Monday, 13 May 2024
ปดิพัทธ์_สันติภาดา

'สำนักข่าวอิศรา' ขุดที่มา บ.เบียร์พิษณุโลก ที่ ‘ปดิพัทธ์’ โพสต์ภาพโชว์ ด้าน 'ผู้ถือหุ้นใหญ่' รับสาย แต่ไม่สะดวกแจงสินค้าว่าเป็นของใคร

(17 ส.ค. 66) กรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล และ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ได้เผยแพร่ภาพคราฟต์เบียร์ยี่ห้อหนึ่งลงในโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก และ TikTok แนะนำด้วยความภาคภูมิใจว่า “เอาแล้วๆๆๆๆ พิษณุโลกมีคราฟท์เบียร์ตัวแรกอย่างเป็นทางการแล้วครับ เป็นของดีพิดโลกนอกจากกล้วยตากและหมีชั่วครับ” กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 32 วรรคแรก บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อมหรือไม่

ต่อมาวันที่ 15 ส.ค. 66 นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดนายปดิพัทธ์ เข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 66 สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า เจ้าตัวได้ลบโพสต์ข้อความและภาพดังกล่าวออกไปจากหน้าเฟซบุ๊กแล้ว

กรณีดังกล่าวสำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบว่า ในเพจเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องในกับเบียร์ยี่ห้อนี้ โพสต์ข้อความเมื่อ 9 สิงหาคม ว่า “เรารอสิ่งนี้มาโดยตลอด เครื่องดื่มคราฟต์พิดโลก by Phitsanulok Brewing เปิดตัวที่แรกที่ร้าน Girl’s don’t cry ผลิตถูกกฎหมายทุกขั้นตอน เสียภาษีเรียบร้อย พร้อมกระจายไปให้ทุกท่านได้ลองผลิตภัณฑ์แบรนด์ท้องถิ่น ที่เราฝ่าฟันกันมากับวงการคราฟต์เบียร์มาตลอด 7ปี”

ก่อนหน้านี้วันที่ 8 ส.ค.โพสต์ข้อความว่า “อันนี้ไม่ใช่นโยบายหาเสียง แต่เป็นการโฆษณาเพื่อทำมาหากิน สัปดาห์นี้เรามีของเด็ดรอเข้าอยู่ เป็นตัวที่ผมอยากนำเสนอมาตั้งแต่ที่เราทำคราฟต์เบียร์มาเลย วันนี้อากาศดีมาก มาเจอกันมาชลแก้ว ศรีน่าน เอ้ย!! ชนแก้วเฉย ๆ กันได้ที่บาร์เลยค้าบ”

เพจเฟซบุ๊กดังกล่าวได้เผยแพร่ภาพคล้ายนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายปดิพัทธ์ รวมทั้ง ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคนเคยเดินทางมาที่ร้านแห่งนี้ด้วย

จากการตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า PHITSANULOK BREWING ตามที่ระบุข้างต้น พบว่า PHITSANULOK BREWING หรือ บริษัท พิษณุโลกบรูอิ้ง จำกัด ทะเบียนวันที่ 9 ธ.ค. 65 ทุน 1 ล้านบาท แจ้งวัตถุประสงค์ 20 ข้อ แบบ สสช. 1 ประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ที่ตั้งเลขที่ 441/58 ซอย13 ถนนบรมไตรโลกนาถ 2 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก นายภูวดล ศิริสินเลิศ เป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่ และเป็นกรรมการร่วมกับนายธนาบูรณ์ ตระกูลฤกษ์ชัย 

เมื่อช่วงสายวันที่ 17 ส.ค. 66 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้ติดต่อไปยังนายภูวดล ศิริสินเลิศ หนึ่งในผู้บริหารบริษัท พิษณุโลกบรูอิ้ง จำกัด เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ตามเบอร์โทรศัพท์ที่แจ้งไว้ในเอกสารจดทะเบียนบริษัทต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 

