟ้องเอง ในคดีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติด GT200 และ Alpha6 ในสำนวนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จำนวน 4 สัญญา ที่มีการชี้มูลความผิดทางอาญา กล่าวหา แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ในฐานะอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (ปัจจุบันเป็น ส.ว.) หลังจากก่อนหน้าที่อัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง โดยระบุว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอฟ้อง แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

ล่าสุด แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ได้โพสต์ภาพเก่าขณะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมเขียนข้อความระบุว่า วันนี้มีข่าวจากสำนักข่าวหนึ่งให้ทราบว่าถูกป.ป.ช. มีมติให้ดำเนินคดีเรื่องจีที200 ทั้งที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง หลายคนตกใจ ห่วงใย บางคนอาจบูลลี่ถล่มซ้ำ ก็ต้องขอบคุณ นับเป็นความคืบหน้า เป็นความชัดเจน และนับว่าจะใกล้จุดสิ้นสุดของเรื่องหนักๆเสียที คนไม่เคยลงปฏิบัติงานในพื้นที่จะไม่เข้าใจความเหนื่อยยาก ความลำบาก อันตรายที่มีตลอดเวลา เวลาทำงานต้องมีสติ ต้องเร่งให้เสร็จเร็วเพราะมีแต่อันตราย 

BTS ยันทำถูกต้องตามกฎหมาย ปม สัญญาเดินรถสายสีเขียวส่วนต่อขยาย

บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหาต่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับพวกรวม 13 คน รวมถึง บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BTS นายคีรี กาญจนพาสน์ และนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ในฐานะกรรมการของ BTSC เกี่ยวกับการทำสัญญาให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 โดยมีการกล่าวหาในประเด็นหลักว่าการทำสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ (กฎหมายร่วมทุน)

บริษัทชี้แจงดังนี้
(ก) กรณีนี้ยังคงเป็นเพียงขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการป.ป.ช. เท่านั้น และ BTSC ยังไม่ได้ถูกฟ้องร้องเป็นคดีแต่อย่างใด BTSC มีสิทธิคัดค้านและแก้ข้อกล่าวหาตามกระบวนการของกฎหมาย โดย BTSC ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

ป.ป.ช.ภาค7 ร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ช.7 ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค7 แถลงข่าว ผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 1- 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566  

โดยที่สำนักงานนครนครปฐม ณ ห้องประชุมชั้น3  ได้จัดงานแถลงข่าวผลการดำเนินงานสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 และสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 7 ไตรมาสที่ 1-2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566

โดยมี นาย หิรัณย์ เศรษฐเหยี่ยวประยูร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ภาค7 พร้อมทั้ง ผู้อำนวยการ สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 7 และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน นาย หิรัญย์เศรษฐ เหยี่ยวประยูน ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป ป.ป.ช. ภาค 7  กล่าวต้อนรับสื่อมวลชน และสรุปผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 1-2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2566 ดังนี้  1.ผลดำเนินงานด้านการปราบปรามทุจริตในเขตพื้นที่ภาค 7 ไตรมาสที่ 1- 2 ปีงบประมาณ พ.ศ 2566 1.1 ผลการดำเนินงานในชั้นแสวงหาข้อเท็จจริงในเขตพื้นที่ภาค 7 ไตรมาสที่ 1- 2 ปีงบประมาณ พ.ศ 2566 ใน ไตรมาสที่ 1- 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 7 และสำนักงาน ป.ป.ช ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 7

 

สำนักงาน ป.ป.ช. ลงพื้นที่สำรวจรีสอร์ทหรูรุกที่บนเขาแสมสาร

วันที่ 25 เม.ย.66 ที่โรงแรมราวินทรา บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นางจันทิรา จิตรชื่น เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. ,สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 2 พร้อมคณะสื่อมวลชนเข้าร่วมโครงการ 'สื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักงาน ป.ป.ช.ครั้งที่ 2' โดยมี นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานในพิธีเปิด และดำเนินกิจกรรม มีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. สื่อมวลชนทั้งจากส่วนกลางและพื้นที่จังหวัดชลบุรี ผู้แทนจากฐานทัพเรือสัตหีบ และ อบต.แสมสาร เข้าร่วมเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และสื่อมวลชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สำหรับกิจกรรมภายในงาน มีการอภิปรายในประเด็น "รีสอร์ทหรูรุกที่บนเขาแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดย นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายสุพจน์ ศรีงามเมือง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 2 นายกิจติพงศ์ ขลิปแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดชลบุรี และนายสุทธิรักษ์ อุฒมนตรี บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวเนชั่น เข้าร่วมอภิปรายในครั้งนี้ ถึงการรุกที่บนเขาแสมสารสร้างรีสอร์ทหรูถึง 6 หลัง ได้มีขั้นตอนการขออนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องจะต้องมีการดำเนการตามขั้นตอนของกฏหมายอย่างไร ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างยิ่ง 

