Monday, 20 May 2024
กรมการแพทย์

ผลศึกษา ‘โมลนูพิราเวียร์’ ต้านได้ทุกสายพันธุ์ เปิดไทม์ไลน์เข้าไทย ได้ใช้เร็วที่สุด ธ.ค.นี้

สธ.เผยผลศึกษา ‘โมลนูพิราเวียร์’ ใช้ได้ผลดีในกลุ่มอาการเล็กน้อย-ปานกลาง ยับยั้งโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ พร้อมเปิดไทม์ไลน์เข้าไทย ได้ใช้เร็วที่สุด ธ.ค.นี้

วันที่ 6 ต.ค. 64 นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้ายาต้านไวรัสโมลนูพิราเวียร์ ระบุว่าการฉีดวัคซีนทำให้ผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตลดน้อยลงได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ บางรายจึงอาจมีการติดเชื้อและมีอาการหนักได้ ซึ่งกรมการแพทย์ได้หารือกับบริษัทต่างๆ ที่ทำการทดลองยาต้านไวรัสในต่างประเทศมาโดยตลอด รวมถึงยาโมลนูพิราเวียร์ ด้วย 

โดยยาต้านไวรัสตัวนี้ คือยาต้านไวรัสโดยการยับยั้งการจำลองตัวเองของเชื้อโควิด-19 เมื่อเชื้อไวรัสไปอยู่ในเซล เชื้อจะไปจำลองตัวเองเพื่อแบ่งตัว ทำให้ไวรัสมากขึ้น ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายต่อสู้ไม่ได้ แต่ยาโมลนูพิราเวียร์จะไปยับยั้งการเพิ่มจำนวนตัวเองของไวรัส ซึ่งข้อมูล ณ ขณะนี้ยืนยันว่าสามารถใช้ได้กับโควิดเกือบทุกสายพันธุ์ที่มีในปัจจุบันทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิม แกมมา เดลตา หรือมิว 

ในการวิจัยของบริษัทผู้ผลิตเป็นแบบสุ่มระยะที่ 3 MOVe-OUT Trial ซึ่งการใช้ยาตัวนี้จะใช้ในผู้ป่วยอาการเล็กน้อย - ปานกลาง ยังไม่ได้รับวัคซีน และจะต้องเป็นผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรงอย่างน้อย 1 ปัจจัย คือ ภาวะอ้วน, อายุ 60 ปีขึ้นไป, เบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง ซึ่งจะให้ยาภายใน 5 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการ

จากข้อมูลการวิเคราะห์เบื้องต้น ในผู้ที่ได้รับยา 775 คน แบ่งเป็นได้ยาโมลนูพิราเวียร์ 385 คน และยาหลอก 377 คน โดยยามีขนาดเม็ดละ 200 มิลลิกรัม ให้ครั้งละ 4 เม็ด 800 มิลลิกรัม เช้า - เย็น รวมวันละ 1,600 มิลลิกรัม เป็นเวลา 5 วันรวม 40 เม็ด พบว่าลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาล และเสียชีวิตประมาณ 50% ไม่พบผู้เสียชีวิตในผู้ที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ และเสียชีวิต 8 รายในผู้ที่ได้รับยาหลอก  อย่างไรก็ตาม ในการทดลองใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก พบว่าไม่ได้ผล จึงได้เลิกการวิจัย

นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า แผนการดำเนินการของยาโมลนูพิราเวียร์นั้น บริษัท Merck ผู้ผลิตจะดำเนินการยื่นขอการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน ถ้าผ่านการขึ้นทะเบียนจะเป็นยาต้านโควิด-19 ชนิดเม็ดตัวแรก ที่จะได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐฯ ซึ่ง Merck ตั้งเป้าผลิตให้ได้สำหรับ 10 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ หรืออีก 3 เดือน โดย Merck มีแผนการทำสัญญากับฐานการผลิตยาหลายแห่งในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ในเอเชียมีการหารือร่วมกับประเทศอินเดีย 5 - 6 บริษัท

สธ. เปิดแผนซื้อ ‘ยาเม็ดต้านโควิด’ ยันเจรจาไฟเซอร์ ผู้ผลิต ‘แพกซ์โลวิด’ นานแล้ว

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ แถลงความคืบหน้าการนำเข้ายารักษาโรคโควิด-19 โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) และยาแพกซ์โลวิด (PAXLOVID) ว่า ตามธรรมชาติของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสร้างกายแล้วจะอาศัยเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ในการเพิ่มจำนวน

ซึ่งยาแพกซ์โลวิดจะเข้ามายับยั้งการสร้างโปรตีนเอส ไม่ให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ไวรัสเข้าไปในร่างกายและมีการเพิ่มจำนวนไวรัส จากนั้นจะเปลี่ยนสายพันธุ์กรรมจาก RNA มาเป็น DNA ซึ่งยาโมลนูพิราเวียร์ จะมายับยั้งการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ โดยสรุปคือ ทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่ยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ครอบคลุมทุกสายพันธุ์

