Monday, 13 May 2024
ขนส่ง

อย่าหลงเชื่อ ขนส่งฯ เตือน!! 100 เพจปลอม อ้างรับทำ ‘ใบขับขี่’ ชี้!! ใครปลอมแปลงเอกสารราชการ มีโทษหนัก

ขนส่งฯ เผย ‘100 เพจปลอม’ หลอกลวง อย่าเชื่อมิจฉาชีพอ้างรับทำ ‘ใบขับขี่’ ได้

(8 มี.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News’ เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ระบุว่า กรมการขนส่งทางบก เผยรายชื่อเพจมิจฉาชีพทำใบขับขี่ปลอมทางออนไลน์กว่า 100 เพจ สามารถตรวจสอบได้ที่คิวอาร์โค้ดของกรมการขนส่งทางบก เตือน!!! ประชาชนอย่าหลงเชื่อและอย่าโอนเงินโดยเด็ดขาด ย้ำหากพบการปลอมแปลงใบขับขี่หรือแอบอ้างอบรมต่ออายุใบขับขี่แทน จะดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนขั้นสูงสุดทุกราย

นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกขอเตือนประชาชนที่ต้องการทำธุรกรรมด้านใบขับขี่กับกรมการขนส่งทางบก หลังพบเพจเฟซบุ๊กปลอมรับทำและรับอบรมต่อใบขับขี่ปลอมเป็นจำนวนมาก โดยพฤติกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพจะนำรูปตราสัญลักษณ์กรมการขนส่งทางบกมาใส่ในรูปโปรไฟล์ หรือนำรูปภาพของผู้ที่ได้รับใบขับขี่มาแอบอ้าง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยจะโฆษณาหลอกลวงว่าสามารถออกใบขับขี่โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานขนส่ง และมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอยู่ที่ประมาณ 1,000 - 6,000 บาท

เมื่อผู้เสียหายโอนเงินไปแล้วจะเรียกร้องให้โอนเงินเพิ่มอีกและเงียบหาย ไม่สามารถตามคืนได้หรือจะได้รับใบขับขี่ปลอม รวมทั้งยังมีการแอบอ้างในการอบรมต่ออายุใบขับขี่แทน โดยกลุ่มมิจฉาชีพมีพฤติกรรมแอบอ้างว่าจะอบรมต่ออายุใบขับขี่แทนผู้เสียหายและจองคิวให้ผู้เสียหายเข้ามาถ่ายรูปทำใบขับขี่ ณ สำนักงานขนส่ง พร้อมหลอกให้ผู้เสียหายส่งหน้าบัตรใบขับขี่และโอนเงินไปให้ หรือโฆษณาหลอกลวงว่า “ใบขับขี่หมดอายุ ไม่มีเวลาอบรม รับจองคิวพร้อมอบรมต่ออายุใบขับขี่ทุกชนิด เจ้าตัวต้องเข้าไปถ่ายรูปทำบัตรด้วยตนเองที่สำนักงานขนส่ง”

กรมการขนส่งทางบกขอเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อหรือทำธุรกรรมกับเพจเหล่านี้เด็ดขาด!!! จะทำให้สูญเสียทรัพย์สินและเอกสารส่วนบุคคล และเสี่ยงได้รับใบขับขี่ปลอม ซึ่งผู้หลงเชื่อจะมีความผิดฐานปลอมแปลงหรือใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษถึงขั้นจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท

บุคคลที่แอบอ้างว่าสามารถอบรมต่ออายุใบขับขี่แทนได้ก็เข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดซึ่งจะมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานปลอมแปลง หรือใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

