Monday, 20 May 2024
ณัฐวุฒิ

“แรมโบ้” สวน "ณัฐวุฒิ" ไม่สมควรออกมาโหนกระแสเรื่องหมูแพง กลายเป็นหาเรื่องเข้าตัว อาจถูกย้อนสมัยเป็นอดีตรมช.พาณิชย์ปี 56 ตอบคำถามสื่อในโครงการรับจำนำข้าวที่ขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทไม่ได้

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) กล่าวถึงสถานการณ์โรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ที่ส่งผลกระทบทำให้หมูขาดตลาดและราคาหมูแพงเข้าขั้นวิกฤต ซึ่งเรื่องเกิดตั้งแต่ปี 2561 มีการระบาดแพร่กระจายในหลายประเทศ จนเมื่อเดือนเมษายน 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีขอความเห็นชอบประกาศการเฝ้าระวังป้องกันโรคอหิวาต์หมูเป็นวาระแห่งชาติ จากวันนั้นจนถึงวันนี้มีการขอความเห็นชอบที่ประชุม ครม.อนุมัติงบประมาณดำเนินการเรื่องนี้รวมทั้งสิ้น 5 ครั้ง ในวงเงินกว่า 1,500 ล้านบาท เป็นการทำกันเอง รู้กันเอง อนุมัติกันเอง ระหว่างส่วนราชการและฝ่ายบริหารเท่านั้น

ประชาชนคนไทยพึ่งทราบเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐวันที่ 11 มกราคมนี้เองว่าตรวจพบเชื้ออหิวาต์หมูในประเทศไทย โดยนายเสกสกล ระบุว่า เรื่องนี้รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้นิ่งนอนใจ รับทราบดีถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนดี และในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติงบประมาณ 574 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาหมูแพงไปแล้ว และยังได้กำชับให้รัฐมนตรีและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด 

นายเสกสกล กล่าวว่า นายณัฐวุฒิ ไม่ควรจะมาโหนกระแสเอากับเรื่องนี้ ให้เรื่องมันเข้าตัวเปล่าๆ นายณัฐวุฒิเคยมีโอกาสเป็นเสนาบดี จากการเป็นแกนนำม็อบที่เชิญชวนคนออกมาทำร้ายบ้านเมืองก็ถือเป็นเรื่องตลกร้ายอยู่แล้ว แต่พอได้ดีเป็นเสนาบดีก็ยังแอบลุ้นว่าจะทำงานได้หรือไม่ ในที่สุดก็พบว่าฮากว่า และเชื่อว่านายณัฐวุฒิคงยังจำได้ดี เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ตอนปี 56 ที่ไม่สามารถตอบคำถามสื่อมวลชนได้กรณีที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับโครงการจำนำข้าว ที่ขาดทุนถึง 2.6 แสนล้าน จนท้ายที่สุดต้องยิ้มหน้าเจื่อนเพราะขำไม่ออก ที่ไม่สามารถชี้แจงข้อมูลได้ ดื่มแต่น้ำเปล่าจนหมดไปหลายแก้ว  ถือเป็นอดีตที่ฝังใจนายณัฐวุฒิ ที่อยากจะลืมแต่ก็คงลืมไม่ลง

นักกฎหมาย ชี้ ‘ณัฐวุฒิ’ ไม่เข้าลักษณะ ‘ผู้ช่วยหาเสียง’ ส่อ!! เข้าข่ายครอบงำพรรค หวั่นเข้าเงื่อนไขยุบพรรค

(10 มี.ค. 66) สืบเนื่องจากกรณีนายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยปราศรัยบนเวทีพรรคเพื่อไทย แม้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญและร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ ‘ดร.ณัฎฐ์’ นักกฎหมายมหาชน ได้แสดงความเห็นทางกฎหมายว่า…

