Saturday, 4 May 2024
นายกพิธา

เปิดแผนงาน 100 วันแรก ภารกิจที่ 'ก้าวไกล' พร้อมทำทันที

เมื่อไม่นานมานี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาแถลงรายละเอียด ‘โร้ดแมปรัฐบาลก้าวไกล’ โดยเป็นสิ่งที่จะทำภายใน 100 วันแรก, 1 ปี แรก และ ภายใน 4 ปี หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งนายพิธา ยืนยันว่า โร้ดแมปดังกล่าว สามารถทำได้แน่นอน
.
โดยในส่วนของ 100 วันแรก จะเป็นการทำงานที่ไม่ต้องแก้กฎหมาย สามารถทำได้เลย เช่น การเสนอ ครม.ทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยต้องผ่าน สสร., ให้รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลงบทุกบาท, เอากฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่พิจารณาค้างไว้ในรัฐบาลที่แล้ว มาทำให้เสร็จ, และยกเลิกบังคับใส่ชุดนักเรียน และทรงผม พร้อมกับทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทันที คือ เรื่องของหวยไปเสร็จ, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท, แก้สูตรค่าไฟ, สุราก้าวหน้า, ออกโฉนดนิคมสหกรณ์ และนิคมสร้างตนเอง และ เปิดเสรีโซลาร์เซลล์
.
ส่วนภายใน 1 ปีแรก จะปลดล็อกเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด, แก้ไขกฎหมายการเกณฑ์ทหาร ให้เป็นโดยสมัครใจ และรื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุม 2553 พร้อมยื่นแก้ไขจดหมาย 45 ฉบับ เช่น แก้กฎหมายการหมิ่นประมาท มาตรา 112 และ 116, ทำในสาธารณูปโภคเรื่องของน้ำประปาดื่มได้ และแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจ ก็จะเป็นการแก้ไขจำนวนเงินต่าง ๆ เพื่อนนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในแต่ละด้าน
.
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การจะทำนโยบายต้องใช้ประสบการณ์ แต่ก้าวไกลไม่มีประสบการณ์ แล้วจะทำได้จริงอย่างที่กล่าวหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญแต่ไม่ใช่ทุกอย่าง หลายเรื่องในทุกวันนี้เป็นเรื่องใหม่ ต้องใช้การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ไม่ใช่จะเอาประสบการณ์มาใช้ได้ทั้งหมด ซึ่งคิดว่าพรรคก้าวไกลทำได้ และตอบโจทย์

‘พิธา’ ประกาศจับมือพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล ยืนยัน!! พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน

(15 พ.ค. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวที่พรรคก้าวไกล หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ สรุปว่าพรรคก้าวไกลได้จำนวน ส.ส. เป็นอันดับ 1 ว่า เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพี่น้องประชาชนได้แสดงเจตจำนงผ่านคูหาเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง จึงขอประกาศว่าพรรคก้าวไกลพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล น้อมรับฉันทามติของพี่น้องประชาชน พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิมในการจัดตั้งรัฐบาล

พิธากล่าวว่า ตนพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน พร้อมฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เชื่อว่าความคิดเห็นที่แตกต่างจะทำให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้น พร้อมเคารพ ให้เกียรติ และต่อยอดจากการต่อสู้ของทุกฝ่ายที่ผ่านมาเพื่อประชาธิปไตย และพร้อมคืนศรัทธาให้ระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา คืนความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้กับการเมืองไทย และผู้แทนราษฎรทุกคน

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อไปหาแกนนำทั้งหมด 5 พรรคการเมือง ทั้งที่เป็นฝ่ายติดต่อไปและแกนนำของพรรคเหล่านั้นได้ติดต่อมาที่พรรคก้าวไกล ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย และพรรคเสรีรวมไทย ที่จะรวมกันเป็น 308 เสียง และกำลังติดต่อไปยังพรรคเป็นธรรม ซึ่งจะทำให้รวมเป็น 309 เสียง คิดว่าเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ปิดประตูการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน

“ได้โทรศัพท์หาคุณแพทองธาร ชินวัตร แสดงความยินดีกับความมุ่งมั่นตั้งใจในการเดินทางหาเสียง ที่ทำได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ และได้เชิญชวนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาลตามที่เคยสัญญากับพี่น้องประชาชน” พิธากล่าว

พิธากล่าวต่อว่า การทำงานต่อจากนี้ มีประมาณ 2-3 ส่วน หนึ่งคือการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลจะนำโรดแมปที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เพื่อนำไปพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่ และพร้อมพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ทำประชามติให้มี สสร. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ พัฒนาเศรษฐกิจสร้างความเจริญเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำไปในคราวเดียวกัน (Inclusive Growth)

สอง ตั้งทีมงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีคณะทำงานร่วมกับทุกพรรคการเมือง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจ เปลี่ยนผ่านรัฐบาล อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ

สาม จะมีการเดินสายพบปะประชาชน ภาคประชาสังคม ข้าราชการ และภาคธุรกิจ เพื่อเดินหน้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ให้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นฉันทามติที่มาจากพี่น้องประชาชน สามารถทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ เพื่อพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพและมีอุดมการณ์ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่พวกเราถวิลหา

