Wednesday, 9 July 2025
TheStatesTimes

มุกดาหาร-อุกอาจสุดๆ! ลักลอบพาดสายเน็ตบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใน สปป.ลาว ใช้สร้างเครือข่ายหลอกคนไทย

(20 ต.ค. 67) พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. ด้านกฎหมาย และประธาน อนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ  พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการ เลขาธิการ กสทช. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ กสทช. และตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ร่วมแถลงผลการจับกุมผู้ลักลอบนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ให้บริการในไทย ลากสายข้ามสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2  (มุกดาหาร - สะหวันนะเขต) เข้าไปในนครไกรสอนพมวิหาน แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ระยะทาง 5 กิโลเมตร ทำให้เครือข่ายดังกล่าวสามารถกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากเอื้อให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทยได้สะดวก เทียบเท่าการเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือเป็นการกระทำอย่างอุกอาจ โจ่งแจ้ง ไม่เกรงกลัวกฎหมาย

พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวว่า การปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กสทช. สำนักงาน กสทช. เขต 25 จังหวัดนครพนม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุม และกำกับการประกอบกิจการโทรคมนาคมให้เป็นไปตามกฎหมาย ในกรณีนี้ พบว่า มีบริษัทเอกชนราย หนึ่งซึ่งเป็นผู้รับอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจาก กสทช. ในการประกอบกิจการได้เฉพาะภายในประเทศไทย โดยบริษัทดังกล่าวมีพฤติการณ์ ในการติดตั้งตู้ชุมสายอินเทอร์เน็ตบริเวณชายแดน ลักลอบพาดสายสัญญาณความเร็วสูงข้ามสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร - สะหวันนะ เขต) เพื่อลักลอบกระจายสัญญาณไปยังพื้นที่ สปป.ลาว จากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือพิเศษ ของ กสทช. พบว่าเครือข่ายนี้มีการลากสายลึกเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านไกลกว่า 5 กิโลเมตร ทำให้ เครือข่ายดังกล่าวสามารถกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ รองรับผู้ใช้งานกว่าหมื่นรายพร้อมกัน เอื้อให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทยได้สะดวก เทียบเท่าการเข้ามา ตั้งฐานในประเทศไทย พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือเป็นการกระทำอย่างอุกอาจ โจ่งแจ้งไม่เกรงกลัวกฎหมาย การกระทำในลักษณะดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับ อนุญาต อันเป็นความผิด ตามมาตรา 67 (3) แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ ซึ่งต้อง ระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาล มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้าง ความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. จึงได้มอบหมายให้ตนในฐานะผู้ช่วย ผบ.ตร. และ รอง ผอ.ศปอส.ตร. เป็นผู้ดำเนินการจับกุมในวันนี้ โดยเป็นการทำงานร่วมกับ กสทช. ในการเดินหน้าสกัดกั้นไม่ให้ผู้กระทำผิดเข้าถึงเครื่องมือต่างๆ ได้โดยง่าย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการรื้อสายเคเบิล พร้อมกับเข้าตรวจค้นตู้ซิม ตรวจยึดซิมการ์ดไทยตำนวน 101,068 ซิม รวมทั้ง SIM BOX และอุปกรณ์อื่นๆ จำนวนมาก 

ขบวนการลักลอบพาดสายที่เราจับกุมได้ในวันนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย มีความแตกต่างจากการกระทำความผิดในพื้นที่อื่นที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกลุ่มเนื่องจาก ที่ผ่านมาเป็นการลักลอบลากสายตามช่องทางธรรมชาติ หรือผ่านแม่น้ำ แต่ครั้งนี้เป็นการลากพาดสะพานข้ามแดนระหว่างประเทศ ศึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการตรวจพบ หลังจากนี้จะได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่มีพื้นที่รับผิดชอบติดแนวชานแดนประสานการทำงานกับ กสทช. ตรวจสอบการกระทำผิดในลักษณะนี้ หากตรวจพบให้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดทุกราย พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแจ้งว่าสายสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่มีการลักลอบเชื่อมต่อเข้าไปใน สปป.ลาว มีปลายทางอยู่ที่บริเวณใกล้กับสะหวันเวกัส ซึ่งเป็นคาสิโนแห่งหนึ่งในแขวงสะหวันนะเขต 

#ศูนย์ข่าวมุกดาหาร #สำนักงานกสทช.
#สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259777

ส่องความเห็น 2 ทนายดัง จากกรณี ว.วชิรเมธี เทศน์ The iCon

(21 ต.ค. 67) เรื่องราวข่าว The iCon Group ที่โยงไปในหลาย ๆ วงการ รวมถึงวงการสงฆ์จากกรณีที่พระเมธีวชิโรดม หรือ ว.วชิระเมธี พระนักเทศน์นักเขียนชื่อดัง ที่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายไปเทศนาที่ The iCon Group นั้น 

ล่าสุดจากกรณีดังกล่าวได้ทำให้เกิดวิวาทะระหว่างทนายที่มีชื่อเสียง 2 คน ได้แก่ ทนายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ 

