Friday, 17 May 2024
ปกรณ์วุฒิอุดมพิพัฒน์สกุล

‘ปกรณ์วุฒิ’ หอบหลักฐานปึกใหญ่ เตรียมยื่น ป.ป.ช.เพิ่ม จ่อสอย ‘ศักดิ์สยาม’ คดีซุกหุ้น ยัน ไม่เกี่ยวกดดันจัดตั้งรัฐบาล

(25 ก.ค. 66) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แถลงข้อมูลเพิ่มเติมคดี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซุกหุ้น จนนำมาสู่การสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวว่า ได้รับเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อน ตนพบพิรุธหลายจุด และพบหลักฐานใหม่ว่า มีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนฯ ในวันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

โดยข้อมูลระบุว่า เคยกู้เงินในปี 2558-2559 จำนวน 4 ครั้ง วงเงินจำนวน 108.4 ล้านบาท มีสัญญากู้ยืมเงิน และชำระหนี้คืนทั้งก้อน 22 เม.ย 2562 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 33 วัน โดยอ้างอิงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2565 ซึ่งได้ถามว่าหนี้สินที่นายศักดิ์สยามมีกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ได้โอนออกพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ ข้อมูลดังกล่าวที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่เปิดเผย ชี้เห็นว่า หลังจากการโอนหุ้นแล้วไม่มีการโอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารเป็นการมัดตัวว่าหนี้สินจำนวนนี้ ยังเป็นของนายศักดิ์สยาม หลังการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 จึงเกิดคำถามว่ามีการชำระหนี้คืนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 จริงหรือไม่

เพราะงบการเงินของห้างหุ้นส่วนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุชัดเจนว่า ยังมีเงินให้ในส่วนผู้จัดการกู้ยืมคงค้างจำนวน 38 ล้านบาท จากนั้นยอดหนี้สินจึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาท ในงบการเงินสิ้นปี 2563 ซึ่งการปิดงบจะต้องสอดคล้องกับเอกสารและยอดเงินในธนาคารทั้งหมดของห้างหุ้นส่วน เพราะจะต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย

“จึงเป็นไปได้ว่านายศักดิ์สยามเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนอยู่ 38 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. สมมติมองในแง่ดีวันที่ 22 เมษายน 2562 มีการโอนเงิน 108 ล้านบาท ให้ห้างหุ้นส่วนตามเอกสาร” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ พิรุธในประการต่อไป เมื่อพิจารณาเอกสารชี้แจง จะพบว่าห้างหุ้นส่วนได้ระบุว่า นายศักดิ์สยามกู้ยืมเงิน 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2559, 2560, 2561 ระบุยอดตรงกัน 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3-4 รวมกัน แต่การกู้เงินครั้ง 1-2 เป็นจำนวนเงิน 39 ล้านบาท ทำไมไม่เคยปรากฏในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว และยอดเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหน

ขอตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ว่าอาจไม่ได้มีการชำระหนี้และยังมียอดหนี้คงค้างตามงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้าห้างหุ้นส่วนจริงๆ ซึ่งอาจเป็นการทำทธุรกรรมเพื่อการอื่นมากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้ แต่ยอดเงินดังกล่าวไม่ตรงกับ 69 ล้านบาท จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏ ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีการติดอากรแสตมป์ ที่จะมีการประทับวันที่มีผลทางกฎหมายเป็นทางการหรือไม่ โดยชี้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนต่อไป

และข้อสงสัยมากที่สุดคือ ตัวเลขในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว หากขายจริงและได้รับเงิน 120 ล้านบาทจริงในเดือนมกราคม 2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินในช่วง 16 เดือนหลังจากนั้นกลับมีเงินสด ซึ่งเป็นเงินฝากเพียงจำนวน 76 ล้านบาท หากเป็นตัวเลขจริงอาจเป็นการใช้เงินที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาท ภายใน16 เดือน และตัวเลข 40 ล้านบาทตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ก่อนเดือนมกราคม 2561 นายศักดิ์สยามไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว

พร้อมทั้งหยิบยกคำชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของนายศักดิ์สยามว่า เงินจากการขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้ จึงไม่จำเป็นรายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตั้งข้อสงสัยว่า หากมีการจ่ายเงินคืนหนี้สิน 22 เมษายน 2562 เหตุใดนายศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานมาชี้แจงในสภาฯ ซึ่งหนี้สินก้อนนี้คือฟางเส้นสุดท้ายในการยึดโยงนายศักดิ์สยามกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ หากมีการชำระหนี้ไปแล้วจริง จะเป็นหลักฐานสำคัญว่า ได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาด และจะสามารถหักล้างข้อสงสัยได้ทันทีทันใด และยอมรับว่าจะกลายเป็นตนเองนั้นถูกน็อคกลางสภา แต่นายศักดิ์สยามไม่ชี้แจงว่า นำเงินจากการขายหุ้นมาใช้คืนหนี้สินให้กับทางหุ้นส่วนจำกัดแห่งนี้มูลค่า 108 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า ยังพบพิรุธในเอกสารที่แจ้ง ต้องถามรัฐธรรมนูญหลายจุดเช่น นายศักดิ์สยามให้ขอเอกสารจากห้างหุ้นส่วนฯ เป็นเอกสารใบรับวางบิล หุ้นส่วนฯ และผู้จัดการคนใหม่ได้เข้ามาควบคุมเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่มีการโอนหุ้นจริง

พร้อมกับให้เปิดเผยว่า ได้ยื่นรายชื่อพยานต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 22 คน และรายชื่อพยานเอกสาร รายการเพื่อให้ศาลเรียกเพื่อหักล้างคำขี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายศักดิ์สยาม และยังพบรายการเดินบัญชี 27 บัญชีของนายศักดิ์สยามและผู้เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันยังมีทีมงานเพื่อชี้เบาะแสผู้ที่น่าเชื่อว่า ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ‘DSI’

จึงขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เรียกศรัทธาจากสังคมและการปฏิบัติกับทุกคำร้องตามกฎหมาย ตามกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และ มาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องและตั้งคำถาม

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประมาณ 9-10 เดือนที่ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และฝั่งศาลรัฐธรรมนูญก็มีเวลาใกล้เคียงกันแต่มีความคืบหน้าไปแล้ว ตอนนี้รอเพียงศาลรัฐธรรมนูญเรียกพยานบุคคลไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า หากเทียบเคียงกับคดีของ สส.ก้าวไกลความรวดเร็วและการทำงานแตกต่างกันอย่างไร นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ และเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องหนึ่ง หากย้อนไปตั้งแต่ยุคของ คสช.ที่มีการยื่นคุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละกรณีพิจารณาไม่ต่ำกว่า 300 กว่าวันหรือบางทีก็มากกว่านั้น แต่หากเป็นเคสของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็จะค่อนข้างรวดเร็วอย่างที่เห็น

ส่วนที่ต้องยื่นเอกสารใหม่อีกครั้งที่ ป.ป.ช. เพราะเป็นหลักฐานเพิ่มเติมและเป็นเด็นที่แยกย่อยมาจากคำร้องครั้งที่แล้วในคดีซุกหุ้น จึงอยากให้ ป.ป.ช.เรียกดูเอกสารตามอำนาจที่มี ทั้งจากธนาคาร และเอกชน รวมถึงราชการที่จะมาเชื่อมโยงได้ว่าทั้งหมดที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ และตัวเลขหนี้ที่คงค้างอยู่ในงบการเงินนั้น เป็นความผิดพลาดทางงบการเงิน หรือเป็นความผิดพลาดที่ไม่เคยมีการใช้หนี้มาก่อน

เมื่อถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการพูดถึงพรรคอันดับที่ 3 จะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายปกรวุฒิ กล่าวว่า ตนได้รับทราบว่ามีเอกสารชุดนี้เมื่อประมาณ 4 สัปดาห์ที่แล้วจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และช่วงที่ผ่านมาตนก็ได้ยังไม่มีเวลาที่จะดูเรื่องนี้ แต่หลังจากเปิดประชุมสภาแล้ว และได้มีเวลาดูเอกสารประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ทำเรื่องนี้เสร็จเมื่อวันเสาร์ (22 ก.ค.) ที่ผ่านมา จึงนำมาสู่การแถลงข่าว โดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรออะไรในการที่จะไปยื่น เพราะหากรอไปเกิดมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อาจจะไม่ทันการ จึงคิดว่าจะต้องยื่นเลย

ส่วนจะกระทบไปยังการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีการขอเสียงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น มองว่า เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะตนก็ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเอง รวมไปถึงยื่นต่อป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ทำ ส่วนเรื่องการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาล เราเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่า ต่อให้นายพิธา เป็นนายกฯ หรือไม่ได้เป็นนายกฯ ก็จะตรวจสอบรัฐมตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล รวมไปถึงประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ที่ได้เซ็นต์ไว้ใน MOU ของ 8 พรรคร่วมด้วย

