Friday, 17 May 2024
ทำงาน

‘เสี่ยเฮ้ง’ สั่งจัดฝึกทักษะงานบริการให้คนว่างงาน ป้อนแรงงานให้ธุรกิจภาคการท่องเที่ยวและบริการ

(24 ธ.ค. 65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานประสานความร่วมมือชมรม HR จังหวัดภูเก็ต เพื่อเร่งฝึกทักษะงานบริการให้คนว่างงานป้อนสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในจังหวัดภูเก็ต

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตอนนี้เป็นช่วง High Season ของจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โรงแรมต่างๆ ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ จนต้องปิดตัวลง พนักงานต้องกลับภูมิลำเนา แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย โรงแรมเริ่มกลับมาให้บริการ ประกอบกับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ จึงทำให้ในปัจจุบันโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตขาดแคลนแรงงาน จากที่ได้มีการสั่งการกรมพัฒนาฝีมือแรงงานปรับแผนการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน ได้มีการเร่งปรับแผนอย่างรวดเร็วและรองรับกว่า 50,000 คนทั่วประเทศ

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้เร่งทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก แต่ขาดแคลนพนักงาน ทำให้ผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการต้องการหาพนักงานที่มีทักษะฝีมือ มีความรู้ความสามารถในด้านบริการด้านการท่องเที่ยว ทางสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต จึงประสานความร่วมมือกับชมรมการจัดการทรัพยากรมนุษย์ป่าตอง (HR Patong Club) และชมรมบริหารงานบุคคลจังหวัดภูเก็ตทำการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการในจังหวัดภูเก็ตลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม ‘ไทยมีงานทำ’ เพื่อทราบถึงตำแหน่งงานและจำนวนที่ผู้ประกอบการต้องการ โดยมีผู้ประกอบการได้ทยอยลงทะเบียนแจ้งความประสงค์มาแล้ว อาทิ โรงแรมถาวร บีช วิลเลจ รีสอร์ท แอนด์ สปา, โรงแรม ออร์คิดเดเซีย รีสอร์ท, โรงแรม The Village Resort and Spa เป็นต้น 

ก.แรงงาน เยี่ยมสถานประกอบการ จ.ลพบุรี มุ่งคุ้มครองสิทธิ – สวัสดิการแรงงานได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม

วันที่ 21 มีนาคม 2566 เวลา 13.30 น. นางโสภา เกียรตินิรชา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี ตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่จ้างคนต่างด้าวทำงาน เพื่อตรวจคุ้มครองดูแลสิทธิแรงงานของลูกจ้างแรงงานต่างด้าวให้ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับแรงงานไทย โดยมี นายนฺสิทธิ์ ตันติบูล ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท วี สถาปัตย์ จำกัด (สำนักงานใหญ่) นางวันทนา ณัฐพูลวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดลพบุรี ให้การต้อนรับ ณ บริษัท วี สถาปัตย์ จำกัด สถานประกอบการประเภทก่อสร้าง ตั้งอยู่ที่ (แคมป์ก่อสร้าง) ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี เลขที่ 321 ถนนนารายณ์มหาราช ตำบลทะเลชุมศร อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี (การก่อสร้างอาคารศูนย์กีฬาและวิทยาศาสตร์สุขภาพ) มีลูกจ้างทั้งสิ้น 46 คน เป็นแรงงานไทย 35 คน แรงงานต่างด้าว 11 คน สัญชาติเมียนมา 8 คน สัญชาติลาว 3 คน

นางโสภาฯ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อตรวจติดตามการดำเนินการตรวจคัดกรองเบื้องต้นการบังคับใช้แรงงาน หรือบริการและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในแรงงานต่างด้าว ตามมาตรฐานการปฏิบัติงานการตรวจคัดกรอง (SOP) รบ.1 ให้เป็นไปตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานการตรวจคุ้มครองแรงงาน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในแรงงานต่างด้าว รวมทั้งเพื่อตรวจติดตามการรายงานผลการตรวจคัดกรองเบื้องต้นจากการใช้มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ แบบ รบ.1 เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจะเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตาม NRM ตลอดจนรับทราบปัญหาอุปสรรค กระบวนการ วิธีการตรวจคุ้มครองแรงงาน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน

ความแตกต่างระหว่าง ‘บริษัทเล็ก’ กับ ‘บริษัทใหญ่’

🔍 ชวนส่อง!! ความแตกต่างระหว่าง ‘บริษัทเล็ก’ กับ ‘บริษัทใหญ่’ มีข้อดีและข้อเสียต่างกันอย่างไร แล้วแบบไหนที่จะใช่สำหรับเรา? มาดูกันเลย!!

‘เกาหลีใต้’ เผชิญวิกฤต ‘สังคมผู้สูงอายุ’ เพิ่มจำนวนต่อเนื่อง หลังยอดแรงงานสูงวัยพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2023

(25 ก.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, โซล รายงานว่า สำนักงานสถิติแห่งเกาหลีใต้ รายงานว่า อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานของผู้สูงอายุเกาหลีใต้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ท่ามกลางภาวะประชากรสูงอายุในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

รายงานระบุว่าจำนวนประชากรผู้มีอายุ 55-79 ปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 จากปีก่อน อยู่ที่ 15,481,000 คนในเดือนพฤษภาคม ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 34.1 ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป โดยร้อยละ 60.2 ของผู้มีอายุ 55-79 ปี ทำงานเชิงเศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.8 จุด

อัตราการมีส่วนร่วมดังกล่าว ครอบคลุมผู้สูงอายุที่มีงานทำและผู้สูงอายุที่กำลังหางานทำ โดยจำนวนผู้สูงอายุที่มีงานทำในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 9,120,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 349,000 คน ส่วนอัตราการจ้างงานผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 0.8 จุด จนแตะระดับสูงใหม่ที่ร้อยละ 58.9