“โครงสร้างพรรคการเมือง ตาม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ไม่ได้บัญญัติกำหนดตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ตำแหน่งดังกล่าวไม่มีกฎหมายรองรับ เป็นเพียงตั้งกลุ่มขึ้นมาทำกิจกรรมทางการเมืองโดยใช้เทคนิคเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หากพรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรค หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยไม่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ให้ตั้งข้อสังเกตว่า ตามริมถนนสาธารณะทั่วไป แผ่นป้ายนโยบายของพรรคเพื่อไทย เป็นรูปภาพ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แต่กลับไม่มีภาพการนำเสนอนโยบายของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยมาเสนอต่อประชาชน จึงตั้งข้อสังเกตว่า ค่าใช้จ่ายของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยจะนำมารวมเป็นค่าใช้จ่ายเป็นเกณฑ์ชี้แจงค่าใช้จ่ายต่อ กกต.หรือไม่” ดร.ณัฐวุฒิ กล่าว

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่าปัญหาเกี่ยวกับระเบียบ กกต.ว่า ด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ. 2561 ได้ให้คำนิยามคำว่า ‘ผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง’ หมายถึง ‘ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตามกฎหมาย’ ซึ่งบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองถูกจำกัดสิทธิ์ ใช้สิทธิ์เลือกตั้งจนกว่าที่จะพ้นระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ถึงจะเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ. 2561 ดังนั้น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและถูกตัดสิทธิ์การเลือกตั้ง จึงไม่อาจเป็นผู้ช่วยหาเสียง ตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ. 2561 ได้

ส่วนรัฐธรรมนูญ หมวด 3 ให้สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 34 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามที่บัญญัติแห่งกฎหมาย เมื่อพิจารณาถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและไม่ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียง เพราะขาดหลักเกณฑ์ในการเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จึงมีลักษณะเป็นการควบคุมครอบงำหรือชี้นำกิจการของพรรคในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ตามความในมาตรา 29 แห่ง พรป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รับจ้างเป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย สามารถกระทำได้หรือไม่ ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าหากเป็นสัญญาจ้างทำของ มุ่งถึงความสำเร็จของงานเป็นหลัก สามารถกระทำได้ แม้ไม่ได้มีสัญญาว่าจ้าง แต่ต้องแจ้ง กกต.ประจำจังหวัดในพื้นที่ในวันที่หาเสียงหรือปราศรัย แต่เงื่อนไขสำคัญหลัก ต้องพิจารณาถึงรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่พรรคเพื่อไทย ชี้แจงต่อ กกต.เป็นการจ้างทำของหรือไม่

นอกจากนี้ จะต้องพิจารณาถึงคำปราศรัยจ้างในการหาเสียง เป็นผู้กำกับ ควบคุมเองหรือไม่อย่างไร เท่าที่ติดตามข่าว เห็น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย จ้างหลักร้อย เล่นหลักล้าน ต้องมาถอดคำปราศรัยว่า การปราศรัยหรือหาเสียง ครอบงำพรรคหรือไม่ แม้ไม่ผิดระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561 โดยอาศัยช่องจ้างทำของ แต่ติดเงื่อนไขห้ามมิให้ผู้ใดมิใช่สมาชิกกระทำการใดควบคุม ครอบงำพรรค

“พูดภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่า ระหว่างคุณเต้น ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สถานะทางกฎหมายพรรคการเมืองไม่ต่างกัน เมื่อเป็นผู้ช่วยหาเสียงไม่ได้ ออกช่องรับจ้างทำของ แต่ติดกับดัก มาตรา 28 มาตรา 29 แห่งกฎหมายพรรคการเมือง เป็นอันตรายแก่พรรคการเมือง ซึ่งกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 28 ห้ามไว้โดยชัดแจ้งห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกพรรคครอบงำพรรค ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ยุบพรรคตามมาตรา 92 (3) ตรงนี้ ผมพูดตามหลักกฎหมาย เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” ดร.ณัฐวุฒิ กล่าว

เมื่อถามว่า กระแสวันประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยวานนี้ (9 มี.ค. 66) กระแสปั่น 310 ที่นั่ง จะเป็นพรรคการเมืองตั้งรัฐบาลพรรคการเมืองเดียว มีความเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า กระดานการเมืองของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่อยู่ที่ได้จำนวนเท่าไหร่ แต่จำนวนที่คาดหมายเป็นการปั่นกระแส หากเป็นรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 อาจเป็นไปได้ แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ได้ออกแบบ สว.จำนวน 250 เสียงและลงมติเห็นชอบร่วมตามมาตรา 272 โอกาสจัดตั้งรัฐบาลพรรคการเมืองเดียว ยืนยันว่าโอกาสน้อย หรือว่า แทบไม่มีโอกาสเลย