เมื่ออีกฝ่ายรับสาย ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่านายภูวดล บริษัท พิษณุโลก บรูอิ้ง ใช่หรือไม่ อีกฝ่ายตอบว่า "ใช่"

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามต่อว่า ทราบเรื่องกรณีนายปดิพัทธ์โพสต์ภาพคราฟต์เบียร์ลงในโซเชียลมีเดียแล้วหรือไม่ นายภูวดล กล่าวว่า "ทราบแล้ว"

แต่เมื่อถามต่อว่าเป็นเบียร์ของบริษัทเลยใช่ไหม ที่นายปดิพัทธ์ได้นำไปพูดถึง นายภูวดลได้ทวนว่า "สำนักข่าวอิศราใช่หรือไม่"

ผู้สื่อข่าวตอบว่า "ใช่" นายภูวดลได้ตอบกลับว่า "ยังไม่สะดวกตอนนี้" ก่อนที่จะวางสายโทรศัพท์ไป

จึงทำให้สำนักข่าวอิศรา ยังไม่ได้รับคำชี้แจงต่อกรณีจากฝั่งของผู้บริหารบริษัท พิษณุโลกบรูอิ้ง จำกัด เพิ่มเติม ณ เวลานี้

‘รองอ๋อง’ ชี้ สส. ต้องทำงานรับใช้ประชาชน เพราะประชาชนทุกคนคือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

‘รองอ๋อง’ ชี้ สส. ต้องทำงานรับใช้ประชาชน เพราะประชาชนทุกคนคือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

ไม่นานมานี้ 'หมออ๋อง' ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ได้โพสต์ข้อความจากการร่วมเวทีกิจกรรมเสริมสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย สำนักประชาสัมพันธ์รัฐสภาร่วมกับคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ห้องประชุมสัมมนา อาคารรัฐสภา ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ผมเป็นสัตวแพทย์ คุณเป็นครู เราเรียนจบก็ได้ใบประกอบวิชาชีพ

แต่การจะเป็น สส.ได้ ต้องไปขอคะแนนเสียง เพราะฉะนั้นอาชีพนี้จึงศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ได้ทำให้ผมกับคุณต่างกัน

ผมทำหน้าที่ของผม พวกคุณเป็นคนมอบอาณัติให้ผมเพราะฉะนั้นคุณเป็นเจ้าของอำนาจ

ประชาชนต้องเชื่อเรื่องนี้ให้ได้ ไม่ใช่เลือกตั้งเสร็จผมเป็นเจ้านายพวกคุณ พวกคุณจ้างผมทำงาน เพราะฉะนั้นผมต้องรับใช้พวกคุณ นี่คือสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้น โตไปเป็นครูขอให้สอนเด็ก ๆ ว่าพวกคุณคือ ‘เจ้าของประเทศ’

'รองอ๋อง' รับหนังสือค้านโครงการแลนด์บริดจ์ จากตัวแทน จ.ชุมพร หวั่น!! 'แย่งที่ดินทำมาหากิน-ไม่อยากขายที่ดินบรรพบุรุษ'

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง รับหนังสือคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ หรือ โครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) ภาคใต้ จากตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร ผู้คัดค้านแลนด์บริดจ์ จำนวน 45 คน โดยกล่าวว่า จะนำไปศึกษาเบื้องต้นและนำเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าเสียงของประชาชนทุกคนสำคัญ ต้องพูดคุยกันในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตอบสนองประชาชนไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะนำปัญหาโครงการแลนด์บริดจ์เข้าสู่การประชุมของพรรค หลังมีการตั้งกรรมาธิการสามัญจะนำเรื่องเข้าสู่ชั้นกรรมาธิการฯ ที่เกี่ยวข้อง เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ทั้งนี้ ชาวบ้านเชื่อว่าโครงการฯ กระทบต่อวิถีชีวิตชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม โดยเวนคืนที่ดินชาวบ้าน นำข้อมูลผิด ๆ ให้แก่ชาวบ้าน ว่า จะให้ราคาที่ดินในราคาสูง เข้าพื้นที่ในยามวิกาล ทั้งนี้ พื้นที่ อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ หากโครงการมีผลกระทบกับประชาชนขอให้รัฐบาลพิจารณาโครงการอีกครั้ง