ส่วนจะเป็นการสื่อสารว่า ไม่เอาพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จริงๆ ก็ไม่ใช่ไม่ว่าเราจะร่วมหรือไม่ร่วม ในท้ายที่สุดเราก็ต้องทำงานตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน รวมไปถึงพรรคตัวเองด้วย ที่เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หากมีพฤติกรรมอย่างไรที่ไม่ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเจรจา เพราะการเจรจาร่วมรัฐบาลในตอนนี้ เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยและทีมเจรจาของพรรคก้าวไกล ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา

เมื่อถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่า จะกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาล มองว่า ไม่กระทบ เพราะถือว่าเป็นระบบปกติ ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า ดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ตนคิดว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลแะนายพิธา ได้เป็นนายกฯ ภาพของการที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกังเอง คงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไร ดังนั้นเมื่อเคยพูดแบบไหนก็ทำแบบนั้นดีกว่า วันนี้แกล้งทำเป็นหลับหูหลับตา แล้ววันหนึ่งเรากลับมาตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น ตนคิดว่าเป็นภาพที่ดูไม่งามเท่าไร ซึ่งตนคิดว่าการตรวจสอบการทุจริตไม่มีเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง

ส่วนจะบีบให้ทางเลือกเหลือน้อยลงหรือไม่ เพราะหากไม่เอาพรรค 2 ลุง ก็จะเหลือทางเลือกเดียวคือภูมิใจไทย โดยมีนายศักดิ์สยาม เป็นเลขาธิการพรรค นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมเจรจาว่า จะไปเจรจาด้วยเงื่อนไขอย่างไร แต่เราก็ยืนยันตรงนี้ ว่าเราทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะบอกว่าเราต้องรอการเจรจาให้จบก่อน ก็ไม่รู้ว่าการเจรจาจะจบเมื่อไร แล้วจะต้องรอเรื่องที่เราตรวจสอบไว้นานแล้ว ไปอีกนานเท่าไร ดังนั้นจึงมองว่า ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ นอกจากทำไปตามกระบวนการตามปกติ

ทั้งนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่านายศักดิ์สยาม จะยังคงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลในอนาคต หากคำร้องนี้มีคำวินิจฉัยว่าผิดจริง อย่างน้อยก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีกอย่างน้อยสองปี

จากนั้นในเวลา 11.30 น. นายปกรณ์วุฒิเดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือและเอกสารเกือบ 100 แผ่น ให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ของนายศักดิ์สยามต่อไป

‘ปกรณ์วุฒิ’ ป้อง!! ‘ธิษะณา-รักชนก’ อ่านเลขผิด-อภิปรายผิดมาตรา ชี้!! ทั้งคู่เพิ่งเป็น สส.หน้าใหม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ควรผิด

(26 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการประชุมวิปฯ ในวันนี้ว่า ในวาระการประชุมวันนี้เป็นการเตรียมประชุมกฎหมายสำคัญที่เข้าสู่สภา โดยพรุ่งนี้ (27 มี.ค.67) ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สมรสเท่าเทียมจะเข้าสู่สภาพิจารณารายมาตรา วาระ 2 และ 3 คาดว่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาดว่าจะผ่านสภาได้ทั้ง 4 ร่าง ซึ่งอยากให้ประชาชนจับตามอง เนื่องจากร่างของคณะรัฐมนตรี (ครม.) พรรคก้าวไกลยังมองว่ามีปัญหาอยู่บ้าง เนื้อหาในบางประเด็นเข้มงวดเกินธิษะณาพอดี

นอกจากนี้ วิปฝ่ายค้านยังประชุมถึงกรอบระยะเวลาการอภิปรายทั่วไปรัฐบาลแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ซึ่งกำลังพิจารณาว่าจะให้งดประชุมสัปดาห์หน้า เพื่อให้ทุกพรรคฝ่ายค้านเตรียมตัวอภิปรายอย่างเต็มที่

ส่วนการจัดกำลังพลในการอภิปราย นายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า ของพรรคอื่นตนยังทราบไม่มาก แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกล จำนวนผู้อภิปรายอยู่ที่ประมาณ 30 คน ซึ่งจะแบ่งหมวดหมู่ในเรื่องประเด็นเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชัน ซีรีส์การเมือง การศึกษา สิ่งแวดล้อม สังคม ส่วนการเรียงลำดับอภิปราย ขอไปพูดคุยกันอีกครั้งก่อน

