Saturday, 18 May 2024
กองทัพ

‘พิจารณ์ ก้าวไกล’ ชวนเที่ยวงานโรดโชว์อาวุธ แนะ กองทัพจัดซื้ออาวุธภายในปท. ช่วยหนุนผู้ผลิตไทย

‘พิจารณ์ ก้าวไกล’ ชวนเที่ยวงานโรดโชว์อาวุธ แนะกองทัพ จัดซื้ออาวุธจากผู้ผลิตไทย สร้างโอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศ 

คนมักคุ้นชินกับบทบาทของพิจารณ์ในการติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของกองทัพ เพื่อให้การใช้งบเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และนำไปสู่การพัฒนากองทัพที่เข้มแข็ง ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ ภายใต้คงามเชื่อว่า “กองทัพที่เข้มแข็งต้องลงทุนในยุทโธปกรณ์ที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยุทโธปกรณ์ของไทย สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประเทศ”

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการจัดนิทรรศการ “Defense and Security 2022” จัดที่ IMPACT CHALLENGER เมืองทองธานี พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ - Phicharn Chaowapatanawong หรือ "พี่จ้อน" ของเราจึงไม่รอช้าไปเข้าชมบรรยากาศในนิทรรศการนี้ว่าเทคโนโลยีอาวุธและการป้องกันประเทศก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วบ้าง

บรรยากาศภายในงานมีการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงเทคโนโลยีด้านความมั่งคงของทั้งไทยและต่างประเทศ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่าในปัจจุบัน และอนาคต กองทัพไทยจะมีแผนในการจัดซื้ออุปกรณ์ชนิดใดบ้าง รวมถึงทิศทางในการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ในต่างประเทศมาใช้เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันประเทศ

การใช้จ่ายของกองทัพ ยังเต็มไปด้วยข้อสงสัย

ภายในงาน พิจารณ์ได้มีโอกาสพูดคุยกับ บริษัท Lockheed Martin (บริษัทค้าอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ที่กองทัพไทยมีแผนจัดซื้อ F-35 (5th Generation Fighter) ไปแล้ว 2 ลำในงบฯ ปี 66 มูลค่ารวมทั้งโครงการกว่า 7,300 ล้านบาท โดยอาจต้องรอถึง 7 ปี กว่าจะได้ส่งมอบ

ในขณะที่ ปัจจุบัน Lockheed Martin ยังมีการผลิต F-16 (4th Generation Fighter รุ่นก่อน F-35 และราคาถูกกว่า) และในหลายประเทศก็ยังมีการจัดซื้ออยู่ แต่เรากลับไม่เห็นว่ากองทัพมีการเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางงบประมาณ ระหว่าง F-16 กับ F-35 เราไม่เคยได้รับเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกซื้อ F-35 เท่านั้น ในด้านราคา F-35 แพงกว่า F-16 เกือบ 1,000 ล้านบาทต่อลำ ยังไม่รวมถึงค่าบำรุงรักษา ที่ F-35 สูงกว่ามาก

บางท่านอาจจะบอกว่า ซื้อใหม่ทั้งที ทำไมไม่เลือกซื้อ F-35 ที่มีขีดความสามารถในการรบสูงกว่าไปเลยล่ะ ก็ต้องเรียนว่า การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า ความจำเป็น และภาระทางงบประมาณ ถามว่าเวลาซื้อรถยนต์ จำเป็นต้องซื้อรถที่มีสมรรถนะสูง หรูหราหมาเห่าอย่าง Ferrari หรือเปล่า ก็ไม่ใช่

สิ่งที่กองทัพอากาศควรทำ คือการเปรียบเทียบทางเลือกอื่นๆ จากเครื่องบินขับไล่ 4th Gen ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Gripen, F/A-18, KF-50 และอื่น ๆ รวมทั้งเจรจาจัดซื้อด้วยนโยบายชดเชย หรือ offset policy เพราะจากการพูดคุยกับ Lockheed Martin ทำให้รู้ว่า ทางบริษัท ก็มีการทำ offset policy หรือ นโยบายจัดซื้อแบบชดเชย ซึ่งเราอาจเจรจาเพื่อขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอื่นๆที่ไม่ใช่ F-35 ก็ได้ (เพราะเค้าคงไม่ให้เทคโนโลยี F-35) เช่น เทคโนโลยีในการอัพเกรด เครื่องบิน C-130H ที่ไทยใช้ประจำการอยู่ เป็นต้น