“ชาวบ้านไม่ต้องการขายที่ดินของบรรพบุรุษ แย่งที่ดินไปจากชาวบ้าน โดยออก พ.ร.บ.แลนด์บริดจ์ เวนคืนที่ดินชาวบ้านไร้มรดกสืบทอด รวมถึงทรัพยากรน้ำ ถือเป็นสินทรัพย์ของรัฐ ต้องถูกตัดไปให้แก่นิคมอุตสาหกรรมในโครงการฯ นอกจากนี้ โครงการจะกระทบแหล่งทำประมงชาวบ้านจากน้ำมัน และสารเคมีที่รั่วไหลออกสู่แหล่งน้ำและทะเล ทั้งนี้ ประชาชนมั่นใจ จ.ชุมพร-จ.ระนอง เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะเวทีแยกส่วนในการให้ข้อมูลแก่ประชาชน จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามจะประชาชนในพื้นที่ และสนข. ยืนยันไม่มีการตั้งโรงงานเกี่ยวกับปิโตรเคมี แต่ประชาชนทราบข่าวจากสื่อว่า ซาอุฯ จะลงทุนตั้งโรงกลั่นน้ำมันในพื้นตามที่เป็นข่าว ประกอบกับ สนข. กล่าวหาว่า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าของโครงการฯ ที่จะตั้งอยู่ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน” นายปดิพัทธ์ กล่าว

‘ศิธา’ แง้ม ‘ไทยสร้างไทย’ พร้อมรับ ‘รองอ๋อง’ เข้าพรรค หาก ‘ก้าวไกล’ มีมติขับพ้นพรรค เพื่อเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

(28 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา น.ต.ศิธา ทิวารี สมาชิกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เตรียมประชุมหาความชัดเจนเรื่องตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ที่มีกระแสข่าวว่าจะขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ออกจากพรรค พรรค ทสท.พร้อมจะเปิดประตูต้อนรับหรือไม่ ว่า เป็นเรื่องกระบวนการภายในของพรรค ก.ก.และเป็นสิทธิ์ของนายปดิพัทธ์ ว่านายปดิพัทธ์จะออกหรือไม่ออก ซึ่งพรรค ก.ก.ก็มีมติได้ว่า จะให้นายปดิพัทธ์ลาออกหรือไม่ แต่หากนายปดิพัทธ์ไม่ลาออก พรรค ก.ก.ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ทำได้อย่างเดียวคือต้องขับออก หากต้องการตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

น.ต.ศิธา กล่าวต่อว่า หากพรรค ก.ก.ขับนายปดิพัทธ์ออกมา ซึ่งนายปดิพัทธ์ยังไม่พ้นสภาพ สส. สามารถเป็นต่อได้อีก 30 วัน ส่วนนายปดิพัทธ์จะไปอยู่พรรคไหนก็ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ การที่ไปบอกว่าให้นายปดิพัทธ์มาอยู่กับพรรค ทสท. หากไม่เข้าใจกัน แต่พูดไปแล้วก็อาจจะเป็นการล้ำเส้น และอาจจะเกิดความคลางแคลงใจกัน ซึ่งทุกวันนี้ตนเชื่อฝ่ายค้านก็ร่วมมือกันในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์จริง ๆ ไม่ได้ค้านทุกเรื่อง ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอยู่แล้ว แต่หากนายปดิพัทธ์จะอยู่กับพรรค ทสท.ก็ยินดีต้อนรับ แต่คงไม่แสดงความคิดเห็นว่าอยากให้เข้ามา

ส่อง 4 มติงานรัฐสภาโปร่งใส!! ที่ 'รองอ๋อง' หมายมั่นให้สภาฯ ไฟเขียว!!

