Saturday, 11 May 2024
ท่อนHookการเมือง

สเตป!! ธุรกิจเพลงไทย ในจังหวะที่ไม่พ้นเงื้อมมือนักฟอกเงิน ผลงานถี่-มีแต่เพลงไร้คุณภาพ-ไม่ถูกจดจำ-ปิดตัวแยกย้าย

ถ้านับย้อนกลับไปสัก 15-20 ปีก่อน ฉากหลังของ ‘นักธุรกิจสีเทา’ หรือ ‘มาเฟียต่างชาติ’ ที่ซุกตัวทำมาหากินอยู่ในเมืองไทยมานาน มักจะสร้างเงินได้มหาศาลจากการค้ามนุษย์, ยาเสพติด และรถยนต์หรูนำเข้าแบบหนีภาษี โดยมีตำรวจ และนักการเมืองไทยขี้ฉ้อมีเอี่ยวตามเคย และการเปิด “ค่ายเพลงไทย” ในห้วงเวลานั้น ก็หนีไม่พ้นเป็นหนึ่งในวิธีบังหน้าเพื่อจะฟอกเงินให้ขาวใส เพราะด้วยการทำธุรกิจค่ายเพลงไทยในช่วงเวลาขาลง เป็นจังหวะเวลาที่ดูน่าเชื่อถือ และน่ายกย่องในสายตาสังคมที่สุด ประหนึ่งเป็นพ่อพระผู้ใจดี ที่แม้วงการเพลงไทยกำลังถอยหลังลงคลอง ความคึกคักเริ่มจะหดหายไป กลับมีคนรวยที่มีน้ำใจเดินเข้ามาหวังจะปลุกวงการเพลงไม่ให้เงียบสงัด

แต่ ‘ความน่าเชื่อถือขององค์กร’ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัย ‘คนที่น่าเชื่อถือ’ ในวงการเพลงมาออกหน้านั่งแท่นบริหารงาน คอยดีลทีมงาน ชวนศิลปินนักร้อง ดึงนักดนตรี เข้าสังกัด เพื่อมาช่วยกันสร้างผลงานเพลงที่มาจากการ ‘ถลุงเงินบาป’ แบบไม่อั้นในการผลิต 

เงินหนา ๆ ของผู้ลงทุนในคราบโจร เป็นที่หอมหวานของเหล่านักแต่งเพลงไส้แห้ง และโปรดิวเซอร์ทางดนตรีที่ไม่สนว่าจะได้เงินมาจากคนประเภทไหน รวมศิลปินนักร้องมีชื่อจำนวนหนึ่งที่อยากได้ค่าทำงานแพงลิบเพื่อจะยกระดับตัวเองโดยไม่เคยฉุกคิดว่า ที่เขาจ่ายในราคาสูงเกินจริง มันสมเหตุสมผลหรือไม่? ก็เลยทำให้เกิด ‘ค่ายเพลงจากนักฟอก’ ก่อตัวขึ้นไม่น้อยในสังคมดนตรีไทย เวลาเปิดค่ายจะแถลงข่าวใหญ่โต มีเหล่า ‘คนดังที่คิดน้อย’ แทบจะทุกวงการขึ้นเวทีไปยืนถ่ายรูปช่วยกันฟอกโจรด้วยความชื่นมื่น แต่เมื่อถึงคราวสังคมรู้ถึงกลิ่นที่ผิดปกติ ก็จะแอบปิดตัวไปแบบเงียบ ๆ ในเวลาเพียงปีสองปีเสมอ

ค่ายเพลงจากเงินเทาเหล่านี้ มักจะมีผลงานออกมาถี่ ๆ แต่มักจะเป็นผลงานเพลงที่ไร้คุณภาพ ไม่เป็นที่จดจำ หลังปิดตัวแยกย้ายกันไปไม่นานนักสังคมก็จะลืมทั้งชื่อค่าย และชื่อของศิลปินแต่ละเบอร์ที่เคยออกผลงานมา

แต่ถ้าพูดถึง 5-6 ปีที่ผ่านมาถึงชั่วโมงนี้ ‘กลุ่มทุนเทา’ คือผู้อยู่เบื้องหลัง ‘บ่อนพนันออนไลน์’ เป็นหลัก และแน่นอนยังคงเลี้ยงดูปูเสื่อนายตำรวจใหญ่ ๆ สายโฉด รวมถึงนักการเมืองสายดาร์กบางคน เพื่อการทำมาหารับประทานที่คล่องตัว ส่วนอีกหนึ่งวิธีที่ยังคงใช้ ‘ฟอกตัวตน’ ก็คือการดำเนินธุรกิจเพลงไทยเพื่อใช้เป็นฉากบังหน้าเหมือนเคย เพียงแต่ไม่ใช่วิธีเปิดค่ายเพลงทื่อ ๆ ตรง ๆ เหมือนแต่ก่อน ครั้งนี้หันไปใช้วิธีให้สังคมรู้จักในนาม ‘ผู้ห่วงใยวงการเพลง’ ประกาศจ่ายค่าทำเพลงในอัตราสูง ๆ เพื่อกระตุ้นให้คนทำงานเพลงทุกแขนงตื่นตาตื่นใจ ที่สุดปลาที่ว่ายไปงับเบ็ดธงที่โจรปักหลอกไว้ก็มีแต่คนหน้าตาเดิม ๆ 

ถ้าการเมืองไทยยังไม่ไปถึงไหน วงการเพลงไทยก็..ไม่ต่างกัน

เหตุไฉน!! นโยบายบางพรรคจากคนรุ่นใหม่ ไม่โดนใจทุกคน "ก็ใหญ่โตมาจากไหน ถึงมองสถาบันกษัตริย์ไทยไม่สำคัญล่ะ"

เด็กรุ่นใหม่ ๆ อายุยี่สิบต้น จนถึงสามสิบกลาง ๆ รวมถึงคนวัยใกล้ ๆ กันที่คิดต่างจากผมบางคน ชอบถามผมว่า เมื่อเห็นว่านโยบายของบางพรรคการเมืองที่มาจากคนรุ่นใหม่ดีถูกใจ ทำไมผมจึงยังไม่เลือกอยู่ดี ถามว่าทำไม? 