‘ณัฐวุฒิ’ แนะพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล ทำงานใหญ่ ใจต้องใหญ่กว่า ย้ำ แต่ละฝ่ายหาจุดลงตัว ตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย ตามคำสั่งประชาชน

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ ถึงกรณีความขัดแย้งของผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ต่อกรณีการจัดตั้งรัฐบาล โดยระบุว่า

“เห็นต่างโต้แย้งธรรมดารัฐบาลผสม พรรคแกนนำยิ่งต้องเพิ่มความถี่พูดคุยเอาเหตุผลแต่ละฝ่ายหาจุดลงตัว ตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย ตามคำสั่งประชาชนไม่บิดพลิ้ว

ทำงานใหญ่ใจต้องใหญ่กว่า ซีนงอกแบบไม่ไว้ใจเพื่อนก็หยุดเสีย ไม่เชื่ออย่าใช้ ถ้าจะใช้ก็ต้องให้เกียรติกัน ใจเย็นๆทั้งผู้เล่นทั้งกองเชียร์”

'ณัฐวุฒิ' เชื่อ!! ดร.ทักษิณไม่มีส่วนรู้เห็นกับการยึดอำนาจ ปี 57 ชี้!! แผนการยึดอำนาจ ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงต้น รบ.ยิ่งลักษณ์

(1 ส.ค. 66) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมและพี่น้องแกนนำ นปช.ที่ยังคิด คุยร่วมกันอยู่ เห็นตรงกันและเชื่อว่า ดร.ทักษิณ ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการยึดอำนาจ ปี 2557

มุมวิเคราะห์ที่แกนนำหลัก 'ทุกคน' เห็นตรงกันตลอด คือ แผนการยึดอำนาจนี้ ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประยุทธ์พูดเองว่าเตรียมการมา 3 ปี กปปส.ชุมนุมไปสักพัก พวกเราก็พูดตรงกันแล้วว่าจะเกิดรัฐประหาร ทฤษฎีสมคบคิดแบบเดิมจากการยึดอำนาจปี 49 ไล่ลำดับเหตุการณ์เป็นแบบเดียวกัน 

ชุมนุมต่อเนื่อง ยุบสภา บอยคอตเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง เลือกตั้งโมฆะ เรียกร้องรัฐบาลนอกกติกา สร้างเงื่อนไขปิดทุกทางออก และยึดอำนาจ 

ความขัดแย้งระหว่างบุคคลเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประวัติศาสตร์องค์กร นปช. กำลังถูกอธิบายด้านเดียว และถูกบันทึกไปเช่นนั้น ทั้งที่หลายอย่างคลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน 

>> นปช.ไม่ได้ดำรงสภาพหลายปีแล้ว 
เหตุแยกทางคือ การไม่ได้ยึดถือแนวปฏิบัติที่เราทำกันมา มีการตกลงตั้งพรรคการเมืองกับบุคคลอื่น โดยไม่ได้หารือในที่ประชุม 

ไม่มีใครหลอกได้ ถ้าเราคุยในที่ประชุม ตามที่ผมและ อ.ธิดาเรียกร้องหลายรอบ เรื่องพรรคไทยรักษาชาติมาทีหลัง ไม่เกี่ยวกับช่วงเวลาตั้งพรรคเพื่อชาติ ที่ไปตกลงนอกวง ไม่บอกพี่น้องที่สู้มาด้วยกัน 

‘จตุพร’ ฉะ!! ‘ณัฐวุฒิ’ ปกป้องทักษิณให้แต่พองาม อย่าล้ำเส้น ลั่น!! หลังจากนี้อยากจะรบกันก็เชิญตามสบาย พร้อมเสมอ