พิธากล่าวว่า วันนี้จะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคในช่วงบ่าย ก่อนเดินทางไปขอบคุณพี่น้องประชาชนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหลังจากนั้นจะเดินทางทั่วทุกภูมิภาค เร่งจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้มีความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงใด ๆ ต่อประเทศไทย ขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน มั่นใจในการทำงานของพรรคก้าวไกล เราจะทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ และรวดเร็ว เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

สูตรจัดตั้งรัฐบาล 5 พรรค ‘309 เสียง’ คงไม่พอ อาจต้องบากหน้าง้อ ‘ภูมิใจไทย’ รวมให้เกิน 376 เสียง

เมื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งได้เสียงมากสุด 152 เสียง ประกาศชัดว่าจะจับมือกับฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล 309 เสียง ได้แก่ ก้าวไกล 152 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง ไทยสร้างไทย 6 เสียง เสรีรวมไทย 1 เสียง 

โดย 5 พรรคการเมืองเมื่อรวมเสียงกันแล้วได้แค่ 309 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 750 เสียง คือ 376 เสียง พรรคก้าวไกลยังจะต้องหาเสียงสนับสนุนอีก 67 เสียง ตรงนี้คือประเด็นว่าพรรคก้าวไกลจะเดินเกมอย่างไร ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่

-เจรจากับพรรคภูมิใจไทย 70 เสียง ถ้าพรรคภูมิใจไทยตกลงเข้าร่วม ก็จะทำให้เป็นรัฐบาล 6 พรรค 379 เสียง ถ้าเอาแค่นี้ถือว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะเกินกึ่งไปแค่ 3 เสียง จะให้ใครเจ็บใครป่วย ใครเป็นไข้ไม่ได้เลย

-ที่พิธาประกาศว่าปิดทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น ไม่น่าจะจริง เพราะพรรคก้าวไกลเองก็ยังก้าวไม่ผ่าน 376 เสียง เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. มีอยู่แค่ 309 เสียงเอง เพื่อให้รัฐบาลเดินไปได้ พรรคก้าวไกลอาจจะต้องบากหน้าไปคุยกับ ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง หรือรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง แต่อาจจะยากเพราะทั้งก้าวไกล และเพื่อไทยต่างประกาศไปแล้วว่า “มีเราไม่มีลุง” แต่มีความเป็นไปได้กับการเจรจากับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

ถ้าชาติไทยพัฒนาเข้าร่วม อย่างนั้นก็ต้องเอาพรรคภูมิใจไทยมาด้วยอยู่ดี ประเด็นว่า พรรคภูมิใจไทย จะร่วมกับก้าวไกล และเพื่อไทยได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ง่ายเพราะมีอะไรหลายอย่างที่เคมีไม่ตรงกัน แต่การเมืองก็คือการเมือง เมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็สามารถร่วมกันได้หมด

แต่กล่าวสำหรับประชาธิปัตย์ ไม่น่าจะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้ เพราะมีอะไรมากมายที่เห็นไม่ตรงกัน จะเจรจาร่วมกัน เพื่อลงนามในเอ็มโอยู ก็น่าจะยังยาก พรรคประชาธิปัตย์ จึงควรจะครองตนเป็นฝ่ายค้าน

ยิ่งประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านยิ่งจะเป็นผลดี ผลดีทั้งต่อชาติบ้านเมือง และต่อพรรคเอง ต่อชาติบ้านเมืองเพราะประชาธิปัตย์เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดีเยี่ยมมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ตรวจสอบรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ทำได้ดี เป็นผลดีต่อพรรค เพราะถ้าเป็นฝ่ายค้านแล้วทำหน้าที่ได้ดี ประชาชนก็จะเห็นผลงานเห็นฝีมือ อาจจะเป็นช่องทางให้ฟื้นฟูพรรคกลับคืนมาได้ ดีกว่าร่วมหัวจมท้ายกับพรรคที่มีเจตนารมณ์-อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ยิ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อม

ประชาธิปัตย์ควรจะนำบทเรียนของการเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นข้อสรุปว่า เป็นต้นเหตุให้พรรคได้แค่ 25 เสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่

พรรคประชาธิปัตย์ควรจะมานั่งคิดหาเวลาฟื้นฟูพรรค ดีกว่ามานั่งคิดจะเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อนำนโยบายที่เป่าประกาศไว้ไปสู่การปฏิบัติ เหมือนคราวที่แล้ว สุดท้ายล้มไม่เป็นท่า วันนี้ประชาชนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปลี่ยน ด้วยการเลือกก้าวไกล เพื่อไทยมาจำนวนมาก จึงควรให้เจตนารมณ์ของประชาชนเป็นจริง

สมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงก็ควรตอบรับให้ความร่วมมือกับเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างไม่มีอิดออด เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก และล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะยิ่งล่าช้าก็จะยิ่งมีผลกระทบ กระทบทั้งการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่น รวมถึงการต่างประเทศ

แม้สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการแต่งตั้งของอดีตหัวหน้า คสช. ก็ตาม แต่ควรใช้ดุลยพินิจพิจารณาเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ที่มา: นายหัวไทร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top