นอกจากนี้ บุคคลที่จัดทำเพจเฟซบุ๊กปลอมรับทำและรับอบรมต่อใบขับขี่ปลอม ซึ่งถือเป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า กรมการขนส่งทางบกได้ตรวจสอบเพจปลอมที่แอบอ้างรับทำใบขับขี่และติดตามดำเนินการทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแจ้งเรื่องร้องเรียนหรือเบาะแสมายังกรมการขนส่งทางบก และทางกรมฯได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 52 ราย รวมถึงยังพบเพจปลอมมากกว่า 100 เพจ โดยสามารถตรวจสอบได้ที่ https://bit.ly/3YvPwdb หรือ คิวอาร์โค้ด ตามแนบ ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดพบเพจเฟซบุ๊กปลอมขอให้กดรายงานบัญชีหรือเพจเฟซบุ๊ก (report) หรือสามารถแจ้งเบาะแสมายังกรมการขนส่งทางบกได้โดยตรง หรือโทรสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง

‘เทียนจิน’ เปิดเส้นทางขนส่ง ‘ตู้คอนเทนเนอร์’ สายใหม่ เชื่อมท่าเรือสำคัญในยุโรป เพิ่มประสิทธิภาพการส่งออก

เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, เทียนจิน รายงานว่า ‘เอชเอ็มเอ็ม’ (HMM) บริษัทขนส่งชั้นนำในเกาหลีใต้ เปิดบริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ เส้นทางตรง เชื่อมระหว่างเทศบาลนครเทียนจินทางตอนเหนือของจีนกับท่าเรือสำคัญหลายแห่งของยุโรป โดยจะใช้เรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่พิเศษ 24,000 ทีอียู (TEU : หน่วยนับตู้คอนเทนเนอร์ยาว 20 ฟุต) จำนวน 12 ลำ ออกปฏิบัติงานทุกสัปดาห์

เส้นทางการขนส่งดังกล่าวจะเชื่อมต่อเทียนจินกับหลายท่าเรือสำคัญ ได้แก่ ท่าเรืออัลเจซิราสในสเปน ท่าเรือรอตเทอร์ดามในเนเธอร์แลนด์ ท่าเรือฮัมบวร์กในเยอรมนี และท่าเรือแอนต์เวิร์ปในเบลเยียม โดยมุ่งอำนวยความสะดวกและบริการการขนส่งที่มีประสิทธิภาพสำหรับการส่งออกอุปกรณ์เครื่องกลและไฟฟ้า และสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ผลิตในจีน

ลีจูมยอง ประธานเอชเอ็มเอ็ม (ไชน่า) จำกัด (HMM (China) Co.) กล่าวว่าสินค้าที่ผลิตในจีน อาทิ เครื่องจักร ชิ้นส่วนรถยนต์ และเฟอร์นิเจอร์ สามารถจัดส่งถึงยุโรปรวดเร็วขึ้นผ่านเส้นทางดังกล่าว โดยลดระยะเวลาการขนส่งเกือบร้อยละ 15 จึงประหยัดต้นทุนด้านโลจิสติกส์สำหรับลูกค้า

อนึ่ง ท่าเรือเทียนจินเป็นท่าเรือสำคัญในภูมิภาคตอนเหนือของจีน โดยมีปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์มากกว่า 21 ล้านทีอียูเมื่อปีที่แล้ว ครองอันดับที่ 8 ของโลก


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/350018_20230407

‘ต้าเหลียน’ เปิดเส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าสู่ ‘ยุโรป’ สายใหม่ เชื่อมโยงการค้าตามแนวเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21

(9 พ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ต้าเหลียน รายงานว่า การเดินเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์สินค้าเส้นทางตรง ซึ่งเชื่อมเมืองท่าต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เข้ากับพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เริ่มต้นการดำเนินงานครั้งแรก หลังจากเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เอ็มเอสซี เคธี (MSC Katie) แล่นออกจากสถานีตู้คอนเทนเนอร์ต้าเหลียน เมื่อวันจันทร์ (8 พ.ค.) ที่ผ่านมา