ผมมักตอบกลับไปยาว ๆ ว่า… 

การจะอ่านพฤติกรรมของนักการเมืองไทย ต้องอย่าดูแค่ ‘วาทกรรม’ แต่ต้องดู ‘พฤติกรรม’ ดูเจตนาลึก ๆ ที่ผ่าน ๆ มา ถ้าเราไม่ปัญญาเบา หรือมีอคติจนเกินไปก็จะมองออกได้ง่ายมาก ๆ พรรคการเมืองใดก็ตามที่ลึก ๆ กังขาสถาบันในเรื่องต่าง ๆ ไม่รู้สึกผูกพัน มองเป็นส่วนเกิน มองเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ มองไม่เห็นประโยชน์ จนถึงขั้นคิดล้มล้างทำลาย ก็จะแสดงออกถึงความเป็นปฏิปักษ์ให้สังคมเห็นในวิธีต่าง ๆ ส่วนคนที่จะเลือกพรรคการเมืองแบบนี้ ก็ต้องมีเหตุผลหนึ่งเหตุผลใดตรงกับ ‘แนวคิด’ หรือ ‘อุดมคติ’ ของพรรคการเมืองแบบนี้เท่านั้น 

แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยที่เลือก บางส่วนก็กลัวคนอื่นจะล่วงรู้ว่าตนเองก็แอบไม่เอาสถาบัน ไม่ได้นึกถึงว่าตนเองเกิด และเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทยนี้ได้อย่างร่มเย็น ผาสุข ส่วนสำคัญก็มาจากสถาบันกษัตริย์ไทย 

คำว่า ‘สถาบันกษัตริย์’ หาใช่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่คือราก คือแก่น คือความสำคัญอันดับต้นในความเป็นชาติตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ด้วยบรรพบุรุษของกษัตริย์ กับคนไทยผู้หวงแหนแผ่นดิน ร่วมกันสร้างชาติจนเป็นชาติ ทำให้คนรุ่นต่อ ๆ มามีแผ่นดินอาศัย มีเอกราช มีเสรี มีความภูมิใจ ทำให้คนไทยที่คิดดีไม่กล้าคิดเนรคุณ หรือหลงลืมบุญคุณ ‘ชาติกษัตริย์ไทย’ เพราะจะมีความเชื่อคล้าย ๆ กันว่า คนที่คิดร้ายทำลายชาติ คิดเนรคุณแผ่นดินเกิดของตนเอง ย่อมนำเคราะห์ร้าย นำความหายนะมาสู่ชีวิตของตนเองในไม่ช้าก็เร็ว

แม้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของเหล่าคนรักสถาบันชาติกษัตริย์ไทย แต่ที่ผ่านมาก็มีฉายโชว์ให้เห็นจุดจบของคนคิดล้มล้างทำลายมาโดยตลอด 

ผมเกลียดนักการเมืองน้ำเน่า เกลียดการคอร์รัปชันโกงกินทุกรูปแบบ และฝันอยากได้นักการเมืองรุ่นใหม่ที่คิดดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนคนไทยโดยแท้จริง แต่ที่เห็นและมีอยู่ยังไม่เฉียดใกล้มาตรฐานของคนไทยที่รักสถาบันจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย ผมอายตัวเอง ถ้าต้องได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่สนับสนุนการกัดเซาะ ล้มล้าง ทำลายสถาบันเบื้องสูงของตัวเอง เพราะสำหรับผม สถาบันคือความมั่นคงที่คนไทยต้องปกป้อง..รักษา ไม่ใช่สิ่งที่เสมอเทียมคนปกติแบบเรา ๆ

ผมคิดแบบนี้ เขาคิดแบบนั้น ผมและเขาเราจึงคุยกันไม่รู้เรื่อง 

10 นิสัยสุดย้อนแย้ง!! ผู้อ้างความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ สร้างภาพให้สังคมตายใจ เผลอเมื่อไรไปซบเชียร์พรรคล้มเจ้า

ผมลองสังเกตดูสังคมไทย ลงลึกไปถึงสังคมคนรอบ ๆ ตัวของผมในวงการต่าง ๆ ที่ผมมีโอกาสเข้าไปสัมผัส ไม่เว้นกระทั่ง ‘วงการเพลง’ ที่ผมรัก เริ่มตั้งแต่สังคมไทยมีพรรคการเมืองที่ ‘ย้อนแย้ง’, ‘กลิ้งกลอก’, ‘ปลิ้นปล้อน’ และเดินหน้า ‘ล้มล้างสถาบัน’ อย่างจริงจังโผล่ขึ้นมาให้เห็น แม้จะเกิดแรงสั่นสะเทือนอันจอมปลอม แต่ก็ยังสามารถกระเทาะเปลือกสำนึกอันดีงามของผู้คนจำนวนหนึ่งให้หลุดออกได้อย่างง่ายดาย จนเผยให้เห็นแก่นความนึกคิดที่แท้จริงของคนเหล่านี้ชัดเจน 

ขอยกเพียงแค่ประเด็น ‘ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ไทย’ ของคนไทย ‘นิสัยย้อนแย้ง’ มาเพียง 10 ตัวอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้เปลือยให้เห็น ‘นิสัยที่แท้จริง’ ของคนได้ดีที่สุด

1. เหล่าเซเลบริตี้จำนวนหนึ่ง ออกงานอีเวนต์มักเลือกหยิบบทเพลงพระราชนิพนธ์ไปร้องโชว์ นักร้องอัดเสียงร้องเพลง ดาราแสดหนัง ละคร ที่เกี่ยวสถาบันกษัตริย์ เพื่อสร้างชื่อเสียง หรือเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบอาชีพจนได้รับผลลัพธ์ที่ดีในชีวิต แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