จากที่เล่ามาจึงเป็นเหตุให้อนุมานได้ว่า กองทัพอากาศตั้งธงมาก่อนแล้วว่าจะต้องการจัดซื้อเครื่องบิน F-35 เท่านั้น โดยไม่มีความสมเหตุสมผลในการพิจารณาการลงทุนใช้จ่ายงบประมาณ

การสนับสนุนของกองทัพในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศ สร้างงาน เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีบูธของบริษัทที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ก.กลาโหม กับบริษัทเอกชนในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศ ได้แก่

บริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตและขายยานเกราะล้อยางไปต่างประเทศ
บริษัทผลิตปืน Weapons Manufacture Industries (WMI) โดย สทป.ร่วมทุนกับ บริษัท สหพิพัฒนกิจ จำกัด และ บริษัท เอ็มตั้น คาร์เมียล จำกัด จากประเทศอิสราเอล

‘เพนตากอน’ เผย ‘บอลลูนสอดแนมจีน’ ที่ถูกเครื่องบินรบยิงตก ไม่ได้เก็บข้อมูลใดๆ แค่ลอยออกนอกเส้นทางเข้าสู่น่านฟ้าสหรัฐฯ

วันที่ (30 มิ.ย. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า บอลลูนสอดแนมของจีนที่ถูกเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ยิงตกนอกชายฝั่งรัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้นไม่ได้เก็บข้อมูลข่าวกรองใดๆ ขณะลอยอยู่เหนือประเทศสหรัฐฯ
 
นายแพทริก ไรเดอร์ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกมากล่าวว่าทางสหรัฐฯ รับรู้ว่า บอลลูนลูกดังกล่าวมีขีดความสามารถในการเก็บข้อมูลข่าวกรอง แต่จากการประเมินในตอนนี้บ่งชี้ว่า บอลลูนที่ว่านี้ไม่ได้เก็บข้อมูลใดๆ ขณะบินอยู่เหนือประเทศสหรัฐฯ และความพยายามของสหรัฐฯ ในการลดการเก็บข้อมูลข่าวกรอง ส่งผลให้บอลลูนไม่สามารถเก็บข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนใดๆ ออกไปได้
 
บอลลูนลูกดังกล่าวลอยข้ามดินแดนประเทศสหรัฐฯ ไล่ตั้งแต่รัฐอะแลสกาไปจนถึงบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเซาท์แคโรไลนา กินระยะเวลาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมถึงช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยบินผ่านสิ่งก่อสร้างทางทหารที่มีความละเอียดอ่อน จุดให้เกิดความกังวลว่า จีนอาจใช้บอลลูนลูกดังกล่าวในการเก็บข้อมูลข่าวกรองที่สำคัญ
 
ภายหลังการถูกยิงตก กองทัพสหรัฐฯ ได้กู้ซากของบอลลูนดังกล่าวขึ้นจากมหาสมุทรแอตแลนติก และหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างวิเคราะห์เศษชิ้นส่วนของบอลลูน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ย่ำแย่ลง โดยนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ออกมายกเลิกกำหนดการเดินทางเยือนประเทศจีนในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่จีนออกมาปฏิเสธว่า บอลลูนลูกดังกล่าวไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสอดแนม เพียงแต่ลอยออกนอกเส้นทางจนเข้าสู่น่านฟ้าสหรัฐฯ เท่านั้น
 
ทั้งนี้ นายไรเดอร์ไม่ได้ยืนยันรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ที่รายงานว่าบอลลูนดังกล่าวของจีน มีการใช้อุปกรณ์ที่สหรัฐฯ ผลิต แต่กล่าวว่ าในอดีตอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรนของจีนมีการใช้อุปกรณ์ของสหรัฐฯ ที่หาได้ทั่วไป
 

จับตา 'สี จิ้นผิง' สั่งกองทัพจีนเตรียมพร้อมรบตะวันตก ชี้!! ไม่ถึงขั้นสงครามครั้งที่ 3 แต่ปะทุจากพิกัดเฉพาะจุด 

(26 ก.ค. 66) ตามรายงานของเกียวโดนิวส์ สื่อมวลชนญี่ปุ่นเมื่อวันจันทร์ (24 ก.ค.66) ได้เผยว่า ก่อนหน้านี้ หากยังพอจำกันได้ ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน เคยบอกกับบรรดาผู้นำกองทัพระหว่างการประชุมหนึ่งเมื่อปี 2020 ด้วยการผงาดขึ้นมาของจีนและการเสื่อมถอยของตะวันตก ปักกิ่งจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามระหว่าง 2 ฝ่าย