โดยวันที่ 20 ต.ค. 67 ทางทนายวันชัย สอนศิริ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า 

ท่าน ว. ...ธรรมะย่อมชนะอธรรม

ใครจะเล่นกับเทวดาตนใดอย่างไรก็ว่ากันไป... แต่สำหรับท่าน ว. เท่าที่ผมเห็นวัตรปฏิบัติของท่านตลอดมาเป็นพระนักเทศน์สอนตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขายธรรมะอย่างเดียวเพียวๆ เฉกเช่น หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาส ไม่ใช่พระอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมากปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่าเป็นพระน้ำดีในยุคสมัย อาจจะผิดพลาดบกพร่องก็เป็นวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไป ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายผมเชื่อว่าท่าน ว. ไม่ได้ผิดอะไร คนที่เป็นพระมาถึงระดับนี้ ถ้ารู้ว่าขบวนการของดิไอคอนเป็นขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงฉ้อโกง หรือเป็นแก๊งค์ทุจริตผิดกฎหมาย ท่านคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่ และคงไม่เข้าไปซ่องเสพกับทุรชน แต่ที่รับนิมนต์ไปเทศน์ไปบรรยายก็ตามวิสัยของพระโดยทั่วไป ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการต้มตุ๋นของเขาหรอก ไปเทศน์แล้วก็อาจจะอวยบ้าง พาดพิงถึงเขาบ้าง แตะโน่นแตะนี่ถึงบริษัทเขาบ้าง ก็เป็นธรรมดาของนักเทศน์นักบรรยาย หาได้มีจิตใจที่ไปสนับสนุนขบวนการของเขา และการถวายเงินเพื่อกิจกรรมของท่าน ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนเศรษฐีคนมีเงินมีทองทั่วไป

ใครจะล่อดิไอคอน ล่อบอสคนไหนก็ว่ากันไป ไม่ได้หมายความว่าคนไปเกี่ยวข้อง จะต้องผิดและเลวทรามต่ำช้าไปทุกคน ทนายความของบอสก็ออกมาชี้แจงตอบโต้กันโครมๆ เขาต้องผิดด้วยหรือเปล่า..ก็ไม่ใช่ ใครจะกร่าง จะหาเรื่อง จะหิว...ก็ดูหน่อยว่าแสงมันมืดหรือบอด หรือจะเอามันส์ตามกระแส เล่นเทวดาไม่พอ ล่อพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย จะได้ดังระเบิดระเบ้อ คับบ้านคับเมือง ชี้เป็นชี้ตาย ว่าไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด..ยิ่งกว่าศาลเสียอีก โอ้ย..ใหญ่โตกันเหลือเกิน..กัมมุนา วัตตติ โลโก..

ในวันเดียวกันนี้เองทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้โพสต์ผ่านเพจทนายคลายทุกข์ ว่า

#ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส

ช่วยให้คะแนนหน่อยครับว่าเป็นพระดีเด่นหรือไม่อย่างไรแต่สำหรับผมไม่เห็นด้วย
และผมไม่ไหว้พระรูปนี้ เป็นเสรีภาพในการที่ผมจะไหว้ใครพระนั้นจะต้องเป็นพระที่ดีจริงๆ

พระที่ชวนลงทุนแล้วบอกว่าพรุ่งนี้รวยมหาศาลให้รีบไปเปิดบิลพระแบบนี้ผมไม่ยกมือไหว้จริงไหมครับพี่น้อง

สงสารชาวบ้านตาดำๆถูกหลอกลวงเงินไปเป็นจำนวนมากให้เปิดบิล

นอกจากนี้ทนายเดชายังได้โพสต์ต่ออีกว่า 

#การกล่าวโทษ ว.วชิรเมธี เป็นสิทธิตามกฎหมาย

หากมีพยานหลักฐานพอสมควรก็ทำได้ตามกฏหมายไม่มีกฎหมายยกเว้นว่าพระทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษ ผู้ติดตามพระ 6 ล้านกว่าคนก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้ามีพยานหลักฐานว่าทำผิด

ลูกศิษย์ใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อรูปคดีเพราะพนักงานสอบสวนทำงานตามพยานหลักฐาน
ส่วนพี่เดก็กล่าวโทษตามพยานหลักฐานที่ปรากฏผิดหรือถูกศาลจะเป็นคนตัดสิน( การกล่าวโทษไม่ใช่การทำตัวเป็นผู้พิพากษานะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย)

#ใหญ่กว่านี้ผมก็เคยดำเนินคดีมาแล้ว

ยินดีต้อนรับ! ประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนใหม่ ‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ ประกาศชัด สัญญาจะทำให้ประเทศพึ่งพาตนเอง ทำสงครามกับความยากจน

(21 ต.ค. 67) ซูเบียนโต ปราโบโว ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย วัย 73 ปี สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โดยเขาสวมหมวกสีดำแบบดั้งเดิมและสูทสีกรมท่า พร้อมผ้าซารองสีน้ำตาลแดงทอและทอง เข้ารับตำแหน่งในรัฐสภาเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อสืบทอดตำแหน่งต่อจากโจโก วิโดโด ผู้นำฝ่ายประชานิยม

