Thursday, 2 May 2024
ถูกทำร้ายร่างกาย

ศรีสุวรรณ’ บุกสน.ทุ่งสองห้อง แจ้งความเอาผิด ‘มือชก’ เพิ่ม ชี้ ทำให้เสียชื่อเสียง-ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง-ได้รับความอับอาย

(16 พ.ค.66) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า เมื่อเย็นวันที่ 15 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เพื่อพบพนักงานสอบสวนเพื่อมอบหลักฐานประกอบคดีเพิ่มเติมให้กับ สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ หลังจากที่ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายต่อชายสูงอายุอดีตอาจารย์ ม.เอกชน ที่เข้ามาทำร้ายร่างกายที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมาหลังจาก กกต.เชิญไปให้ถ้อยคำกรณีร้องเรียนให้ตรวจสอบนโยบายหาเสียงแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ ได้ยืนยันต่อพนักงานสอบสวน พร้อมมอบพยานหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์และคลิปวิดีโอที่ผู้ถูกกล่าวหาได้เจตนาพูดดูหมิ่นเหยียดหยามตนต่อบุคคลที่สามหรือธารกำนัล (ผู้สื่อข่าวและประชาชน) โดยประการที่ทำให้ตนนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และได้รับความอับอาย หลังจากที่ทำร้ายตนแล้ว ทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นสาธารณสถานอันเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.393 และ ม.397 วรรคสอง ประกอบ ม.59 ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม แม้โทษทางอาญาจะมองดูไม่มากนัก แต่ทว่าเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาในคดีอาญาแล้ว จะส่งผลต่อคดีในทางแพ่งที่ตนได้เรียกค่าเสียหายไปพร้อมด้วยเลยในคดีเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เป็นการละเมิดกฎหมายในที่รโหฐาน เป็นสาธารณสถาน ไม่เกรงกลัวกฎหมายทั้งๆที่เคยเป็นถึงครูบาอาจารย์สอนคนมาก่อน

นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวอาจมีผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นฝ่ายการเมืองที่ผู้ต้องหาได้ไปคลุกคลีร่วมกิจกรรมทางการเมือง และอาจนำมาซึ่งเจตนาพิเศษต่อการทำร้ายร่างกายตนได้ที่ไปร้องเรียนพรรคการเมืองที่บุคคลดังกล่าวมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ซึ่งตนเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันของสังคมไทย และทำงานเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี การที่ผู้ต้องหาคนดังกล่าวมาทำร้ายร่างกาย และดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นที่น่าอับอาจ จึงน่าจะเป็นเหตุผลทางคดีที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลมีคำพิพากษาทั้งทางอาญาและทางแพ่งตามคำขอท้ายคำฟ้องที่ตำรวจและอัยการจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อไปได้

‘ชายชาวต่างชาติ’ คู่กรณี ‘แพทย์หญิง’ อ้าง!! ไม่ได้เตะ แค่สะดุดล้ม ยัน!! มีหลักฐานมอบให้ตร.แล้ว หลังถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย

(29 ก.พ.67) จากกรณีเกิดเหตุแพทย์หญิงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ร้อง กรณี ถูกชายชาวต่างชาติ เจ้าของพูลวิลล่าหรูริมหาดอ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง เตะเข้าที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชา กับเพื่อนที่บริเวณบันได พูลวิลล่า ซึ่งคิดว่าอยู่ในพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และถูกภรรยาชาวไทย ของชายชาวต่างชาติ ต่อว่าด่าทอหยาบคายต่างๆ นานา อ้างมีลูกชายเป็นตำรวจ และ รู้จักกับนายตำรวจใหญ่ของ จ.ภูเก็ต

อย่างไรก็ตามหลังมีการนำเสนอข่าวตามสื่อต่างๆ ปรากฏว่า มีกระแสวิจารณ์เกิดขึ้น จำนวนมาก ต่างก็ให้กำลังใจหมอ ที่ปนะสบเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่หมอได้เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรถลางแล้ว

