Friday, 4 July 2025
TheStatesTimes

'เด็กจุฬาฯ' 3 นิ้ว ติดป้ายป่วนมหาลัยฯ กล้องพร้อมจับภาพนิ่ง-เคลื่อนไหว หลังหนังสือโจมตี 'กองทัพ' ถูกสั่งห้ามจัดงานเปิดตัวในรั้วมหาลัยฯ

(25 ก.ย. 67) จากกรณี กอ.รมน.ออกมาท้วงติง หนังสือที่มีชื่อว่า 'ในนามของความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย' ที่เขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เพราะมีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด พิจารณาเรื่องการละเมิดข้อบังคับจริยธรรม ของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป

งานนี้สะเทือนถึงต้นสังกัด อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องออกมาเคลื่อนไหวทันที โดยล่าสุด รศ.ดร.พวงทอง เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า ดิฉันได้รับทราบจากท่านคณบดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ของจุฬาฯ จัดงานเปิดตัวหนังสือ 'ในนามความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมไทยของกองทัพ' โดยไม่ได้เหตุผลที่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ ได้รับรางวัลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 66

ส่วนคณะรัฐศาสตร์ ยังคงให้การสนับสนุนด้านการเงิน ในการจัดงานครั้งนี้ และภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังยินดีเป็นเจ้าภาพจัดงานต่อไป จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ อย่างไรก็ตาม คณะรัฐศาสตร์ไม่สามารถให้ใช้สถานที่ได้ เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ถือว่าตนเป็นเจ้าของสถานที่ทั้งหมดในรั้วจุฬาฯ สอนเรื่องกระจายอำนาจการปกครองไปทำไม

รศ.ดร.พวงทอง ระบุอีกว่า ขอขอบพระคุณอย่างสูง ต่อผู้บริหารของหอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ที่ยินดีให้พื้นที่เสรีภาพแก่งานวิชาการ ที่ตกเป็นเป้าของอำนาจรัฐ ทั้ง ๆ ที่รับทราบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อันที่จริงคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกที่หนึ่งที่ ที่แสดงความยินดีให้เราใช้สถานที่ได้ แต่เราติดต่อกับทางบ้านจิมเรียบร้อยก่อนแล้ว และการเดินทางมาบ้านจิม ก็ค่อนข้างสะดวก จึงขอขอบคุณคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มา ณ ที่นี้ด้วย ย้ายแค่สถานที่ แต่เวลาเดิม ศุกร์ที่ 27 กันยายน 15.30-17.30 น. แล้วพบกันค่ะ รศ.ดร.พวงทอง ทิ้งท้ายด้วยว่า ประเทศที่เสรีภาพทางวิชาการ เป็นเรื่องตลก
.
ล่าสุด เว็บไซต์ประชาไท ได้เปิดเผยว่า ช่วง 11.20 น. ที่บริเวณคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตจุฬาฯ และเพื่อนอีก 1 คน ได้ทำกิจกรรมแปะป้ายเรียกร้องเสรีภาพวิชาการ ในพื้นที่มหาวิทยาลัย ที่คณะรัฐศาสตร์ หน้าอาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ หลังมหาวิทยาลัยไม่ให้ใช้สถานที่จัดงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มดังกล่าว

โดยมีการนำป้ายกระดาษที่ระบุข้อความว่า ‘เสรีภาพทางวิชาการ = Fake News ผลิตโดยจุฬาฯ’ / ‘เสรีภาพทางวิชาการกี่โมง’ / ‘ผู้บริหารจุ เป็นอะไรกับทหาร’ ติดที่ป้ายคณะรัฐศาสตร์ แต่ระหว่างนั้น ได้เกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย เมื่อพนักงานมหาวิทยาลัย ได้รีบเข้ามาดึงป้ายกระดาษดังกล่าวออกไปทันที พร้อมนำโทรศัพท์มาถ่ายคลิปของนิสิตดังกล่าวที่มาทำกิจกรรมป่วน และสอบถามว่าอยู่คณะอะไร แต่เจ้าตัวไม่ฟัง และยังดำเนินกิจกรรมต่อไป โดยได้ไปติดป้ายกระดาษที่อาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ด้วย ซึ่งระหว่างการติดป้ายข้อความดังกล่าว จะเห็นว่ามีผู้ชาย 1 คน ทำหน้าที่ถ่ายภาพตลอดเวลา ส่วนอีกคนทำหน้าที่ถ่ายคลิปวิดีโอ