ปราโบโว ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชนะการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ และเป็นผู้นำประเทศที่มีประชากร 280 ล้านคน ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นลำดับ 4 ของโลก

ในสุนทรพจน์เปิดตัว ประธานาธิบดีคนที่ 8 ของประเทศ สัญญาว่าจะทำให้อินโดนีเซียพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เขากล่าวว่า แม้ว่าเขาต้องการใช้ชีวิตในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้อง “สุภาพ”

“ความเห็นที่แตกต่างต้องเกิดขึ้นโดยไม่มีความเป็นศัตรู … การต่อสู้โดยไม่เกลียดชัง” เขากล่าว ปราโบโว ซึ่งเคยหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วถึง 3 ครั้ง ยังรับรองด้วยว่าเขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีให้กับชาวอินโดนีเซียทุกคน และท้าทายประเทศให้ช่วยเขาจัดการกับปัญหาของประเทศ

“เราต้องตระหนักเสมอว่าประเทศเสรีคือประเทศที่ประชาชนมีอิสระ” ปราโบโวกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นเป็นบางครั้ง

“พวกเขาต้องปราศจากความกลัว ความยากจน ความหิวโหย ความไม่รู้ การกดขี่ และความทุกข์ทรมาน” เขากล่าว

เขาเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีกิบราน รากาบูมิง รากา วัย 37 ปี ลูกชายคนโตของวิโดโด เพื่อนร่วมทีมของเขาเข้าร่วมด้วย

ตำรวจและทหารได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยส่งเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 100,000 นายทั่วจาการ์ตา รวมถึงมือปืนและหน่วยปราบจลาจล เพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง

ปราโบโวชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ และใช้เวลาเก้าเดือนที่ผ่านมาในการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในรัฐสภา หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของเขา ปราโบโวก็สวมหมวกเบสบอลและโบกมือจากซันรูฟของรถขณะมุ่งหน้าไปยังทำเนียบประธานาธิบดี โดยผ่านกลุ่มผู้สนับสนุนที่โบกธงนับพันคนที่เดินอยู่บนท้องถนนในจาการ์ตาในบรรยากาศที่คล้ายกับงานเทศกาลป้ายดอกไม้ด้านนอกทำเนียบแสดงความยินดีกับปราโบโวและยิบรานหรือไม่ก็ขอบคุณวิโดโดสำหรับการรับใช้ประเทศตลอด 10 ปีของเขา

ผู้สนับสนุนของวิโดโดก็เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองเพื่ออำลาผู้นำอินโดนีเซียที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งเช่นกัน
อันเนตา ยูเนียร์ ผู้ยืนดูซึ่งโบกมือให้ขบวนรถของวิโดโดขณะที่ขบวนรถเคลื่อนผ่านผู้สนับสนุนอย่างช้าๆ ก่อนพิธีการ กล่าวว่าเธอจะคิดถึงเขา แต่ปราโบโวเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

“ปราโบโวจะสานต่อการพัฒนาที่โจโกวีเริ่มต้นไว้ มีความต่อเนื่อง นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ” เธอกล่าว แต่โทเบียส บาซูกิ กรรมการผู้จัดการของ Aristoteles Consults บริษัทประเมินความเสี่ยงที่มีฐานอยู่ในจาการ์ตา กล่าวกับอัลจาซีราว่า แม้ว่าจะมีคำมั่นสัญญาเสมอเกี่ยวกับความต่อเนื่องเนื่องจากความเป็นพันธมิตรของเขากับวิโดโด แต่เขาคาดหวังว่าการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในรูปแบบอื่นภายใต้การนำของปราโบโว

เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าจะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการมุ่งเน้นการสร้างทุนมนุษย์” เมื่อเทียบกับการมุ่งเน้นของวิโดโดในโครงสร้างพื้นฐาน

ในนโยบายต่างประเทศ บาซูกิคาดการณ์ว่าปราโบโวจะ “มีท่าทีโอ่อ่าและยิ่งใหญ่กว่า” เมื่อเทียบกับนโยบาย “มองเข้าข้างใน” ของอดีตประธานาธิบดีคนก่อนแต่เขายังกล่าวอีกว่าประธานาธิบดีคนใหม่น่าจะพยายามรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียกับจีนและสหรัฐอเมริกา

ด้านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนส่งข้อความแสดงความยินดีถึงปราโบโวเมื่อวันอาทิตย์ โดยระบุว่าเขาจะรักษา “การสื่อสารเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด” กับคู่หูคนใหม่ของอินโดนีเซีย สถานีวิทยุกระจายเสียงของรัฐ CCTV รายงาน

BOI เปิดยอดลงทุน 3 ไตรมาสของปี 2567 ทุบสถิติรอบ 10 ปีทั้งจำนวนโครงการ-เงินลงทุน

(21 ต.ค. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน 2567) ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ซึ่งเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาลและมาตรการสนับสนุนของรัฐ ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนเชิงรุกของรัฐบาลและบีโอไอ ได้ทำให้เกิดการลงทุนโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จำนวนมาก เช่น เซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และพลังงานหมุนเวียน 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุนในห้วงเวลาสำคัญที่มีกระแสเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก เช่น การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีใหม่ กลไกจัดหาพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม พื้นที่รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เป็นต้น 

กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 183,444 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ดิจิทัล มูลค่า 94,197 ล้านบาท ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 67,849 ล้านบาท เกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 52,990 ล้านบาท ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 34,341 ล้านบาท โดยกิจการที่มีการลงทุนสูงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น

- กิจการ Data Center จำนวน 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 92,764 ล้านบาท โดยมีการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่สัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง และอินเดีย   

- กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์, 
การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม จำนวน 15 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,856 ล้านบาท

- กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และวัตถุดิบสำหรับ PCB จำนวน 55 โครงการ เงินลงทุนรวม 61,302 ล้านบาท

- กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ จำนวน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,973 ล้านบาท

- กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ และเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง จำนวน 117 โครงการ เงินลงทุนรวม 30,515 ล้านบาท

- กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 351 โครงการ เงินลงทุนรวม 85,369 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวม 546,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 180,838 ล้านบาท จีน 114,067 ล้านบาท ฮ่องกง 68,203 ล้านบาท ไต้หวัน 44,586 ล้านบาท และญี่ปุ่น 35,469 ล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนที่บริษัทแม่สัญชาติจีนและสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ Data Center นำบริษัทลูกที่จดจัดตั้งในสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 408,737 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 220,708 ล้านบาท ภาคเหนือ 35,452 ล้านบาท ภาคใต้ 25,039 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 23,777 ล้านบาท และภาคตะวันตก 8,812 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ การขอรับส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 27,318 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน รองลงมาคือ ด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิต 

สำหรับการออกบัตรส่งเสริม ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุน 672,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 101 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1 - 3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม 

“ทิศทางการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ยังคงมีแนวโน้มเติบโต แต่สิ่งที่บีโอไอให้ความสำคัญมากกว่าตัวเลขเม็ดเงินลงทุน คือคุณภาพของโครงการ และประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับ ซึ่งตอนนี้เป็นจังหวะเวลาสำคัญของประเทศไทยที่จะสามารถสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง สร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทย โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 1.7 แสนคน จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 8 แสนล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี” นายนฤตม์ กล่าว

‘พม่า’ ทะลักชายแดนแห่ขอทำ ‘บัตรหัว 0’ คึกคัก หวังฟอกขาวได้สัญชาติไทยแม้ราคาพุ่งใบละ 3 แสนบาท

(21 ต.ค. 67) ช่วงนี้เรื่องราวฝั่งเมียนมาน่าจะไม่ปังนัก เนื่องจากดิไอคอนส่องแสงสว่างวาบไปทั่วปฐพีขนาดคนพม่ายังรู้และเป็นกระแสในวงโซเชียลเมียนมาด้วย

แต่เอย่าอยากให้พักดรามาร้อน ๆ แล้วหันมารับรู้ประเด็นร้อนในโลกความเป็นจริงที่ฟังแล้วเราควรจะปวดขมับดีหรือจะชั่งมันดี

ประเด็นแรกมีอยู่ว่าตอนนี้ตามแนวชายแดนไทยมีคนพม่าจำนวนมากเข้ามาเพื่อจะทำ ‘บัตรหัว 0’

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่าบัตรหัว 0 คือบัตรอะไร? บัตรหัว 0 หรือบัตรผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนไม่มีสัญชาติไทยนั่นเอง

ซึ่งหลายคนรู้จักกันในชื่อบัตรชมพู หรือบัตร 10 ปีที่เอย่าเคยเล่ามาในบทความก่อนๆแล้ว โดยข้อดีของบัตรนี้คือถ้าพ่อแม่ถือบัตรหัว 0 ลูกที่เกิดมาจะสามารถขอสัญชาติไทยได้เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์นั่นเอง นั่นทำให้คนพม่าแห่เข้ามาเพื่อมารอทำบัตรหัว 0 กันอย่างเนืองแน่น เพราะเขาคิดว่าหากถูกถอนสัญชาติหรือพาสปอร์ตหมดอายุและไม่ต่ออายุด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็สามารถอาศัยในไทยได้ เพราะใช้บัตรดังกล่าว แถมบัตรนี้ออกโดยทางการไทยจะขอลี้ภัยไปประเทศไหนก็ง่ายดายเพราะมีข้อมูลยืนยัน

และที่เป็นประเด็นร้อนในขณะนี้คือข้าราชการฝ่ายปกครองต่างพยายามออกบัตรหัว 0 กันอย่างคึกคัก เพราะคิดราคาต่อใบ ใบละ 200,000 - 300,000 บาทต่อคน จนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องลงมาลุยเองเรื่องถึงได้เงียบลง แหม่ช่างเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนให้คึกคักเสียจริง