(2 ส.ค. 66)  นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘กี่ม้วนจบ’ โดยตอบโต้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยที่ออกมาปกป้องทักษิณ ชินวัตร แบบล้ำเส้น หาเศษหาเลย พร้อมท้าวัดใจจุดยืนไล่คนตระบัดสัตย์หรือหากต้องการรบกันก็พร้อม นายณัฐวุฒิ หรือ เต้น หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์เพจเมื่อ 1 ส.ค. 66 เพื่อแก้ต่างให้ทักษิณ 2 กรณี คือ หนึ่งไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับทหารและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจปี 2557 และสองถึงการอธิบายประวิติศาสตร์ นปช.แตกแยกเพียงด้านเดียวอย่างคลาดเคลื่อน ทั้งที่แยกทางกันมีเหตุมาจากแอบตั้งพรรคเพื่อชาติ ซึ่งไม่ได้บอกพี่น้องสู้รบมาด้วยกัน

นายจตุพร โต้กลับกรณีพรรคเพื่อชาติ ซึ่งเคยอธิบายมาหลายครั้งว่า การพูดครั้งนี้จะไม่เกรงใจกันอีก เพราะนายณัฐวุฒิ ยกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยก่อนเลือกตั้งปี 2562 ตนติดคุกอยู่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช คนสนิทของทักษิณ และคณะ นปช. ไปเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมหารือสถานการณ์ทางการเมืองตามโอกาสอำนวยให้พูดคุยกัน นายยงยุทธ ยกกรณี รธน. 2560 เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่กำหนดใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวกับการออกเสียงสองระบบ คือ สส.เขตและบัญชีรายชื่อ โดยตนมีความเห็นว่ารวมกันแพ้ แยกกันชนะ และนายยงยุทธ บอกว่า ทักษิณ ให้มาช่วยพรรคเพื่อชาติเก็บแต้มให้ฝ่ายประชาธิปไตย แต่ตนขอให้ทักษิณบอกด้วยตัวเอง

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนั้นนายณัฐวุฒิ ยังไม่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง แต่ตนติดคุกจึงถูกตัดสิทธิ์ อีกทั้งเคยประกาศเดิมพันไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งถ้า รธน. 2560 ทำประชามติผ่าน จึงยึดเป็นสัจจะวาจา ซึ่งไม่เป็นปัญหาอะไรกับตนเลย

"ผมไม่รู้ทักษิณคิดจะทำอะไร หลังจากออกจากคุก ทักษิณ ได้พูดกับผมว่า ให้มาช่วยพรรคเพื่อชาติ ผมก็รับปาก และไม่รู้ว่าเขาวางแผนคิดจะทำพรรคไทยรักษาชาติอีกพรรคหนึ่ง วันหนึ่งจึงมาพูดกลางวงประชุม นปช.แต่ท้ายที่สุดมีความเห็นแตกต่างกัน"

นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากเกิดพรรคไทยรักษาชาติขึ้น นายณัฐวุฒิ พาคณะชุดหนึ่งไปสังกัด ตนพาอีกชุดมาช่วยพรรคเพื่อชาติ แล้วต่อมาจึงรู้ว่า ถูกหลอกตั้งแต่รู้ว่า ลูกชายนายยงยุทธ ไปเป็นเลขาพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อผีถึงป่าช้าก็พูดไม่ออก

"ปรากฎว่า มารู้ภายหลังว่า โดนหลอกกันรอบวง คุณหญิงสุดารัตน์ (เกยุราพันธุ์) ไม่รู้เช่นกันว่าทูลกระหม่อมฯ มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติ ถ้ารู้ก็ไม่มีวันจะกล้าเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยเลย ผมพยายามส่งความให้คิดกันให้ดี แต่คณะ นปช.ไม่มีใครฟังผมหรอก"

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง พรรคเพื่อชาติกลับเป็นที่สนใจมีผู้สมัครลงเลือกตั้งจำนวนมาก จึงถูกสกัดไม่ให้โตมากเกินไปเพื่อหลีกทางให้พรรคไทยรักษาชาติได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ถึงที่สุดจึงรู้ข้อมูลว่า เป็นแผนแยกสลาย นปช. เท่ากับทักษิณ เสียสัจจะวาจาต่อตน