ทั้งนี้ ร้อยละ 68.5 ของประชากรสูงอายุคาดหวังจะทำงานต่อไป เพื่อหาค่าครองชีพและความสุขจากการทำงาน

รายงานระบุว่าผู้รับเงินบำนาญของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 50.3 ของผู้สูงอายุทั้งหมดในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.9 จุด โดยเฉลี่ยผู้สูงอายุเพศชายรับเงินบำนาญ 980,000 วอน (ราว 26,494 บาท) ต่อเดือน ขณะผู้สูงอายุเพศหญิงรับเงินบำนาญ 500,000 วอน (ราว 13,517 บาท) ต่อเดือน

ที่มา : Xinhua

‘รมว.สุชาติ’ ห่วงคนหางาน ถูกนายหน้าหลอกไปทำงานที่ดูไบ ลวงให้ใช้วีซ่าท่องเที่ยวทำงาน ย้ำ!! อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด

(13 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากฝ่ายแรงงานประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่ามีแรงงานไทยถูกนายหน้าชักชวนให้มาทำงานออนไลน์ผิดกฎหมาย ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผ่านเฟซบุ๊ก เพจ ‘คนไทยในดูไบ’ โดยประกาศรับสมัครพนักงานการตลาด แอดมิน และระบุอย่างชัดเจนว่าให้ทำงานเว็บพนันออนไลน์ เมื่อไปถึงนายจ้างจะยึดหนังสือเดินทางไว้ และให้หลอกคนไทยผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อมาลงทุน หรือหลอกลวงเอาทรัพย์สิน เมื่อปฏิเสธการทำงาน นายจ้างจะคิดค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก

ซึ่งที่ผ่านมามีเหยื่อหลงเชื่อและเดินทางไปทำงานหลายราย  แต่เมื่อเกิดปัญหามักเอาผิดกับนายจ้างไม่ได้เนื่องจากไม่มีหลักฐาน เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เอามือถือเข้าสถานที่ทำงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาผมได้กำชับกรมการจัดหางานให้ทำงานอย่างหนักเพื่อกวาดล้างมิจฉาชีพที่หลอกลวงคนไทยไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจลักลอบทำงานผิดกฎหมาย พร้อมประกาศเตือนและได้ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบกรณีแรงงานไทยถูกหลอกไปทำงานผิดกฎหมายอยู่บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งเดินทางไปด้วยความสมัครใจ จึงขอย้ำเตือนผู้ที่คิดจะลักลอบเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยวิธีผิดกฎหมายว่าไม่คุ้มค่า เพราะอาจไม่ได้ทำงานตามที่ตกลง ถูกบังคับใช้แรงงาน และเสี่ยงถูกทำร้ายร่างกาย

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน ต้องทำงานอย่างเข้มงวดและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเพื่อป้องกันมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อโดยการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้วิธีเดินทางไปทำงานต่างประเทศถูกต้องตามกฎหมาย 5 วิธี ได้แก่ บริษัทจัดหางานจัดส่ง, กรมการจัดหางานจัดส่ง, เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง, นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงาน และนายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงาน

และเตือนภัยคนหางานให้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของมิจฉาชีพ ผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งปราบปรามผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ช่วงเดือน  ตุลาคม 2565 – กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมาดำเนินคดี ตามมาตรา 66 กับผู้ที่กระทำการโฆษณาชักชวนคนหางานไปทำงานต่างประเทศผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ข้อหา “โฆษณาการจัดหางานไม่เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด” จำนวน 36 คดี ตรวจพบการกระทำความผิดของสาย/นายหน้า ทั้งสิ้น 142 ราย ผู้เสียหายถึง 471 คน ค่าเสียหาย 32,750,330 บาท

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจไปทำงานต่างประเทศสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ตนจะเดินทางไปทำงาน เพื่อป้องกันการหลอกลวงผ่านระบบ e – Service กรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์ doe.go.th หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หรือที่ Facebook : กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

‘แพรรี่’ เตือนสติ!! ไม่มีพระปางไหนช่วย ‘ปลดหนี้’ ได้ ขนาดพระยังบิณฑบาตหาเลี้ยงชีพ ชี้!! ควรไปทำงาน

(26 ม.ค.67) กลายเป็นไวรัลในข้ามคืน เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ หรือ ‘ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ ได้ออกมาโพสต์คลิป ฟาดกระแส ‘พระพุทธรูปปางปลดหนี้’ ในวัดแห่งหนึ่งที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ทำให้มีประชาชน กำลังศรัทธาแห่ไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล และหวังให้ช่วยปลดหนี้ในยุคเศรษฐกิจไม่ดีกันเป็นจำนวนมาก

โดยระบุว่า “ล่าสุดเห็นพระพุทธรูปปางปลดหนี้ของอาจารย์ท่านหนึ่ง คนแห่ไปไหว้เยอะมาก ไม่ได้ไหว้เพราะเชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้านะ แต่ไหว้เพราะชื่อรุ่นที่เรียก

อยากหมดหนี้ก็ไปทำงานค่ะ ทำงานเสร็จเก็บเงินใช้หนี้เขาก็หมด ไม่ใช่ไหว้พระ ไม่มีพระรูปไหนช่วยได้ พระไม่มีเงิน พระพุทธเจ้าตอนพระองค์บวชได้ทิ้งสมบัติไปหมด เหมือนท่านบ้วนน้ำลายทิ้ง

ขนาดพระราหุลไปขอยังไม่ได้โภคสมบัติเลย แต่พระองค์จับบวชเณรให้อริยทรัพย์ที่มั่นคง ติดตัวเป็นพระอรหันต์ ให้หมดกิเลส ถ้าให้โภคทรัพย์ ปีบเดียวหมด ใช้ไม่ดีเดี๋ยวก็หมด ขนาดลูกในไส้ท่านยังไม่ให้เลย แล้วเราเป็นใครจะไปขอ