ประเด็นที่ 2 ก็ร้อนแรงไม่แพ้กันว่ากันว่ามีขบวนการพม่ารับขนเด็กจากชายแดนมายังกรุงเทพโดยขบวนการนี้จะทำการสวมสูติบัตรเด็กคนอื่นที่ไปเช่ามาใบละ 500-1,000 บาท

โดยเด็กกลุ่มที่มีฐานะดีหน่อยถูกพาไปหาพ่อแม่ตัวจริงในกรุงเทพ ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มเป็นเด็กที่พ่อแม่ขายมาให้เป็นแรงงานในไทย โดยขบวนการนี้คิดค่าดำเนินการ 3,000-7,000 บาท  ข่าวว่ากันว่า กลุ่มที่ทำงานตรงนี้มี 2 กลุ่มคือกลุ่มพม่าเชื้อสายแขกกับกลุ่มพม่าชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทยมาเป็นเวลานาน โดยมีข้าราชการไทยบางคนร่วมขบวนการ

เห็นเรื่องที่ 2 นี่เอย่าคิดถึงลุงตู่เลยที่ท่านพยายามอย่างหนักเพื่อให้ไทยเราปลอดการค้ามนุษย์แต่สุดท้ายก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมมือกับคนต่างด้าวทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย

ว่าแล้ว....เราควรจะวางเฉยแล้วเสพดรามากันต่อไปหรือจะเริ่มสอดส่องภัยใกล้ตัวขึ้นอยู่ตัวพวกเราด้วยกันเอง

‘แบงก์ชาติจีน’ ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% หวังฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน - จูงใจคนซื้อบ้าน

(21 ต.ค. 67) ‘แบงก์ชาติจีน’ ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ระยะ 1 ปี และ 5 ปี ลง 0.25% ขณะที่นักวิเคราะห์มองการลดดอกเบี้ยอย่างเดียวอาจกระตุ้นเศรษฐกิจไม่พอ

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 3.1% จากระดับ 3.35% และปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 3.6% จากระดับ 3.85%

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองบ้าน

การประกาศของ PBOC ในวันนี้สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และสอดคล้องกับที่พาน กงเซิ่ง ผู้ว่าการ PBOC แถลงในการประชุมด้านการเงินที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) ว่า อัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ อาจลดลงอีก 0.25-0.50% ภายในสิ้นปี โดยขึ้นอยู่กับสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งเปิดโอกาสสำหรับการดำเนินมาตรการผ่อนคลายด้านนโยบายเพิ่มเติม

เชน โอลิเวอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ AMP กล่าวว่า จีนกำลังใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยการลดอัตราดอกเบี้ย แต่เขาก็เตือนว่าแค่ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวอาจไม่พอที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีเท่าที่ควร จีนอาจต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ หรือลดภาษี เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

จื้อเหว่ย จาง ประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Pinpoint Asset Management มองว่าอัตราดอกเบี้ยในจีนยังมีช่องว่างให้ปรับลดลงอีก และคาดการณ์ว่านโยบายการเงินของจีนจะยังคงผ่อนคลายต่อไปในอนาคตอันใกล้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ พานกล่าวในการประชุมดังกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วันจะลดลง 0.20% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางจะลดลง 0.30% และยังกล่าวด้วยว่าอัตราดอกเบี้ย LPR จะลดลง 0.20-0.25% ในวันที่ 21 ต.ค.นี้

สหรัฐฯ กุมขมับ!! หลังเอกสารลับสุดยอดโผล่สื่อโซเชียล ยอมรับเป็นของจริง ปูดแผน ‘อิสราเอล’ เตรียมโจมตี ‘อิหร่าน’

(21 ต.ค. 67) รัฐบาลสหรัฐฯ เครียด! เมื่อปรากฏเอกสารลับสุดยอดหลุดออกไปเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียล ที่ระบุชัดว่า อิสราเอลกำลังเตรียมแผนการโจมตีอิหร่าน เพื่อตอบโต้ที่กรุงเทล-อาวีฟ ถูกอิหร่านระดมยิงด้วยขีปนาวุธ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา

โดย ไมค์ จอห์นสัน โฆษกรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อว่า ทางรัฐบาลวอชิงตันมีความกังวล เมื่อทราบว่ามีเอกสารลับสำคัญ 2 ชิ้นที่เอกสารดังกล่าวมาจากสำนักงานข่าวกรองเชิงพื้นที่แห่งสหรัฐอเมริกาและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ

เอกสารฉบับแรกมีชื่อว่า “อิสราเอล: กองทัพอากาศกำลังเตรียมการโจมตีอิหร่านและดำเนินการฝึกทหารกองใหญ่ครั้งที่ 2"

ส่วนฉบับที่สองชื่อ “อิสราเอล: กองกำลังป้องกันได้เตรียมอาวุธสำคัญ และ อากาศยานไร้คนขับ เกือบสมบูรณ์แล้วสำหรับการโจมตีอิหร่าน" 