นิสิตคนดังกล่าว อ้างว่า ที่ทำกิจกรรมนี้ ไม่ได้ต้องการทำเพื่อใครเป็นการเฉพาะ แต่เพราะว่ามหาวิทยาลัย ควรจะเป็นสถานที่จะจัดงานวิชาการแบบนี้ได้ จุฬาฯ ไม่เคยเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเสรีภาพการแสดงออก แล้วเธอก็ยังตั้งคำถามด้วยว่า การที่ก่อนหน้านี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. ออกมาแบนหนังสือเล่มนี้ ทำไมจะต้องให้มีอิทธิพลเหนือผู้บริหารมหาวิทยาลัยด้วย ทั้งที่คณะรัฐศาสตร์ก็ยังอนุญาตให้จัดได้ แต่ทำไมทางมหาวิทยาลัย กลับเข้ามาแทรกแซงการทำงานของคณะ

ทั้งนี้ ที่น่าตกใจยิ่งกว่า เมื่อพบว่า รศ.ดร.พวงทอง ได้ใช้เฟซบุ๊กแชร์คลิปข่าวดังกล่าวของประชาไท พร้อมระบุแคปชันว่า “ขอบคุณนิสิตมากๆ ค่ะ ด้วยความนับถือ”

อย่างไรก็ตาม เพจ 'นักเรียนดี' ได้โพสต์ถึงกรณีนี้ด้วยว่า "ล่าสุด!! จุฬาฯ ไฟเขียวให้ใช้พื้นที่จัดงานเสวนาหนังสือ ฟ้าเดียวกัน 'ในนามของความมั่นคงภายใน' ได้ อธิการบดีจุฬาฯ ยันมหาวิทยาลัยให้เสรีภาพ"

‘สุชาติ’ มอบตรา ‘Thai SELECT’ แก่ร้านอาหารไทยในเกาหลีใต้ ส่งเสริมการรับรู้-ยกระดับภาพลักษณ์ ‘อาหารไทย’ ในต่างประเทศ

(25 ก.ย. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ณ กรุงโซล ให้แก่ร้านอาหารไทย 4 แห่งในเกาหลีใต้โดยมี Mr.Stanley Park ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์การค้าระหว่างประเทศ และ น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมด้วย ว่า…

กระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกตามนโยบายรัฐบาล และผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของไทยผ่านอาหารไทยและร้าน Thai SELECT ซึ่งจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์และขยายการรับรู้ในตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ของกลุ่มผู้บริโภคในตลาดเกาหลีใต้ ภายใต้นโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องของแผนงาน ‘อาหารไทย อาหารโลก’ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการกระตุ้นการบริโภคอาหารไทยในต่างประเทศผ่านตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพื่อยกระดับการให้บริการอาหารไทยของร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ส่งเสริมให้ร้านอาหารไทย สร้างมูลค่าให้แก่อาหารไทยสู่ผู้บริโภคที่มีอยู่ทั่วโลก อันเป็นการส่งเสริมธุรกิจบริการร้านอาหารไทยและยกระดับอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง 

โดยได้มอบให้แก่ ร้านอาหารไทย 4 แห่ง ในเกาหลีใต้ ได้แก่ 
1) ร้านครัวไทย (Krua Thai) 
2) ร้านเลมอนกราส ไทย สาขา Isu (Lemongrass Thai) 
3) ร้านนานา แบงคอก (Nana Bangkok) 
4) ร้านสุขุมวิท 19 (Sukhumvit 19) 

นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารไทยที่เคยได้รับ Thai SELECT แล้วอีก 3 ร้านได้แก่ ร้าน คนไทย ร้าน ครับผม และร้าน สยาม มาร่วมในการมอบตราสัญลักษณ์ด้วย

ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ที่มอบให้แก่ร้านอาหารไทยในต่างประเทศมี 3 ประเภท ตามเกณฑ์รูปแบบของร้าน การตกแต่งร้าน คุณภาพของอาหารและการบริการ คือ

1. Thai SELECT Signature มอบให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่ให้บริการอาหารไทยแท้คุณภาพยอดเยี่ยม มีการตกแต่งร้านสวยงาม และการให้บริการที่เป็นเลิศ เป็นร้านที่มีความโดดเด่นในภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ของอาหารไทย

2. Thai SELECT Classic มอบให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่ให้บริการอาหารรสชาติตามมาตรฐานอาหารไทย คุณภาพอาหารรวมถึงการให้บริการและการตกแต่งร้านในระดับที่ดี