หลวงพ่อรุ่นปลดหนี้ คิดว่าท่านจะให้เหรอ ถ้าท่านพูดได้ท่านคงบอกให้ไปทำงาน ตั้งใจทำงาน เก็บเงิน แบ่งส่วนหนึ่งไว้กินไว้ใช้

ส่วนหนึ่งทยอยจ่ายหนี้ ใช้หนี้เก่าไม่สร้างหนี้ใหม่ ยังไงก็หมด ไม่ใช่หนี้เก่ายังไม่ใช้ หนี้ใหม่ก่อเรื่อยๆ ทุกวัน 10 พระพุทธเจ้าก็ช่วยคุณไม่ได้ค่ะ

จะมาปางปลดหนี้ปลดสินอะไรล่ะ คนเราถ้าเป็นแบบนี้ทุกคนก็ไม่ต้องสนใจแล้ว วันๆ เอาแต่ก่อหนี้สร้างหนี้ จะแก้หนี้ก็ไปไหว้พระ มันก็ขัดกับหลักเหตุปัจจัย ไม่ถูกตามหลักอริยสัจ ทุกข์ใดใครก่อคนนั้นก็ต้องแก้ ใครจะไปช่วยได้ หนี้คุณเป็นคนยืมก็ต้องใช้ ใครจะไปใช้แทน

พระพุทธเจ้าไม่มีสมบัติแล้ว จะเอาสมบัติไหนมาใช้หนี้ให้ ไม่มีคำสอนในศาสนาไหนที่พระมาใช้หนี้ให้ฆราวาส อย่าไปไหว้กัน ไม่มีพระพุทธรูปปางไหนปลดหนี้ให้ได้ ไม่อยากเป็นทุกข์ก็ก่อหนี้ให้น้อย ก่อหนี้เฉพาะเรื่องที่จำเป็นที่สุด ก่อหนี้อันไหนใช้อันนั้นก่อน อย่าก่อหนี้ไปเรื่อย

บางคนก่อหนี้เหมือนมี 10 มือ คนเดียวมีแค่ 2 มือ เดือนหนึ่งทำงานได้หลักหมื่น ก่อหนี้หลักแสนหลักล้าน เมื่อไหร่จะใช้หนี้หมด ก่อเดียวที่ควรจะก่อ คือ ก่อร่างสร้างตัว ไม่ใช่ก่อหนี้ก่อสิน

ก่อให้มันน้อยๆ จะได้ไม่ต้องลำบากพระ จะได้ไม่ต้องมีพระรุ่นปลดหนี้ แถมทำเหมือนรู้ยุคนี้คนเป็นหนี้เยอะ ก็เลยสร้างให้กราบไหว้กัน

ถ้าขอกำลังใจ ขอความเข้มแข็ง ขอสติปัญญาจากพระได้ค่ะ แต่กลับบ้านก็ต้องจัดการตัวเองทั้งนั้น ไม่มีพระองค์ไหนตามเรากลับบ้านมา พระประธานท่านก็อยู่ในโบสถ์ วิหาร วัด ท่านให้ได้อย่างมากธรรมะ แง่คิด ปฏิบัติตามธรรมะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว กลับมาบ้านก็ตัวเราแก้ไขจัดการเอง”

พร้อมกันนี้ แพรรี่ ยังได้ออกมาโพสต์ข้อความเพิ่มเติมในเฟซบุ๊กด้วยว่า…

“พระพุทธรูปมีอยู่แค่ปางเดียวเท่านั้นค่ะ นั่นก็คือปางปลดทุกข์ ไม่มีหรอกค่ะ ปางปลดหนี้ มีทุกข์อ่ะ พระท่านช่วยได้ เพราะท่านมีธรรมะให้เราเอาไว้สำหรับปลอบประโลมใจ
มีธรรมะแล้วจิตใจมันก็เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มันก็อยากจะสู้ อยากจะหันกลับมาอยู่ในทางที่เป็นสัมมาชีพ อยากจะทำงานเก็บเงิน ใช้หนี้ใช้สิน แล้วสุดท้ายมันก็จะหมดหนี้ค่ะ แล้วสุดท้ายมันก็จะปลดหนี้ได้ค่ะ

มีหนี้ต้องทำงานใช้หนี้เท่านั้นค่ะ จัดการหนี้เก่า ไม่ขยันสร้างหนี้ใหม่ มีวินัยในการอดออม ชีวิตดีขึ้นแน่นอนนะคะ

มีหนี้ แต่ไม่มีความรับผิดชอบ ต่อให้มีพระพุทธเจ้า 10 พระองค์ ท่านก็ช่วยใครไม่ได้หรอกค่ะ

ปล. ขนาดพระท่านยังต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพเลย”

งานนี้เมื่อแชร์ออกไปชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นสนั่น ทั้งในมุมมองชื่นชมแพรรี่ ที่ออกมาพูดเตือนสติผู้คนแบบตรงไปตรงมา พร้อมสนับสนุนให้ยึดหลักไม่สร้างหนี้ ก็จะหมดหนี้ไปเอง ขณะที่บางส่วนก็ไม่เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว

‘โพลมะกัน’ ชี้!! นายจ้าง 40% เลี่ยงรับคน GEN Z เข้าทำงาน เหตุ!! คนเหล่านี้ไม่มีความพร้อมสำหรับชีวิตการทำงาน

ความแตกต่างระหว่างวัยในการทำงานเป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าจะรุ่นเบบี้บูมเมอร์ เจน-เอ็กซ์ ไปจนถึงรุ่นมิลเลเนียล แต่ในการสำรวจล่าสุดที่ไปสอบถามความเห็นนายจ้างอเมริกันนับร้อย อาจทำให้คนรุ่นใหม่นอยด์ได้ เมื่อนายจ้างต่างยกให้คนเจน-ซี (Gen Z) เป็นช่วงอายุที่ถูกยี้ในตลาดแรงงานไปเสียแล้ว