ส่วนนายณัฐวุฒิ บอกว่าไทยรักษาชาติมาทีหลัง นายจตุพร กล่าวว่า หากไม่รู้เกมทั้งหมดแล้ว นายยงยุทธ จะเอาลูกชายไปเป็นเลขาธิการพรรคได้อย่างไร แล้วยังเอาน้องสาวไปอยู่พรรคเพื่อไทย ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ร่วมมือกัน

นายจตุพร กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองว่า นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ นักธุรกิจ เจ้าของห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ถูกจัดวางให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ โดยลูกชายไปลง ส.ส.เพื่อไทย และลูกสาวของนายยงยุทธ ลงบัญชีรายชื่อลำดับที่สองพรรคเพื่อชาติ ดังนั้น ความสัมพันธ์นี้จึงเป็นเรื่องเดียวกันและเป็นข้อตกลงที่ถูกวางแผนกันไว้หมด โดยที่ตนไม่รู้มาก่อนจะมีพรรคไทยรักษาชาติอีก แล้วเกมนี้ยังมุ่งแยกสลายองค์กร นปช.ด้วย

สิ่งสำคัญ นายจตุพร ยอมรับว่า ถูกทักษิณหลอก ขณะที่นายณัฐวุฒิ ถ้าคิดภักดีกับพรรคเพื่อไทยจริง เมื่อไทยรักษาชาติถูกยุบพรรค ก็คงไม่ไปตั้งพรรคเส้นทางใหม่ร่วมกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง มีออฟฟิตใหญ่โต สวยงามบนพื้นที่ 2 ไร่ที่ปากเกร็ด นนทบุรี ดังนั้น ย่อมพิสูจน์ว่า ถ้าศรัทธาเพื่อไทยจริงจะแยกไปตั้งพรรคเส้นทางใหม่ได้อย่างไร นอกจากนี้ หากนายณัฐวุฒิไม่รู้ว่าถูกหลอกแล้ว เมื่อพิจารณาการจัดลำดับบัญชีรายชื่อไทยรักษาชาติ นายณัฐวุฒิ ได้เป็น ส.ส.เพียงคนเดียวของ นปช. ส่วนคนอื่นอยู่ในลำดับที่ไกลและยากที่จะได้เป็น ส.ส.

"เมื่อต้องการพูดเรื่องนี้กันอีก ทั้งที่พูดกันมาหลายครั้ง และผมยอมรับว่า ถูกทักษิณ หลอก ถ้าไม่พูดกับผมก็ไม่มีวันไปช่วยพรรคเพื่อชาติ และถ้าพาพี่น้องไปไทยรักษาชาติ ถ้ามีโอกาสได้เป็น ส.ส.คนเดียวแล้ว มันไม่ใช่นิสัยผม"

ต่อมามีการยุบสภา นายจตุพร กล่าวว่า ทักษิณได้ส่งสัญญาผ่านบุคคลที่ตนเกรงใจให้กลับไปช่วยกันอีกครั้งหนึ่ง ตนกับนายณัฐวุฒิได้คุยกัน ซึ่งเป็นการคุยกันครั้งสุดท้าย คุยอย่างเป็นทางการ โดยสรุปว่า ตัดสินใจกันอย่างไรก็บอกด้วย แต่ขณะนั้นตนไม่คิดกลับเพื่อไทยเลย แล้วมารู้อีกทีนายณัฐวุฒิ เป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย โดยไม่ได้บอกกันสักคำ

นายจตุพร กล่าวถึง นปช.กลับไปอยู่เพื่อไทยว่า มี 3 คน นายสงคราม จากเพื่อชาติได้เป็น สส. ลูกนายยงยุทธ ลงเขตเชียงราย ได้เป็น ส.ส. แต่อีกคนไม่ได้เป็น ส.ส. ดังนั้น ถ้าไม่มีความสัมพันธ์กัน หรือไม่รู้เห็นกันสถานการณ์นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ส่วน คน นปช.นายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้ลำดับไกลมากถึงที่ 36 ไม่ได้เป็น ส.ส. สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งเพื่อไทย เพื่อชาติ และไทยรักษาชาติ มีความสัมพันธ์โยงกันหมด เมื่อ นปช.มาคุยกันก็เป็นคนละเรื่อง ถ้าไม่ใช่ทักษิณวางแผน รู้เห็นกันแล้ว นายสงครามและนายยงยุทธ จะแยกพ่อ ลูก และน้องสาวไปลงต่างพรรคกันได้อย่างไร แล้วยังพากันกลับมาเพื่อไทยในครั้งนี้อีกด้วย ดังนั้น ใครจะพูดอย่างไรก็พูดได้ แต่ข้อเท็จจริงคือ นปช.ที่แยกกันออกไป ต่างลง ส.ส.ในไทยรักษาชาติ และเพื่อชาติ ยกเว้นอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ คนเดียวไม่ลง ส.ส.