เส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าเปิดใหม่นี้ ใช้เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ 11 ลำ แต่ละลำสามารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน 14,000 ตู้ ซึ่งเชื่อมโยงต้าเหลียนกับท่าเรือสำคัญหลายแห่งในกลุ่มประเทศยุโรป อย่างประเทศอิตาลีและสเปน ตามแนวเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 รวมถึงแล่นผ่านกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เช่น ประเทศอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย

‘หลีเสี่ยวกวง’ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท ต้าเหลียน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล จำกัด ในเครือบริษัท เหลียวหนิง พอร์ต กรุ๊ป จำกัด เผยว่าการเปิดเส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้านี้ เป็นประโยชน์ต่อการค้าระหว่างต้าเหลียนกับกลุ่มประเทศยุโรปอย่างมาก และจะส่งเสริมการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขัน เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า, ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์, เคมีภัณฑ์, แร่ธาตุ, เครื่องมือ รวมถึงธัญพืชและอาหารแช่แข็ง

ทั้งนี้ หลีเสริมว่า ปัจจุบันท่าเรือต้าเหลียนดำเนินงานขนส่งตู้คอนเทนเนอร์สินค้า 105 เส้นทาง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเส้นทางการค้าระหว่างประเทศ 92 เส้นทาง ครอบคลุมท่าเรือมากกว่า 300 แห่งในกว่า 160 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/356664_20230509

‘รัฐบาล’ เร่งยกระดับ ‘ท่าเรือแหลมฉบัง’ สู่ท่าเรือสีเขียว ดันเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลของเอเชียแบบไร้มลพิษ

(17 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามความคืบหน้าของการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังมาโดยตลอด โดยตั้งเป้าให้แหลมฉบังเป็นศูนย์กลางทางการขนส่ง สร้างท่าเรือสีเขียว ลดมลพิษจากการขนส่งพร้อมสร้างโอกาสให้กับธุรกิจของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องหลักพันล้านบาทต่อปี รวมทั้งได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลระดับเอเชีย

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการดำเนินการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ให้สอดคล้องกับแนวทางท่าเรือสีเขียวจะสามารถช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในท่าเรือได้อย่างมีนัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 

1. การใช้รถบรรทุกไฟฟ้าและการพัฒนาเทคโนโลยีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping) โดยหากท่าเรือแหลมฉบังเปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกไฟฟ้าราว 10% หรือประมาณ 1,000 คันต่อวัน จะช่วยลดการสิ้นเปลืองของน้ำมันดีเซลสูงถึง 50 ล้านลิตรต่อปี ประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงราว 800 ล้านบาทต่อปี และช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 มากถึง 4.8 หมื่นตัน CO2e ต่อปี  

2. การใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3 จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 11.1% CAGR ในปี 2579 ซึ่งจะใช้เงินลงทุนในการพัฒนาราว 600 ล้านบาท และสามารถลดก๊าซ CO2 เฉลี่ยปีละ 4.9 พันตัน CO2e  

3. การเปลี่ยนระบบการขนส่งตู้สินค้าเป็นทางรถไฟ โดยท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 มีแผนจะพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (Single Rail Transfer Operator: SRTO) เพิ่มความสามารถในการรองรับตู้สินค้าเป็น 6 ล้าน TEU ต่อปี ทำให้แหลมฉบังมีความสามารถในการรองรับปริมาณตู้สินค้าถึง 5.3 ล้าน TEU ต่อปี ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งราว 1.2 พันล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซ CO2 มากถึง 0.79 ล้านตัน CO2e ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายจากการพัฒนาการขนส่งทางรางของท่าเรือแหลมฉบังของภาครัฐ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ทางศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทยได้วิเคราะห์ว่า แนวทางการพัฒนาท่าเรือสีเขียว ของท่าเรือแหลมฉบังในระยะที่ 3 สามารถช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมถึงธุรกิจผลิตแบตเตอรี่อย่างน้อยราว 1.8 หมื่นล้านบาท และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เช่น ธุรกิจรับจ้างติดตั้งและก่อสร้างระบบเซลล์แสงอาทิตย์ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ประมาณ 600 ล้านบาท และในช่วงปี 2567-2578 ส่วนการเปลี่ยนระบบการขนส่งเป็นทางรถไฟมากขึ้น จะช่วยทำให้ธุรกิจผลิตหัวรถจักรไฟฟ้าได้รับประโยชน์จากการพัฒนาในส่วนนี้ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ผลักดันการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือสีเขียว เพื่อให้รองรับการเติบโตเศรษฐกิจไทย และก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลของเอเชีย รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC ประเทศไทย และประเทศในภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาท่าเรือสีเขียวตามแนวทางของเศรษฐกิจบีซีจี (BCG) เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจประเภทใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ รองรับความท้าทายในโลก ผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนและรอบด้าน

ขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนทะลุ 4 หมื่นคน ในวันที่เปิดบริการ ครบ 100 วัน

(24 ก.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเริ่มต้นบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนอย่างเมื่อเดือนเมษายน ได้ขนส่งผู้โดยสาร 41,735 คน เมื่อนับถึงวันเสาร์ (22 ก.ค.) ซึ่งถือเป็นวันที่เปิดบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนครบ 100 วัน

รายงานระบุว่าทางรถไฟจีน-ลาว วิ่งจากนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผ่านภูเขาและหุบเขาจนถึงนครหลวงเวียงจันทน์ของลาวด้วยระยะเวลา 10 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งนับรวมเวลาที่ใช้ในพิธีการศุลกากร

จุดผ่านแดนตำบลโม๋ฮัน ณ ชายแดนจีนที่ติดกับลาว ระบุว่ามีการเดินรถไฟ 200 เที่ยว ซึ่งขนส่งผู้โดยสารจาก 49 ประเทศและภูมิภาค จำนวน 41,735 คน โดยจำนวนผู้โดยสารขาเข้าอยู่ที่ 22,066 คน ซึ่งมากกว่าผู้โดยสารขาออกราวร้อยละ 12.2 และร้อยละ 54 เป็นนักท่องเที่ยว

ขบวนรถไฟขนส่งระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ออกขบวนแล้ว!! ช่วยลดต้นทุน ยกระดับการขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถทางการค้า

เมื่อไม่นานนี้ การรถไฟฯ ได้เดินรถไฟขนส่งสินค้าขบวนทดลอง มาบตาพุด - ด่านคลองลึก (ฝั่งไทย) - ด่านปอยเปต (ฝั่งกัมพูชา) - พนมเปญ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการพัฒนาเส้นทางเชื่อมระหว่างประเทศ ไทย-กัมพูชา

ซึ่งประเทศไทยมีส่วนในการสนับสนุน ร่วมกับหลายๆ ประเทศ ในการปรับปรุงเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศนี้ ให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง หลังจากถูกทำลายไปในช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา

ซึ่งถ้าการทดสอบเป็นไปได้ด้วยดี ผู้ประกอบการ รวมถึงกลุ่ม ปตท. ก็มีการวางแผนขบวนขนส่งสินค้า ทั้งคอนเทนเนอร์ทั่วไป และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี จากมาบตาพุด ไปส่งกัมพูชาทางรถไฟอีกด้วย

ทราบหรือไม่ว่า เส้นทางรถไฟไทย-กัมพูชา มีอายุมากกว่า 68 ปี เปิดให้บริการครั้งแรกใน พ.ศ. 2498 แต่ถูกปล่อยทิ้งร้าง จากปัญหาควาามขัดแย้งระหว่างประเทศ และความไม่สงบในกัมพูชาไปกว่า 45 ปี

จนกระทั่งกลับมาเปิดด่านและสถานีรถไฟ ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก และด่านปอยเปต ในปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ ไทยมีเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างประเทศ เป็นจุดที่ 3 ต่อจาก ปาดังเบซาร์ และ หนองคาย