การสำรวจความคิดเห็นกรรมการและผู้บริหารจำนวน 800 คนในสหรัฐฯ ในเรื่องการรับคนเข้าทำงานในตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2023 พบว่า นายจ้างราว 40% หลีกเลี่ยงการจ้างงานผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าคนเหล่านั้นไม่มีความพร้อมสำหรับชีวิตการทำงาน

นายจ้างที่ร่วมการสำรวจ 20% กล่าวว่า ผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ มักจะมาสัมภาษณ์งานพร้อมกับผู้ปกครองของตน นายจ้างอีก 21% กล่าวว่า ตนต้องเจอกับผู้สมัครงานที่ปฏิเสธที่จะเปิดกล้องในระหว่างการสัมภาษณ์งานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ บ้างก็มีปัญหาที่ไม่ยอมสบตาผู้สัมภาษณ์ บางคนแต่งกายไม่เหมาะสม และยังมีที่ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย

ผลการสำรวจดังกล่าวไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับไมเคิล คอนเนอร์ส ผู้สรรหาบุคลากรด้านบัญชีและเทคโนโลยีในเขตกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นผู้เตรียมความพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานให้กับผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย

เขากล่าวว่า ดูเหมือนคนเหล่านี้จะขาดความจริงจังกับชีวิต ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาต้องการได้งานหรือไม่ หรือว่าฝืนใจทำ เขายังไม่เคยเจอกับผู้สมัครที่ปฏิเสธที่จะเปิดกล้อง แต่เขาเจอกับนักศึกษาที่มาสัมภาษณ์งานออนไลน์ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการสัมภาษณ์งาน อย่างเช่น ที่นอกห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

ทั้งคอนเนอร์ส และ ไดแอน เกเยสกี ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่วิทยาลัย Ithaca ในนิวยอร์ก ต่างเห็นพ้องว่าการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการเติบโตและวุฒิภาวะของผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย

เกเยสกีกล่าวว่า “การเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายของพวกเขานั้นมีปัญหามากมาย พวกเขาไม่ได้มีงานสำเร็จการศึกษา ไม่ได้มีงานเต้นรำ หรืองานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ อย่างที่เคยมีมา นอกจากนี้พวกเขาไม่สามารถทำงานในช่วงฤดูร้อนของปีนั้นก่อนที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ และแม้กระทั่งตอนที่พวกเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ เช่น การมีวิทยากรรับเชิญ การฝึกงาน หรือการไปเรียนต่างประเทศ ก็ถูกระงับไปด้วยเช่นกัน”

เรื่องดังกล่าวส่งผลให้นักเรียนมีความมั่นใจเกี่ยวกับความสามารถของตนในการมีส่วนร่วมในโลกของการทำงานน้อยลง

ในส่วนของมหาวิทยาลัยที่จะสามารถช่วยให้นักศึกษามีความพร้อมสำหรับการทำงานได้ ก็คือสิ่งที่พวกเขาได้สัมผัสนอกห้องเรียน เช่น การได้พบปะพูดคุยกับผู้คนที่มีความแตกต่างจากตัวเอง การได้ทำงานในโครงการต่าง ๆ ในชุมชน และการได้ฝึกงาน ซึ่งหยุดไปในช่วงของการแพร่ระบาด

นอกจากนี้ แล้วผลสำรวจยังชี้ว่า นายจ้างอีก 38% กล่าวว่า ตนหลีกเลี่ยงการจ้างงานผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการสนับสนุนคนงานที่มีอายุมากกว่า และพวกเขาก็ยินดีที่จะจ่ายเงินให้คนงานที่มีอายุมากกว่าหรือเพิ่มสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ให้ทำงานทางไกลได้มากขึ้น

เกือบครึ่งหนึ่งของนายจ้างกล่าวว่า พวกเขาต้องไล่พนักงานที่เพิ่งเรียนจบออกจากงาน 63% กล่าวว่าพนักงานจบใหม่บางคนที่ตนจ้างมาไม่สามารถรับมือกับภาระหน้าที่ของตนได้ 61% บอกว่าพนักงานเหล่านั้นมาทำงานสายบ่อยครั้ง 59% บอกว่าพวกเขามักทำงานไม่ทันกำหนดเวลา และ 53% บอกว่าพนักงานใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวมักเข้าประชุมสาย

คอนเนอร์สกล่าวว่า พนักงานจบใหม่เหล่านี้น่าจะบริหารงานที่ได้รับมอบหมายได้ดีขึ้นมากหากได้ทำงานในออฟฟิศมากกว่านี้ เพราะการทำงานจากที่บ้านในช่วงเวลาหนึ่งอาจทำให้พวกเขาทำงานล่าช้าลง และว่าพวกเขาต้องการที่ปรึกษาเพื่อที่จะได้เรียนรู้และมีความก้าวหน้าในอาชีพการงานของตน

เกเยสกีจากมหาวิทยาลัย Ithaca กล่าวด้วยว่า เธอพบว่านักศึกษามีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบรรดาครูอาจารย์ก็พยายามรับมือกับปัญหานี้ด้วยการเข้มงวดในเรื่องการเข้าเรียนให้น้อยลง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเรื่องกำหนดการส่งงาน และบรรดานายจ้างเองก็รับรู้ได้ถึงระดับของความวิตกกังวลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนี้

คอนเนอร์สกล่าวอีกว่าแม้ว่าการเตรียมความพร้อมทางวิชาชีพของ คนรุ่น Gen Z จะแย่ลงในช่วงการเกิดโรคระบาดใหญ่ แต่เรื่องนี้เป็นเทรนด์ที่เขามองเห็นมาหลายปีแล้ว พร้อมชี้ว่า “คนรุ่นนี้คำนึงเรื่องงานอดิเรกของตนมากกว่าและมีความยืดหยุ่นในเรื่องนั้น” นอกจากนี้ความอยากมีเงินทองหรือความต้องการก้าวหน้าในอาชีพการงานก็ลดน้อยลง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้นเอง