3. Thai SELECT Casual มอบให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่ให้บริการอาหารที่มีรสชาติไทย แต่มีข้อจำกัดในด้านบริการ (Limited Service Restaurant) หรือเป็นร้านที่มีขนาดเล็ก และ/หรือมีความเรียบง่าย ให้ความรู้สึกสะดวกสบายในการใช้บริการ เช่น ร้านอาหารไทยในฟู้ดคอร์ท ร้าน Fast Food ร้านอาหารที่มีที่นั่งจำกัดหรือไม่มีที่นั่งหน้าร้าน Food Truck หรือเป็นร้านอาหารไทยที่มีเมนูไม่มากแต่ล้วน เป็นอาหารไทยที่มีรสชาติตามต้นตำรับไทย หรือเป็นร้านที่ให้บริการอาหารไทยแนว Street Food เป็นต้น

ปัจจุบัน มีร้านอาหารไทยถึง 320 แห่งในเกาหลีใต้ โดยเป็นร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จำนวน 50 แห่ง เป็นร้านอาหารแบบ signature 9 ร้าน แบบ classic 37 ร้าน และแบบ casual 4 ร้าน ซึ่ง สคต. ณ กรุงโซล ตั้งเป้าที่จะขยายจำนวนร้านอาหาร Thai SELECT ให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคในร้านอาหาร Thai SELECT อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเชิญ Influencers ที่เป็นที่รู้จักในเกาหลีใต้ มารับประทานอาหารที่ร้านอาหารไทยเพื่อสร้างกระแสความนิยมในอาหารไทยมากยิ่งขึ้น

รมช.พณ. ได้เน้นย้ำถึงนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งอาหารไทยเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ศักยภาพของไทย และการมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้กับร้านอาหารไทยโดยกระทรวงพาณิชย์ เป็นการการันตีคุณภาพและมาตรฐานของการประกอบกิจการอาหารไทย รวมถึงเป็นการส่งเสริมการส่งออกวัตถุดิบและเครื่องปรุงไทยไปยังต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งหากร้านอาหารไทยมีความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้น ก็อาจจะส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานพ่อครัว/แม่ครัวไทยมากขึ้นเช่นกัน 

ดังนั้น รมช.พณ. จึงเห็นว่า อาหารไทยและร้านอาหารไทยเปรียบเสมือนทูตวัฒนธรรมที่ทำให้คนเกาหลีใต้ ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเกาหลีใต้ได้ลิ้มลองและสัมผัสความเป็นไทย วิถีชีวิต และวัฒนธรรมต่าง ๆ ของไทยอีกด้วย ดังนั้น จึงขอฝากให้ร้านอาหารไทยทั้งที่ได้รับรางวัล Thai SELECT และร้านที่ยังไม่ได้รับในเกาหลีใต้คงรักษามาตรฐานและความเป็นอัตลักษณ์ของอาหารไทยไว้ต่อไป เพื่อให้ร้านอาหารไทยเป็นที่แพร่หลายและนิยมไปทั่วโลก

(สภา) กมธ.ปปง. ‘เลิศศักดิ์’ เร่งแก้ปัญหาระบบทุนต่างชาติ นำเข้าสินค้าถูกหลบภาษีแฝงนอมินีฟอกเงินเขย่าความมั่นคงของชาติ

(25 ก.ย. 67) ที่ห้องประชุม 407 ชั้น 4 อาคารรัฐสภาเกียกกาย นายเลิศศักดิ์ พัฒนาชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ปปง.) ได้เรียกประชุมคณะ กมธ.ปปง. ครั้งที่ 36  พิจารณาเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบขบวนการฟอกเงินข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอันเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน และการฟอกเงินข้ามชาติผ่าน Payment Gateway ซึ่งเป็นการ(พิจารณาต่อเนื่อง)จากการประชุม ครั้งที่ 35 ที่ผ่านมา ตามคำร้องเรียนสงสัยการนำเข้าสินค้า แฝงปัญหาการฟอกเงิน ”ครั้งนั้น“ มีผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้แทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นำข้อมูล กฏหมาย หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตในการดำเนินธุรกิจ กรณีนิติบุคคลหรือมีฐานะเป็นนิติบุคคลต่างด้าว รวมถึงการถือหุ้นคนต่างด้าว ทำการค้าในระบบอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มหรือแพลตฟอร์มการทำธุรกิจจากต่างประเทศ เป็นข้อมูลประกอบคำร้องเรียน ครั้งนี้ได้เชิญ อธิบดีกรมศุลกากร และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ที่ได้ส่งผู้แทนเข้าให้ข้อมูล 