2. ได้รับทุนการศึกษาพระราชทาน จาก ร.9 หรือ ร.10 รวมถึงได้เข้าศึกษา ณ โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งโดยพระมหากษัตริย์ไทย แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

3. พูดออกตัวว่าจงรักภักดีต่อสถาบัน จนได้รับโอกาสเป็นผู้จัดกิจกรรมทางดนตรีที่เกี่ยวกับ ‘บทเพลงของพ่อ’ ทำให้มีผู้คนจดจำภาพลักษณ์ที่ดีงาม แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’ 

4. ใส่เสื้อสีเหลือง พร้อมโพสต์ข้อความในเชิงว่า ‘รักในหลวง’ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่บ่อยครั้งให้สังคมเห็น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

5. อาศัยใช้นามสกุลพระราชทานที่ใช้ต่อ ๆ กันมาจากต้นตระกูลต่อท้ายชื่อของตนเอง แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

6. แต่งชุดดำ ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อปลายปี 2559 แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

7. ที่บ้าน ที่ทำงาน ติดรูปในหลวงที่ข้างฝาห้องอย่างโดดเด่น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

8. ปากบอกรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และจะจงรักภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะได้ที่นา ที่ดินทำสวน ทำไร่ จากโครงการของในหลวงจนชีวิตพลิกฟื้น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

9. ห้อยพระคล้องคอที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับในหลวง มีความผูกพันเชื่อมโยงถึงที่มา ความรัก พลังใจ จุดมุ่งหมาย คำสั่งสอน และการดำรงไว้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

10. ต้นตระกูลเป็นคนต่างถิ่น ต่างด้าว ต่างเชื้อชาติ ต่างดินแดน เดินทางมาพึ่งแผ่นดินทองของพระมหากษัตริย์ไทย ได้รับความเมตตากรุณาให้มีที่อาศัย ทำกิน จนมีชีวิตที่มั่งคั่ง ร่ำรวย แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

ห้วงเวลานี้ ถือเป็นเวลาที่คนรอบตัวจะถูกกระเทาะเปลือก จนเปลือยให้เห็นมิติที่ลึกกว่าที่เคย สิ่งที่อาจจะยังไม่แน่ใจในใครสักคนในเรื่องตรรกะ, วิธีคิด และแก่นแท้ของสำนึก ก็จะได้รับคำตอบที่ชัดเจน ดูคนให้ดูห้วงเวลานี้จะเห็นนิสัยของคนชัดที่สุด 

ลองหันไปสำรวจดูว่า รอบ ๆ ตัวคุณ มีคนที่คล้าย ๆ ใน 10 ข้อนี้กี่คน?

ห่างได้ ห่างเลย รับประกันว่าชีวิตดี

ลุ่มหลง สันดาน อคติ วิธีคิด ความเชื่อ ‘คนใน 14 ล้าน’ VS ‘คนนอก 14 ล้าน’

14 ล้านเสียง ส่วนลึกอาจจะเกลียดสถาบันกษัตริย์ และอยากให้ล้มล้าง ทำลาย เพื่อไปสู่การปกครองแบบอื่น แต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ได้แต่แอบๆ แฝงตัวกลมกลืนไปกับสังคมแบบเนียนๆ จึงเลือก ‘พรรคล้ม 112’ ให้มาทำหน้าที่แทน แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาอยากให้ดำรงสถาบันฯ ไว้ ด้วยความรัก และศรัทธา

14 ล้านเสียง บางคนอาจจะรักสถาบันฯ แต่ก็ ‘เบาปัญญา’ และ ‘ตื้นเขิน’ จนดูไม่ออกสักนิดเลยว่าได้เลือกกลุ่มคนที่คิด ‘ล้มล้างสถาบัน’ ที่ตนเองรักเข้ามา ผ่านความปลิ้นปล้อน กะล่อน กลิ้งกลอก และซ่อนเร้น แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาดูออก วิเคราะห์ขาด และมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อประชาชน และประเทศชาติของเรา

14 ล้านเสียง อาจจะไม่คิดว่าสถาบันฯ มีความเกี่ยวข้อง และมีคุณค่าต่อคนไทยเราทุกคน แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ ส่วนใหญ่ เขากลับคิดว่าคนไทยทุกคนต่างเป็น ‘หนี้บุญคุณ’ สถาบันกษัตริย์ จึงรู้สึกซาบซึ้ง และภูมิใจที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

14 ล้านเสียง ที่เคยบอกรักในหลวง และร้องห่มร้องไห้ตอนปลายปี 2559 แต่ก็เลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ ให้เข้ามา จึงดูเป็นคนย้อนแย้ง ไม่จริงใจ ไม่น่าคบค้าสมาคม แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาจะไม่มีทางหันมอง หรือสนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’ และเห็นแน่ชัดว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อสังคมไทย

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้แก้กฎหมายหมิ่นบุคคลธรรมดาให้โทษเบาลง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาไม่เห็นด้วย และคิดว่าสังคมไทยจะวุ่นวายมากขึ้น ต่อ ๆ ไปคนเราจะด่ากัน หมิ่นประมาทกันได้รายวัน และรอดพ้นความผิดเพียงแค่มีเงิน

14 ล้านเสียง อาจจะเลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ เพราะเชื่อว่านโยบายต่างๆ จะทำได้จริง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาไม่โง่เชื่อแบบนั้น เพราะไม่มีทางที่นโยบายที่ดี ถ้าตกอยู่ในมือของคนที่โกหกเป็นอาชีพ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้ ดังวลีที่ว่า ‘คนโกหกไม่ทำชั่วนั้นไม่มี’