นายจ้างครึ่งหนึ่งที่ร่วมการสำรวจกล่าวว่า นักศึกษาจบใหม่ที่พวกเขาสัมภาษณ์ได้เรียกร้องค่าจ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเกเยสกีเชื่อว่าอาจเป็นเรื่องของการที่คนหนุ่มสาวมีความตระหนักรู้มากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ และพวกเขาคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ เอารัดเอาเปรียบพนักงานตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และเห็นถึงความร่ำรวยเป็นพันล้านของบรรดาเจ้าของบริษัท จึงทำให้พวกเขาต้องการที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม

ผลสำรวจชี้!! Gen Z เจอแรงกดดันในชีวิตการทำงานสูงกว่าคน Gen อื่น เพราะเทคโนโลยีทำให้ ‘งาน’ กับ ‘ชีวิตส่วนตัว’ แยกจากกันไม่ออก

Gen Z เจอแรงกดดันใน ‘ชีวิตการทำงาน’ สูงกว่าคนเจนอื่นๆ เพราะเทคโนโลยีทำให้ ‘งาน’ กับ ‘ชีวิตส่วนตัว’ แยกจากกันไม่ออก

(24 ก.พ. 67) คนที่เกิดมาในยุคดิจิทัลอย่าง ‘Gen Z’ พวกเขากำลังเจอความท้าทายในชีวิตการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ โดยก่อนหน้านี้มีรายงานการสำรวจจาก Deloitte ในปี 2023 ที่สำรวจเกี่ยวกับวัยทำงาน ‘Gen Z’ จำนวน 14,483 คนใน 44 ประเทศ พบว่า 46% ของชาว Gen Z เผชิญกับความวิตกกังวลและความเครียดอย่างต่อเนื่องในที่ทำงาน

นอกจากนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างยังรายงานด้วยว่า พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้า ระดับพลังงานต่ำ และจิตใจหลุดออกจากงาน โดยสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อมเชิงลบหรือโดยถากถางดูถูกในที่ทำงาน

ด้าน แคธลีน ไพค์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเป็นซีอีโอของบริษัท One Mind at Work (ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงาน) แสดงความคิดเห็นว่า กลุ่มวัยทำงาน Gen Z กำลังเผชิญกับแรงกดดันมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ เนื่องจากเติบโตมาโลกที่เทคโนโลยีเข้ามาทำลายขอบเขตระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของคนรุ่นนี้กับคนรุ่นก่อนๆ พบว่า คนรุ่นก่อนไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เกิดจากเทคโนโลยีแบบเดียวกันในช่วงเริ่มต้นอาชีพของพวกเขา

“สำหรับผู้บริหารรุ่นซีเนียร์ในตอนนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วจะพบว่า เวลาไปทำงานในแต่ละวัน พวกเขาจะขับรถไปทำงานโดยไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มี FedEx ในช่วงที่คนรุ่นก่อนๆ เริ่มต้นชีวิตทำงาน มันเป็นโลกที่แตกต่างไปจากยุคนี้อย่างสิ้นเชิง” เธอกล่าว

ศาสตราจารย์ไพค์ อธิบายต่อว่า ในอดีตไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ในทันทีเหมือนยุคนี้ และเมื่อวัยทำงานรุ่นก่อนๆ กลับบ้าน พวกเขาก็ตัดขาดจากงานอย่างแท้จริง (ไม่สามารถเข้าถึงงานได้ตลอดเวลาเหมือนยุคนี้) มันเป็นเหมือนโครงสร้างมหภาคตามธรรมชาติที่ทำให้เกิดการหยุดทำงานตามเวลา ตามระบบนาฬิกาชีวิตจำนวนมากและระเหยไปจนหมด

ในขณะที่เมื่อมองกลับมาในยุคนี้ จะเห็นว่าเทคโนโลยีเป็นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการดิ้นรนต่อสู้ในชีวิตการทำงานของคนรุ่น Gen Z ส่งผลให้คนรุ่นนี้พยายามสร้างความแตกต่างระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สิ่งที่พบเห็นมากขึ้นในสังคมการทำงานก็คือ Gen Z กำลังพยายามวางขอบเขตชีวิตส่วนตัวให้กลับคืนมา มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างคนแต่ละรุ่น คนทำงานรุ่นใหม่จำนวนมากหันไปหาเทรนด์การทำงานแบบอื่นๆ เช่น 

- เทรนด์การทำงานแบบ Act your Wage คือ การทำงานตามค่าจ้างที่ได้รับ ไม่ทำอะไรเกินตัว
- เทรนด์การทำงานแบบ Quiet Quitting คือ การทำงานไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ทุ่มเททำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเยียวยาตนเองไม่ให้เบิร์นเอาท์
- เทรนด์การทำงานแบบ Lazy girl jobs คือ การทำงานที่สามารถจัดตารางงานเองได้ งานไม่ทำให้ชีวิตส่วนตัวยุ่งเหยิงเกินไป หรือเป็นงานที่สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ มักเป็นงานที่มีระดับความเครียดต่ำแต่ก็มีผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ

โดยสรุปก็คือ เน้นหางานหรือรูปแบบการทำงานให้ยุ่งน้อยที่สุด เพื่อรักษางานของตนไว้แต่ขณะเดียวกันก็พยายามหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟในการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ไพค์ชี้ชวนให้คิดว่า การที่ Gen Z หลายคนเผชิญกับภาวะความเครียด วิตกกังวล และความกดดันต่างๆ ในที่ทำงานนั้น บางครั้งอารมณ์เหล่านั้นก็เป็นอารมณ์ปกติ ไม่ใช่อาการเจ็บป่วยทางจิตใจเสมอไป การเผชิญกับความเครียดเนื่องจากเดดไลน์ที่ต้องส่งงาน ความรู้สึกเศร้า ความผิดหวัง หรือวิตกกังวลเป็นครั้งคราว ถือเป็นเรื่องปกติของชีวิต