“ข้อมูลที่ได้จึงเป็นรูปแบบการหลีกเลี่ยงภาษีและการนำเข้าที่กระทบความมั่นคงของชาติ ผ่านเครือข่ายการขนส่งที่หลบเลี่ยงกฏหมาย (พ.ร.บ.ศุลกากร 2560) เกี่ยวพันทั้งทาง บก น้ำ และอากาศ ใน 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบ 1.อีคอมเมิร์ซ (ยกเว้นภาษี) 2. นำเข้าโดยสิทธิพิเศษ FTA  ยกเว้นภาษีนำเข้าเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ (ยกเว้นภาษี)3. การนำเข้าแบบปกติ คือการนำเข้าจ่ายภาษีปกติ รวมไปถึงการขนส่ง ที่ผู้รับจ้างขนส่งจะไม่รู้ว่าสินค้าที่นำส่งนั้นภายในตู้คอนเทนเนอร์ไม่สามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นหากนำส่งสินค้าที่มียาเสพติดหรือสินค้าที่ละเมิด ไม่เสียภาษี ผู้รับจ้างขนส่งก็จะตกเป็นจำเลยสังคมทันที ทุนต่างชาติใช้นอมินีในการเป็นตัวแทนทุนจีนข้ามชาติ ปัญหาจึงเด่นชัดที่ทุนจีนเข้ามาสร้างผลกระทบให้กับธุรกิจภายในประเทศไทย ที่ต้นทางคือการนำเข้าสินค้าก็คือด่านศุลกากร จนไปเกี่ยวพันปัญหาข้อสงสัยถึงการฟอกเงิน”

นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ป.กมธ.ปปง. กล่าวว่า ข้อมูลที่ได้ทำให้รู้ว่ารูปแบบการค้าขายของกลุ่มทุนจีนหรือทุนต่างชาติ เข้ามากระทบเศรษฐกิจของคนไทย สินค้าราคาถูกทำให้นักธุรกิจไทยไม่สามารถแข่งขันได้ยังลามไปถึงปัญหาการนำเข้าของกรมศุลกากร ข้อมูลที่ได้จาก ผู้แทนศุลกากร และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย  ถือเป็นประโยนช์ในการตรวจสอบ จะมีการศึกษาแนวทางการแก้ไขต่อไปในอนาคตในส่วนกรณีข้อสงสัยไปถึงกระบวนการฟอกเงิน เรื่องนี้จะยังมีการพิจารณาเพื่อสรุปผลหาแนวทางการตรวจสอบอีกครั้ง ทั้งนี้ กมธ.ปปง. จะร่วมหาแนวทางการศึกษาเพื่อหาทางออกในมาตรการแก้ไขเพื่อความถูกต้องให้ลดปัญหาการเอาเปรียบของกลุ่มทุนต่างชาติเพื่อนักธุรกิจพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

‘อิน-เอม’ 2 พี่น้องหัวใจนักอนุรักษ์ ผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides’ ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์รัฐสภาสีเขียว มุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2032

(25 ก.ย. 67) ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของ นายอริณชย์ ทองแตง (น้องอิน) และ ด.ญ.อริสา ทองแตง (น้องเอม) สองพี่น้องผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นสนใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในน้ำ’ ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งเน้นการปลูกฝังให้รัก ห่วงแหน และเห็นความสำคัญของธรรมชาติ โดยเริ่มต้นโครงการ ‘Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า)’ เชิญชวนทุกคนร่วมกันอนุบาลลูกเต่าทะเล เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 70% 

จากนั้นก็เริ่มมีโครงการที่มุ่งมั่นตั้งใจทำมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ Net Zero @อัมพวา: บอกลาคาร์บอน กู้วิกฤตโลกร้อน โครงการปลูกกล้า ป้องแผ่นดิน ปลูกต้นโกงกางเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ที่จังหวัดสมุทรสงคราม และ โครงการ ‘ปะ ปลา ยูน หญ้า @เกาะหมาก’ จ.ตราด เป็นต้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา น้องอิน น้องเอม และพวกพ้อง กลุ่ม Below the Tides ได้เข้าพบ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ หลังได้รับเกียรติร่วมพิธีประกาศเจตนารมณ์รัฐสภาสีเขียวมุ่งสู่การเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2032 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสาร สร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Corban Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของรัฐสภา และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ที่ห้องประชุมมนา B1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพฯ และ Live Stream ผ่านระบบอินทราเน็ตสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ก่อนเริ่มงาน นายวันนอร์ กล่าวว่า “เราจะประกาศเจตนารมณ์ที่จะลดคาร์บอน และแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลกที่กำลังเดือด ที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วม โดยประเทศไทยเห็นชัด ฉะนั้น ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ และการที่ทำให้โลกสีเขียวเป็นเรื่องสำคัญ โดยวันนี้เราจะประกาศเจตนารมณ์ของสภาฯ ที่จะให้เป็นสภาฯ สีเขียว”