“ส่วน นปช.ก็แยกกันแล้ว ต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด งานบุญก็แยกกันทำแล้ว จะคุยกันทำแมวอะไร ไม่มีประโยชน์ และผมเป็นตัวของผม ไม่ได้ใช้ตำแหน่ง นปช.เลย ครั้งหนึ่งเคยเสนอให้ยุติบทบาท แล้วส่งไม้ให้คนรุ่นใหม่ไป เมื่อไม่เห็นด้วยก็ต่างคนต่างอยู่ อีกอย่างผมไม่ได้ช่วยพรรคการเมืองใด ถ้าณัฐวุฒิมาอธิบายเพื่อปกป้องทักษิณ ก็เอาให้พอดีพองาม อย่าหาเศษหาเลยกัน”

นายจตุพร กล่าวถึงการยึดอำนาจปี 2557 ซึ่งทักษิณ เกี่ยวข้องหรือไม่ ว่า เมื่อนายณัฐวุฒิ โพสต์เองว่า พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมการตอนต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกเหรอ เมื่อเลือกตั้งปี 2554 นั้น เพื่อไทยชนะม้วนเดียวจบเนื่องจากคนเสื้อแดงถูกปราบตายร่วมร้อยศพ บาดเจ็บสองพัน สูญสิ้นอิสรภาพนับไม่ถ้วน จนนำไปสู่การเลือกเพื่อไทยได้ 265 เสียง ส่งให้ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งและชนะกันนั้น ถ้าสำนึกบุณคุณประชาชน ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันไปต่อสู้จนได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง สิ่งแรกจึงต้องตอบแทนเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างช่วงนี้ เมื่อนายณัฐวุฒิ มีโอกาสเป็นรัฐมนตรีก็ยินดีด้วย

“การตั้งรัฐบาลครั้งแรก ณัฐวุฒิก็อยู่ที่บ้านผม ทักษิณโทรมา ผมขออนุญาตเปิดเสียงให้ณัฐวุฒิได้ยิน ทักษิณถามถึงเรื่องรัฐมนตรี ผมว่าถ้าจะตั้งต้องตั้งทั้งสองคน ถ้าไม่ตั้งก็อย่าเกรงใจ ไม่ต้องตั้งพวกผมก็ได้ ดังนั้น นปช.จึงไม่มีรัฐมนตรีครั้งแรกสักคนเดียว ซึ่งผมไม่มีปัญหา เพราะเป็น ส.ส.อยู่”

นายจตุพร กล่าวว่า การตั้ง ครม.ครั้งสอง นายณัฐวุฒิ ได้เป็น ตนไม่มีปัญหาอะไร แต่ปรับ ครม.ทักษิณ จะเอานายณัฐวุฒิออก เอาตนเข้าแทน ซึ่งตนก็ไม่ให้ความร่วมมือด้วย และไม่เอา เพราะไม่อีนังขังขอบอะไรด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผิดพลาดอย่างยิ่งคือ เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ใช้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเครื่องค้ำประกันและรักษารัฐบาล เมื่อตนวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ด้านอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โทรมาขอไม่ให้วิจารณ์ รวมทั้ง เกิดเรื่องสารพัด และเคยเตือนว่าจะมีการรัฐประหาร