จากนั้นได้นำคณะพร้อมสื่อมวลชน ลงพื้นที่สำรวจรีสอร์ทหรูรุกที่บนเขาแสมสาร โดยมีเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมในการลงพื้นที่ตรวจสอบในครั้งนี้ด้วย โดย ป.ป.ช. ได้นำโดรนบินสำรวจทางอากาศ และกองทัพเรือจัดเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งเข้าสำรวจทางทะเล เนื่องจากพื้นที่สร้างรีสอร์หรูบนเขาแสมสารแห่งนี้อยู่บนที่สูงสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์และความมั่นคงทางทหาร ได้รอบตัวแบบ 360 องศา โดยทางเจ้าของรีสอร์ทได้ปิดประกาศ "ปิดกิจการ ห้ามบุคคลภายนอกเข้า"

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ได้นำสื่อมวลชนลงมาดูพื้นที่ในการปฏิบัติงานของ ป.ป.ช. ซึ่งการทำงาน ป.ป.ช.มีการทำงานอยู่ 2 กรณีในปัจจุบันคือ นโยบายเกี่ยวกับการป้องปรามและนโยบายการปราบปราม วันนี้ลงพื้นที่เชิงป้องปราม สืบเนื่องจากข้อมูลต่างๆ ทางโซเชียลที่สื่อมวลชนลงว่า มีการก่อสร้างรีสอร์ทหรู บุกรุกที่ดินของรัฐ โดยเฉพาะเป็นที่ดินที่อยู่ในความครอบครองของทางกองทัพเรือ ที่แสมสาร เราเริ่มลงมาตรวจสอบแล้วและได้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่าเมื่อช่วงเช้าที่อภิปรายกันนั้น ได้มีการชี้แจงแล้วซึ่งกองทัพเรือ ไม่ได้เพิกเฉยได้มีการดำเนินการแจ้งให้ทางบุคคลที่มาบุกรุกทราบถึงการเข้าครอบครองที่ดิน ที่ไม่ชอบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้ไปแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดี ในกรณีบุกรุกพื้นที่ในเขตราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของกองทัพเรือ นอกจากนี้ได้มีการประสานงานไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบต. แสมสาร เพื่อให้มีการดำเนินการตรวจสอบว่าพื้นที่ดังกล่าวที่มีการก่อสร้างโรงแรมหรูที่เป็นแคปซูล มีการขอใบอนุญาตหรือไม่ ซึ่งปรากฏว่าไม่มีใบอนุญาต และทาง อบต. แสมสาร ได้ดำเนินการแจ้งให้ผู้บุกรุกทราบเพื่อให้ดำเนินการแล้ว 

‘อัษฎางค์’ ชี้!! ‘บิ๊กตู่’ ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช มาตลอด แต่ถูก ‘สื่อ-นักการเมือง’ เอาไปพูดบิดเบือนจน ปชช.เข้าใจผิด

(16 ก.ค. 66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ระบุว่า…

สำนักข่าวอิศรา ที่เคยรายงานทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 พบรายละเอียด ดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทรัพย์สิน 102,317,152.64 บาท ได้แก่

- เงินฝาก 6 บัญชี มูลค่า 58,967,022 บาท
- เงินลงทุน 9 แห่ง 23,072,380 บาท
- ที่ดิน 2 แปลง 2,284,750 บาท
- โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2 ล้านบาท
- ยานพาหนะ 4 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท
ทรัพย์สินอื่นฯ 4 รายการ มูลค่า 4,193,000 บาท

นอกจากนี้ แจ้งว่ามีคู่สมรส คือ นางนราพร จันทร์โอชา มีทรัพย์สิน 26,347,382.76 บาท ได้แก่