ทางด้าน สองพี่น้องอิน-เอม กล่าวว่า Below the Tides ได้รับเกียรติให้เป็นเยาวชนกลุ่มเดียวที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาสำคัญ เมื่อรัฐสภาไทยประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็น Net Zero ภายในปี 2032 พวกเราได้รับโอกาสอันทรงเกียรติในการนำเสนองานของเราต่อผู้แทนที่มีเกียรติหลายท่าน รวมถึงประธานรัฐสภา ท่านวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ และผู้แทนถิ่นของ UNDP ประจำประเทศไทย คุณเนียมห์ คอลเลียร์-สมิธ รวมถึงบุคคลอื่น ๆ อีกมากมาย 

“นอกจากนี้ เรายังรู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่มูลนิธิพอเพียง ซึ่งมีเครือข่ายนักเรียนกว่า 10 ล้านคน แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับเรา มาร่วมกันทำความดีและสร้างความเปลี่ยนแปลงกันเถอะ” สองพี่น้องหัวใจนักอนุรักษ์ กล่าว

คำถามชวนถก "ผู้บริโภคคิดอย่างไร? คิดค่าจอดรถหน้าเซเว่น-เก็บค่าถุงพลาสติก" ทัวร์ลงฉ่ำ!! เป็นสิทธิของเจ้าของที่และทุกค่าถุงจ่ายเข้ากองทุนโลกร้อน

(25 ก.ย. 67) จากกรณีเพจ 'สภาองค์กรของผู้บริโภค' ได้โพสต์ตั้งคำถามว่า "ผู้บริโภคคิดอย่างไร คิดค่าจอดรถหน้า 7-11 ก่อนหน้านี้ ไม่ให้ถุงพลาสติกเพื่อรณรงค์ลดการใช้พลาสติก ปัจจุบันมีถุงพลาสติกขายให้ผู้บริโภค" นั้น

ล่าสุดโลกโซเชียลที่ได้พบเห็นข้อความดังกล่าว ก็มีความเห็นเป็นมติเอกฉันท์ถึงเรื่องนี้ อาทิ...

- "บางทีก็สมควร เพราะเห็นบ่อยมากพวกจอดรถที่เซเว่นแล้วไปธุระที่อื่น"

- "15 นาทีแรกสำหรับคนมาจอดรถฟรี ก็ถ้าคนซื้อของจริง ๆ ใครมันจะเดินเล่นในเซเว่นเป็นชั่วโมงล่ะฮิ อยากด่าเขาก็หามุมที่เข้าท่ากว่านี้หน่อยเหอะ"

- "พื้นที่จอดรถก็เป็นของเอกชนเขา ถ้าไม่ซื้อของเขา ก็ควรถูกเก็บเงินบ้าง ไม่แปลกอะไร ส่วนเก็บเงินค่าถุงพลาสติก ก็โอเคกันนะ ต่างประเทศเขาก็ทำกัน"

- "ถุง 1 บาท เค้าจ่ายเข้ากองทุนโลกร้อนนะ"

- "คนไทยพอเจอกฎเกณฑ์ ก็จะเป็นจะตายเสียให้ได้"

- "ที่เขาทำแบบนี้ เพราะบางคนจอดทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน ลูกค้าจะเข้าไปซื้อของแต่ไม่มีที่จอด ในห้างใหญ่ ๆ เขาก็ทำกัน"