โดยคำกล่าวนั้น อ้างอิงเอกสารจากการประชุมระหว่าง สี กับ คณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สื่อมวลชนญี่ปุ่นอ้างว่า สี ได้ประกาศกับที่ประชุมว่า “ตะวันออกกำลังผงาด และตะวันตกกำลังเสื่อมถอย”

ท่ามกลางดุลอำนาจที่เปลี่ยนไปนี้ สี คาดการณ์ว่าความขัดแย้งระดับท้องถิ่นจะปะทุขึ้นและลุกลามบานปลาย อย่างไรก็ตาม ในการสันนิษฐานครั้งนั้นเขาตัดความเป็นไปได้ของสงครามโลกครั้งที่ 3 ทั้งนี้ไม่ชัดเจนว่าในตอนนั้น สี มองว่าความขัดแย้งจะมีต้นกำเนิดที่ใด แต่สำนักข่าวเกียวโดนิวส์ เชื่อว่าผู้นำจีนมองไต้หวัน ในฐานะล่อแหลมที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด

รายงานข่าวระบุว่า เอกสารเหล่านี้ผ่านการเรียบเรียงหลังการประชุมเมื่อปี 2020 และส่งไปยังบรรดาผู้บัญชาการทหารจีนและพวกเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงฤดูร้อนปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว รัสเซีย ได้สู้รบกับสิ่งที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เรียกว่า “กลไกทางทหารตะวันตกทั้งมวล” ในยูเครนไปแล้ว ในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน ทวีความร้อนแรงมาถึงจุดเดือด ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งอเมริกา พูดซ้ำๆ ว่าเขาจะปกป้องเกาะแห่งนี้ ที่จีนกล่าวอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนด้วยกำลังทหาร

การประชุมของสี และคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เกิดขึ้นก่อนหน้ารัสเซียเปิดปฏิบัติการทางทหารในยูเครนราวปีเศษๆ และในตอนนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณ ขณะนั้น ง่วนอยู่กับการทำสงครามการค้ากับปักกิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจยังไม่ถึงจุดต่ำสุดเหมือนเช่นปัจจุบันภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดน
.
โดยไม่คำนึงถึงเรื่องดังกล่าว รายงานข่าวระบุว่า สี เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่กองทัพจีนต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่จะระเบิดขึ้นและปฏิกิริยาลูกโซ่ของมัน และสั่งให้พวกผู้บัญชาการกองทัพ "เตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่องสำหรับปกป้องอธิปไตยของจีนและผลประโยชน์แห่งชาติ"

คำสั่งของสี เกิดขึ้นระหว่างการประชุมลับ แต่บ่อยครั้งที่ผู้นำจีนมักพูดแบบเดียวกันต่อที่สาธารณะ เขาเคยออกคำสั่งให้ทหาร “ฝึกฝนเสริมความเข้มแข็งอย่างครอบคลุม เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม" ระหว่างการเดินทางตรวจเยี่ยมกองบัญชาการแห่งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว และในเดือนเมษายน เขาบอกกับกำลังพลให้มุ่งเน้นการฝึกฝนไปที่ “การสู้รบจริง” ในการปกป้อง “อธิปไตยเหนือเขตแดนและผลประโยชน์ทางทะเลของจีน”

จีนเผยแพร่สารคดี ความพร้อมบุกโจมตีไต้หวัน ส่วนทหารประกาศกร้าว!! “พร้อมสละชีพ”

(9 ส.ค. 66) จีนเผยแพร่สารคดีใหม่ เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมของกองทัพในการโจมตีไต้หวัน ในนั้นเป็นภาพที่บรรดากำลังพลประกาศกร้าวว่าพร้อมเสียสละชีพตนเองถ้าจำเป็น ความเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ปักกิ่งเดินหน้าใช้โวหารดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กับเกาะปกครองตนเองแห่งนี้

‘ไล่ล่าความฝัน’ เป็นซีรีย์ 8 ตอน ที่ออกอากาศโดยซีซีทีวี สื่อมวลชนแห่งรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในวาระครบรอบ 96 ปี ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) โดยในสารคดีดังกล่าวมีภาพของการซ้อมรบทางทหารและข้อความจากบรรดาทหารหลายสิบนาย ซึ่งหลายคนแสดงถึงความตั้งใจพลีชีพตนเอง ในความเป็นไปได้ที่จะลงมือโจมตีไต้หวัน