ขณะที่ชายชาวต่างชาติ นายเดวิด (นามสมมุติ) คู่กรณี ได้เดินทางไปที่ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมทนายความ พร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เข้าชี้แจงกับ พ.ต.ท.ปฎิวัติ ยอดขวัญ รองผกก.สอบสวนสภ.ถลาง หลังแพทย์หญิง คู่กรณีเข้าแจ้งในข้อหาทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ โดยได้มอบคลิปที่นายเดวิด อ้างถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง ขณะเดินเข้าไปด้านหลังแพทย์หญิง แล้วลื่น ทำให้เท้าไปถูกด้านหลังของแพทย์หญิงคนดังกล่าว

โดยนายเดวิด เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านทนายความ ว่า นายเดวิดไม่ได้เตะคู่กรณี แต่เป็นการสะดุด แล้ว เท้าไปถูกหลัง และไม่มีเจตนาที่จะไปเตะ ซึ่งตนเองอยากจะแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากที่จะขอโทษที่เท้าของตัวเองหรือตัวไปถูกคู่กรณี และ ขอยืนยันว่าเป็นการสะดุดล้ม

ขณะที่ทนายความระบุ ว่า ได้มีการพูดคุยข้อเท็จจริงกับ นายเดวิด มาพอสมควรและได้เห็นพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งนายเดวิดก็มีหลักฐานที่สามารถชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและในส่วนที่เกี่ยวข้อง ถ้าจะมีการดำเนินคดี เราก็เตรียมหลักฐานในส่วนนี้ไว้แล้ว ซึ่งตนในฐานะทนายความก็ต้องทำไปตามพยานหลักฐานว่าไม่ใช่การเตะ ซึ่งตนเองในฐานะทนายความคิดว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะรู้กันดีว่าเหตุการณ์มันคืออะไร

ความจริงแล้วมันมีที่มาที่ไปก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวขึ้น คือ ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ คนอื่นเข้ามาบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้เป็นการบุกรุก และนายเดวิดเคยให้บุคคลในวันนั้นออกไปจากบริเวณดังกล่าว ส่วนกรณีที่ภรรยานายเดวิดต่อว่าแพทย์หญิงและเพื่อน นายเดวิด และทนายความไม่ได้ตอบ เรื่องนี้

ขณะที่ นายเกษม จันทร์ดำ พ่อของแพทย์หญิง กล่าวว่า หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับเป็นคดีแล้ว ทางลูกสาวยืนยันว่าจะดำเนินคดีข้อหาถูกทำร้ายร่างกาย และจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ที่ถูกเหยียดหยามเรื่องเพศสภาพหญิงไทย รวมทั้งไม่อยากให้คนไทยที่มาอยู่ภูเก็ต หรือคนภูเก็ตเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเธอในขณะที่เดินอยู่บริเวณชายหาดสาธารณะ

และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการดูแลคนไทยในภูเก็ต แม้กระแสการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ไม่ควรจะละเลยคนไทย เหตุที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เนื่องจากคำพูดที่ว่า คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษคนไทย จึงทำให้ลูกสาวรู้สึกว่า จะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ส่วนที่คู่กรณีออกมาบอกว่า ไม่ได้เตะแต่เป็นการล้มใส่ ซึ่งประเด็นนี้ ตั้งข้อสังเกต ว่าหากเป็นการล้มใส่ ของคนที่ตัวโตน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม น่าจะไม่ใช่แค่จุก น่าจะล้มไปทั้งตัว หากล้มใส่จริง มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปด่าลูกสาวของตนและเพื่อนที่ไปด้วยกัน ส่วนของสภาพจริงของลูกสาวแม้ว่าจะมีความระแวงและกังวล แต่เธอก็ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งทางครอบครัวก็เคารพสิทธิและการตัดสินใจของเธอ

ทางด้าน พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้ว เบื้องต้น พญ.ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีการตรวจร่างกายจากแพทย์ เนื่องจากผู้เสียหายระบุถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนคู่กรณีที่ถูกระบุว่าเป็นชายชาวต่างชาติเจ้าของวิลล่าหรูริม อ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง นั้น ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความกรณีที่ พญ.บุกรุกตามที่มีการกล่าวอ้างในวันเกิดเหตุ

สำหรับเหตุการณ์นี้ ทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนกรณีภรรยาชาวต่างชาติอ้างว่ารู้จักกับนายตำรวจใหญ่ หรือ มีลูกเป็นตำรวจนั้น ใครๆ ก็พูดได้ ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับรูปคดี ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top