- "ถ้าจะไม่พอใจการกระทำของ 7-11 คุณลองไปดูสถานที่ราชการที่เก็บค่าจอดรถบ้างครับ เช่นที่ จ.กาฬสินธุ์ ที่สำนักงานเทศบาลเมืองหลังเก่า นำเอาที่ลานจอดรถมาบริการให้ประชาชนไปจอด แต่เก็บค่าที่จอดรถคิดเป็นรายชั่วโมง ประเด็นมันคือ สถานที่ราชการที่นำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ควรจะบริการประชาชนฟรี แล้วนี่กลับเก็บเงินค่าที่จอดรถกับประชาชนอย่างนี้ไม่น่าจะถูกต้องครับ ส่วนของ 7-11 นี้ ผมคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขานะครับ เพราะที่ดินนั้นมันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เขาจะดำเนินการอย่างไรก็แล้วแต่เขา เขามีเหตุผลของเขาครับ"

- "คาบ้าน มติเอกฉันท์"

'สส.พรรคส้ม' โวย!! ถูกถอนร่างกฎหมายห้ามผู้ปกครองลงโทษบุตร อ้าง!! แปลว่าเห็นคุณค่าลูกหลานมีค่าน้อยกว่า 'วัว-ควาย' หรืออย่างไร?

(25 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ... ซึ่งมีนายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ในวาระสอง

สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไข คือ ยกเลิก (2) ของมาตรา 1567 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน 'ทำโทษบุตรเพื่อสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรมโดยต้องไม่กระทำด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือการกระทำโดยมิชอบ อันเป็นการลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุตร'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกร่วมกันอภิปรายในการแก้ไขกฎหมายไม่ตีเด็ก มีความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยพรรคประชาชนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว ส่วนฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะสส.พรรคเพื่อไทย และสส.ภูมิใจไทย เห็นว่าการบัญญัติโดยใช้ถ้อยคำกำกวมจะยากต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ แต่ที่สำคัญเห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองครูอาจารย์รักลูกและลูกศิษย์ของตนเอง ไม่มีใครต้องการทำโทษรุนแรง การห้ามไม่ให้ตีเด็กถือเป็นการลิดรอนสิทธิ์ในการดูแลบุตรหลาน

นายนิพนธ์ คนขยัน สส.บึงกาฬ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การทำโทษลูกตนเชื่อมั่นว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูก แต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่มีการตีลูกเลย ถ้าลูกดื้อหรือเกเรก็ตีไม่ได้เลยอย่างนี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร และคนต่างจังหวัดที่ต้องมาทำงานในกรุงเทพฯ ลูกอยู่กับปู่ย่าตายาย ไม่มีเงินที่จะเลี้ยงลูกแบบถูกสุขลักษณะ ถ้าพ.ร.บ.ฉบับนี้ออกไปใครจะกล้าตีลูก แม้แต่ครูก็ไม่กล้าตี เก็บไม้เรียวไปได้เลย ซึ่งตนก็เห็นใจแต่ทุกคนเกิดมาไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงอยากให้กรรมาธิการฯ นำกลับไปทบทวนใหม่ แล้วเสนอมาใหม่เพื่อให้พ่อแม่มีทางออก และต้องการให้แยกให้ออกระหว่างการตีด้วยความรักกับการทารุณกรรม

น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า เหตุใดต้องเขียนกฎหมายให้คลุมเครือ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติหาบรรทัดฐาน ใช้ดุลยพินิจเอาเอง อีกทั้งเรามีพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กอยู่แล้ว จึงอยากให้ คณะกมธ.ถอนร่าง แล้วนำกลับไปทำให้ชัดเจนขึ้น

ขณะที่น.ส.พิมพ์กาญจน์ กีรติวิราปกรณ์ สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า การมีหลักประกันจากกฎหมายนี้จะทำให้เด็กเติบโตได้อย่างอุ่นใจ ความรุนแรงมีความหมายในตัว และการส่งต่อความรุนแรงในรูปแบบความรักไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร อย่างไรก็ตาม สำนวนที่ว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี นั่นแปลว่าเราเห็นลูกหลานแย่หรือมีค่าน้อยกว่าวัวกว่าควายหรือไม่ ในเมื่อวัวควายท่านบอกให้ผูก แต่ลูกหลานถึงขั้นตี เหตุใดไม่ปรับพฤติกรรมโดยการพูดคุยอย่างอ่อนโยน ให้เหตุผล ในเมื่อเชื่อว่าผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ เหตุใดไม่เรียนรู้ที่จะส่งต่อวิธีที่ถูกต้อง หรือวิธีที่ทำให้ลูกหลานรับรู้ว่าเป็นวิธีที่ผู้ใหญ่ห่วงใย

นางศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน กล่าวว่า สภาฯ เคยผ่านกฎหมายป้องกันทารุณกรรมสัตว์แล้ว ทำไมเราถึงตั้งคำถามกับการคุ้มครองมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะเด็กที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ฝ่ายที่คัดค้านแล้วบอกว่าใช้คำคลุมเครือนั้น ในฐานะที่ตนเป็นทนายความอยากบอกว่าทำให้กฎหมายชัดเจนละเอียดเท่าใด ไม่เปิดให้ใช้ดุลยพินิจ อันตรายมากกว่า

“สมาชิกหลายคนบอกว่าการตีทำให้พวกท่านได้ดี ทำให้ได้เข้ามายืนในสภา ดิฉันก็อยากยืนยันว่าการที่ทุกคนได้เป็นสส. เป็นผู้เป็นคนได้ เพราะมาจากความรู้ความสามาร อดทน ตั้งใจ ไม่ได้มาจากไม้เรียว ถ้าจะดูถูกตัวเองว่าไม้เรียวทำให้ได้ดี ท่านกำลังดูถูกความรู้ความสามารถความตั้งใจของตัวเองหรือเปล่า” นางศศินันท์ กล่าว

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทางกมธ.แก้ไขข้อความที่สภาฯ รับหลักการมา โดยตัดคำว่าทารุณกรรมออกไป เหลือเพียงคำว่า ไม่เป็นการเฆี่ยนตี สภาฯ แห่งนี้จึงยอมไม่ได้ เพราะต้องการปกป้องสิทธิผู้ปกครอง แนวโน้มร่างกฎหมายฉบับนี้จึงจะถูกคว่ำ จึงอยากให้หาวิธีการดู สำหรับตนขอเสนอให้กมธ.ถอนแล้วไปปรับปรุงตัวบทใหม่ เพื่อความสมดุลระหว่างสิทธิเด็กและสิทธิผู้ปกครอง คำกำกวมอย่างคำว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สมาชิกหลายคนถามว่าเอาอะไรมาวัด และสิ่งนี้จะทำให้ลงโทษผู้ปกครองได้ ฉะนั้นขอให้ไปปรับมาใหม่

ด้านนายสรรพสิทธิ์ ชี้แจงว่า จากที่ฟังการอภิปรายสรุปได้ว่าสมาชิกอยากได้ไม้เรียวกลับมาให้ครู อีกทั้งต้องการให้พ่อแม่เฆี่ยนตีลูกได้เพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หากต้องการให้ทางคณะกมธ.ถอน ตนก็ยังไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ห้ามพ่อแม่เฆี่ยนตีลูก เพราะมีกฎหมายอื่นที่ห้ามอยู่แล้ว

ภายหลังพักการประชุม ประธานกมธ.วิสามัญฯ แจ้งว่าทางคณะกมธ.ขอถอนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวออก ซึ่งที่ประชุมไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น จึงถือว่าอนุญาตให้ถอนร่างกฎหมายได้

2 ตุลาคม ของทุกปี ‘วันปลอดความรุนแรงสากล’ (International Day of Non-Violence) วันคล้ายวันเกิด ‘มหาตมะ คานธี’ ผู้ริเริ่มปรัชญา-หลักการไม่ใช้ความรุนแรง

ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ร่วมกันลงมติให้วันที่ 2 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันแห่งการไม่ใช้ความรุนแรงสากล เนื่องจากตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ มหาตมะ คานธี (2 ตุลาคม ค.ศ. 1869) ผู้ที่ริเริ่มปรัชญาและหลักการไม่ใช้ความรุนแรง 

ทั้งนี้ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้กำหนดวันนี้ขึ้นเพื่อให้ผู้คนทั่วโลก ตระหนักถึงการไม่ใช้ความรุนแรง และเพื่อให้เกิดสังคมที่มีความสันติสุข มีความอดทนอดกลั้น และเข้าใจหลักการไม่ใช้ความรุนแรงอย่างลึกซึ้ง

ตามคำนิยามขององค์กรอนามัยโลก ‘ความรุนแรง (violence)’ คือการใช้กำลังหรือพลังทางกายข่มขู่ เพื่อให้ผู้อื่นทำตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดการบาดเจ็บ การเสียชีวิต การทำร้ายจิตใจ

และความรุนแรงนั้นสามารถเกิดได้แทบทุกที่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ใหญ่ ๆ อย่างสงคราม หรือแม้แต่ในที่ที่น่าจะปลอดภัยที่สุด อย่างเช่น ในบ้าน หรือในครอบครัว และสิ่งที่ตามมาหลังจากความรุนแรงได้เกิดขึ้น นั่นก็คือ จะมีคนได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะทางร่างกาย หรือทางจิตใจ