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเผยถึงความคืบหน้างานของ คณะกรรมการขับเคลื่อนรัฐสภาโปร่งใสและสมรรถนะสูง โดยมีเนื้อหาดังนี้ ล่าสุดที่ประชุมมีมติให้เสนอต่อประธานรัฐสภาทั้งหมด 4 เรื่อง ดังนี้...

1.การปรับใช้ตัวเลขอารบิกแทนเลขไทยในหนังสือของหน่วยงานราชการ โดยเริ่มจากวงงานรัฐสภาเพื่อเป็นการยกระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลและการบริการของภาครัฐ

2.การปรับเพิ่มอุณหภูมิแอร์ขึ้น 2 องศา (จากเดิม 25 เป็น 27 องศา) โดยเริ่มจากทุกวันศุกร์ และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รวมถึงผู้ปฏิบัติงานในรัฐสภาสามารถถอดสูทและแต่งตัวตามฐานานุรูปในการทำงานวันศุกร์ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย Green Parliament

3.การยกเลิกเอกสารเชิญประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทางไปรษณีย์ และเปลี่ยนเป็นการส่งไฟล์ PDF แทน

4.จัดทำจดหมายเชิญถ่ายทอดสดกรรมาธิการไปยังประธานกรรมาธิการแต่ละคณะ เผื่อถ่ายทอดให้ประชาชนได้ติดตามการประชุมตามความสนใจ

หลังจากได้มติทั้ง 4 เรื่องแล้ว ทางที่ประชุมได้เชิญหน่วยงาน Traffy Fondue มาให้ข้อมูล โดยคณะกรรมการสนใจที่จะนำแพลตฟอร์มมาใช้ในอาคารรัฐสภา เพื่อแจ้งปัญหาที่พบภายในอาคารรัฐสภา เช่น พบจุดที่หลอดไฟขาด มีน้ำรั่วซึม เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้พูดถึงการนำแพลตฟอร์ม ‘อยู่ไหน UNAI’ มาทดลองใช้เพื่อบอกทางไปห้องต่างๆ ภายในอาคารแห่งนี้

ภายหลัง นายปดิพัทธ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ในส่วนของการถ่ายทอดสดกรรมาธิการอีกด้วยว่า “ไลฟ์สดการประชุมกรรมาธิการ ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดครับ แรงต้านมาทุกระดับ อ้างกฎหมาย ระเบียบ วัฒนธรรมต่าง ๆ แต่ไม่มีใครต้านความต้องการของประชาชนที่ต้องการ สภาโปร่งใส ได้หรอกครับ ผมดำเนินการต่อแน่นอน”

'หมออ๋อง' งานเข้า!! เจอเพจดังทวงความยุติธรรมให้คู่กรณี ปมคดีหมิ่นฯ ผ่านไป 1 ปีไม่คืบ อ้าง!! ติดภารกิจตลอดเวลา

(25 พ.ย.66) เพจวันนี้ วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ได้ทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายรายหนึ่ง โดยระบุว่า 

“ทุกคนคะ ผู้เสียหายร้องคดีหมออ๋องหมิ่นประมาท ผ่านไป 1 ปี ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวนเลยค่ะ (เรื่องที่1)

ต.ค. 65 แจ้งความดำเนินคดีกับสส.อ๋อง ทุกอย่างล่าช้า เขามารับทราบข้อกล่าวหา แต่ในระหว่างเปิดประชุมสภาทำอะไรไม่ได้ เพราะมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง

คดีนี้พนักงานสอบสวนลงความเห็นสั่งฟ้อง แจ้งให้หมออ๋องมาพบ เพื่อส่งอัยการแต่ก็ได้คำตอบว่าติดภารกิจตลอดเวลา