จีน อ้างว่าไต้หวัน เกาะปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน และจำเป็นต้องรวมชาติ ผ่านการใช้กำลัง ถ้ามีความจำเป็น

สำนักข่าวเอพี ระบุว่าบ่อยครั้งที่สื่อมวลชนแห่งรัฐและกองทัพปลดแอกประชาชนจีน เผยแพร่เนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อและคลิปวิดีโอการซ้อมรบทางทหาร พวกมันถูกใช้โหมกระพือความรักชาติในบรรดาชาวจีนและแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในกองทัพในการจัดการไต้หวัน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทเปกับสหรัฐฯ ทั้งนี้แม้อเมริกาไม่รับรองไต้หวันในฐานะประเทศอธิปไตยหนึ่งๆ แต่พวกเขาประกาศว่าจะช่วยเกาะแห่งนี้ปกป้องตนเอง ในกรณีที่ถูกรุกราน

เมื่อเดือนที่แล้ว ทำเนียบขาวแถลงจัดแพ็คเกจความช่วยเหลือด้านการทหารแก่ไต้หวัน มูลค่า 345 ล้านดอลลาร์ ความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นการถอดบทเรียนจากความช่วยเหลือด้านการทหารที่สหรัฐฯมอบให้แก่ยูเครน และก็เป็นไปตามคาดที่มันเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดจากจีน

ในสารคดี ‘ไล่ล่าความฝัน’ ยังมีภาพของเหตุการณ์อื่นๆ ในนั้นรวมถึงการซ้อมรบที่มีชื่อว่า ‘ดาบประสาน’ (Joint Sword) ซึ่งเป็นการจำลองการโจมตีที่แม่นยำใส่ไต้หวัน โดยการซ้อมรบดังกล่าวเกิดขึ้นรอบๆเกาะไต้หวันในเดือนเมษายน ตามหลังประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวัน เดินทางเยือนสหรัฐฯ

บางส่วนของสารคดีชุดใหม่นี้ มีคำพูดของบรรดากำลังพลของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนจากหน่วยต่างๆ ที่ประกาศกร้าวว่าพร้อมสละชีพตนเอง ในความเป็นไปได้ที่จะลงมือโจมตีไต้หวัน

“ถ้าสงครามระเบิดขึ้นและสภาพแวดล้อมยุ่งยากเกินไปที่จะปลดชนวนทุ่นะเบิดในทะเลระหว่างสู้รบจริง เราจะใช้ร่างกายของเรา เคลียร์เส้นทางที่ปลอดภัยแก่กองกำลังยกพลขึ้นบกของเรา” เจ้า เฝิง กำลังพลจากหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีนกล่าว

หลี่ เผิง นักบินจากฝูงบินหนึ่งของกองทัพอากาศแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน กล่าวว่าเครื่องบินของเขาจะสาดขีปนาวุธพุ่งเข้าหาศัตรูจนกระทั่งลูกสุดท้าย “ถ้าในการสู้รบจริง ผมจะใช้กระสุนทั้งหมดที่มี”

ในสารคดีดังกล่าวยังปรากฏภาพของซานตง หนึ่งในเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำขอจีน กำลังล่องแปรขบวนร่วมกับเรือรบอื่นๆหลายลำ

กองทัพปลดแอกประชาชนจีน ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินซานตง ไปยังช่องแคบไต้หวัน ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพื่อข่มขวัญไต้หวัน นอกจากนี้แล้วฝูงบินของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ยังข้ามเส้นกลางของช่องแคบ ซึ่งใช้แบ่งเขตอย่างไม่เป็นทางการระหว่างจีนและไต้หวัน บ่อยครั้งขึ้นในช่วง 2 ปีหลังสุด โดยส่วนหนึ่งเป็นการตอบโต้การติดต่อประสานงานระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ ซึ่งโหมกระพือความไม่พอใจแก่ปักกิ่ง

‘เซเลนสกี’ สั่งเด้ง ‘บิ๊กกลาโหม’ หลังถูกแฉปมคอร์รัปชัน ชี้!! ถึงเวลาต้องปรับโฉม ‘กลาโหม-กองทัพ’ ใหม่ทั้งระบบ

(4 ก.ย. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนเผยเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า เขาได้ปลดนายโอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม พ้นจากตำแหน่งแล้ว โดยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในกระทรวงกลาโหมยูเครนครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เริ่มทำสงครามกับประเทศรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว

ประธานาธิบดีเซเลนสกีกล่าวในวิดีโอเมื่อช่วงค่ำว่า “ผมได้ตัดสินใจที่จะปลดนายโอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งท่ามกลางการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบมานานกว่า 550 วัน ผมเชื่อว่ากระทรวงกลาโหมต้องการแนวทางใหม่ๆ และการมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ กับทั้งกองทัพและสังคมโดยรวม”

นายเรซนิคอฟ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 และมีส่วนช่วยให้ยูเครนได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากชาติตะวันตก มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยทำสงครามกับรัสเซีย อาทิ รถถังจากประเทศเยอรมนี จรวดหลายลำกล้อง HIMARS และเตรียมที่จะได้รับเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 ที่ผลิตในสหรัฐฯ อีกด้วย

อย่างไรก็ดี กระทรวงกลาโหมของเขากลับถูกกล่าวหาว่ามีการคอร์รัปชัน และถูกสื่อท้องถิ่นของยูเครนกดดันอย่างหนักมาตั้งแต่เดือนมกราคม หลังมีข้อกล่าวหาว่าทางกระทรวงทำการจัดซื้อเสบียงในราคาสูงเกินจริง ถึงแม้ว่านายเรซนิคอฟจะไม่เกี่ยวพันกับเรื่องดังกล่าวโดยตรง แต่นักวิจารณ์หลายคนให้ความเห็นว่าเขาควรแสดงความรับผิดชอบ และเมื่อเดือนที่ผ่านมา สื่อของยูเครนกล่าวหาว่า กระทรวงกลาโหมมีการคอร์รัปชันในเรื่องการจัดซื้อเสื้อกันหนาวให้กับกองทัพ ซึ่งตัวเขาออกมาแก้ต่างว่าเป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสี

ทั้งนี้ เซเลนสกีระบุอีกว่า เขาจะขอให้รัฐสภาแต่งตั้งนายรุสเท็ม อูเมรอฟ ประธานกองทุนแปรรูปรัฐวิสาหกิจสำคัญของยูเครน ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมคนใหม่ในสัปดาห์นี้ โดยประธานาธิบดีเซเลนสกีต้องส่งชื่อของนายอูเมรอฟให้กับรัฐสภา เพื่อพิจารณาก่อนมีการแต่งตั้ง

นายอูเมรอฟ ได้รับเสียงชื่นชมในประเทศยูเครน จากผลงานของเขาในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งควบคุมดูแลในเรื่องการแปรรูปกิจการของรัฐฯ ไปยังภาคเอกชน (privatisation) และพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าดำรงตำแหน่งประธานกองทุนแปรรูปรัฐวิสาหกิจของยูเครน

‘เพื่อไทย’ ไม่ยุบ!! ‘กอ.รมน.’ ได้ใจ ‘สูงวัย-ชนชั้นกลาง’ เหตุ!! รำคาญพรรคส้มเต็มที ส่วนพี่ๆ กองทัพอ้าแขนโอบกอด

สถานการณ์เหตุบ้านการเมือง แม้จะดูเหมือนยังวนลูป แต่หากส่องกล้องดีๆ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว… กลางสัปดาห์ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ติดภารกิจไม่ได้มาขยับ ช่วงสุดสัปดาห์นี้เลยขอหยิบโน่นนิดนี่หน่อย มาเมาท์มอยเอาใจคอการเมือง

เรื่องแรก - แม้จะยังไม่ค่อยแจ่มชัดเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต แต่สังเกตให้ดีช่วงหลังๆ ภาษากาย ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกฯ สูงยาวถุงเท้าแดงของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ดูมีความมั่นอกมั่นใจมากขึ้น พูดจาช้าลง มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือมากว่าเดิม หนำซ้ำยังได้ใจคนสูงวัยและชนชั้นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพ กรณีประกาศเปรี้ยง… ไม่ยุบ กอ.รมน. สวนทางพรรคก้าวไกล… ไม่ใช่เพราะ กอ.รมน.ดีเลิศประเสริฐศรีอะไรมาก แต่ชาวบ้านเขาน่าจะรำคาญก้าวไกลที่เอะอะก็จะยุบไปหมด…

มองให้ลึกลงไป… ห้วงเวลานี้ พรรคเพื่อไทยกับกองทัพสมานสมัครรักใคร่กันเป็นพิเศษ… ต่างฝ่ายต่างอยู่เป็น เพื่อไทยเองก็สารภาพบาปผ่าน ‘ฯพณฯ คลังแสง’ แล้วว่า ถ้าเป็นรัฐบาลแล้วจะรู้ว่าอะไรทำได้ หรือทำไม่ได้ เพราะอะไร… ส่วนกองทัพก็มีความอ่อนตัวโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าไม่ล้มเจ้า ไม่โกงบ้านกินเมืองกันแบบมูมมาม ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใครจะใช้อภิสิทธิ์นอนชั้น 14 ก็นอนไป กองทัพไม่ยุ่งด้วย… แถมตอบสนองนโยบายในฐานะเครื่องมือของรัฐฯ