14 ล้านเสียง จำนวนไม่น้อย อาจจะเลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ เพราะตามเพื่อน ตามลูก ตามผัว หรือตามกระแสสังคมที่ตื่นเต้นไปกับสิ่งใหม่ โดยที่ไม่คิดศึกษา ลงลึก ใส่ใจวิเคราะห์อย่างละเอียด ที่สุดก็ปล่อยให้ ‘พรรคล้มสถาบัน’ เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับสังคมไทย และตนเองก็ไม่มาใส่ใจดูแล หรือสำนึกผิด แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาศึกษามาดี และเสียสละเวลาในชีวิตคอยอยู่รับมือ คอยตั้งรับ คอยปกป้อง คอยต่อสู้ในสิ่งที่เขาไม่ได้เลือกอย่างกล้าหาญ และไม่เคยกลัวว่าชีวิตจะมีปัญหา

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้ ‘พรรคล้ม 112’ ที่ตนเองเลือก ทำการล้างสมองเยาวชนของชาติ ให้ไปขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว หลอกเด็ก ๆ ให้ไปทำในเรื่องที่ทำลายวัฒนธรรมอันดีงาม ทำสิ่งที่ขัดต่อกติกาสังคม และออกหน้าแทนในที่ชุมนุมเพื่อ ‘ล้ม 112’ แต่ ‘คนนอก14 ล้าน’ เขาสงสาร และเป็นห่วงเด็กๆ ที่ยังอ่อนเดียงสา ด้วยเด็กๆ ไม่มีทางรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของ ‘นักการเมืองใจอำมหิต’ และสุดแสนจะ ‘ขี้ขลาด’ เหล่านี้ จึงถือว่าเป็น ‘กลุ่มนักการเมืองรุ่นใหม่’ ที่มีจิตใจต่ำ และไร้ความจริงใจต่อคนร่วมชาติอย่างไม่น่าให้อภัย

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้ ‘พรรคล้มเจ้า’ รับเงินจากชาติตะวันตก มาทำลายประเทศไทยของตัวเอง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขารู้เท่าทัน และพร้อมจะปกป้องประเทศไทยของเขาเท่าชีวิต

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้มีการแบ่งแยกดินแดนไทย และอาจจะหลงลืมเลือดเนื้อของบรรพบุรุษที่สละแลกเพื่อมาให้แผ่นดินไทยดำรงอยู่ แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขามีสามัญสำนึก เขาไม่เคยลืม ยังคงเดินหน้าปกป้อง รักษาไว้ดังเดิม ไม่ปล่อยให้คนโฉดชั่วมากัดเซาะทำลาย ด้วยเขารักแผ่นดินชาติ เกินกว่าจะแยกขาดออกจากกันได้

คนใน 14 ล้าน กับ เรา จึงต่างใจกันมาก

ส่วนตัวผมจึงไม่ศรัทธา ‘คนไทยหัวใจอุบาทว์’ เช่นนี้

เผยธาตุแท้!! 'หัวขบวนส้ม' แค่แซะ 'นักโทษเทวดา' ยังไม่กล้า สะท้อน!! 'ธร-บุตร-ช่อ-โรจน์-ไอซ์-โรม-ทิม' เป็นได้แค่นักล่าเรตติง

ในที่สุดสังคมไทยก็ได้เห็นธาตุแท้ของ 'พรรคล้มสถาบัน' อย่างชัดเจนแล้วว่า แนวคิดที่บอกจะ 'สู้เพื่อความเหลื่อมล้ำ' เป็นเพียงลมปากเหม็น ๆ ของกลุ่มคนที่ไม่เคยเฉียดใกล้คำว่า 'อุดมการณ์' เลยแม้แต่น้อย 

ที่ผ่านมาก็แค่หลอกเด็กที่คิดไม่เป็น หรือคนที่ต้องการที่ยืนเท่ ๆ ทางสังคมให้ออกมาสู้รบแทน เพื่อหวังผลในทางการเมือง คอยปลุกปั่น หลอกต้มชีวิตคนด้วยวาทกรรมที่ว่า "เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วเราทุกคนควรมีปากมีเสียงโดยเท่าเทียม ไม่ใช่มีเฉพาะแค่คนเบื้องสูง หรือผู้มีอำนาจ" จนทำให้เด็กและผู้ใหญ่ที่ขาดความเฉลียว โดนคดี '112' มากจนนับไม่ไหวเป็นประวัติการณ์

เรียกว่าเป็น 'ขบวนการ' หลอกเด็ก ต้มผู้ใหญ่ที่ไร้ความลุ่มลึก หรือมีปมในชีวิต ให้หลงเชื่อได้ไม่น้อย จนคนเหล่านี้พากันเดิน 'ชูสามนิ้วโง่ ๆ' ไปติดกับดัก ยอมศิโรราบเป็น 'ทาสส้ม' คอยส่งเสียงเชียร์ สนับสนุน เห็นดีงามกับทุกเรื่องอย่างคนเสียสติ เพียงแค่ 'หัวส้ม' กระดิกตีนชี้ 

นโยบายหลังบ้านที่แอบหลอกใช้ 'มวลชนผู้โง่เขลา' ให้ออกมามาโดนคดีแทน เพื่อจะใช้ภาพการถูกจับดำเนินคดี 112 ของแต่ละคน กระพือให้สังคมเห็นภาพ 'ความเหลื่อมล้ำ' อย่างต่อเนื่อง ข้างนอกก็หลอกใช้เด็ก ๆ ตายแทน ข้างในสภาก็ใช้สนับสนุน สส. ที่ไร้มารยาท และน่ากังขาในเรื่องจริยธรรมบางคน ผสมโรงร่วมมือผลักดันให้ไปใน 'ทิศทางบาป' เดียวกัน 

แต่นับตั้งแต่ 'นักโทษเทวดา' กลับไทยมานอนนอกคุก ก็ไม่เคยมีเสียงทักท้วง ประท้วง หรือคำพูดที่ถามหา 'ความเท่าเทียม' จากคนใน 'พรรคล้มสถาบัน' เลยสักคนเดียว ต่างพากัน 'เงียบปากสนิท'