นพ.อรรถสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อมูลการศึกษาวิจัยในกลุ่มตัวอย่างที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ 385 คน กินยาขนาด 200 มิลลิกรัม (มก.) วันละ 2 เวลา นาน 5 วัน รวม 40 เม็ด พบว่าลดความเสี่ยงในการนอนโรงพยาบาล (รพ.) ร้อยละ 50 และไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนคนที่กินยาหลอก 377 คน พบว่าเสียชีวิต 8 ราย ส่วนผลการศึกษายาแพกซ์โลวิด ในกลุ่มตัวอย่าง 389 คน กินขนาด 150 มก. 2 คู่กับยาริโทนาเวียร์ ขนาด 100 มก. 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน รวมแล้วจะใช้ยาแพกซ์โลวิดทั้งหมด 20 เม็ด บวกกับยาริโทนาเวียร์ 10 เม็ดต่อคน พบว่าลดความเสี่ยงนอน รพ. และเสียชีวิตภายใน 28 วัน

“ทั้งนี้ หากกินยาดังกล่าวภายใน 3 วัน นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะมีประสิทธิภาพลดการนอน รพ. - เสียชีวิตร้อยละ 89 หากเริ่มกินในวันที่ 5 หลังมีอาการจะมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 85 แต่ทั้ง 2 ถือว่ามีเปอร์เซ็นต์สูง ย้ำว่ายาทั้ง 2 ชนิด ออกฤทธิคนละจุดกันจึงไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันว่ายาตัวไหนดีกว่ากัน เนื่องจากเป็นการวิจัยคนละกลุ่มตัวอย่าง แต่ที่แตกต่างกันคือยาแพกซ์โลวิดจะต้องกินคู่กับยาริโทนาเวียร์ด้วย ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นยาที่ไปยับยั้งเชื้อไวรัสเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นยาที่เจาะจงต่อเชื้อโควิด-19 โดยตรง” นพ.อรรถสิทธิ์ กล่าวและว่า

ลุยโครงการ ‘Green Hospital ต้นแบบ’ ขับเคลื่อนบริการทางการแพทย์ด้วยพลังงานสะอาด

(21 ก.ค. 66) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) จรดปากกาเซ็นเอ็มโอยูร่วมกับ ‘กรมการแพทย์’ ลุยโปรเจกต์พัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทาง Green and Clean Hospital ต้นแบบ พร้อมเดินหน้าผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด ยกระดับด้วยระบบกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนการขนส่งและบริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและสถานนีชาร์จด้วยจุดบริการที่ครอบคลุม กว่า 500 สถานีชาร์จ เล็งขยายสถานีฯ ตอบโจทย์แผนยุทธศาสตร์ EV แห่งชาติ สร้างความยั่งยืน-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของประเทศ

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘โครงการพัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ต้นแบบ’ โดยมีนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้แทนจาก บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ร่วมลงนาม

นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงพยาบาล/สถาบันในสังกัดให้บริการรักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนแก่ประชาชน และมีการมุ่งมั่นพัฒนาการบริการรักษา รวมถึงบริการด้านอื่นๆ จึงมีความประสงค์จะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ศึกษา และพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean hospital ซึ่งเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 22 มีนาคม2565 เห็นชอบแนวทางประหยัดพลังงานโดยให้หน่วยงานภาครัฐลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ 20 และเร่งผลักดันให้นำมาตรการด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้หน่วยงานราชการเร่งดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (solar rooftop) ในลักษณะร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อลดภาระการใช้จ่ายและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ภาคเอกชนและประชาชนต่อไป

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด ที่ให้ความร่วมมือในการที่จะคิดค้นและริเริ่ม ศึกษาพัฒนา สนับสนุน และแลกเปลี่ยนข้อมูลของโครงการฯ ทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar) ด้านที่ 2 ระบบกักเก็บพลังงานเพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของหน่วยงาน และด้านที่ 3 การพัฒนาดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับการให้บริการทางการแพทย์ในพื้นที่ต่างๆ โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมต่อไป

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ วางกลยุทธ์ด้าน EA Eco System เป็นแนวทางหลักในการขยายธุรกิจ และสร้างความโตที่แข็งแกร่ง ด้วยการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดครบวงจร พัฒนาแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานจากนวัตกรรม Amita Technology เชื่อมโยงสู่การให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere รวมถึงพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ MINE Mobility ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่หลากหลาย ตรงวัตถุประสงค์เป้าหมายของกลุ่มผู้ใช้งาน และมีระบบบริหารจัดการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เพื่อเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับส่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมได้ต่อไป EA จึงได้ร่วมกับ กรมการแพทย์ ลงนามบันทึกข้อตกลง ในการร่วมกันศึกษาและพัฒนาระบบการบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ด้วยโรดแมปดังนี้

