Sunday, 28 April 2024
นันทเดชเมฆสวัสดิ์

‘อดีตบิ๊ก ศรภ.’ จี้หน่วยข่าวกรอง ขุดเบื้องลึกมือพ่นสีวัดพระแก้ว เชื่อ!! ต้องมีแรงจูงใจ เพราะขณะลงมือมีการไลฟ์ออกอากาศ

(30 มี.ค.66) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์’ ระบุว่า กล้าทำถึงขนาดนี้ จะว่าไม่รู้อะไร ก็ไม่ได้แน่ครับ มันต้องมี ‘แรงจูงใจ’ มาจากอะไรซะอย่าง หน่วยงานข่าวกรองต้องขุดเบื้องหลังออกมาให้ได้ ไม่ค่อยจะทำงานอะไรกันเลย เพราะขณะที่ พ่นสียังมีการไลฟ์สดเลย ที่บอกเช่นนี้ เพราะ เค้า อาจจะได้เป็น รมช.กระทรวงอะไรสักกระทรวงหนึ่ง หลังการเลือกตั้งจบลง เพื่อใช้ ‘ความกล้า’ แบบนี้ทำอะไรต่อไปอีก 

ซึ่งไม่กล้าคิดต่อไปเลยครับ กับ อนาคตของประเทศไทยในอีก 4 เดือนข้างหน้านี้ จะมีใครในรัฐบาลออกมาพูดอะไรบ้างไหม!

‘อดีตบิ๊กศรภ.’ ชี้!! ฝ่ายที่แพ้ต้องเคารพกติกา-รัฐธรรมนูญ ให้ฝ่ายชนะได้ทำงานก่อน อย่าก่อกวนจนกระทบประเทศ

(15 พ.ค. 66) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก “พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์” ระบุว่า “การเมืองคราวนี้เป็นการแข่งขันกันระหว่าง พรรคผู้สูงอายุ ประมาณ 10 พรรค (เพื่อไทย พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า ไทยภักดี เสรีรวมไทย ไทยสร้างไทย ฯลฯ) กับ พรรคหนุ่มๆ ประมาณ 3 พรรค (พรรคก้าวไกล พรรคเปลี่ยน พรรคสามัญชน พรรคเป็นธรรม )”

“ใครจะชนะอีกฝ่ายที่แพ้ ก็ต้องทำใจครับ และต้องปล่อยให้ฝ่ายที่ชนะทำงานไปก่อน ดี ไม่ดี ค่อยว่ากันตอนหลัง อย่าเพิ่งก่อกวนให้ส่งผลกระทบถึงประเทศ อย่าไปพูดว่าอีกฝ่ายโกงเป็นอันขาด โดยเฉพาะถ้าแพ้ชนะกันแบบใกล้เคียง และการตั้งรัฐบาลจะต้องเคารพรัฐธรรมนูญอีกด้วย”

‘พล.ท.นันทเดช’ เล่าความหลังครั้งยังเป็นราชองค์รักษ์เวร และพระเมตตาอันเปี่ยมล้นของในหลวง รัชกาลที่ 10

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 66  พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ศรภ.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุข้อความว่า…

เมื่อผมเป็นราชองค์รักษ์เวรของในหลวง รัชกาลที่ 10

ผมเริ่มต้นทำหน้าที่ราชองค์รักษ์เวรครั้งแรก เป็นการปฏิบัติหน้าที่ถวายในหลวง ร.9 ส่วนใหญ่อยู่ที่พระตำหนักสวนจิตรลดา เวลาเข้าเวรช่วงกลางคืน ถ้าอยู่ตรงทางขึ้นพระตำหนักในตอนหัวค่ำ เมื่อมองออกไปทางเขาดิน จะเห็นฝูงยุงจำนวนมหาศาล บินออกมาจากเขาดิน คล้ายก้อนเมฆสีดำเล็กๆ มุ่งหน้ามายังสวนจิตรลดา และบ้านเรือนผู้คนที่ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกราชวิถี ดังนั้น เมื่อในหลวง ร.10 ทรงย้ายเขาดิน ผมจึงไม่ได้สงสัยอะไรเลย เพราะนอกจากยุงแล้ว ใครพาเด็กๆ ไปเที่ยวเขาดิน ก็จะกลับมาไม่สบายเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด สะสมเชื้อโรคไว้นานาชนิด นานกว่า 80 ปี ผมจึงคิดว่า ถ้าพระองค์ไม่ลงมือทำใครจะทำครับ