แม้แต่ 'ทาสส้ม' ที่คิดว่าอาจจะยอมกลับเนื้อกลับตัวเมื่อเห็นกรณีผิดปกตินี้ ก็น้อยถึงน้อยมากที่จะมีโผล่มาให้เห็นว่ามี 'สติปัญญา' และมี 'ดวงตาเห็นธรรม' สักคน ราวกับถูกสะกดด้วย 'น้ำมันพรายส้ม' จนจิตวิญญาณของความเป็นคนหล่นหายไปในนรกจนหมดสิ้น 

นี่น่ะหรือพรรคที่ว่ามาจาก 'คนรุ่นใหม่' นี่น่ะหรือที่บอกว่าจะมาเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดี ให้กลายกลับเป็นสิ่งที่ดี เช่นสิ่งใดที่เหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมในสังคมไทย พรรคส้มจะทำให้หายเกลี้ยง แต่แค่ 'อดีตนายกฯ หนีคดี' ที่กลับมาเป็น 'นักโทษเทวดา' เห็นอยู่ทนโท่ทุกวัน ยังไม่กล้าปริปาก...ทักท้วง

ก็จึงเป็นได้แค่พรรคกลิ้งกลอก กระจอก กิ๊กก๊อก สู้เพื่อ 'ความเหลื่อมล้ำจอมปลอม' หากินกับการหลอกต้มคนโง่ไปวัน ๆ เท่านั้นเอง

น่าเศร้า!! 22 เสียง โหวตไม่ขับ สส. คุกคามทางเพศออกจากพรรค สะท้อน!! ระดับ ‘จริยธรรม-คุณธรรม’ สส. อันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

สิ่งที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่าการมี สส. คุกคามทางเพศเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ก็คือมี สส. มากถึง 22 คน ที่โหวตให้ สส. ที่คุกคามทางเพศไม่ต้องถูกขับออกจากพรรค สะท้อนให้เห็นมาตรฐานทาง 'จริยธรรม' และ 'คุณธรรม' ของ สส. พรรคดังกล่าวที่สุดแสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน 

คนที่จะอาสามาเป็น สส. หรือ 'สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' ถ้าอยากให้สังคมประเทศนั้น ๆ เจริญแบบยั่งยืน จำเป็นมากที่ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีความชอบธรรมในหัวใจ ต้องมีแนวในการดำรงชีวิตที่ไม่เอนเอียง หวั่นไหว หรือด่างพร้อยไปในทางเสียหาย เรียกว่าต้องมีมาตรฐานที่สูงกว่าคนธรรมดาสามัญแบบเรา 

นั่นเพราะประชาชนช่วยกันเลือกให้เข้ามา 'เป็นปากเป็นเสียง' แทนเขา ซ้ำยังกินเงินเดือนที่มาจาก 'เงินภาษีของประชาชน' ทั้งยังได้รับสิทธิพิเศษ และโอกาสทางสังคมอื่น ๆ อีกมากมาย 

ฉะนั้นถ้า สส. ผู้ทรงเกียรติ กลายมาเป็น 'โจรบ้ากาม' เสียเอง แล้วประชาชนจะมี สส. ไว้ทำไม?

การคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment แม้จะแบ่งออกเป็นหลายระดับ เริ่มจากเบาไปหาหนัก และการรับโทษก็มีระดับที่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น 'ตัวแทนของประชาชน' จะทำได้ 

หน้าที่ของพวกท่านจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องคงไว้ซึ่งกฎกติกา เพื่อเกียรติยศ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อความน่าเชื่อถือ ซึ่งล้วนถือสิ่งที่ สส. ทุกคนที่เข้ามารับหน้าที่พึงตระหนักไว้ว่า ตนเองคือ ผู้สร้างสิ่งที่ดีงามให้กับผู้คน ไม่ใช่ผู้ทำร้าย ทำลาย ทั้งร่างกาย จิตใจ หรือชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งให้ต้องตายทั้งเป็น 

อย่างไรก็ตาม แค่ได้เห็น สส. คุกคามทางเพศเกิดขึ้นในสังคมไทย ก็ถือว่าหนักหนา จนประชาชนผู้อ่อนต่อโลกย่อมรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยแล้ว สิ่งที่แย่ และน่าสะเทือนใจยิ่งกว่าก็คือมีเพื่อน สส. ในพรรคการเมืองเดียวกันมากถึง 22 คน โหวตให้ไม่ต้องขับ สส. คนดังกล่าวออกจากพรรค 

จุดนี้เปลือยให้เห็นถึงรสนิยมการใช้ชีวิต และวิธีคิดที่เป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างมาก 

แทนที่จะหันมาดูแลปกป้องเหยื่อ กลับไปโหวตสนับสนุนคนผิด นี่น่ะหรือที่มักประกาศบอกต่อชาวโลกว่าเป็นพรรคการเมืองที่มาจากแนวคิดของคนรุ่นใหม่ เข้ามาเพื่อจะมาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เลวร้ายไปสู่สิ่งที่ดี ๆ

หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าล้มล้างสถาบัน หลอกใช้เด็ก ๆ ให้ไปติดคุกในคดี 112 แทน กลิ้งกลอก ย้อนแย้ง ตลบตะแลง ไม่จริงใจ สู้เพื่อความเท่าเทียมอันจอมปลอม ยังไม่พอ มาวันนี้ยังสนับสนุนให้ 'สส. หื่น' ได้เชิดชูเป็น สส. ของพรรคต่อไป

ขอฝาก สส. คนที่ได้ไปต่อว่า หลังจากวันนี้ถ้าอาการ 'หื่นสาว' ยังไม่หมดหายไปจากจิตใต้สำนึก แนะนำให้ไปขอผู้หญิงของ สส. 22 คนที่โหวตให้คุณรอดมาเป็น 'เหยื่ออารมณ์' 

ลองถามเขาดูว่ามีเมีย มีน้องสาว หรือลูกสาว ที่พอจะให้คุณ 'คุกคามทางเพศ' แก้เหงาได้ไหม เชื่อว่าน่าจะมีส่งมาให้คุณแก้ขัดในห้วงเวลาก่อนที่ชื่อเสียงของคุณจะตายสนิทไปจากสังคมไทย 

อ้อ!! อย่าลืมโค้งคำนับเขากลับถี่ ๆ ด้วยล่ะ รับรองว่าเขาจะไม่ว่าอะไร เพราะการที่เขาแสดงออกถึงการโหวตสนับสนุนคุณ มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเขาชอบในสิ่งที่คุณทำไม่ดีกับเหยื่อคนอื่น...