เส้นทางรถไฟระหว่างประเทศ สำคัญอย่างไร?
แน่นอนว่าหลายๆ คน อาจทราบอยู่บ้างว่า รถไฟเป็นระบบขนส่งทางบกที่ถูกที่สุด และมีความสามารถในการขนส่งต่อขบวนในปริมาณมาก ทำให้ช่วยลดการขนส่งสินค้าทางรถยนต์ได้มาก โดยเฉพาะการขนส่งสินค้า ซึ่งประเทศไทยมีสินค้าที่ส่งออกไปกัมพูชาในกลายกลุ่ม เช่น
- วัตถุดิบในการก่อสร้าง (ปูน กระเบื้อง สุขภัณฑ์) ซึ่งไทยเราเป็นผู้นำในระดับโลก
- กลุ่มปิโตรเคมี น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ
- อาหาร สิ่งอุปโภค บริโภค

โดยการเปลี่ยนมาขนส่งผ่านระบบรถไฟ จะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าได้มาก ทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น (ถนนไทย-กัมพูชา ยังอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์) ที่สำคัญคือ การเปิดด่านเหล่านี้ จะเป็นการสนับสนุนนโยบายการเปิดการเพิ่มผู้ให้บริการ เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าข้ามชายแดนได้สะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

‘บิ๊กตู่’ ดัน ‘แลนด์บริดจ์ไทย’ พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หวังเปลี่ยนทิศขนส่งโลกมาไทย เพื่อก้าวเป็นฮับ ศก.ในภูมิภาค

(13 ส.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องการขยายรากฐานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและการค้าของเอเชีย โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาจัดทำโครงการแลนด์บริดจ์ (LandBridge) ให้เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคม เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ที่สำคัญหากเมื่อโครงการสามารถทำได้และสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนทิศทางการขนส่งของโลกให้มาที่ไทย จนไทยกลายเป็นฮับทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้

ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รายงานว่าปัจจุบันโครงการแลนด์บริดจ์ ยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยจะมีการจัดรับฟังความคิดเห็นครั้งแรกจากทั้งหมด 3 ครั้ง ในวันที่ 16-18 สิงหาคมนี้ในพื้นที่ จ.ระนอง และ จ.ชุมพร ซึ่งรัฐบาลมีความต้องการให้ได้ข้อมูลจากผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน รอบด้าน และรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ จึงได้จัดรับฟังความคิดเห็นสำหรัลผู้ได้มีส่วนได้เสียและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบโครงการ ตามวันและเวลา ดังนี้

ท่าเรือระนอง
- วันพุธที่ 16 สิงหาคม  2566 เวลา 08.30-12.00 น. จัดขึ้นที่ห้องราชาวดี ชั้น 3 เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง

- วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ที่ห้องประชุมอุทยานแห่งชาติแหลมสน ตำบลม่วงกลวง อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง

ท่าเรือชุมพร
- วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30 – 12.00 น. ที่ห้องอวยชัยแกรนด์บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมอวยชัยแกรนด์ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร

สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกระนอง โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกชุมพร โครงการระบบรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร - ระนอง และโครงการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงชุมพร – ระนอง ซึ่งมีการคาดการไว้ว่าหากโครงการแล้วเสร็จ  จะสามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าที่เติบโตและหันมาใช้เส้นทางนี้กว่า 400,000 ลำต่อปีได้ในปี 2594 รวมถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นไปตามอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วย

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมไทย ให้ทัดเทียมนานาประเทศ ผลักดันเชื่อมไทยสู่โลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การขนส่งสินค้าและบริการ การท่องเที่ยว กระจายความเจริญไปสู่ภาคใต้ และภาพรวมของประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อวางอนาคตที่ดีไว้ให้คนไทยทุกคน” สำนักนายกรัฐมนตรี เผย