- เงินฝาก 6 บัญชี 7,977,382 บาท
- ที่ดิน 3 แปลง (1 แปลงร่วมกรรมสิทธิ์กับผู้อื่น) 5,350,000 บาท
- โรงเรือนฯ 2 ล้านบาท
- ยานพาหนะ 1 คัน 5 ล้านบาท
- ทรัพย์สินอื่นฯ 1 รายการ 7,520,000 บาท
หนี้สินรวมทั้งสิ้น 654,745.06 บาท

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ แจ้งด้วยว่า ได้รับเงินจากการขายที่ดิน 9 โฉนดแก่บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (บริษัทเครือข่ายของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง) จากบิดา (พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา) รวมมูลค่า 540 ล้านบาท และได้แบ่งให้บิดากับน้องรวม 267 ล้านบาท มอบให้ลูก 2 คน 198 ล้านบาท และได้รับเงินจากน้องที่สร้างบ้านให้พ่ออีก 6 ล้านบาท

สรุปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 128,664,535.40 บาท

ส่วนการเข้ารับตำแหน่งในครั้งที่ 2 พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. แล้วเช่นกัน ทั้งที่กฎหมายไม่ได้บังคับ กฏหมายบัญญัติให้แสดงทรัพย์สินเพียง 2 ครั้ง คือ เมื่อเข้ารับตำแหน่งและหมดวาระ ดังนั้น เมื่อเข้ารับตำแหน่งในครั้งที่ 2 ซึ่งถือว่าดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง ป.ป.ช. จึงไม่ต้องนำมาเปิดเผย

แต่สื่อ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และอาจารย์นักวิชาการ เอาไปพูดบิดเบือนจนประชาชนเข้าใจผิด และออกมาโจมตีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมแสดงบัญชีทรัพย์สินหรือ ปปช.ไม่ยอมเปิดเผย ซึ่งส่อแววทุจริต

อัษฎางค์ ยมนาค

‘ปกรณ์วุฒิ’ หอบหลักฐานปึกใหญ่ เตรียมยื่น ป.ป.ช.เพิ่ม จ่อสอย ‘ศักดิ์สยาม’ คดีซุกหุ้น ยัน ไม่เกี่ยวกดดันจัดตั้งรัฐบาล

(25 ก.ค. 66) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แถลงข้อมูลเพิ่มเติมคดี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซุกหุ้น จนนำมาสู่การสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวว่า ได้รับเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อน ตนพบพิรุธหลายจุด และพบหลักฐานใหม่ว่า มีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนฯ ในวันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

โดยข้อมูลระบุว่า เคยกู้เงินในปี 2558-2559 จำนวน 4 ครั้ง วงเงินจำนวน 108.4 ล้านบาท มีสัญญากู้ยืมเงิน และชำระหนี้คืนทั้งก้อน 22 เม.ย 2562 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 33 วัน โดยอ้างอิงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2565 ซึ่งได้ถามว่าหนี้สินที่นายศักดิ์สยามมีกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ได้โอนออกพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ ข้อมูลดังกล่าวที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่เปิดเผย ชี้เห็นว่า หลังจากการโอนหุ้นแล้วไม่มีการโอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารเป็นการมัดตัวว่าหนี้สินจำนวนนี้ ยังเป็นของนายศักดิ์สยาม หลังการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 จึงเกิดคำถามว่ามีการชำระหนี้คืนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 จริงหรือไม่

เพราะงบการเงินของห้างหุ้นส่วนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุชัดเจนว่า ยังมีเงินให้ในส่วนผู้จัดการกู้ยืมคงค้างจำนวน 38 ล้านบาท จากนั้นยอดหนี้สินจึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาท ในงบการเงินสิ้นปี 2563 ซึ่งการปิดงบจะต้องสอดคล้องกับเอกสารและยอดเงินในธนาคารทั้งหมดของห้างหุ้นส่วน เพราะจะต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย

“จึงเป็นไปได้ว่านายศักดิ์สยามเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนอยู่ 38 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. สมมติมองในแง่ดีวันที่ 22 เมษายน 2562 มีการโอนเงิน 108 ล้านบาท ให้ห้างหุ้นส่วนตามเอกสาร” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ พิรุธในประการต่อไป เมื่อพิจารณาเอกสารชี้แจง จะพบว่าห้างหุ้นส่วนได้ระบุว่า นายศักดิ์สยามกู้ยืมเงิน 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2559, 2560, 2561 ระบุยอดตรงกัน 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3-4 รวมกัน แต่การกู้เงินครั้ง 1-2 เป็นจำนวนเงิน 39 ล้านบาท ทำไมไม่เคยปรากฏในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว และยอดเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหน

ขอตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ว่าอาจไม่ได้มีการชำระหนี้และยังมียอดหนี้คงค้างตามงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้าห้างหุ้นส่วนจริงๆ ซึ่งอาจเป็นการทำทธุรกรรมเพื่อการอื่นมากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้ แต่ยอดเงินดังกล่าวไม่ตรงกับ 69 ล้านบาท จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏ ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีการติดอากรแสตมป์ ที่จะมีการประทับวันที่มีผลทางกฎหมายเป็นทางการหรือไม่ โดยชี้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนต่อไป

และข้อสงสัยมากที่สุดคือ ตัวเลขในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว หากขายจริงและได้รับเงิน 120 ล้านบาทจริงในเดือนมกราคม 2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินในช่วง 16 เดือนหลังจากนั้นกลับมีเงินสด ซึ่งเป็นเงินฝากเพียงจำนวน 76 ล้านบาท หากเป็นตัวเลขจริงอาจเป็นการใช้เงินที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาท ภายใน16 เดือน และตัวเลข 40 ล้านบาทตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ก่อนเดือนมกราคม 2561 นายศักดิ์สยามไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว

พร้อมทั้งหยิบยกคำชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของนายศักดิ์สยามว่า เงินจากการขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้ จึงไม่จำเป็นรายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตั้งข้อสงสัยว่า หากมีการจ่ายเงินคืนหนี้สิน 22 เมษายน 2562 เหตุใดนายศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานมาชี้แจงในสภาฯ ซึ่งหนี้สินก้อนนี้คือฟางเส้นสุดท้ายในการยึดโยงนายศักดิ์สยามกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ หากมีการชำระหนี้ไปแล้วจริง จะเป็นหลักฐานสำคัญว่า ได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาด และจะสามารถหักล้างข้อสงสัยได้ทันทีทันใด และยอมรับว่าจะกลายเป็นตนเองนั้นถูกน็อคกลางสภา แต่นายศักดิ์สยามไม่ชี้แจงว่า นำเงินจากการขายหุ้นมาใช้คืนหนี้สินให้กับทางหุ้นส่วนจำกัดแห่งนี้มูลค่า 108 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า ยังพบพิรุธในเอกสารที่แจ้ง ต้องถามรัฐธรรมนูญหลายจุดเช่น นายศักดิ์สยามให้ขอเอกสารจากห้างหุ้นส่วนฯ เป็นเอกสารใบรับวางบิล หุ้นส่วนฯ และผู้จัดการคนใหม่ได้เข้ามาควบคุมเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่มีการโอนหุ้นจริง

พร้อมกับให้เปิดเผยว่า ได้ยื่นรายชื่อพยานต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 22 คน และรายชื่อพยานเอกสาร รายการเพื่อให้ศาลเรียกเพื่อหักล้างคำขี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายศักดิ์สยาม และยังพบรายการเดินบัญชี 27 บัญชีของนายศักดิ์สยามและผู้เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันยังมีทีมงานเพื่อชี้เบาะแสผู้ที่น่าเชื่อว่า ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ‘DSI’

จึงขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เรียกศรัทธาจากสังคมและการปฏิบัติกับทุกคำร้องตามกฎหมาย ตามกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และ มาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องและตั้งคำถาม

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประมาณ 9-10 เดือนที่ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และฝั่งศาลรัฐธรรมนูญก็มีเวลาใกล้เคียงกันแต่มีความคืบหน้าไปแล้ว ตอนนี้รอเพียงศาลรัฐธรรมนูญเรียกพยานบุคคลไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า หากเทียบเคียงกับคดีของ สส.ก้าวไกลความรวดเร็วและการทำงานแตกต่างกันอย่างไร นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ และเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องหนึ่ง หากย้อนไปตั้งแต่ยุคของ คสช.ที่มีการยื่นคุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละกรณีพิจารณาไม่ต่ำกว่า 300 กว่าวันหรือบางทีก็มากกว่านั้น แต่หากเป็นเคสของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็จะค่อนข้างรวดเร็วอย่างที่เห็น