คงคิดไม่ต่างกัน!!

รวมพฤติกรรม 'น่ารังเกียจ' ของ สส. แบบโนสต็อป จากพรรคการเมืองที่อ้างตัวว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' 

ป่าวประกาศบอกสังคมว่าเป็นพรรคการเมืองที่มาจาก 'คนรุ่นใหม่' ยกตนข่มท่านว่าเป็นคนดี แต่เพียงไม่กี่เดือนที่ได้เข้ามาเป็น สส. กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ก็ทำเรื่องน่ารังเกียจ และสร้างความเสื่อมต่ำให้กับ 'คนอาชีพนักการเมือง' ไม่ใช่น้อย

- ประเดิมด้วย สส. เมาแล้วขับ แรกเลยไม่ยอมเป่า แต่สุดท้ายก็ยอมลาออก 

- อดีต สส. เขต 3 ระยอง มีพฤติกรรมฉาวโฉ่เคยติดคุกคดีวิ่งราวทรัพย์ ขาดคุณสมบัติเต็มๆ แต่พรรคกลับปล่อยผ่านคุณสมบัติเช่นนี้ ให้เข้ามากินเงินเดือนจากภาษีประชาชน ที่สุดก็ต้องลาออก 

- อดีตผู้สมัคร สส. ชัยภูมิ ข่มขืน คุกคามทางเพศ  

- สส. พิษณุโลก ไม่ยอมลาออกจากการเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร การออกจากพรรคเดิมเพื่อไปเข้าสังกัดกับพรรคใหม่ เป็นแผนแค่ไม่อยากเสียเก้าอี้รองประธานสภา เป็นปาหี่ที่สังคมดูออกว่าไร้ความจริงใจ และไร้สามัญสำนึก

- สส. ปราจีนบุรี คุกคามทางเพศผู้ช่วยหาเสียง ถูกโหวตให้ขับออกจากพรรค และตามมาติด ๆ ในเวลาทับ ๆ กันก็คือ สส. กรุงเทพมหานคร ล่วงละเมิด คุกคามทางเพศ แต่ไม่กล้าพูดยอมรับผิดด้วยความจริงใจ ซ้ำยังเปิดเผยเหยื่อให้สังคมรับรู้ ที่สุดก็ถูกพรรคขับออก 

- 22 สส. ในพรรค โหวตสนับสนุน สส. ที่คุกคามทางเพศไม่ต้องถูกขับออก แต่หัวหน้าพรรคยืนยันปกปิดชื่อ สส. 22 คนดังกล่าวไม่ให้สังคมรับรู้ เป็นการแสดงความย้อนแย้งกับสิ่งที่ตนเองเคยประกาศไว้ว่า พรรคการเมืองควรมีความจริงใจ กล้าหาญในการเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้ 

- สส. กรุงเทพมหานคร ใช้ความรุนแรงเข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรง แต่โดนแค่คาดโทษไว้

- สส. บางคนจากจังหวัด เชียงใหม่ ถูกร้องเรียนว่าปลอมลายมือชื่อผู้ช่วยหาเสียง เบิกเงินค่าใช้จ่ายจาก กกต. แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ฝ่ายที่กล่าวหามีหลักฐาน

- ผู้ช่วย สส. บัญชีรายชื่อ ถูกร้องเรียนว่าเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการบ่อขยะ จังหวัด ปราจีนบุรี 3.5 ล้านบาท อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง 

- ผู้ช่วย สส. จังหวัด จันทบุรี บังคับให้ ผอ.โรงเรียน จังหวัด จันทบุรี ออกใบอนุโมทนาการบริจาคเงิน แต่ไม่มีการบริจาคจริง อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ความฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้นติด ๆ กันยาวเป็นหางว่าว ได้ทำลายสถิติในเรื่องความ 'เน่าเหม็น' ชนะทุกพรรคการเมืองในโลกไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ยังไม่นับพฤติกรรมเก่า ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการ 'ล้างสมองเด็ก' ให้แสดงออกในเรื่องการกัดเซาะสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่รักของคนไทย จนเด็ก ๆ โดนคดี 112 นับไม่ถ้วน 

แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ยังหลงเชียร์ หลงสนับสนุนชนิดไม่ลืมหูลืมตา 

ความต่างระหว่าง 'คนมิรู้คุณคน' กับ 'คนรู้คุณคน'  ในวันที่ผู้ให้แผ่นดิน 'อาศัย-ทำกิน' ถูกเนรคุณ

ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นลูกเจ๊ก ลูกฝรั่ง ลูกมอญ ลูกแขก หากได้เกิดบนผืนแผ่นดินไทย มีสัญชาติไทย และมีสามัญสำนึกของความเป็นคน ย่อมจะมีความกตัญญูต่อชาติ ต่อสถาบันกษัตริย์ ต้องรู้สึกหวงแหน ปกปักรักษา และมักจะคิดเสมอว่า "ตนเองนั้นเกิดจนเติบโตมาได้ ก็ล้วนเป็นหนี้บุญคุณของสถาบันกษัตริย์อย่างหนีไม่พ้น"

ด้วยสถาบันกษัตริย์ก็เปรียบเสมือน 'ต้นไม้ใหญ่' ของคนไทยทุกคน คอยให้ร่มเงา มอบความร่มรื่น ป้องแดดฝนพายุร้าย ให้ผู้อาศัยเย็นกายสบายใจ ปลอดอันตรายจากภัยรอบตัวทั้งปวง นี่คือความพิเศษที่หาไม่ได้จากประเทศอื่นใดในโลก

แล้วคนไทยแท้ ๆ ที่เกิดและเติบโตมาได้บนผืนแผ่นดินไทย คอยเดินหน้ากัดเซาะ จาบจ้วง ทำร้าย ทำลาย หรือพูดจาเหยียดหยามดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ถามว่าคนเช่นนี้เป็นคนไทยแบบไหนกัน? 