ซึ่งเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ระบุวันที่ 16 ตุลาคม 2024 หลังจากนั้นเพียงวันเดียว เอกสารก็ถูกเผยแพร่ลงในสื่อ Telegram ผ่านเพจสำนักข่าวสายอิหร่านในกรุงเตหะราน และที่สำคัญคือ ทางการสหรัฐฯ ยอมรับว่า เอกสารทั้ง 2 ฉบับเป็นของจริง

โดยปกติแล้ว เอกสารลับระดับนี้ จะถูกเผยแพร่เฉพาะแค่ในกลุ่ม “Five Eyes" พันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐอเมริกา ที่ประกอบด้วย อังกฤษ, แคนาดา, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เท่านั้น

โฆษกสหรัฐฯ กล่าวว่า จะมีการสืบสวนร่วมกันระหว่าง กระทรวงกลาโหม, หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ และ FBI เพื่อตรวจสอบว่าเอกสารลับชิ้นหลุดออกไปได้อย่างไร ไม่ว่ามาจากสมาชิกคนในสำนักหน่วยข่าวกรอง หรือถูกแฮ็ก และใครเป็นคนเผยแพร่เอกสารลับทางออนไลน์เป็นคนแรก

ด้านกองทัพอิสราเอลไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ ที่เกี่ยวกับเอกสารลับสหรัฐฯ ที่พาดพิงถึงแผนปฏิบัติการทหารของตนในอิหร่าน 

ส่วนสื่ออิสราเอลออกมาคาดการณ์ว่า กองทัพอิสราเอลน่าจะใช้ขีปนาวุธ  Blue Sparrow ที่มีพิสัยยิงไกลถึง 2,000 กิโลเมตร และออกปฏิบัติการโจมตีไม่เกินเดือนเมษายนปีหน้า ซึ่งกองทัพอิสราเอลได้มีการทดสอบขีปนาวุธของตนอย่างลับๆมาตลอด เพราะข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของขีปนาวุธถือเป็นความลับสุดยอด ที่จะแพร่งพรายให้ศัตรูล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด 

แต่จากข้อมูลลับของสหรัฐฯ ที่หลุดออกมา ทำให้เชื่อว่า อิสราเอลไม่น่าจะใช้หัวรบนิวเคลียร์โจมตีอิหร่าน ซึ่งเป็นไปตามข้อเรียกร้องของโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ที่เคยออกมากล่าวว่า สหรัฐอเมริกาไม่สนับสนุนการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรือโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน 

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สงครามในตะวันออกกลางจะยังคงนองเลือดต่อไป แม้ ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกองกำลังฮามาสในกาซา จะถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลไปแล้วก็ตาม 

ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียว แจ้งความดำเนินคดีแล้ว หลังปรากฏภาพนักท่องเที่ยวจีนยิงหนังสติ๊กในสวนสัตว์

(21 ต.ค. 67) ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียว มอบหมายให้หัวหน้างานรักษาความปลอดภัยสวนสัตว์เปิดเขาเขียวไปแจ้งความดำเนินคดีที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่งใช้หนังสติ๊กยิงภายในสวนสัตว์แล้ว

จากกรณีมีผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่งได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะไปเที่ยวสวนสัตว์เปิดเขาเขียว แต่พบนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหนึ่งใช้หนังสติ๊กยิงภายในสวนสัตว์ พร้อมระบุข้อความว่า "ไม่น่ารักเลยนะคะ" จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์กันอย่างมาก

ล่าสุด บ่ายวันนี้ (21 ต.ค.) นายกฤตพัส อินทิปัญญา หัวหน้างานรักษาความปลอดภัยสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เผยว่า ได้รับมอบหมายจาก นายณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียวให้มาแจ้งความดำเนินคดี กรณีที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่งใช้หนังสติ๊กยิงภายในสวนสัตว์ ที่สถานีตำรวจภูธรศรีราชา ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี โดยมี พ.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ปิ่นประเสริฐ สว.(สอบสวน) สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี รับแจ้งความ

นายกฤตพัส เผยว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้ถ่ายคลิปวิดีโอปรากฏภาพของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน และผู้นำทัวร์ บริเวณหุบเสือป่า ถือหนังสติ๊ก และยิงออกไปโดยไม่ทราบเจตนาในการยิงอย่างแน่ชัด แต่ทั่วทั้งบริเวณของสวนสัตว์ ลิงอาศัยอยู่อย่างอิสระ ซึ่งโดยปกติแล้วเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์จะพกพาหนังสติ๊กไว้เพื่อป้องปรามไม่ให้ลิงมาทำอันตรายนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว

ซึ่งผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เกรงว่าอาจมีนักท่องเที่ยวกระทำการอันเป็นความผิดต่อสัตว์ป่าในสวนสัตว์ จึงมอบหมายให้มาแจ้งต่อพนักงานสอบสวน สภ.ศรีราชา เพื่อให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน หากเกิดความเสียหาย หรือการกระทำความผิดต่อสัตว์ในสวนสัตว์ในภายหลังอีก จะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากสวนสัตว์แจ้งความแล้ว ยังทำหนังสือถึงบริษัททัวร์ต่างๆ ที่นำลูกทัวร์มาให้เตือนนักทักท่องเที่ยวของตนเองไม่ให้นำหนังสติ๊กเข้ามาภายในสวน พร้อมทั้งห้ามทำร้ายหรือรังแกสัตว์ ซึ่งทางสวนสัตว์ได้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวอยู่แล้ว