ตำรวจมองว่าเป็นการประวิงเวลา เพื่อไม่ให้สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาช่วงปิดประชุมสภา จึงได้ทำหนังสือให้มาพบพนักงานสอบสวนภายในวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่หมออ๋องก็ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน ไม่มีการติดต่อกลับไม่มีการชี้แจงใดๆ ถึงเหตุที่ไม่สามารถมาได้

ล่าสุดตำรวจได้ออกหนังสือให้มาพบพนักงานสอบสวนอีกภายในวันที่ 29 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากหมออ๋องไม่มา เมื่อเปิดประชุมสภา ในวันที่ 12 ธ.ค. 66 เจ้าตัวก็จะได้เอกสิทธิ์ของ สส.ในการคุ้มครองอีก ฝากแอดมินช่วยทวงความยุติธรรมด้วยครับ”

‘ศาลรธน.’ ไม่รับคำร้องสอบ ‘รองอ๋อง’ โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชี้!! ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิ-เสรีภาพให้เสียหาย

(20 ธ.ค.66) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่นายทรงชัย เนียมหอม ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ว่านายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกระทำการอันเป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยใช้สิทธิพิเศษของตนเองเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 มาตรา 3 และมาตรา 32 ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 4 มาตรา 29 วรรคสามและวรรคสี่ มาตรา 27 และมาตรา 50(3) หรือไม่ โดยศาลฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏว่า นายทรงชัย ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพและได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงจากการกระทำของนายปดิพัทธ์อย่างไร กรณีไม่เป็นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้นนายทรงชัย จึงไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ได้

'อัครเดช-รทสช.' ท้วง 'รองอ๋อง' ไม่เป็นกลาง-เบรกไม่ให้พูด กล่าวหาตนอภิปรายยืดเยื้อ สุดท้ายกระทู้ถาม รมต.ล่ม

(22 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานสภา เข้าสู่การพิจารณากระทู้ถามทั่วไป ที่นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถามเรื่องติดตามความคืบหน้าการจัดระเบียบสายไฟฟ้า สายสื่อสาร และการบริหารจัดการไฟฟ้าส่องสว่างอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ ถามนายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ตอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอัครเดชได้อภิปรายเป็นเวลาเกือบ 10 นาที แต่ยังไม่ได้ถามคำถาม นายปดิพัทธ์จึงทักท้วงว่า นายอัครเดชใช้เวลาเกือบ 10 นาทีแล้ว ขอให้ถามคำถามได้แล้ว ทำให้นายอัครเดชไม่พอใจและกล่าวว่า กระทู้ถามทั่วไปไม่ได้ระบุเวลา แต่ตนรู้ข้อบังคับดี เดี๋ยวตนกำลังจะถามคำถามแล้ว ท่านประธานต้องอย่าทำตัวเอียง ต้องวางตัวให้ตรง วินิจฉัยอะไรต้องรับผิดชอบด้วย 

จากนั้นนายปดิพัทธ์จึงกล่าวว่า ตนให้โอกาสในการอภิปรายแต่นายอัครเดชพูดเรื่อง 70 ล้าน 80 ล้านมา 2 รอบแล้วจึงจะเข้าข่ายวนเวียนแล้ว และคิดว่าเราได้ประเด็นของเนื้อหาจึงอยากให้ช่วยบริหารเวลาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ให้ท่านอภิปราย

นายอัครเดชกล่าวว่า “จริง ๆ กระทู้ถามสดนั้น ผู้ถามมีเวลาถาม 15 นาที และผู้ตอบมีเวลา 15 นาทีในการตอบเช่นเดียวกัน ผมเพิ่งถาม 10 นาที ท่านมาเบรกผม ท่านมีอะไรกับผมเหรอครับ”