นักร้องบางคน ได้แสดงพฤติกรรมไม่ต่างจาก 'วัวลืมตีน' เล่นดึงฟ้าลงมาต่ำ เผยให้เห็น 'ธาตุแท้' ที่ซ่อนหลบอยู่ในหัวจิตหัวใจ ตอกย้ำอีกครั้งว่าการเป็นคนมีเงินและโด่งดัง ไม่ได้หมายความว่าจะมีสามัญสำนึกของความเป็นคนเสมอไป 

สำหรับนักร้องพฤติกรรมหยาบคนดังกล่าว คำว่าต่ำก็ยังดูสูงกว่ามาก!!

ผม หรือผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย วันนี้มีอายุแตะเลขห้ากันแล้ว ก็ใช่ว่าจะตอบแทนบุญคุณของ 'บูรพกษัตริย์ไทย' ได้หมด ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้ผมไปเลือกพรรคการเมืองที่เดินหน้า 'ล้มล้างสถาบัน' ถ้าจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องเหตุผลเดียวคือผม 'ไม่ใช่คน'

คนอื่นคิดอย่างไรผมไม่ทราบ สำหรับผมขอคิดเช่นนี้ เพราะผม ครอบครัวผม ต้นตระกูลของผม มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ยากไร้ หนีร้อนมาพึ่งพาอาศัยแผ่นดินของ 'พระเจ้าแผ่นดินไทย' ผมจึงถูกปลูกฝังว่าทั้งโคตรเหง้าของผมล้วนเป็นหนี้บุญคุณสถาบันฯ

ผมเป็นคนเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ กลัวกฎแห่งกรรม กลัวผลแห่งการเป็นคนเนรคุณ กลัวจะทำมาหากินไม่เจริญ กลัวชีวิตต้องพานพบกับความวิบัติฉิบหาย ที่สำคัญผมกลัวจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่เนรคุณต่อชาติแผ่นดินของตัวเอง การแสดงความเคารพ รัก ศรัทธา และกตัญญูต่อสถาบันฯ จึงไม่เคยเลือนหายไปจากชีวิตจิตใจของผมเลย 

คุณลองคิดดูสิ ถ้าขนาดคนที่ให้แผ่นดินอาศัยและทำกิน เรายังเนรคุณ แล้วจะมีใครคนไหนกล้ามอบความจริงใจให้กับเรา  

เปิดมาตรฐาน 'นักการเมืองส้ม' ผิดเท่าไร ก็ไม่ต้องแคร์ ขอแค่ 14 ล้านแฟนพันธุ์แท้ ยังรัก ยังเชียร์ แบบไม่ลืมหูลืมตา

สมัยก่อน เวลาที่นักการเมืองไทยสักคนถูกจับได้ว่าโกหก หรือทำผิดพลาดอะไรสักอย่าง ก็ถือว่าน้อยถึงน้อยมากอยู่แล้วที่จะมีสักคนกล้าหาญออกมายอมรับผิด พูดขอโทษประชาชน แล้วลาออกจากตำแหน่ง โดยไม่ต้องรอให้สังคมกดดัน ซึ่งผิดกับบางประเทศเช่น เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ในความผิดที่น้อยกว่าก็ยังแสดงสปิริตด้วยการลาออกให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง การแสดงความรับผิดชอบของนักการเมืองบ้านเขา ได้สร้างมาตรฐานของ 'คนอาชีพนักการเมือง' ไว้ค่อนข้างสูงส่ง มีเกียรติ น่าเชื่อถือ และดูสง่างาม

แต่กับ 'นักการเมืองไทย' น่ะหรือ? อย่าให้ผมเซดเลย

ไม่ต้องไป 'วัดรอยสำนึก' กับมาตรฐานของนักการเมืองชาติใครเขาหรอก วัดกันแค่มาตรฐานของไทยเราเองก็เลวร้ายกว่านักการเมืองรุ่นก่อน ๆ ของเราอย่างเห็นได้ชัด นักการเมืองยุคนี้ถือเป็น 'นักการเมืองสายพันธุ์ด้าน' คือมีความหน้าด้าน ไร้ยางอายเป็นเท่าทวี พูดจาโกหกมดเท็จรายวัน จับได้ไล่ทันก็หันไปพูดเรื่องใหม่ พูดจาหลอกต้มคนโง่ในเรื่องใหม่ ๆ ต่อไป โดยจะทำเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น ไม่ให้ความสำคัญกับคำพูด หรือ 'สัจจะมนุษย์' ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่ไม่ใช่แค่การเป็น 'นักการเมือง' แต่คือ 'ความเป็นคน'

อย่างกรณีที่ 'เจ้าของพรรคล้มสถาบันตัวจริง' บินไปประเทศใกล้ ๆ เพื่อพบ 'อดีตนักโทษหนีคดี' ขนาดเด็ก ม.ปลาย ที่อ่อนวิชาการเมืองยังดูรู้เลยว่าจริง แต่ลิ่วล้อสองสามตัวกลับเสนอหน้ามาโป้ปดกับประชาชนหน้าตาเฉย เมื่อความจริงปรากฏ แต่ละตัวก็หันไปสายลมแสงแดด ไม่มีสักตัวที่จะออกมาพูดถึงพฤติกรรมไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง และกล้าหาญแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเลยแม้แต่น้อย 