นอกจากนี้ ขบวนการเสื้อแดงยังเหลวแหลกหมด ทักษิณ จัดการสัมพันธ์ตรงไปพบที่ต่างประเทศ แล้วได้สิ่งของราคาแพงมียี่ห้อสูงเป็นของขวัญ แล้วยังส่งไลน์รายงานความเคลื่อนไหวให้ทักษิณรับทราบอีกด้วย แล้วใครจะคิดอยากต่อสู้ในภาคสนามกัน อีกอย่างระบบ นปช.เป็นเรื่องจิตวิญญาณการต่อสู้ ชีวิตแลกชีวิต แต่กลับเอาผลประโยชน์และการพึ่งพา พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นการบริหารจัดการแทนความสามัคคีของมวลชน

“เมื่อณัฐวุฒิ บอกว่า การยึดอำนาจก่อตัวช่วงต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะการพึ่งพาพล.อ.ประยุทธ์ คือการละทิ้งประชาชน แล้วยังวางแผนปลด พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ออกจาก รมว.กลาโหม เพราะรู้ทันทหาร อีกอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ขอตำแหน่งต่างๆ ในตำรวจให้พรรคพวก ก็ยังยอมอีก

นอกจากนี้ เหตุการณ์ต่างๆ ได้เดินมาถึงออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย โดยแทรกให้คดีทุจริตเพื่อปลดปล่อยทักษิณ ได้กลับบ้าน เท่ากับเป็นการทำลายความหวังคนเสื้อแดงให้ย่อยยับจนมลายหมดสิ้น ประกอบกับ กปปส. ลงถนนเปิดฉากต่อต้านครั้งใหญ่ แล้วอีกไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยึดอำนาจ เพราะทักษิณ สกัดสั่งห้ามเติมกำลังเสื้อแดงไปชุมนุมที่ถนนอักษะ

นายจตุพร กล่าวถึงการชุมนุมเมื่อปี 2553 ว่า นายณัฐวุฒิ รับผิดชอบดูแลทุกอย่างและทั้งงบประมาณ ตนกับนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยในด้านงบประมาณ มาถึงการชุมนุมปี 2557 ได้แบ่งงานกันทำ ทักษิณ รับผิดชอบสั่งการระดมคนมาชุมนุม นปช.รับงานเวทีชุมนุมไม่ยุ่งเกี่ยวงบประมาณ

“ตลอดการชุมนุมจะมีคนรองรังอยู่พื้นที่ชุมนุมจนรุ่งเช้าไม่น้อยกว่า 3- 4 หมื่นคน ส่วนช่วงหัวค่ำมีการระดมคนมาชุมนุมวันละไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นถึงแสนคน แต่ 21 พ.ค. 2557 วันที่ พล.อ.ประยุทธ์ นัดให้แกนนำมาคุยหารือตกลงกันที่หอประชุมกองทัพบก

นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วงเช้ามืด ก่อนไปพูดคุยตามนัด ตนตระเวณดูพื้นที่ พบผู้ชุมนุมหายแทบหมด เหลืออยู่ประมาณ 3-4 ร้อยคน ตกใจมาก คิดว่าถูกทำงานแล้ว อย่างไรก็ตาม คนเดียวที่ทำงานได้คือ ทักษิณ ถ้าไม่รู้เห็นด้วย คนไม่หายไปขนาดนี้ จึงเท่ากับเปิดโอกาสให้ยึดอำนาจได้ง่ายดายเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เพราะไม่มีกำลังต่อต้านและสถานการณ์ขณะนั้น เราสู้ไม่ได้แล้ว

"ผมบอกเรื่องนี้ว่า ตั้งแต่เป็นรัฐบาลแล้วยอมเปลี่ยน รมว.กลาโหม ไม่เรียกว่าสมคบคิดกันได้อย่างไร เพราะเกิดวิวัฒนาการตามมาเป็นลำดับ มีการต่อรองกับทหารตามเรื่องราวเป็นตอนๆ ไป อีกทั้งคดีจำนำข้าวใกล้เข้าสู่ช่วงการตัดสิน ชี้ขาด ส่วนเรื่องในศาล รธน.แพ้หมด ช่วงนั้นรัฐบาลเอาสถานการณ์ไม่อยู่แล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า แม้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณการชุมนุม แต่ถูก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวหามีคนได้ประโยชน์จากงบประมาณจนต้องกลืนเลือด แล้วสุดทนเมื่อทักษิณ ไลน์เป็นข้อความอังกฤษถึงบางคน ซึ่งแปลได้ว่า "เลวมาก" ตนได้แค่อมยิ้ม เพราะรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และเลือดที่อมไว้ก็ทะลักมาถึงคอหอย แล้วพุ่งสำลักออกมา