เรื่องที่สอง - เกี่ยวโยงกับความมั่นคง แม้จะยังไม่เสนอ ครม.ในวันอังคารที่ 7 พ.ย.นี้ แต่ค่อนข้างลงตัวแล้วว่า จะมีการโอนย้าย ‘พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์’ รอง ผบ.ตร. เตรียมทหารรุ่น 24 ข้ามห้วยไปรับตำแหน่งระดับ 11 ก่อนเกษียณ… คือ ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำให้ท่านรองเลขา สมช. อย่าง ‘ฉัตรชัย บางชวด’ ต้องรอคั่วปลายปีหน้า… ไม่เป็นไร รอได้ เพราะเกษียณปี 2570

ที่น่าจับตามากกว่า เลขา สมช.คนใหม่ คือ หาก พล.ต.อ.รอย ลุกจาก รอง ผบ.ตร.จริง... รอง ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งต้องมาจากอาวุโสเป็นหลัก ก็หนีไม่พ้น ‘พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข’ ผช.ผบ.ตร. ซึ่งจะเกษียณปี 2568 

สำหรับ ‘บิ๊กจวบ’ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 23 นรต.รุ่น 39 เป็นนายตำรวจที่อ่อนตัว วันที่ นช.ทักษิณ กลับบ้านมานอน รพ.ชั้น 14... ‘บิ๊กจวบ’ คือ ผู้รับผิดชอบ ว่ากันว่าอันที่จริงนายใหญ่ชั้น 14 ก็เล็งๆ ที่จะอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่แล้ว… ถ้า ‘บิ๊กจวบ’ ขึ้นรอง ผบ.ตร.ปีหน้า คนที่จะชิง ผบ.ตร.มีถึง 4 คน คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์, พล.ต.อ. ธนา ชูวงษ์ และ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข

ไม่ต้องถามว่าใครอาวุโสกว่าใคร… เพราะจากรอง ผบ.ตร.เป็น ผบ.ตร.ใช้ทั้งอาวุธและความสามารถผสมกัน แต่ที่สำคัญที่สุด เจ้าของพรรคเพื่อไทยอยากได้ใคร!!

เรื่องที่สาม - แถมท้าย อินเทรนด์กับเขาหน่อย เรื่องการขับ สส.คุกคามทางเพศที่เขาบอกว่า ‘คาวไม่เท่ากัน’ งานนี้พรรคก้าวไกลเสียรังวัดเสียหายหลายแสน… มติที่ออกมาขับ ‘สส.แจ้ ปราจีนฯ’ แต่คาดโทษ ‘สส.ปูอัด จอมทอง’ ถูกวิจารณ์แซดว่า ‘คนไม่เท่ากัน-สองมาตรฐาน’ ตอนหลังดูท่า สส.ปูอัด จอมทอง ที่ว่ากันว่าเส้นใหญ่ไม่ยอมขอโทษผู้เสียหายแบบตรงๆ คงจะถูกขับด้วยในที่สุด… 

พูดถึง ‘ก้าวไกล’ ปลายปีนี้ก็ต้องลุ้นกันว่า ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ จะรอดไม่รอด กรณีถือหุ้นสื่อ… ในขณะที่มีกระแสข่าวเล่าลือหนาหูว่า หากพิธาไม่เป็นอะไรไปหรือต้องพ้นจาก สส.ก็เถอะ… โปรดจับตา ดีลการเมืองใหม่ล่าสุด ระหว่าง ‘คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์’ กับ ‘พิธา’ และน่าจะรวมถึง ‘น.ต.ศิธา ทิวารี’ ที่เพิ่งลาออกจากพรรคไทยสร้างไทย เมื่อ 27 ต.ค.นี้ด้วย… 

การพบกันของคุณหญิงและคณะกับพิธาที่สหรัฐฯ เมื่อหลายวันก่อน แม้จะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็เป็นความบังเอิญอย่างร้ายกาจ… ขอบอก!! 