1. Renewable Power การพัฒนาและติดตั้ง ระบบ Solar System มุ่งเน้นผลิตไฟฟ้า ด้วยพลังงานสะอาด

2. Energy Storage System เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้มีเสถียรภาพ ด้วยระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยีจากAmita Technology

3. EV & Charging Station การยกระดับขนส่งและการให้บริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับการบริการด้านสาธารณสุข พร้อมขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere ครบคลุมเส้นทางการให้บริการ

“มั่นใจว่าการเซ็นเอ็มโอยูในครั้งนี้ระหว่าง EA กับกรมการแพทย์ จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ไปสู่เป้าหมาย Green and Clean Hospital ในอนาคต ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานถือเป็นการมุ่งสู่พลังงานสะอาด ตอบโจทย์ความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นายสมโภชน์กล่าว

EA จับมือ กรมการแพทย์ ลุยโปรเจค Green Hospital ต้นแบบ นำยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนขนส่งและบริการทางการแพทย์ ครบวงจร

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) จรดปากกาเซ็นเอ็มโอยูร่วมกับ “กรมการแพทย์” ลุยโปรเจคพัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทาง Green and Clean Hospital ต้นแบบ พร้อมเดินหน้าผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด ยกระดับด้วยระบบกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนการขนส่งและบริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและสถานนีชาร์จด้วยจุดบริการที่ครอบคลุม กว่า 500 สถานีชาร์จ เล็งขยายสถานีฯ ตอบโจทย์แผนยุทธศาสตร์ EV แห่งชาติ สร้างความยั่งยืน-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของประเทศ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการพัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ต้นแบบ” โดยมี นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้แทนจาก บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ร่วมลงนาม

นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงพยาบาล/สถาบันในสังกัดให้บริการรักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนแก่ประชาชน และมีการมุ่งมั่นพัฒนาการบริการรักษา รวมถึงบริการด้านอื่นๆ จึงมีความประสงค์จะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ศึกษา และพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean hospital ซึ่งเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 22 มีนาคม 2565 เห็นชอบแนวทางประหยัดพลังงานโดยให้หน่วยงานภาครัฐลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ 20 และเร่งผลักดันให้นำมาตรการด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้หน่วยงานราชการเร่งดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (solar rooftop) ในลักษณะร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อลดภาระการใช้จ่ายและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ภาคเอกชนและประชาชนต่อไป

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด ที่ให้ความร่วมมือในการที่จะคิดค้นและริเริ่ม ศึกษาพัฒนา สนับสนุน และแลกเปลี่ยนข้อมูลของโครงการฯ ทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar) ด้านที่ 2 ระบบกักเก็บพลังงานเพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของหน่วยงาน และด้านที่ 3 การพัฒนาดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับการให้บริการทางการแพทย์ในพื้นที่ต่างๆ โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมต่อไป

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่า บริษัทฯและบริษัทย่อยในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ วางกลยุทธ์ด้าน EA Eco System เป็นแนวทางหลักในการขยายธุรกิจ และสร้างความโตที่แข็งแกร่ง ด้วยการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดครบวงจร พัฒนาแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานจากนวัตกรรม Amita Technology เชื่อมโยงสู่การให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere รวมถึงพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ MINE Mobility ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่หลากหลาย ตรงวัตถุประสงค์เป้าหมายของกลุ่มผู้ใช้งาน และมีระบบบริหารจัดการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เพื่อเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับส่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมได้ต่อไป EA จึงได้ร่วมกับ กรมการแพทย์ ลงนามบันทึกข้อตกลง ในการร่วมกันศึกษาและพัฒนาระบบการบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสม ตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ด้วยโรดแมปดังนี้

1. Renewable Power การพัฒนาและติดตั้ง ระบบ Solar System มุ่งเน้นผลิตไฟฟ้า ด้วยพลังงานสะอาด
2. Energy Storage System เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้มีเสถียรภาพ ด้วยระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยีจาก Amita Technology
3. EV & Charging Station การยกระดับขนส่งและการให้บริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับการบริการด้านสาธารณสุข พร้อมขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere ครบคลุมเส้นทางการให้บริการ “มั่นใจว่าการเซ็นเอ็มโอยูในครั้งนี้ระหว่าง EA กับกรมการแพทย์ จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ไปสู่เป้าหมาย Green and Clean Hospital ในอนาคต ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ถือเป็นการมุ่งสู่พลังงานสะอาด ตอบโจทย์ความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นายสมโภชน์กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top