อีกทั้งการรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลในการทำงาน อาจเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้คุณทำงานให้สำเร็จได้อย่างดีด้วยซ้ำ 

ท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา สรุปว่า ชาว Gen Z ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ต้องยอมรับความเครียดและความกังวลที่เกิดจากงานบ้าง “เราต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวทันทีแล้วลองใหม่อีกครั้ง” นั่นจะทำให้เราเติบโตจากความผิดพลาด รวมถึงการเรียนรู้ทักษะอื่นๆ เพิ่มเติม การขอความช่วยเหลือ และรู้วิธีการผลักดันขีดความสามารถของตนเอง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในชีวิตการทำงานทั้งนั้น 

งานวิจัย ชี้!! ‘Gen X’ ช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง-กดดัน ลาหยุดไม่ได้-ลาออกไม่กล้า เหนื่อยก็ต้องสู้ เพื่อเป้าหมายชีวิต

(25 ก.พ.67) ในขณะที่ ‘Gen Z’ เป็นช่วงวัยที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ‘Gen Y’ อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของการเติบโต-ไต่เต้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ส่วน ‘Gen X’ กลับเป็นเจเนอเรชันกลางๆ ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและปัญหาสารพัดอย่าง

ในเชิงการทำงานเมื่อพิจารณาจากอายุแล้ว ‘Gen X’ อาจถูกคาดหวังให้ต้องเก่ง ต้องรู้ ต้องเชี่ยวชาญในหลายๆ เรื่อง ขณะเดียวกันในพาร์ตชีวิตส่วนตัว ‘Gen X’ ก็อยู่ตรงกลางระหว่างเบบี้บูมเมอร์ และคนรุ่นใหม่

สำนักข่าว ‘บีบีซี’ (BBC) ระบุว่า ‘Gen X’ ต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่เหมือนคนเจนอื่นๆ แม้จะอยากพักแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ มีงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุว่า ‘วัยกลางคน’ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่มั่นคงมากที่สุด คลอนแคลนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ

เพราะเคยเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจมาแล้วหลายยุค จนถึงปัจจุบันในสถานการณ์ที่มีการ ‘เลย์ออฟ’ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้ ‘Gen X’ รู้สึกว่า ตนเองไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะลาหยุดด้วยซ้ำ 
[ลาออก-ลาหยุดไม่ได้ เหนื่อยก็ยังต้องทำงานต่อไป]

Gen X คือ คนที่เกิดตั้งแต่ปี 2508-2523 มีอายุตั้งแต่ 44-59 ปี หากพิจารณาจากช่วงอายุแล้วจะพบว่า อยู่ในช่วงวัยกลางคน และกำลังอยู่ในช่วงเตรียมเกษียณอายุงานแล้วด้วย

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า Gen X มีวิธีคิดเรื่องการทำงานแตกต่างจากคนมิลเลนเนียล ตรงที่พวกเขามักจะกระตือรือร้นในการทำงานตลอดเวลา โดยมีเหตุผลสองส่วนที่ทำให้ Gen X จำนวนมากไม่พร้อมลาออก

ประการแรก คือ คนเจนนี้เผชิญกับการใช้จ่ายและการบริหารจัดการการเงินที่ไม่เหมือนคนรุ่นอื่น พวกเขาไม่สามารถลาออก-ทิ้งงานที่สร้างรายได้ประจำไปได้

ประการที่สอง เป็นเพราะ Gen X หลายคนมีทัศนคติที่ต้องการทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง หลังเคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง

บทเรียนในอดีตทำให้คนรุ่นนี้ต้องสร้างหลักประกันที่แข็งแรงให้ตนเอง เมื่อได้รับโอกาสใหม่ๆ Gen X จะไม่ปฏิเสธ เพื่อความก้าวหน้าในอนาคต

ทั้งนี้ ‘บีบีซี’ ได้เปิดเผยผลสำรวจพนักงานกว่า 2,000 คน ที่ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์ ‘Tech Layoff’ ในปี 2023 ไม่ว่าจะเป็น Meta Amazon หรือ Twitter 

โดยพบว่า เกือบ 9% ของ Gen Z และ 4.5% ของคนมิลเลนเนียล เลือกที่จะพักผ่อนหลังจากถูกเลิกจ้าง แต่มีเพียง 2.6% ของ Gen X เท่านั้น ที่ตั้งใจจะยุติการทำงานหลังโดนเลย์ออฟ

ด้าน ‘Michael S. North’ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ School of Business มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ทำการศึกษาพลวัตของแรงงานในหลายช่วงวัย กล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Gen X จำนวนมากไม่เต็มใจที่จะลาออก เป็นเพราะภาระผูกพันทางการเงิน และช่วงวัยของพวกเขาที่ทำให้รู้สึกว่า ไม่เหมาะที่จะกลายเป็นคนว่างงาน

‘North’ ระบุว่า มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่า ‘วัยกลางคน’ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่มั่นคง โดยเฉลี่ยแล้ววัยนี้มีความกดดันมากกว่าการหารายได้เพียงอย่างเดียว

ไม่ว่าจะเป็นการทำประกันให้กับครอบครัว การเตรียมตัวเพื่อการเกษียณอายุงาน ต้องลงทุนในกองทุนแบบใด และต้องเก็บเงินก้อนเท่าไรจึงจะเพียงพอเหมาะสมกับช่วงสุดท้ายของชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น คือภาระหนี้สินที่คน Gen X ต้องเร่งปิดหนี้ก้อนใหญ่ๆ ก่อนที่รายได้ประจำจะหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มีข้อมูลบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่า Gen X มีภาระหนี้สินมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ

