Monday, 13 May 2024
บอสอยู่วิทยา

'ก.อ.' เชือด 'เนตร นาคสุข' ให้ออกจากราชการ ชี้ ใช้ดุลพินิจไม่รอบคอบ สั่งไม่ฟ้องคดี ‘บอส อยู่วิทยา’

ก.อ.มีมติเอกฉันท์ เชือด ‘เนตร นาคสุข’ กรณีไม่สั่งฟ้อง ‘บอส อยู่วิทยา’ ขับรถชน ตร.ตาย โดยกำหนดโทษให้ออกจากราชการ ลดจากโทษ ‘ปลดออกจากราชการ’ เหตุเพราะรับราชการมา40 ปี ทำประโยชน์ให้ราชการมามาก 

18 พ.ค.2565 - ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนเเจ้งวัฒนะ นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ. )เป็นประธาน การประชุม ก.อ. โดยในที่ประชุมได้มีลงมติ ผลสอบคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหา คดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อเสียชีวิต ซึ่งได้มีการส่งผลการสอบสวนให้ นายพชร ประธาน ก.อ.เมื่อช่วงหลังหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา

โดยภายหลังการประชุม นายพชร กล่าวว่าในวันนี้ที่ประชุม ก.อ.มีผู้เข้าร่วมประชุม 14 คน ลา 1 คน ซึ่งมี ก.อ.ที่เคยถูกตั้งเป็นกรรมการสอบสวนวินัย นายเนตรจำนวน6 คนที่ประชุมจึงให้งดออกเสียงโดยกรรมการที่มีสิทธิลงมติจึงเหลือ 8 คน

กรรมการทั้ง 8 มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่า นายเนตรขาดความระมัดระวังละเอียดรอบคอบในการรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่สำคัญในคดีและ ไม่ให้ความสำคัญกับสำนวนทุกประเภท ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญา ของพนักงานอัยการ (อันเป็นระเบียบที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิดตามที่ ถูกกล่าวหา) เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง อันเป็นการกระทำความผิด ฐานไม่ปฏิบัติ หน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ ไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการ ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ อย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2553 และความผิดฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง เป็นเหตุ ให้เสียหายแก่ราชการ และฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ตาม แห่งพรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 เป็นความผิด วินัยไม่ร้ายแรง 

ส่วนความผิดฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทำครั้งเดียวผิดวินัย หลายฐาน จึงเห็นควรลงโทษในสถานความผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่มีโทษหนักกว่า แต่ทางสอบสวน ไม่ ปรากฏพยานหลักฐานบ่งชี้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จึงยังไม่ถึงขนาดที่จะต้องถูกไล่ออกจากราชการ เห็นพ้องกันว่าควรลงโทษผู้ถูกกล่าวหา “ปลดออกจากราชการ” แต่เมื่อพิจารณา ถึงประวัติการรับราชการพบว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยถูกลงโทษในการกระทำความผิดทางวินัยมาก่อน และกรณีดังกล่าวนี้เป็นการกระทำความผิดทางวินัยครั้งแรก ผู้ถูกกล่าวหาเองได้รับราชการมาเป็น ระยะเวลานานกว่า 40 ปี ทำคุณประโยชน์แก่ราชการไว้มาก กรณีมีเหตุอันควรลดหย่อนโทษให้แก่ ผู้ถูกกล่าวหาคณะกรรมการ ก.อ.ทั้ง 8 ซึ่งรวมตนด้วยจึงมีมติเเละคำสั่งให้ ลงโทษนายเนตร นาคสุข ผู้ถูกกล่าวหา ในสถาน “ให้ออกจากราชการ” ตาม พรบ. ข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 85,87

นายพชร กล่าวต่อว่า มติก.อ.วันนี้ถือว่าสิ้นสุดแล้วในส่วนของการดำเนินการทางวินัย หากนายเนตรไม่เห็นด้วย กับมติ ก.อ.ก็ยังสามารถใช้วิธีทางปกครองโดยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ ทั้งนี้คำสั่งให้ออกจากราชการมีผลตั้งแต่วันที่มีการอนุมัติให้ลาออกจากราชการแล้วในส่วนการดำเนินคดีอาญากับนายเนตร ในส่วนของสำนักงานอัยการ นั้นคงไม่มีแล้ว คงให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น อย่างไรก็ตามในส่วนของนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์นั้น เราก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงโดยมี นายประพัฒน์พงศ์ สุคนธ์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปกครอง เป็นประธานสอบ แต่จะเป็นความผิดสถานใดก็ต้องรอดูผลสอบสวน

เมื่อถามว่า การลงโทษนายเนตร นาคสุข แค่ให้ออกจากราชการมองว่าเป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่

นายพชรยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือกัน เพราะนายเนตร นั้นในหมู่อัยการรู้นิสัยกันดีว่าจริงๆแล้วนายเนตรไม่ควรจะขาดความรอบคอบ แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า การสั่งคดีนั้นมีการทุจริตตรงไหน นายเนตรถือเป็นอัยการที่มือสะอาด แต่การใช้ดุลพินิจในขณะนั้นจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ถือว่าขาดความรอบคอบจากมาตรฐานของคนที่ทำคดีมายาวนาน ซึ่งต้องมีความรอบคอบมากขึ้น และต้องสอบพยานคนกลางที่มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้เป็นที่ยอมรับของสังคม

“องค์กรอัยการเราอยู่มาถึง 140 กว่าปี ถ้าเราไม่ได้รับความเชื่อถือต่อสังคม เรารับไม่ได้ เพราะองค์กรจะต้องอยู่ต่อไป เราเป็นทนายแผ่นดิน เป็นข้าแผ่นดิน ถ้าทนายแผ่นดินเชื่อถือไม่ได้ ก็ไม่รู้จะสรรหากระบวนการยุติธรรมไหนที่เชื่อถือได้อีกแล้ว” ประธานก.อ.ระบุ

‘นิวัติไชย’ ยัน!! ป.ป.ช.ชี้มูล 15 ผู้ถูกกล่าวหา ‘คดีบอส’ จริง พบ ‘สมยศ-เนตร’ โดนด้วย ส่วน ‘เพิ่มพูน’ ผิดวินัยไม่ร้ายแรง

(6 ก.ย. 66) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาในคดีกลับคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ ‘บอส’ ในข้อหาขับรถยนต์ชน ‘ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ’ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 เนื่องจากมีการเปลี่ยนพยานหลักฐานด้านความเร็วของรถไปแล้วจริง เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2566

นายนิวัติไชย ยอมรับว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกชี้มูลความผิดนั้นจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ ต้องรอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับรองรายงานการประชุม ก่อนจะแถลงข่าวกับสื่อมวลชนต่อไป อย่างไรก็ดี ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาหลัก เช่น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด (อสส.) โดนชี้มูลความผิดไปทั้งหมด

ส่วน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้เมื่อครั้งยศ พล.ต.ท. ถูกที่ประชุมชี้มูลความผิดด้วยเช่นกัน แต่เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง และส่งเรื่องให้ต้นสังกัดไปดำเนินการทางวินัยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 15 ราย ได้แก่ ทั้งอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว และยังรับราชการอยู่ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ นักการเมือง เป็นต้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top