‘อัครเดช’ ปลื้ม บรรลุ 4 ข้อตกลงประชุมสภาอาเซียน หนุนการพัฒนาทั่วทั้งภูมิภาค เกาะกระแสเทคโน-AI

(21 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจ ในรัฐสภาอาเซียน ได้เข้าร่วมประชุมในการประชุมใหญ่สมัชชารัฐสภาอาเซียน ครั้งที่ 45 หรือ AIPA-45 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภานำสมาชิกรัฐสภาไทยเข้าร่วมประชุม 

นายอัครเดช ได้เปิดเผยว่า ในฐานะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจ ของรัฐสภาอาเซียนที่ได้เข้าร่วมประชุมกับ 10 ชาติสมาชิกของสมัชชารัฐสภาอาเซียน ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน 8 เรื่อง โดยมีเรื่องที่สำคัญ ๆ คือ 

เรื่องแรก คือ การเสริมสร้างความร่วมมือและพัฒนาระบบป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ข้ามพรมแดน ซึ่งจะตอบโจทย์ของปัญหาที่ชาติสมาชิกต่างเผชิญร่วมกันคือ การหลอกลวงทางออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น  

เรื่องที่ 2 จากการที่ชาติสมาชิกได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของ Artificial Intelligence หรือ AI ที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นชาติสมาชิกจึงตัดสินใจร่วมกันพัฒนา Asian Digital Master Plan เพื่อให้มีการพัฒนา AI ระหว่างชาติสมาชิกอย่างเป็นรูปธรรม  

รวมถึงริเริ่ม Digital Integration Initiative ที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างชาติสมาชิกของภูมิภาคในด้าน AI ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เรื่องที่ 3 เป็นการขนส่งระหว่างประเทศในภูมิภาค โดยมีการหยิบกรณีตัวอย่างซึ่งประสบความสำเร็จจากการเชื่อมโยงการขนส่งแบบไร้รอยต่อ (Seamless Transportation) ในอนุภูมิภาค(Sub Religion) ของภูมิภาคอาเซียน คือ กลุ่มประเทศ BIMP อันประกอบด้วย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์

กลุ่มประเทศดังกล่าวนั้นสามารถเชื่อมต่อการขนส่งทั้งการขนส่งคน และการขนส่งของได้อย่างไร้รอยต่อเป็นอันสำเร็จ ซึ่งทาง AIPA จะได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการขนส่ง และกฎหมายร่วมกันเพื่อให้เกิดการขนส่งแบบไร้รอยต่อ(Seamless Transportation) ภายในภูมิภาคอาเซียน

ซึ่งการพัฒนากฎหมายนี้จะต้องมีการพัฒนาในเรื่องมาตรฐานการขนส่ง มาตรการในการลดอุปสรรคในการขนส่งคนและสิ่งของข้ามพรมแดน โดยการพัฒนากฎระเบียบดังกล่าวจะยึดหลักความปลอดภัยและความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

การพัฒนาการขนส่งแบบไร้รอยต่อนี้ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของภูมิภาคผ่านการระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ และประเทศไทยจะได้รับผลดีทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก จากข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์จากการเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน  

เรื่องที่สำคัญเรื่องที่ 4 เป็นเรื่องของตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Market) ที่เป็นกลไกสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืน ทางที่ประชุมจึงมีมติให้ส่งเสริมให้มียุทธศาสตร์หลักเพื่อจะเปลี่ยนให้เป็นการปฏิบัติจริง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศของโลก (Climate Changes Goals)

โดยยุทธศาสตร์นี้จะอำนวยความสะดวกให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงร่วมมือกันลดการใช้เชื้อเพลิงพลังงานจากฟอสซิล

นอกจากนี้ในที่ประชุมกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจ สมัชชารัฐสภาอาเซียน ครั้งที่ 45 หรือ AIPA-45 ยังได้มีการหยิบยกอีกหลายเรื่องขึ้นมาหารือ อาทิ การติดตามความร่วมมือการส่งเสริมการลงทุนทางด้านการเกษตรและอาหาร การติดตามความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเมืองอย่างยั่งยืน การสนับสนุนความร่วมมือด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีตาม ASEAN Connectivity 2025 ซึ่งเป็นแผนแม่บทของชาติสมาชิก และการส่งเสริมทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์(Eco and Culture Tourism)

รัฐบาลเฝ้าระวัง 31 จังหวัดเสี่ยงจากอากาศแปรปรวน ยัน พายุโซนร้อนลงทะเลจีนใต้ ไร้ผลกระทบกับไทย

(21 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์  ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่า วันนี้ (21 ต.ค.) กรมอุตุนิยมวิทยา ยังแจ้งเตือนหลายพื้นที่ ระวังผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน  อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ และมีพื้นที่อ่อนไหวต้องติดตามเฝ้าระวังแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ช่วงวันที่ 21-23 ตุลาคมนี้ ใน 31 จังหวัด ประกอบด้วย  