หลายคนต้องตกอยู่ในสถานะ ‘Sandwich Generation’ ดูแลทั้งคนแก่ในบ้าน และลูกๆ หลานๆ ที่กำลังโต แม้ว่าคนรุ่นนี้จะอยู่ในตำแหน่งระดับสูงขององค์กรแล้ว แต่สถานการณ์เลย์ออฟที่ผ่านมาก็ทำให้พวกเขาเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตว่า ไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งสถานะสูงขึ้น ตำแหน่งสูงขึ้น

คน Gen X ก็ยิ่งรู้สึกคาดหวังกับตัวเองมากขึ้นด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะถูกเลิกจ้างหรือพักงานก็ล้วนสร้างความท้าทายให้คนรุ่นนี้ทั้งนั้น

[ ไม่พร้อมเกษียณ ยังคงทำงานต่อไป ]

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม้จะเหนื่อยและมีภาระรอบด้าน แต่ Gen X ก็ยังไม่พร้อมเกษียณ  ไม่พร้อมทิ้งอาชีพที่ทำมาทั้งชีวิต

ที่ผ่านมา Gen X ต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ มาโดยตลอด ซึ่งพวกเขาก็พยายามปรับตัวให้ทันยุค เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการเสริมสร้างทักษะใหม่ๆ

อีกมุมหนึ่ง ก็มี Gen X ที่มีความพร้อม ความมั่นคงในชีวิตครบถ้วนแล้ว แต่ก็พบว่า พวกเขายังไม่สามารถละทิ้งความสำเร็จที่เคยทำมาให้กลายเป็นเพียงอดีตได้ ราวกับ ‘งาน’ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว หลายคนจึงไม่ต้องการทำเช่นนั้น หลังจากทำงานอย่างหนักมาหลายทศวรรษ

ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า Gen X อาจรู้สึกเหมือนกำลัง ‘ยอมแพ้’ ให้กับความก้าวหน้าและหน้าที่การงานที่สร้างมาทั้งชีวิต จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาออกจากเส้นทางนี้ไม่ได้สักที

“นอกจากเรื่องเงินแล้ว เรายังมีอีกความรู้สึกหนึ่งด้วย คือเป้าหมายใน Career path ที่ต้องการไปให้ถึง” แหล่งข่าว Gen X กล่าวกับบีบีซี

อ้างอิง : https://www.bbc.com/worklife/article/20230424-why-gen-x-isnt-ready-to-leave-the-workforce
 

https://mstveteran.medium.com/generation-x-where-toughness-and-manners-collide-1586dfff9e64
 

https://www.nytimes.com/2023/08/25/style/gen-x-generation-discourse.html?fbclid=IwAR1bMpb80pP2IxkU3I5FSDbktBgvDjy_-QcLsf245Mjtveg9loNNQPMgb_Q

วิกฤต Gen Z จีน 'หางานยาก-งานรายได้ต่ำ-มีไม่กี่คนที่จะได้งาน' สุดท้ายหันมาใช้ชีวิตแบบ 'ถ่างผิง' เรียบง่าย ไร้ความทะเยอทะยาน

Gen Z หรือ Generation Z หมายถึงเด็กที่เกิดในช่วงปลายทศวรรษ 1990 จนถึงกลางทศวรรษ 2010 ดูจากอายุอานามแล้ว เป็นคนรุ่นที่กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทในองค์กรต่าง ๆ

ทว่า ปัจจุบัน Gen Z ในจีน ได้พากันหันหลังให้กับชีวิตในบริษัทใหญ่ ๆ เหมือนคนรุ่นพ่อแม่ และปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สนใจอาชีพการงานที่มั่นคง ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ผันผวนอย่างหนัก

ปัจจุบัน จีนมี Gen Z ราว 280 ล้านคน ผลการสำรวจทัศนคติของ Gen Z เมื่อเทียบกับคนในช่วงอายุอื่นพบว่า Gen Z ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ ‘มองโลกแง่ร้ายมากที่สุด’

มหกรรมการหางานครั้งล่าสุดในกรุงปักกิ่งตอกย้ำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะตำแหน่งที่เปิดรับมีแต่งานที่ใช้ทักษะต่ำ เช่น การเป็นผู้ช่วยขายประกัน หรือไม่ก็ผู้ช่วยขายอุปกรณ์ทางการแพทย์

หากพูดถึงเงินเดือนคาดหวังในมหกรรมการหางานดังกล่าวแล้ว ค่าเฉลี่ยสำหรับพนักงานใหม่ได้ปรับลดลงใน 38 เมืองสำคัญ ถือว่าเป็นการปรับลดครั้งที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016

หนุ่มปริญญาโทวัย 25 ที่เรียนจบสาขาวิศวกรรมซอฟท์แวร์จากเยอรมนีคนหนึ่งเชื่อว่า ผู้ที่มีความสามารถจริง ๆ จะต้องหางานได้ เขาเชื่อว่า ‘อนาคตของโลกอยู่ที่จีน’

แต่พอกลับมาถึงจีนจริง ๆ เขาเริ่มไม่มั่นใจเมื่อเจอบรรยากาศเศรษฐกิจบ้านเกิดแม้ทักษะ และองค์ความรู้ที่เขามีจะเป็นที่ต้องการอย่างมาก แต่ในความเป็นจริง มีคนที่จบจากยุโรป และเรียนมาในสาขาเดียวกันจำนวนมาก

‘งานจึงไม่ได้หาง่ายอย่างที่คิด’ เขากล่าว

เพื่อนหลายคนของเขา จึงตั้งเป้าไปที่งานราชการแทน หลังมองว่างานบริษัทเอกชนนั้น ‘อนาคตมืดมน’ ทำให้ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หนุ่มสาวชาวจีนเข้าสมัครสอบคัดเลือกรับราชการมากเป็นประวัติการณ์ คือสูงกว่า 3 ล้านคน