ต่อมาผมได้ย้ายมาเป็นราชองค์รักษ์เวร ของในหลวง ร.10 (พระยศ ขณะนั้นเป็นพระบรมโอรสาธิราชฯ) ตอนแรกก็เกิดความวิตก เนื่องจาก ผมทั้งอ้วนจากการนั่งโต๊ะทำงานจนดึก และกินมาก เวลาออกกำลังกายมีน้อย ถ้าให้วิ่งในระยะทางไม่เกิน 100 เมตร ผมก็เริ่มมีอาการหอบแล้ว ประกอบกับผมไม่ได้มาจากโรงเรียนเหล่าทัพโดยตรงด้วย เหมือนราชองค์รักษ์ประจำคนอื่น จึงกลัวว่าผมจะไปทำอะไรผิดเข้า ซึ่งก็เป็นจริง วันแรกก็ผิดแล้ว ตอนถวายรายงานเลยครับ ผมลงท้ายว่า “... ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ” พระองค์ทรงยิ้ม กล่าวว่า “ยังไม่ต้องเดชะหรอก” และก็ไม่ได้ทรงตำหนิอะไรอีก

หลายวันต่อมา พระองค์ทรงรถกอล์ฟเสด็จจากพระตำหนักไปเปิดร้านค้าที่หน้าพระราชวัง ระยะทางประมาณ 150 เมตร ผมก็วิ่งตามไปสัก 50 เมตร ก็เริ่มมีอาการเหนื่อยหอบแล้ว ทันใดนั้น ปรากฏว่ารถกอล์ฟส่วนพระองค์ ก็ชะลอช้าลงอย่างผิดปกติ ผมจึงกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามไปอย่างสบายๆ ทั้งขาไปและกลับ พระองค์มีทรงพระเมตตายิ่งนัก จากนั้นมา ผมก็เริ่มหาเวลาออกกำลังกาย ซึ่งส่งผลทำให้ผมมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น อยู่มาอย่างสบายจนถึงทุกวันนี้ แม้อายุใกล้จะ 80 ปีเข้าไปแล้ว

เมื่อเกิดเหตุรุนแรงทางภาคใต้ได้ประมาณ 2 ปี ผมถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้า ในหลวง ร.10 (ขณะนั้นพระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่ง พระบรมโอรสสาธิราชฯ) เพื่อกราบทูลรายงานเบื้องหลังเหตุการณ์รุนแรงดังกล่าว โดยมีประธานองคมนตรีท่านปัจจุบันร่วมอยู่ด้วย ผมได้กราบทูลเรื่องราวอย่างค่อนข้างเป็นทางการ แต่ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมากนัก เมื่อกราบทูลจบ พระองค์ทรงยิ้ม มีพระราชดำรัสว่า “ให้เล่าใหม่ เอาจริงๆ เลย” ผมจึงกราบทูลใหม่โดยลงละเอียดอย่างไม่ตกแต่งให้เป็นทางการหรือสวยหรูอะไรอีก พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสถามเป็นระยะๆ บางคำถาม ผมซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่ก็ยังนึกไม่ถึง เมื่อผมเล่าถวายจบ ซึ่งใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว พระองค์ทรงยิ้มอีก และมีพระราชดำรัสว่า “ต้องอย่างนี้ซิ”

ในใจผมซาบซึ้งถึงพระเมตตา นึกอยู่ตลอดเวลาว่า พระองค์ทรงสนพระทัยทุกข์สุขของประชาชนและบ้านเมืองอย่างจัง และยังทรงมีพระปฏิภาณไหวพริบถึงขนาดนี้ ผมจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ทรุดตัวลงกราบแทบเบื้องพระบาทด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดี ในหลวง ร.10 ทรงมีพระราชดำรัสว่า “เขาเป็นองค์รักษ์ของฉันด้วย”

ยังมีอีกหลายเรื่องที่บอกได้ว่า ในหลวงของเรา เป็นเสาหลักค้ำจุนชาติสืบเนื่องต่อกันมาจากบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ ได้อย่างสมบูรณ์

ซึ่งจะขอนำมาเล่าให้อ่านกันอีกในปลายเดือนกรกฎาคม ปีหน้าครับ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

'พล.ท.นันทเดช' เผย 6 เหตุผล 'ก้าวไกล' จะตายสิบเกิดแสนได้จริงไหม? ชี้!! หากเป็นสมัยลุงตู่อาจเป็นไปได้ เพราะท่านสนแต่พัฒนาประเทศชาติ

(8 ก.พ.67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ก้าวไกล จะตายสิบเกิดแสนได้จริงไหม

ความฝันของแกนนำก้าวไกลหลังจากถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดแล้ว ก็ออกมาปลอบใจสาวกว่า ‘จะตายสิบเกิดแสน’ นั้น ถ้าสมัยรัฐบาลลุงตู่คงอาจเป็นไปได้ เพราะลุงแกเป็นคนดีไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครตั้งหน้าตั้้งตาพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจจนมาอยู่ลำดับ 1 ในอาเชียนแล้ว แต่ก็ต้องพลาดเรื่องการจัดการปัญหาทางสังคมไปบ้าง ก้าวไกลจึงใช้โอกาสนั้นเข้ามาแทรกแซงครอบงำเด็กๆ ได้ค่อนข้างมาก โดยมีอบายมุข (เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า และ SEX ) มาช่วย จนแพร่กะจายได้อย่างสะดวก แต่ในรัฐบาลชุดนี้ คงเป็นไปได้ยากหน่อย เพราะ