‘ผู้บัญชาการทหารเรือ’ ชื่นชม!! '2 ทหารกล้า' กำลังพล ‘ทร.’ คืนชีพนักท่องเที่ยวที่กระบี่ด้วย CPR

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.66 พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณชมเชย กำลังพลกองทัพเรือที่ประกอบคุณงามความดี เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและสร้างชื่อเสียงแก่กองทัพเรือ จำนวน 7 นาย ณ ห้องสุพรรณหงส์ อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร   

สำหรับกำลังพลทั้ง 7 นายที่เข้ารับมอบประกาศเกียรติคุณยกย่องชมเชย จากผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นกำลังพลจากหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนอันแสดงถึงความกล้าหาญและความเสียสละในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในทันทีซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมและได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพเรือให้ปรากฏต่อสาธารณชน 

ทั้งนี้ 2 พลทหารแห่งกองทัพเรือ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนอันแสดงถึงความกล้าหาญและความเสียสละในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในทันที ได้แก่...

เรือตรี สุทิน นอบไทย และ พันจ่าเอก สุวิทย์ อ่อนอินทร์ กำลังพลจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

โดยได้ให้การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวซึ่งเกิดอาการช็อก และล้มลงจนศีรษะฟาดพื้นหมดสติ บริเวณหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพีจังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 โดยได้ทำการปฐมพยาบาลโดยวิธีช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน CPR จนมีสติฟื้นกลับมาและให้การช่วยเหลือจนกระทั่งรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลในพื้นที่มารับตัวเพื่อทำการรักษาได้อย่างปลอดภัย

โอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวชื่นชม เรือตรี สุทิน นอบไทย และ พันจ่าเอก สุวิทย์ อ่อนอินทร์  กำลังพลจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ด้วยว่า การให้การช่วยเหลือประชาชนในเหตุการณ์ดังกล่าว แสดงออกซึ่งความกล้าหาญ ไม่ลังเลที่จะเสียสละ เข้าช่วยเหลือ 

ถือเป็นบุคคลตัวอย่างของสังคม เป็นกำลังพลที่ทำให้กองทัพเรือเป็นที่เชื่อมั่นของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ได้มอบไว้ให้ในการให้การช่วยเหลือประชาชน และการกำหนดให้กำลังพลทุกนายมีความรู้ในการปฐมพยาบาลโดยวิธีช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานหรือ CPR โดยสามารถให้การช่วยเหลือประชาชนได้ในทันทีที่ประสบเหตุ

'สส.ก้าวไกล' ถาม 'กองทัพ' ทำไมต้องตั้งงบเทิดทูนสถาบันเพิ่ม  'ปลัด กห.' สวน!! ปรับตามภัยคุกคามที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด

(17 ม.ค.67) นายชยพล สท้อนดี สส.ก้าวไกล กมธ.การทหาร ในฐานะ กมธ.พิจารณางบประมาณฯ ปี 2567 ได้ตั้งคำถามถึงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ถึงงบพิทักษ์รักษา เทิดทูนสถาบัน เปรียบเทียบงบประมาณปี 2566-2567 ที่งบประมาณส่วนนี้เพิ่มขึ้น จากเดิม 1,449 ล้านบาท เป็น 1,843 ล้านบาท หรือ 27.18 % โดยเฉพาะกองทัพเรือ ที่เพิ่มจาก 45 ล้านบาท เป็น 395 ล้านบาท หรือกว่า 769 % และกองทัพอากาศ ที่เพิ่มจาก 35 ล้านบาท เป็น 65 ล้านบาท หรือกว่า 81 % จึงขอถามว่าเพิ่มขึ้นมาอย่างไรบ้าง

พร้อมกันนี้นายชยพล ยังได้ถามถึงได้ถามรายละเอียดงบประมาณและการดำเนินการทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเข้าใจ เพื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้งถามถึงเงินราชการลับ ที่มีการขอเท่าเดิมไปเรื่อยๆ มีการใช้งานอย่างไรบ้าง เพราะงบประมาณปี 2566-2567 เท่ากัน 469 ล้านบาท ซึ่ง กมธ. จะรับทราบได้หรือไม่ เพราะทางเหล่าทัพจะชี้แจงว่าเป็นชั้นความลับ แต่เป็นงบที่เรามองไม่เห็น จึงอยากให้กองทัพชี้แจงเรื่องนี้

นอกจากนี้ นายชยพล ยังถามเรื่องการตัดลบงบประมาณในส่วนตำแหน่ง ‘ผู้ทรงคุณวุฒิ’ ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นมายกแผงทั้งรุ่น