‘จีน-แทนซาเนีย’ ผนึกความร่วมมือ ปั้น ‘ศูนย์การค้า-ขนส่ง’ ครบวงจร หนุนเป็นศูนย์กลางการค้าข้ามพรมแดน โกยเงินสะพัดกว่าพันล้าน

(2 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานข่าว การสร้างเขตความร่วมมือด้านการบริการที่ครอบคลุมของนิคมอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ และการขนส่งแอฟริกาตะวันออกในประเทศแทนซาเนีย เป็นหนึ่งในรายการผลลัพธ์จากความร่วมมือเชิงปฏิบัติของการ ที่มีการเปิดเผยในการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา

เขตความร่วมมือดังกล่าวลงทุนและพัฒนาในปี 2020 โดย ‘เวยไห่ หัวถ่าน ซัพพลาย เชน เมเนจเมนต์ จำกัด’ (Weihai Huatan Supply Chain Management Co., Ltd.) วิสาหกิจจากเมืองเว่ยไห่ มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน โดยครอบคลุมพื้นที่รวม 109,700 ตารางเมตร ประกอบด้วย ศูนย์การค้าและโลจิสติกส์ในแอฟริกาตะวันออก (EACLC) ศูนย์นิทรรศการ 1 แห่ง คลังสินค้าหัวถ่านในต่างประเทศ 1 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองดาร์เอสซาลาม ประเทศแทนซาเนีย และคลังสินค้าทัณฑ์บนและศูนย์ขนส่ง ณ สนามบินแซนซิบาร์ ในเกาะแซนซิบาร์ของแทนซาเนีย อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนอีก 1 แห่งด้วย

จากโครงการทั้งหมดนี้ โครงการศูนย์การค้าและโลจิสติกส์ในแอฟริกาตะวันออก ระยะที่ 1 ได้ให้การรองรับวิสาหกิจของจีนและแทนซาเนียแล้วมากกว่า 200 ราย และโครงการฯ ระยะที่ 2 ซึ่งมีกำหนดเปิดใช้งานในเดือนมีนาคมปี 2024 คาดว่าจะมีการตั้งถิ่นฐานของผู้ค้ากว่า 1,600 องค์กร หลังก่อสร้างแล้วเสร็จ ศูนย์แห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์การค้าและโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแทนซาเนีย

3 ปีหลังจัดตั้ง เขตความร่วมมือดังกล่าวกลายเป็นโครงการความร่วมมือที่โดดเด่นระหว่างจีนและแทนซาเนีย โดยสามารถให้บริการที่ครอบคลุม อาทิ การค้าสินค้าโภคภัณฑ์ นิทรรศการและการจัดแสดง คลังสินค้าในต่างประเทศ การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน และห่วงโซ่อุปทานด้านการเงิน

ในปี 2022 เขตความร่วมมือฯ มีมูลค่าผลผลิตรวม 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.59 พันล้านบาท) หนุนให้เกิดการส่งออกสินค้าทั่วไปที่ผลิตในประเทศเป็นมูลค่ามากกว่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.77 พันล้านบาท)

ปัจจุบัน เขตความร่วมมือดังกล่าวเป็นที่ตั้งของวิสาหกิจมากกว่า 230 ราย ในจำนวนนี้ 60 รายมาจากประเทศจีน สร้างตำแหน่งงานทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับคนในท้องถิ่นมากกว่า 2,000 ตำแหน่ง และคาดว่าจะเพิ่มเป็นมากกว่า 5,000 ตำแหน่งหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ

‘วันชัย’ อ้าง!! มุมลูกค้าตัวจริง บ.เดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ไม่มีรายไหนจะมาใช้ Landbridge เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก

(4 พ.ย. 66) นายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ สื่อมวลชนอิสระ อดีตรองผู้อำนวยการด้านข่าวและรายการ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อดีตบรรณาธิการนิตยสารสารคดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ‘Landbridge กับความเห็นของลูกค้าตัวจริง บริษัทเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ’ ระบุว่า...