นี่คือ 'มาตรฐานใหม่' ของนักการเมืองไทย 'สายพันธุ์ด้าน' แม้จะเรียกขานว่าตัวเองเป็น 'คนรุ่นใหม่' แต่สิ่งที่แสดงออกมานั้นนอกจากเก่าแล้วก็ยังต่ำ สกปรก โสโครก มักง่าย เน่าเหม็นทั้งกายใจ คอยเหยียบย่ำน้ำใจของประชาชนโดยไม่ไยดี 

ถือเป็นการกระทำที่ดูแคลนว่าประชาชนคนไทยคงโง่เขลาเบาปัญญา และหลอกง่ายเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ทั้งที่จริงกลุ่มคนที่โดนโกหกยังไงก็ยังเชื่อ ยังหลง ยังรัก ยังชียร์ และยังสนับสนุนชนิดไม่ลืมหูลืมตาไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ และถ้าจะนับจาก 'คนหลงส้มเน่า' ที่มีมากถึง 14 ล้านเสียง ถึงวันนี้ผมก็มั่นใจว่าได้หายศีรษะไปมากพอสมควรแล้ว 

ใครจะยังกล้าหาญประกาศตัวเป็น 'ประชาชนสายพันธุ์โง่' ที่คอยอยู่เชียร์ 'นักการเมืองสายพันธุ์ด้าน' อีก ก็ให้สังคมมันรู้กันไปว่าประเทศไทยมีคนไทยประเภทนี้หลงเหลืออีกกี่คน?  

อดห่วงสังคมไทย ‘ปวกเปียก-เบาหวิว-ผิวเปลือก’   เมื่อมีคนดัง ‘โง่’ สังคมไทยจึงได้แต่ความ ‘ง่อย’

สังคมไทย เวลาจะดูว่า ‘คนดัง’ ในแวดวงต่าง ๆ เช่น ดารา นักร้อง หรือเซเลบที่มีชื่อเสียงในวงสังคมคนไหนฉลาดปราดเปรื่อง หวังพึ่งพา คิดดีต่อส่วนรวม หรือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมได้หรือไม่นั้น วิธีง่ายที่สุด ให้ดูการให้สัมภาษณ์ออกสื่อในแต่ละครั้ง…

แม้คำถามที่ถูกถามจากนักข่าว หรือผู้ดำเนินรายการต่าง ๆ จะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่คนดังที่มี ‘สำนึกดี’ หรือ ‘คิดเป็น’ จริง ๆ จะสามารถพูดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความห่วงใยต่อสังคมที่เป็นไปได้ตลอดเวลา หรือจะดูการเขียน Facebook สำหรับคนที่เล่น Facebook อยู่เป็นประจำก็พอจะเห็นตัวตนจริง ๆ ได้ชัดในระดับหนึ่ง 

และนั่นก็รวมถึงนักการเมืองด้วย!!

นักการเมืองไทยยุคใหม่มักแสดงออกถึงการเป็นคนที่มีการศึกษาสูง แต่ทุกวันนี้บางคนยังเขียนคำว่า ‘คะ’ กับ ‘ค่ะ’ หรือ ‘ครับ’ เป็น ‘คับ’ โชว์ออกโซเชียลเน็ตเวิร์กรายวัน เห็นถึงการเป็นคนขาดความรู้ ขาดความละเอียดในการดำเนินชีวิต ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อมีสำนึกที่ต่ำเตี้ยเช่นนี้ ก็ยากที่ประชาชนจะหวังพึ่งพาอาศัยในเรื่องที่ถูกต้องได้ 

เรื่องการไปให้สัมภาษณ์สื่อต่าง ๆ บางคนอาจจะคิดว่าก่อนที่คนดังจะตอบ ก็ต้องกลับมาที่คำถามจากสื่อก่อน ด้วยสื่อไทยจำนวนไม่น้อย ก็มักจะถามในสิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์กับสังคม หรือถามแต่สิ่งที่ชาวบ้านนิยมชมชอบ แต่ขาดความลุ่มลึกในการถาม ขาดคำถามที่มีประสิทธิภาพ 

แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ว่าใครจะถามมาแบบไหน คนดังที่มีความฉลาดหลักแหลมในการตอบ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับที่สูงมากพอ คำตอบนั้น ๆ ก็จะมีแง่มุมให้คิดตามในทุก ๆ คำถามเสมอ เรียกว่าสามารถใช้ทุกโอกาส ทุกช่องทางที่มี ผลักดัน และต่อยอดไปในทางสร้างสรรค์ได้ในทุก ๆ สถานการณ์ แต่เรื่องเช่นนี้เราจะไม่มีทางได้เห็นในกลุ่มคนดังที่บ้องตื้น โง่เขลาเบาปัญญา แสวงหาแต่ชื่อเสียงและเงินทองไปวัน ๆ ซึ่งจะมีเป็นส่วนใหญ่ ๆ ในสังคมไทย 

บางที ที่เด็ก ๆ สมัยนี้ ขาดความลึกซึ้ง ขาดสามัญสำนึกในการอยู่ร่วมกันในสังคม และหยาบกระด้าง นั่นเพราะส่วนหนึ่งเราขาด ‘แบบอย่างที่ดี’ ยุคนี้เราจะเจอแต่ประเภทป่วยเปียก เบาหวิว และผิวเปลือก ฉายโชว์ออกสื่อ ปลิวว่อนบนโลกโซเชียลอยู่ตลอดเวลา แล้วแก่นแกนที่ดีงาม ความแข็งแรงทางความคิดที่ตั้งอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องจากใครไหนเล่า จะมีให้ยึดเกาะหรือเดินตาม? มีแต่เลวร้ายลงจนยากจะฉุดดึงให้กลับมาสูงสง่าเท่าเดิม 

คำตอบที่ช่วยพยุงได้ในทันทีคือ ‘ตัวเรา’ 

ถ้าคิดว่าพึ่งพาใครไม่ได้ ก็อย่าพยายามเป็นในแบบที่มักง่าย และทำในสิ่งที่มันดูไม่งาม ผลักให้สังคมมันล้มตามกันไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top