เมื่อถามว่าเห็นวุฒิสภา (ส.ว.) อภิปรายแล้ว จะต้องนำมาปรับเกมฝั่ง สส.อย่างไร นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ติดตามอยู่ มีบางส่วนที่หยิบยกมาใช้ได้ สส. แต่ละคนที่มีประเด็นของตัวเองอยู่แล้ว ก็ได้ติดตาม ส.ว. อภิปราย รวมถึงฟังคำตอบที่รัฐมนตรีแต่ละคนชี้แจงด้วย ซึ่งก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนหรือมีคำถามเพิ่มเติม

“ฟังรัฐมนตรีบางท่านตอบแล้ว อาจจะต้องหยิบยกมาถามอีกรอบในสภาผู้แทนราษฎร” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

เมื่อถามว่าแม้จะไม่มีการลงมติ แต่จะสามารถเขย่าคณะรัฐมนตรีจนปรับ ครม. ได้หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ในบางประเด็นเราก็คาดหวัง เพราะรัฐมนตรีอาจทำหน้าที่บกพร่อง ซึ่งคาดหวังว่ารัฐบาลคงจะหยิบไป อย่างน้อย ๆ นายกรัฐมนตรีก็คงจะมีการกำชับรัฐมนตรีบางท่านให้ปรับปรุงการทำงาน โดยการปรับ ครม. ก็จะเป็นวิธีการที่ดีก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาล

“บางกระทรวงอาจจะมีผลงานที่ไม่ดี มีข้อครหาใด ๆ การปรับ ครม. ก็เป็นทางออก” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

เมื่อถามว่าฝ่ายค้านเองก็ถูกจับตามอง อย่างนางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ และนางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายผิดมาตรา และมีการอ่านเลขงบผิดด้วย จะต้องมีการกำชับหรือตักเตือนหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ตนไปพูดคุยแล้ว มองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถามว่าควรผิดหรือไม่ ตนก็ยอมรับว่าไม่ควรผิด

“ผมคิดว่าใช้คำว่าตักเตือนแรงไปเลยนะ มันก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่เราก็ให้คำแนะนำแล้วกันว่าควรจะทำอย่างไร ผมรู้นะว่าตัวเลขหลายหลัก ถ้าเราไม่มีอยู่ในสคริปต์ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องดูทีละตัว ผมก็แนะนำไปว่าทำอย่างไร แต่ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้ ผมก็คิดว่าสามารถปรับปรุงตัวเองได้ ทั้งคู่ก็เป็น สส. สมัยแรก ปีแรกด้วยซ้ำ ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวอีกเยอะ ผมคิดว่าประเด็นที่มันเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ถ้าเรามองย้อนกลับไป 10 กว่าปีที่แล้ว ประเด็นการพูดผิดแล้วตะกุกตะกัก แล้วนำมาโจมตีกันว่าไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่ง ผมว่ามันพอได้แล้ว มันคงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น” นายปกรณ์วุฒิกล่าว

เมื่อถามว่ามีเรื่องนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เต้นออกนอกห้องประชุมด้วย นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า “ก็ประท้วงกันไปครับ” ตนคิดว่าถ้าพรุ่งนี้ฝั่งรัฐบาลหารือในสภา แล้วนายวิโรจน์ลุกขึ้นชี้แจง ก็เป็นสิทธิ์ของนายวิโรจน์

เมื่อถามย้ำว่าไม่ได้ห้ามใช่หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ไม่ได้มีอะไร ส่วนจะกระทบภาพลักษณ์หรือไม่ ตนคิดว่าก็วิพากษ์วิจารณ์กันได้

ส่วนที่วิจารณ์ว่าการเมืองใหม่แต่ยังทำเหมือนเดิมอยู่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ตนยังไม่เคยเห็นว่า 10 ปีที่แล้ว เขาเต้นกันในสภาเลย อาจจะใหม่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตนจะไปพูดคุยกับนายวิโรจน์อีกครั้ง

ส่วนการอภิปรายงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา ตัวเลขคนที่ไม่ได้มาโหวต จะสะท้อนอะไรหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จากที่สอบถามไปหลายคนก็มีความผิดพลาดจริง ๆ บางคนกำลังเตรียมอภิปราย ม.152 อยู่ แต่ไม่ได้ยินเสียงออด ส่วนที่เหลือก็สามารถชี้แจงได้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top