ภาคเหนือ จังหวัดตาก (พบพระ) จังหวัดเชียงราย (เวียงป่าเป้า) จังหวัด ลำปาง (วังเหนือ) จังหวัดอุทัยธานี (บ้านไร่ ห้วยคต ลานสัก)

ภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี (ศรีราชา บ่อทอง บางละมุง สัตหีบ บ้านบึง) จังหวัดระยอง (บ้านค่าย เขาชะเมา) จังหวัดฉะเชิงเทรา (ท่าตะเกียบ สนามชัยเขต) จังหวัดปราจีนบุรี (นาดี ประจันตคาม) จังหวัดจันทบุรี (เมืองจันทบุรี ขลุง เขาคิชฌกูฎ โป่งน้ำร้อน)  จังหวัดตราด (เกาะช้าง  เขาสมิง บ่อไร่) 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง) 

ภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี (สังขละบุรี ทองผาภูมิ ไทรโยค) จังหวัดนครนายก (เมือง บ้านนา) จังหวัดสระบุรี (มวกเหล็ก) จังหวัดราชบุรี (บ้านคา ปากท่อ สวนผึ้ง) จังหวัดเพชรบุรี (แก่งกระจาน หนองหญ้าปล้อง ท่ายาง) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน ปราณบุรี สามร้อยยอด กุยบุรี ทับสะแก บางสะพาน บางสะพานน้อย) 

ภาคใต้ จังหวัดชุมพร (เมืองชุมพร สวี พะโต๊ะ ท่าแซะ หลังสวน ละแม ทุ่งตะโก) จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ท่าชนะ ไชยา กาญจนดิษฐ์ ดอนสัก พนม) จังหวัดนครศรีธรรมราช (สิชล  ท่าศาลา ขนอม นบพิตำ) จังหวัดระนอง (กะเปอร์ สุขสำราญ ละอุ่น กระบุรี) จังหวัดพังงา (กะปง ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า ท้ายเหมือง คุระบุรี) จังหวัดภูเก็ต (ถลาง กะทู้ เมืองภูเก็ต) จังหวัดกระบี่ (เขาพนม เมืองกระบี่  อ่าวลึก ปลายพระยา เกาะลันตา) จังหวัดตรัง (เขาพนม เมืองกระบี่ อ่าวลึก  ปลายพระยา  เกาะลันตา) จังหวัดสตูล (ละงู ทุ่งหว้า มะนัง ควนกาหลง) จังหวัดพัทลุง (กงหรา ศรีนครินทร์ ศรีบรรพต) จังหวัดสงขลา (สะบ้าย้อย หาดใหญ่ รัตภูมิ) จังหวัดยะลา (เบตง ธารโต ยะหา) จังหวัด ปัตตานี (โคกโพธิ์ มายอ ทุ่งยางแดง ยะรัง)  จังหวัดนราธิวาส (บาเจาะ ระแงะ ยี่งอ  รือเสาะ สุคิริน)

“อากาศแปรปรวนทำให้ กรมทรัพยากรธรณี เตือนประชาชน พร้อมประสานเครือข่ายในพื้นที่เฝ้าระวัง ในหลายจุดเสี่ยงของ 31 จังหวัด เพื่อเป็นการป้องกัน และเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือทันทีประชาชนได้ทันทีหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์พายุหมุนเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก  นายจิรายุ กล่าวว่า  จากการติดตามของกรมอุตุนิยมวิทยา  ยืนยันว่า  พายุนี้ยังอยู่ห่างไกลจากประเทศไทยมาก  โดยในวันนี้ (21/10/67)  เป็นพายุดีเปรสชัน มีแนวเคลื่อนตัวทางตะวันตก มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อนได้  และจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะลูซอล ประเทศฟิลิปปินส์ ในช่วงวันที่ 24- 25 ตุลาคมนี้  ก่อนที่จะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลงสู่ทะเลจีนใต้  เบื้องต้นไม่มีผลกระทบกับประเทศไทย แต่ยังคงเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง

นายจิรายุ กล่าวด้วยว่า  กรณีน้ำป่าไหลหลาก ที่ อ.บ้านไร่ จ.จังหวัดอุทัยธานี ภาพรวมกลับสู่ภาวะปกติแล้ว มวลน้ำทั้งหมดไหลลงสู่เขื่อนกระเสียว ช่วยเติมน้ำลงอ่างไว้ใช้ประโยชน์ช่วงหน้าแล้ง  ไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำแต่อย่างใด ขณะที่ภาคใต้ตอนล่างซึ่งยังมีแนวโน้มฝนตกหนักต่อเนื่อง ได้พร่องน้ำในเขื่อนบางลาง เพื่อเพิ่มพื้นที่ไว้รองรับน้ำที่จะไหลเข้ามาเพิ่มเติมช่วง 7 วันข้างหน้า อีก ประมาณ 86 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงวางแผนไว้รับน้ำช่วงฤดูฝนของภาคใต้หลังจากนี้ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top