เขากล่าวว่า “เด็กนับล้านต่างมองหางานแน่นอน มีไม่กี่คนที่จะได้งาน และคนโชคดีที่ได้งาน ก็เป็นงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาขาที่จบ”

หญิงสาวชาวจีนอีกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยในประเทศ มีความมุ่งมั่นกับการหางาน และหาอะไรทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้งานที่ต้องการ เช่น การเป็นไกด์นำเที่ยวในอุทยานแพนด้า นครเฉิงตู หรือเป็นพนักงานขายเครื่องดื่ม และฝึกงานในโรงเรียนอนุบาลก็เคยมาแล้ว

“งานพวกนี้ไม่ค่อยมีอนาคตนัก” เธอกล่าว “งานทักษะต่ำ แน่นอนเงินเดือนย่อมต่ำ ที่สำคัญถูกแทนที่ง่ายมากหากคุณหยุดงานแค่ครึ่งวัน รุ่งขึ้นก็จะมีคนใหม่มาทำแทน เมื่อเป็นแบบนี้ เด็กส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ หรือที่เรียกว่าประกอบอาชีพลูกเต็มเวลา”

ปัจจุบัน เธอเป็นพนักงานขายหนังสือและอุปกรณ์การศึกษา แม้จะไม่ใช่งานในฝัน แต่เธอมองว่ายังดีกว่าไม่มีอะไรทำ และคิดในแง่บวกว่าเป็นการสั่งสมประสบการณ์

ในทางกลับกัน ครอบครัวของเธอเป็นกังวลมาก เนื่องจากเธอเป็นลูกหลานคนแรกของครอบครัวที่จบมหาวิทยาลัย พ่อของเธอภูมิใจมากถึงขนาดจัดเลี้ยงโต๊ะจีนกว่า 30 โต๊ะในวันรับปริญญา

“พ่อแม่คาดหวังว่าหลังจากที่พวกเขาส่งเสียฉันเรียนหนังสือ อย่างน้อยฉันจะหางานได้ พวกเขาคาดหวังให้ฉันมีชีวิตที่ดี แต่ฉันยืนยันว่าจะเดินไปตามทางของตัวเอง และในความเร็วที่ฉันกำหนดเอง”

เธอตั้งเป้าหมาย ว่าต้องไปให้ไกลกว่านี้ และหวังว่าวันหนึ่งจะไปเรียนภาษาอังกฤษที่ออสเตรเลีย เธอเชื่อว่าช่วงชีวิต Gen Z แบบเธอง่ายกว่าคนรุ่นพ่อแม่มาก เพราะตอนนั้น จีนจนกว่านี้มาก ความฝันต่าง ๆ ก็ดูห่างไกลจากความเป็นจริงแบบฟ้ากับเหว

“ยังมีเวลาอีกมากสำหรับพวกเราเพื่อไปถึงจุดหมาย เราไม่ได้สนใจหรือทุ่มชีวิตไปกับการหาเงินเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อน เรามองไปที่วิธีการที่จะทำให้ฝันเป็นจริงยังไงมากกว่า”

เช่นเดียวกับหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยในประเทศมาหมาด ๆ เธอตั้งเป้าจะทำงานในบริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่ แต่หลังจากได้เข้าไปสัมผัสการทำงานจริงราว ๆ 2 ปี ความกดดัน และความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับหัวหน้างาน ทำให้เธอตัดสินใจลาออก และหันมาประกอบอาชีพ ‘ช่างสัก’

เธอและเพื่อนชาว Gen Z นับล้านคนกำลังรู้สึกไม่พอใจกับโอกาสในการทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ Gen Z ในจีนจึงพากันหันมาใช้ชีวิตแบบ ‘นอนราบ’ หรือ Lying Flat (ภาษาจีนเรียกว่า ‘ถ่างผิง’) ซึ่งหมายถึง การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไร้ความทะเยอทะยาน ทำงานเท่าที่จำเป็น และเอาเวลาว่างไปทำกิจกรรมที่ตนสนใจ

ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนพยายามผลักดันตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด COVID-19

อย่างไรก็ตาม การสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2023 พบว่า อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวทั่วประเทศเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่เกือบ 22%

สอดคล้องกับข้อมูลจากสถาบันอุดมศึกษาที่ชี้ว่า ผู้ที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ยอมทำงานที่ต่ำกว่าวุฒิ เพื่อให้มีรายได้ประทังชีวิตไปวันวัน

สาวช่างสักบอกว่า ตอนนี้เธอมีความสุขมาก และเชื่อว่า การเดินออกมาจากบริษัทใหญ่ ไม่เพียงหลีกหนี ‘แรงกดดันที่ไม่จบ’ เท่านั้น แต่ยังเป็นการค้นพบตัวเองที่คุ้มค่ามาก

เมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ในเชิงกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ ‘กินของขม’ ซึ่งเป็นวลีภาษาจีนที่ใช้อธิบายความหมายของ ‘ความอดทนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก’

ทั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ออกมากระตุ้นเป็นระยะ ให้เด็กจบใหม่เลิกคิดว่าพวกเขาดีเกินกว่าจะใช้แรงงาน โดยบอกให้พวกเขา ‘พับแขนเสื้อขึ้น’ เพื่อไปทำงานที่ใช้แรง และให้ ‘กลืนความขมขื่น’

ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายสำหรับการกำหนดนโยบายของผู้นำจีน คือการทำให้กลุ่มคน Gen Z รู้สึกสงบลง ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าที่สุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ

ขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัว และตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะที่อึดอัด Gen Z เหล่านี้ต้องรับมือกับความท้าทายมากมาย อาทิ ความไม่เท่าเทียมทางสังคม การควบคุมทางการเมืองที่เข้มงวด และแนวโน้มทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังดูไร้ความหวัง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top