อีกทั้งขอระเบียบประกาศการใช้รถประจำตำแหน่และงบประมาณย้อนหลัง 3 ปี และรายละเอียดการลดจำนวนนายพล ไม่ใช่กั้นแค่เพียงการลดจำนวนนักเรียนเตรียมทหาร เพื่อรอเวลานายพลดลดลงไป เพราะตนมองว่าควรจะปรับลดได้เลย

จากนั้น พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงงบราชการลับว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ปี 2547 ผ่าน 4 ภารกิจ ด้านความมั่นคงและการป้องกันราชอาณาจักร ภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภารกิจด้านข่าว และภารกิจอื่นที่มีลักษณะปกปิด เพื่อประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือโดยสภาพแห่งเทคโนโลยี ซึ่งงบส่วนนี้ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว

ส่วนเรื่องรถประจำตำแหน่งยึดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ ปี 2523 ที่กำหนดรถราชการใช้กับตำแหน่งใดบ้าง ส่วนหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนแบบเหมาจ่ายยึดตามมติ ครม. ปี 2457

ส่วนงบประมาณพิทักษ์รักษาเทิดทูนสถาบัน หน่วยทหารกระจัดกระจายทั่วประเทศ มีพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง ตั้งอยู่ตามจังหวัดอำเภอ ของแต่ละเหล่าทัพชัดเจนเหมือนกับพื้นที่บรรเทาสาธารณภัยที่เข้าไปช่วยเหลือกับประชาชน ดังนั้นมีความจำเป็นในเรื่องของงบประมาณที่พิทักษ์รักษาเทิดทูนสถาบันจะต้องมีทุกหน่วยงานและงบประมาณที่เพิ่มของสำนักงบประมาณที่ตั้งงบฯมิให้ใช้งบกลางให้ตั้งงบตัวเอง จึงเป็นที่มาของงบปีนี้ที่เพิ่มขึ้น และงบพิทักษ์เทิดทูนสถาบันสัดส่วน 0.93% ของงบกระทรวงกลาโหมทั้งหมด

พล.อ.สนิธชนก ยังระบุต่อว่า กำลังให้กรมพระธรรมนูญดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลัง ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งขัดกับกฎหมายใหม่ที่ออกมาอยู่ระหว่างการดำเนินการ

จากนั้น พล.อ.สนิธชนก ได้กล่าวสรุปจบการชี้แจงงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมว่า กระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ได้ปรับตัวตามยุคสมัยตามเหตุการณ์ตามภัยคุกคามมาโดยตลอด ไม่ได้ปล่อยให้ล้าหลัง และจะใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ากับประเทศชาติและตระหนักอยู่ตลอดว่าเม็ดเงินมาจากภาษีของราษฎร

‘กองทัพอากาศ’ เคลื่อนย้ายผู้ป่วย ส่งต่อ ‘รพ.สุราษฎร์ธานี’ หลังได้รับการประสาน เพื่อขอใช้ยานฉุกเฉิน เร่งช่วยชีวิตหญิงผ่าคลอด

(20 เม.ย.67) กองทัพอากาศโดย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองบิน 7 ได้รับการประสาน จากโรงพยาบาลเกาะสมุย ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อขอใช้อากาศยานของกองทัพอากาศ ในการรับผู้ป่วยฉุกเฉิน หญิงไทย อายุ 34 ปี อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ มาผ่าตัดคลอดตามนัด ขณะที่ผ่าตัดผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องออกซิเจนในเลือดต่ำลง แพทย์วินิจฉัยคาดว่าเกิดจากภาวะน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือดและมีภาวะหัวใจหยุดเต้นจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

กองทัพอากาศ จึงได้จัดเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 11 (EC-725) ของหน่วยบิน 2037 จากที่ตั้งกองบิน 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากสถานีรายงานสมุย (เขาป้อม) กองบัญชาการควบคุมการปฏิบัติทางอากาศ ตำบล ลิปะน้อย อำเภอ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งต่อไปเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ทั้งนี้ การสนับสนุนภารกิจดังกล่าวเป็นไปตามบันทึกความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ว่าด้วยการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ประสบภัยเพื่อคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพมาตรฐาน โดยให้มีความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ประสบภัย ด้วยการเคลื่อนย้ายลำเลียงหรือการขนส่งทางอากาศไปยังสถานพยาบาลอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้รับการบริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินที่ดี มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทั้งในภาวะปกติและเมื่อเกิดสาธารณภัย

กองทัพอากาศขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารอากาศ ที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งบุคลากร อากาศยานและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และประเทศชาติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top