ผู้มีอำนาจฝันไปเรื่อย ไม่มีบริษัทเดินเรือขนส่งระดับโลกไหนจะมาใช้ Landbridge นี้หรอก เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก ผู้บริหารสายการเดินเรือระหว่างประเทศหลายคน ที่เป็นลูกค้าโดยตรงของโครงการนี้เล่าให้ผู้เขียนฟังตรงกัน

ผลของการศึกษาของจุฬาฯ ก็ออกมาแล้วว่า ลงทุนไปหนึ่งล้านล้านบาท ไม่คุ้มค่าแน่นอน แต่รัฐบาลไม่ฟัง

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2566 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง) ด้วยมูลค่าการลงทุนโครงการนี้มากถึง 1 ล้านล้านบาท ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ความกังวลถึงความไม่คุ้มค่าของโครงการนี้

ผู้บริหารสายการเดินเรือให้ข้อมูลผู้เขียนต่อว่า…

“ลองคิดดูสิ หากเรือสินค้ามาจอดที่ท่าเรือชุมพร ต้องยกตู้คอนเทนเนอร์ลงจากเรือที่ชุมพร แล้วยกขึ้นรถไฟไประนอง ยกลงจากรถไฟ ยกไปขึ้นเรือที่ระนองอีก ยกตู้ 4 ครั้ง โดนไป 4,000-5,000 บาทต่อตู้ ไหนจะค่าภาระท่าเรือ 2 แห่ง ค่าขนส่งทางรถไฟอีกประมาณ 100 กม. รวมแล้วค่าใช้จ่ายเยอะมาก ประมาณ 10,000-12,000 บาทต่อตู้ (US$ 300-400)

ปัจจุบันนี้ เรือขนส่งสินค้าจะมีระวางขับน้ำตั้งแต่ 100,000 -200,000 ตัน ยิ่งลำใหญ่ต้นทุนขนส่งสินค้าจะถูกลง สมมุติว่าเรือสินค้าขนาดระวาง 100,000 ตัน จะบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ได้ 10,000 ตู้ หรือเฉลี่ยตู้คอนเทนเนอร์ละ 10 ตัน ถ้ามีเรือเทียบท่าเรือระนองวันละ 10 ลำ ก็หมายความว่ามีตู้ต้องยกขึ้นรถไฟ 100,000 ตู้ ขณะที่รถไฟแต่ละขบวนขนได้ประมาณ 500 ตู้คอนเทนเนอร์ ลองคิดดูสิว่าจะเสียเวลากี่วันกว่าจะขนขึ้นขนลง

ขณะที่เรือไปถ่ายลำที่สิงคโปร์หรือมาเลย์เสียค่าใช้จ่ายตู้ละ US$ 80-100 เรือสินค้าลำหนึ่งขนตู้คอนเทนเนอร์ประมาณ 10,000-20,000 ตู้ ดังนั้น ค่าใช้จ่ายถูกกว่ากันลำละหลายสิบล้านบาท และกว่าจะขนถ่ายตู้นับหมื่นตู้ขึ้นลงรถไฟ และขนส่งตู้ระหว่างชุมพร-ระนองคงใช้เวลาประมาณ 5-10 วัน ไม่ได้ประหยัดเวลาเลย

สรุปคือ ระยะเวลาก็ไม่ได้เร็วกว่า แต่ยังเสียค่าขนส่งเพิ่มขึ้นอีก แล้วลูกค้าเรือสินค้าที่ไหนจะมา

ความเห็นของผมคือ โครงการนี้ไม่น่าจะไปรอด ตำน้ำพริกละลายทะเลเปล่าๆ และคนในวงการเดินเรือส่วนใหญ่ส่ายหน้ากันมานานแล้วกับโครงการนี้ และอีกประการหนึ่ง รัฐบาลก็กำลังสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เป็นท่าเรือขนาดใหญ่ เรือกินน้ำลึกเข้าจอดเทียบท่าได้ แล้วจะไม่เป็นการแย่งลูกค้ากันเหรอ?”