1️.จุดที่เด็กๆ จะกลายเป็นพวก 3 นิ้ว ส่วนใหญ่แล้วมาจากการมั่วสุมในเรื่องสุรนารี แต่ปัจจุบันก็ถูกคุณอนุทิน (รมว. มท.) บุกทำลายสถานที่กินเหล้า ที่เปิดให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์ แอบเข้าบาร์ หรือผับโต้รุ่งเหล่านี้ไปถึง 6 แห่งแล้ว บางแห่งมีคนมั่วสุมเกือบ 2000 คน มีเด็กต่ำกว่า 18 ปีร่วม 800 คน ก็มี และยังเป็นการทำลายอย่างต่อเนื่องแบบที่กระทรวงมหาดไทยชุดเดิม ไม่เคยทำมาก่อนเลย ผับ- บาร์เหล่านี้คือ ตัวสร้าง ‘เด็ก 3 นิ้วขึ้นมา’ เป็นจำนวนมาก จึงเริ่มหายไป

2.แบบเรียนของ ศธ.ที่ออกมาใช้ในสมัยก่อน ถูกควบคุมดูแล โดยนักวิชาการที่เลือกข้าง นอกจากไม่เสริมสร้างกระบวนการคิดแล้ว เรื่องที่เด็กควรรู้ควรเข้าใจก็ขาดหายไป ซึ่งปัจจุบัน ทาง ศธ.ก็ตื่นตัวออกมาเริ่มจะแก้ไขแล้ว

3.ในสถาบันการศึกษา ซึ่งกลุ่มอาจารย์บ้าคลั่งลัทธิ พยายามสอนและออกข้อสอบให้เด็กจำเป็นต้องตอบข้อสอบตามที่อาจารย์ต้องการนั้น เด็กส่วนใหญ่ก็เริ่มรู้ทันแล้ว ยังมีเจ้าหน้ารัฐ ที่แอบเข้าไปฟังอีก ก็ไม่สะดวกนักในการปลุกระดม อาจจะเสี่ยงคุกได้ เพราะอาจารย์พวกนี้เก่งแต่จะส่งเด็กไปติดคุกแทน ส่วนตัวเองยุๆๆๆเด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาตัวให้รอด เพื่อคอยแต่จะสมัครเป็นอธิการบดี หวังรวยกันทั้งนั้น (คงต้องถามต่อว่า มหาวิทยาลัยเหล่านั้น มีกระบวนการคัดกรองอาจารย์ผู้สอนอย่างไรด้วย)

4.ส่วนอาจารย์แก่ๆ กลุ่มหนึ่ง แต่ยังมีกิเลสอยู่ คอยยุยงเด็กๆ อยู่นอกมหาวิทยาลัยนั้น ก็เริ่มแพ้ภัยตัวเองไปตามๆ กัน อย่าให้พูดถึงว่าแพ้อย่างไรเลยครับ

5.คนของพรรคการเมืองหลายแห่งเริ่มตื่นตัวต่อการรุกในพื้นที่ชนบทของก้าวไกล และมูลนิธิก้าวหน้า ซึ่งมูลนิธินี้ก็แปลก ดันไปทำหน้าที่ เหมือนกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นมูลนิธิ (ฝากคุณอนุทินเข้าไปดูด้วยครับ) เพราะ กกต.ก็คุมไม่ได้ ถ้า มท.ลงไปดูแล การเข้าไปปลุกระดมในพื้นที่ของก้าวไกลก็จะยากขึ้น

6.ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มรู้กันบ้างแล้วว่า พรรคอะไรโกหกได้ติดต่อกันเกือบทุกวัน ขนาดมีคนตั้งเพจ ชื่อว่า ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ เด็กตามสถาบันการศึกษาหลายแห่งก็เริ่มตื่นตัว ถ้าไม่มีเหล้า ยา และ SEX แล้ว ก้าวไกลก็ไม่ค่อยจะมีอะไรหรอกครับ

ข้อสรุป : ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบก้าวไกลเพิ่มขึ้นหรอกครับ แต่เป็นเพียงพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ยังห่วงเรื่องผลประโยชน์ จนทิ้งพื้นที่ไป ที่หาเสียงอยู่ก็หาเสียงแบบโบราณมาก เช่น งานศพก็เอาหรีดราคาถูกให้ตัวแทนเอาไปวาง จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนเวลาวันเกิด หรือพาหัวคะแนนไปเที่ยวทะเล ฯลฯ

ความล้าหลังของวิธีหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลน่ะ

ล้าหลังเอามากๆ จริงๆ ครับ ถ้าพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ตื่นตัว จริงๆ ก้าวไกลก็ไปได้ไม่กี่ก้าวหรอกครับ อยากมากก็ตายสิบ เกิดสิบ เท่านั้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top