ดังนั้น ในวันที่ 2 ตุลาคมของทุกปี จึงถูกกำหนดให้เป็น ‘วันปลอดความรุนแรงสากล’ หรือ International Day of Non-Violence ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ มหาตมะ คานธี 2 ตุลาคม ค.ศ. 1869 (พ.ศ. 2412) ผู้ที่ริเริ่มปรัชญาและหลักการไม่ใช้ความรุนแรง 

โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ผู้คนไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมถึงให้ตระหนักรู้ถึงผลเสียมากมายที่จะตามมาหลังจากที่ความรุนแรงเกิดขึ้นอีกด้วย

อุตรดิตถ์-บรรยากาศประชาชนเดินทางมารับเงินโอนตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ อย่างคึกคัก 

(25 ก.ย.67) ที่บริเวณหน้าธนาคารกรุงไทย สาขา ม.ราชภัฏอุตรดิตถ์ นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯจ.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วยส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง จ.อุตรดิตถ์ และ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุตรดิตถ์ ติดตามการโอนเงิน10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 วันแรก นอกจากนี้ยังได้โฟนอิน กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังเปิดงาน (Kick Off) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ของ จ.อุตรดิตถ์ คือ นางชัยศรี (สงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี ชาวบ้านหมู่ 5 ต.ท่าเสา อ.เมืองอุตรดิตถ์ ที่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาทเป็นที่เรียบร้อย โดยกล่าวว่าจะนำเงินดังกล่าวเป็นทุนต่อยอดการขายข้าวหมกไก่ ที่เปิดร้านอยู่ริมคลองเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ดีใจและขอบคุณรัฐบาลที่มอบโครงการดีๆให้กับชาวบ้าน 

นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯจ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่าสำหรับ จ.อุตรดิตถ์ มีประชาชนที่ได้รับเงินในวันแรกมีโอกาสได้พูดคุย(โฟนอิน)กับท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ประชาชนที่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว จังหวัดอุตรดิตถ์มีประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 112,084 ราย และ ผู้พิการ 22,342 ราย จะมีการแบ่งทยอยโอน 4 วัน เข้าบัญชีพร้อมเพย์ และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ ระหว่างวันที่ 25-30 กันยายน 2567 

ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับวันแรกนั้น เป็นในส่วนของประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนลงท้าย เลข 0 และผู้พิการ ซึ่งกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้โอนจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567

สมุทรปราการ-ผู้บริหารเทศบาลตำบลแพรกษา เข้ารับรางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง” ( Local Award 2024) ประจำปี 2567

ขอแสดงความยินดีกับทางคณะผู้บริหารของทาง เทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ ที่ได้รับคัดเลือกเข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติ โดยได้รับรางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง ระดับดี” ประจำปี 2567

โดยในวันพุธที่ 25 กันยายน  2567 ท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ (สมัยที่ 25) และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และคณะกรรมการพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษ

พร้อมคณะผู้บริหารเดินทางไปยังอาคาร ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ห้องวายุภักษ์ ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์  แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

เพื่อเข้ารับรางวัลที่ได้จากการคัดเลือกของจังหวัดและ อปท. ให้ได้รับรางวัลท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูงประจำปี 2567 ( Local Award 2024)

จากผลงานอันโดดเด่นและรูปแบบแผนการพัฒนาท้องถิ่นของทางเทศบาลตำบลแพรกษา ทำให้ทางเทศบาลตำบลแพรกษาได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลในครั้งนี้ นับได้ว่ารางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง ระดับดี” (Silver) ลำดับที่ 17 ของประเทศนั้น เป็นรางวัลอันทรงเกียรติ จึงขอแสดงความยินดีกับทางคณะผู้บริหารทุกท่านที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

🔍ชวนส่องประเทศไหนเป็น ‘ผู้นำ’ ในการวิจัย AI กันนะ??

‘Center for Security and Emerging Technology at Georgetown University’ เปิดเผยรายชื่อประเทศ ‘ผู้นำ’ ในการวิจัย AI โดยประเทศที่มีจำนวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่มีการเผยแพร่ระหว่างปี 2556-2566 ได้แก่ ประเทศจีน จำนวน 557,326 ผลงาน รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 354,042 ผลงาน ส่วนจะมีประเทศใดติดโผอีกบ้าง มาดูกัน!!
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top