ต่อคำถามที่ว่าแล้วที่จะมีนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นหลังท่าเรือ และจะทำให้เกิดพื้นที่เชิงพาณิชย์ตามมา พวกเขามีความเห็นอย่างไร?

“การจะมีอุตสาหกรรมหลังท่าเรือตามมา มันจะต้องมีตู้ขนส่งสินค้าจำนวนมากวิ่งผ่าน เกิดความหลากหลายของสินค้า จึงจะเป็นการดึงดูดให้เกิดอุตสาหกรรม แต่จะมีจริงหรือ เราเคยสร้างท่าเรือระนอง บอกว่าจะมีอุตสาหกรรมตามมา แต่คุณไปดูท่าเรือระนองเปิดมาสิบกว่าปี แทบไม่มีใครใช้ ตอนนี้ก็แทบจะร้างแล้ว”

ขณะที่รายงานฉบับสมบูรณ์ ‘โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทย’ จัดทำโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ ‘สภาพัฒน์’ และ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีข้อสรุปว่า โครงการ Landbridge ชุมพร-ระนอง ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เสนอว่า...

“...ทางเลือกที่ ‘เหมาะสมที่สุด’ ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทย-อันดามัน คือ การให้ความสำคัญกับการสร้างเส้นทางเข้าถึงพื้นที่พัฒนา ตามแผนปฏิบัติการการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ และดำเนินการพัฒนาต่อจากสิ่งที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด…”

โครงการลงทุน 1 ล้านล้านบาท คุ้มค่าจริงหรือ คำตอบมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะรับรู้หรือไม่

‘จีน’ ล้ำหน้า!! ผุด ‘รถมินิแวนไร้คนขับ’ ช่วยส่งของรับเทศกาล ‘ชอปปิง 11.11’

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, หยางเฉวียน รายงานว่า จีนใช้ประโยชน์จาก 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ เพื่อปรับปรุงการจัดส่ง ขณะเตรียมความพร้อมสำหรับเทศกาลชอปปิง 11.11 (Double Eleven) ซึ่งเป็นงานลดราคาสินค้าออนไลน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

รถมินิแวนไร้คนขับ จำนวน 12 คัน ออกวิ่งจัดส่งพัสดุให้ผู้คนในเมืองหยางเฉวียน หลังจากการทดสอบเดินรถประสบความสำเร็จ

ยานพาหนะชนิดนี้ยาว 2.5 เมตร สูง 1.6 เมตร และกว้าง 1 เมตร ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (lidar) บนหลังคา พร้อมกล้อง 11 ตัว ซึ่งสามารถตรวจจับไฟจราจร คนเดินเท้า และสิ่งกีดขวางต่างๆ ส่วนระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติบนรถสามารถปรับการปฏิบัติงานให้เข้ากับสถานการณ์บนท้องถนนเพื่อการวางแผนเส้นทาง

รถมินิแวนไฟฟ้าเหล่านี้มีความเร็วสูงสุด 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งเป็นระยะทางถึง 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟจนเต็มหนึ่งครั้ง ซึ่งประหยัดเวลาการจัดส่งต่อวันเกือบ 2 ชั่วโมง

ส่วนในพื้นที่แออัด ยานพาหนะดังกล่าวจะชะลอความเร็วลง รักษาระยะห่างระหว่างสิ่งกีดขวาง และส่งเสียงแจ้งเตือนเพื่อความปลอดภัยของคนเดินเท้า พร้อมด้วยเบรกฉุกเฉินที่สามารถหยุดรถได้ในระยะไม่ถึงหนึ่งเมตร ซึ่งถูกติดตั้งมาเพื่อหลบสิ่งกีดขวางแบบกะทันหัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top