ส่วนที่ต้องยื่นเอกสารใหม่อีกครั้งที่ ป.ป.ช. เพราะเป็นหลักฐานเพิ่มเติมและเป็นเด็นที่แยกย่อยมาจากคำร้องครั้งที่แล้วในคดีซุกหุ้น จึงอยากให้ ป.ป.ช.เรียกดูเอกสารตามอำนาจที่มี ทั้งจากธนาคาร และเอกชน รวมถึงราชการที่จะมาเชื่อมโยงได้ว่าทั้งหมดที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ และตัวเลขหนี้ที่คงค้างอยู่ในงบการเงินนั้น เป็นความผิดพลาดทางงบการเงิน หรือเป็นความผิดพลาดที่ไม่เคยมีการใช้หนี้มาก่อน

เมื่อถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการพูดถึงพรรคอันดับที่ 3 จะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายปกรวุฒิ กล่าวว่า ตนได้รับทราบว่ามีเอกสารชุดนี้เมื่อประมาณ 4 สัปดาห์ที่แล้วจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และช่วงที่ผ่านมาตนก็ได้ยังไม่มีเวลาที่จะดูเรื่องนี้ แต่หลังจากเปิดประชุมสภาแล้ว และได้มีเวลาดูเอกสารประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ทำเรื่องนี้เสร็จเมื่อวันเสาร์ (22 ก.ค.) ที่ผ่านมา จึงนำมาสู่การแถลงข่าว โดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรออะไรในการที่จะไปยื่น เพราะหากรอไปเกิดมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อาจจะไม่ทันการ จึงคิดว่าจะต้องยื่นเลย

ส่วนจะกระทบไปยังการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีการขอเสียงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น มองว่า เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะตนก็ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเอง รวมไปถึงยื่นต่อป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ทำ ส่วนเรื่องการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาล เราเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่า ต่อให้นายพิธา เป็นนายกฯ หรือไม่ได้เป็นนายกฯ ก็จะตรวจสอบรัฐมตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล รวมไปถึงประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ที่ได้เซ็นต์ไว้ใน MOU ของ 8 พรรคร่วมด้วย

ส่วนจะเป็นการสื่อสารว่า ไม่เอาพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จริงๆ ก็ไม่ใช่ไม่ว่าเราจะร่วมหรือไม่ร่วม ในท้ายที่สุดเราก็ต้องทำงานตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน รวมไปถึงพรรคตัวเองด้วย ที่เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หากมีพฤติกรรมอย่างไรที่ไม่ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเจรจา เพราะการเจรจาร่วมรัฐบาลในตอนนี้ เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยและทีมเจรจาของพรรคก้าวไกล ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา

เมื่อถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่า จะกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาล มองว่า ไม่กระทบ เพราะถือว่าเป็นระบบปกติ ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า ดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ตนคิดว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลแะนายพิธา ได้เป็นนายกฯ ภาพของการที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกังเอง คงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไร ดังนั้นเมื่อเคยพูดแบบไหนก็ทำแบบนั้นดีกว่า วันนี้แกล้งทำเป็นหลับหูหลับตา แล้ววันหนึ่งเรากลับมาตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น ตนคิดว่าเป็นภาพที่ดูไม่งามเท่าไร ซึ่งตนคิดว่าการตรวจสอบการทุจริตไม่มีเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง

ส่วนจะบีบให้ทางเลือกเหลือน้อยลงหรือไม่ เพราะหากไม่เอาพรรค 2 ลุง ก็จะเหลือทางเลือกเดียวคือภูมิใจไทย โดยมีนายศักดิ์สยาม เป็นเลขาธิการพรรค นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมเจรจาว่า จะไปเจรจาด้วยเงื่อนไขอย่างไร แต่เราก็ยืนยันตรงนี้ ว่าเราทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะบอกว่าเราต้องรอการเจรจาให้จบก่อน ก็ไม่รู้ว่าการเจรจาจะจบเมื่อไร แล้วจะต้องรอเรื่องที่เราตรวจสอบไว้นานแล้ว ไปอีกนานเท่าไร ดังนั้นจึงมองว่า ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ นอกจากทำไปตามกระบวนการตามปกติ

ทั้งนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่านายศักดิ์สยาม จะยังคงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลในอนาคต หากคำร้องนี้มีคำวินิจฉัยว่าผิดจริง อย่างน้อยก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีกอย่างน้อยสองปี

จากนั้นในเวลา 11.30 น. นายปกรณ์วุฒิเดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือและเอกสารเกือบ 100 แผ่น ให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ของนายศักดิ์สยามต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top