นายปดิพัทธ์กล่าวว่า “ท่านมีอะไรกับผมเหรอครับ ไม่มีครับ” แต่คิดว่ากระทู้ถามแต่ละครั้งที่วันนี้ตนให้อภิปรายเกิน 10 นาทีได้ เพราะวันนี้มีกระทู้ของนายอัครเดชคนเดียวที่เหลือเป็นการเลื่อนกระทู้ และตนแค่บอกเฉย ๆ ว่าตอนนี้ควรที่จะต้องเข้าสู่คำถามได้แล้ว เพราะเป็นการอภิปรายที่มากพอแล้ว ตนไม่มีอะไรกับนายอัครเดช ขอให้เข้าสู่เนื้อหาเลย หากจะอภิปรายกับตน ตนคิดว่ามันเสียเวลาของสภา ขอเข้าสู่กระทู้ต่อ

นายอัครเดชกล่าวว่า ตนต้องชี้แจงเพื่อที่ประชาชนจะได้เข้าใจข้อบังคับและสิทธิของ สส. ด้วยความเคารพสิทธิของสมาชิก คือเวลาที่ถามนั้น ตนยังอยู่ในเวลาที่ใช้สิทธิอยู่ และหากไปดูเรื่องข้อบังคับกระทู้ถามไม่ได้ระบุระยะเวลา ตนเคารพสภา โดยการใช้สิทธิตามระยะเวลาที่มีอยู่คือ 15 นาที ฉะนั้น การอภิปรายของตนก็เป็นประโยชน์ต่อรัฐมนตรี ในการให้ข้อมูลของรัฐมนตรีไปบริหารประเทศเพื่อประหยัดงบประมาณเงินภาษีของพี่น้องประชาชน ตนจึงบอกว่า 70 ล้านกับ 10 ล้านมันต่างกัน สิ่งที่ตนอภิปรายเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติดีกว่าที่จะอภิปรายที่ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา แล้วท่านวินิจฉัยกลายมาเป็นประเด็นที่ทะเลาะกัน ตนว่าแบบนั้นเสียเวลามากกว่า ขอให้ท่านได้ทำตามข้อบังคับและเคารพสิทธิของสภาด้วย

นายปดิพัทธ์ชี้แจงว่า กระทู้ถามข้อบังคับบอกว่าต้องไม่เป็นลักษณะการอภิปราย หากนายอัครเดชไม่ถามกระทู้ ขออนุญาตว่าจะไม่ถามก็ได้ และเวลาของนายอัครเดชนั้น ตนเคารพ แต่ตอนนี้นายอัครเดชใช้เวลามากเกินไปกับสิ่งที่ไม่อยู่ในกระทู้

นายอัครเดชกล่าวว่า อยากให้นายปดิพัทธ์ที่ทำหน้าที่ประธาน ท่านจะใช้ดุลพินิจหรือวินิจฉัยอะไร ขอให้ท่านอยู่ในข้อบังคับและรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนด้วย ตนกำลังอภิปรายประเด็นนี้และตนถามกระทู้มาตั้งแต่สมัยที่นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธานสภา ตนไม่ได้ถามกระทู้นี้กระทู้แรก และตนไม่เคยมีปัญหาเช่นนี้เพราะตนรู้ข้อบังคับ ทำให้นายปดิพัทธ์ ทักท้วงขึ้นว่า ขอให้เข้าเรื่องได้แล้ว ไม่เช่นนั้นตนไม่อนุญาตให้พูดและคำวินิจฉัยของประธานเป็นที่สิ้นสุด

นายอัครเดชกล่าวว่า หากท่านประธานวินิจฉัยเช่นนี้ ตนขอให้สภาแห่งนี้บันทึกไว้ว่า สส.ที่นำปัญหาของพี่น้องประชาชนมาอภิปราย แล้วอภิปรายตามข้อบังคับและจะถามรัฐมนตรีตามระเบียบ แต่ท่านใช้ดุลพินิจของท่านวินิจฉัยให้ สส.หยุดอภิปราย จึงขอให้สภาบันทึกไว้ว่าตนมีความตั้งใจที่จะถามกระทู้นี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ หากท่านวินิจฉัยเช่นนี้ ตนขอไม่ถามกระทู้ต่อ

นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ตนจำเป็นต้องบริหารเวลาและข้อบังคับให้ชัดเจน ไม่ได้มีเจตนาที่จะเบรกไม่ให้นายอัครเดชถาม ขอให้ท่านอภิปรายและเข้าสู่คำถามเพราะเห็นว่าอภิปรายได้ครบถ้วนแล้ว ซึ่งก็รอคำถามจากท่านอยู่ ตนเคารพท่านและสภาฯ ก็บันทึกไว้ได้ว่าตนวินิจฉัยเช่นนี้

นายอัครเดชลุกขึ้นทักท้วงอีกรอบว่า ท่านประธานไม่จบ นายปดิพัทธ์จึงกล่าวขึ้นว่า ตนจบแล้ว และไม่อนุญาตให้พูด ขอบคุณรัฐมนตรี ซึ่งผู้ถามไม่ได้ใช้สิทธิ์ถามแล้ว และเจ้าหน้าที่ที่บันทึกการประชุมว่า นายอัครเดชทำผิดข้อบังคับ ไม่เคารพคำวินิจฉัย ตนไม่สามารถให้อภิปรายตัวตนได้เพราะนี่ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำให้นายอัครเดชลุกขึ้นประท้วงว่า ตนไม่ได้อภิปรายและขอประท้วงว่าประธานทำผิดข้อบังคับ ท่านเป็นประธานต้องวางตัวเป็นกลาง อย่าเอาอารมณ์เมื่อครั้งที่แล้วมาทำเช่นนี้กับสมาชิก ไม่ถูกต้อง ท่านเป็นประธาน ตนและ ส.ส.เคารพท่านเพราะตำแหน่งท่านแต่การที่ท่านวินิจฉัยและมาขัดการอภิปรายเช่นนี้ ตนถือว่าเป็นสิ่งที่ประธานไม่ควรทำและไม่สร้างสรรค์อย่างยิ่ง

นายปดิพัทธ์ได้ย้ำอีกครั้งถึงเรื่องข้อบังคับสภา ในการถามกระทู้และไม่ได้มีเจตนาที่จะเบรกไม่ให้นายอัครเดชถามกระทู้แต่อย่างใด จากนั้นจึงเข้าสู่วาระถัดไป

‘รองอ๋อง-วิโรจน์’ ชี้อาจเป็นประชุมสภาครั้งสุดท้าย ลั่น!! ขอทำในสิ่งที่จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง

จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าตลอด 7 เดือนไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แม้ชนะเลือกตั้งสามารถรวบรวมได้ 312 เสียง ไม่เคยเสียใจที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน ทั้งไม่เสียใจที่การอภิปรายครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง ชีวิตทางการเมืองแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่พร้อมจะจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่มีอะไรติดค้างใจต่อไป และหากพรรคก้าวไกลจะถูกยุบก็ไม่เสียใจ เพราะอาจจะทำให้ถึงเส้นชัยเร็วขึ้นนั้น

ล่าสุด (5 เม.ย. 67) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ได้โพสต์ภาพการอภิปรายของนายพิธา พร้อมเขียนข้อความภาษาอังกฤษผ่านแพลตฟอร์ม  X ระบุว่า “It might be the last day!! #ประชุมสภา”

ซึ่งแปลได้ว่า “อาจจะเป็นวันสุดท้าย”

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้แชร์โพสต์ของนายปดิพัทธ์ พร้อมเขียนข้อความคล้ายคลึงกันว่า “ผมเองก็ใกล้แล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจงมาร่วมกันทำในสิ่งที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจ เมื่อนึกย้อนกลับไป กันเถอะครับ”

ทั้งนี้ทั้งนายพิธา หมออ๋อง และนายวิโรจน์ ร่วมอยู่ใน 44 ส.ส. ที่ลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top