"ณัฐวุฒิจะคิดอย่างไรกับผมก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย และประวัติศาสตร์การต่อสู้หาความสำราญได้ตามสบาย ผมเป็นคนไม่ต้องการอะไรแล้ว ไม่ต้องการคำสรรเสริญเยินยอ ไม่ต้องการแนวร่วมมวลชน หรือให้คนตามมาเห็นด้วยจำนวนมาก เพราะผมผ่านเลยมาหมดแล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า หลังประกาศแยกทางกับทักษิณ อย่างชัดเจน มานั่งจัดรายการ ถ้านั่งวิจารณ์วันเดียวแล้วหยุดจะกลายเป็นคนชั่วทันที เพราะคนจะเชื่อทักษิณ 99 คน เชื่อผมคนเดียว จึงต้องพูดทุกวัน ถ้าไม่จริงให้ออกมาชี้แจ้ง ให้เรียงหน้ากันมาตอบโต้ ซึ่งแกนนำสำคัญ คนใหญ่ๆ ของพรรคเพื่อไทยแทบไม่ตอบเลยอีกทั้ง กล่าวว่า นายณัฐวุฒิ นึกอะไรไม่ออกก็เฉียดกรณีตั้งพรรคเพื่อชาติมาหลายครั้ง ตนก็อธิบายไปทุกครั้งและยอมรับว่าถูกทักษิณหลอก แล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า พรรคเพื่อไทย เพื่อชาติ และไทยรักษาชาติ เป็นเรื่องเดียวกันหมด ตัวแสดงสัมพันธ์กัน มีพ่อ-ลูกและน้องสาวโยกย้าย แยกกันลงสมัคร สส.พลัดเปลี่ยนกันไป แล้วมาอยู่ที่เพื่อไทยในขณะนี้

"ถ้าต้องการจะอธิบาย หลังจากนี้อยากจะรบกันก็เชิญตามสบาย ณัฐวุฒิ ไม่กลัวใคร และณัฐวุฒิก็รู้ว่าผมก็ไม่กลัวใครเหมือนกัน ก็มาเลยตามสบาย และหลังจากนี้ไป หากณัฐวุฒิยังจำคำพูดแรกๆ ของตัวเองในเวทีชุมนุมสนามหลวง ที่พูดว่า “ถ้าทักษิณ ไปสมคบคณะยึดอำนาจ จะออกมาไล่ทักษิณเอง" ได้หรือไม่? หากลืมยังมีแผ่นซีดีเอาให้ฟังได้

นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากนี้ไปนายณัฐวุฒิ อยู่ในชุดปราศรัย พูดชัดเจนอยู่แล้ว และอย่าคิดเลี่ยงคำลุง เพราะปราศรัยทุกที่ระบุถึงแต่พรรคพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ไล่หนูตีงูเห่า ไปยำประชาธิปัตย์ที่ภาคใต้ วันใดพรรคเพื่อไทยไปร่วมกับพรรคเหล่านี้ และนายณัฐวุฒิยังอยู่ก็ต้องวัดใจกัน

"เมื่อผมวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองตระบัดสัตย์ ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นใคร ถ้าตระบัดสัตย์วันไหน ที่คุณโพสต์มาคำไหนคำนั้น ไม่ลืม ขณะนี้ก็เป็นเช่นนั้น เราต้องวัดใจกันว่า ถึงเวลาใครจะได้แสดงจุดยืน ซึ่งอาจหมายถึงส้นตีนด้วยก็ได้ แน่นอนการเสียสัจจะวาจาผมรับไม่ได้ ในฐานะประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์พฤษภา 2535 จนเป็นจุดชี้ขาดในเรื่องนายกฯ ตระบัดสัตย์"

ประเทศไทยต้องมาก่อน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top